ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา

ลำดับตอนที่ #6 : ลู่ซุนยอดมือปราบวังหลวง

  • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 48


ตอนที่ 6 ลู่ซุนยอดมือปราบวังหลวง



สองสามวันมานี้ นางก่อคดีไม่ได้หยุดหย่อน ไม่เพียงบ้านเศรษฐี ขอเพียงเป็นบ้านผู้ดีมีเงิน ร้านค้าใหญ่ นางก็ไม่ปล่อยปละละเว้น จนชาวบ้านเริ่มล่ำลือ ร้องเรียนต่อกองปราบมากมาย ยามนี้นางไร้เรื่องราวกระทำ จึงลงมานั่งดื่มสุราเฝ้ามองดูผู้คนสัญจร ฟังผู้คนล่ำลือถึงโจรชกชิงทรัพย์ที่ไปมาไร้ร่องรอย ทางการแม้พยายามตามสืบแต่เบาะแสกลับมีแค่รูปตีนแมวที่สลักทิ้งไว้เท่านั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตา ถึงกับยกย่องฉายาให้เป็นตีนแมวเทวดา นางรับฟังต้องหัวเราะคิกคักแต่แล้วครุ่นคิด ‘ฉายานี้ก็นับว่าไม่เลว’



เทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซ ลงจากห้องพักพบเห็น จิวอวงยี้ นั่งอยู่ชั้นล่างริมระเบียง ท่าทางยิ้มแย้มเบิกบานเห็นเป็นโอกาสจึงทักทายชวนสนทนา นางก็ตอบรับเป็นอันดี เชิญชวนนั่งดื่มสุรา ระหว่างการสนทนาถึงเรื่องราวต่างๆจิวอวงยี้ลอบสังเกตุเทียนอี้ คนผู้นี้มีบุคลิกผิดแปลกแตกต่างจากคนสามัญ บุคลิกการทั่วไปดูสูงส่งเกินกว่าพ่อค้าตามที่มันกล่าวอ้าง ทั้งยังชายวัยกลางคนที่ติดตามมาหากดูผิวเผินย่อมเข้าใจว่าเป็นบัณทิตสอนหนังสือคร่ำครึ แต่สังเกตุจากการก้าวย่างดูมีพลัง ลมหายใจสม่ำเสมอ น้ำเสียงมีกังวาน นัยน์ตาสุกใส นี่ย่อมเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งไหนเลยเป็นแค่ครูสอนหนังสือ ขณะทั้งคู่สนทนา ลู่ซุนพลันขี่ม้ามาที่โรงเตี้ยม ยามนี้มันสวมชุดผ้าหยาบเช่นชาวบ้านสามัญ แต่ท่วงท่ายังห้าวหาญองอาจ รอยแผลเป็นบนแก้มซ้ายยิ่งขับใบหน้าอันหยาบกร้านของมันให้ดูหน้าเกรงขาม



จิวอวงยี้พอเห็นต้องลอบชำเลืองยิ้มเยาะ พอลงจากหลังม้าก็ตรงเข้าหาเฒ่าแก่โรงเตี้ยมสอบถามความอยู่ครู่หนึ่ง เฒ่าแก่โรงเตี้ยมขณะบอกกล่าวชี้มือชี้ไม้มาทาง จิวอวงยี้ เทียนอี้และเอี๊ยะซินแซ ทั้งสามต้องจับจองมองดูไม่ทราบสองคนนั้นสนทนาเกี่ยวกับพวกตนด้วยเรื่องอันใด ลู่ซุนหลังจากสนทนากับเฒ่าแก่โรงเตี้ยม ก็ตรงเข้าหาคนทั้งสามยกมือประสานกล่าวว่า

“อภัยที่ข้าพเจ้าเสียมารยาท ขัดการสนทนา ข้าพเจ้ามีเรื่องคิดเรียนถามพวกท่านสักเล็กน้อย”



จิวอวงยี้หันไปยิ้มแย้มกล่าวตอบอย่างนิ่มนวล

“ท่านเมื่อรู้ว่าเป็นการเสียมารยาทไฉนจึงเข้ามา”

น้ำเสียงนางแม้นุ่มนวลสุภาพแต่ความหมายคล้ายกับไม่ใคร่พอใจ ลู่ซุนพอฟังต้องชะงักงันลงครู่หนึ่ง ยังไม่สามารถนึกวาจากล่าวต่อไปได้ เอี๊ยะซิงแซใคร่สนทนากับมือปราบผู้นี้จึงกล่าวขึ้น

“นายกองลู่ ท่านคิดถามสิ่งใดเชิญนั่งลงสนทนา”

นางพอฟังต้องลอบไม่พอใจบัณฑิตสอนหนังสือผู้นี้ แต่ไม่สะดวกต่อการกล่าวทัดทาน ลู่ซุนจึงนั่งลงกล่าวถาม

“อภัยที่ผู้น้อยรบกวน เวลารื่นรมของพวกท่าน เพียงมีข้อกล่าวถามสักเล็กน้อย ไม่ทราบว่าพวกท่านมาจากที่ใด และจะไปยังที่ใด”

เอี๊ยะซินแซพอฟังลู่ซุนเรียกตัวเองว่าผู้น้อยกล่าวสุภาพเรียบร้อย ต้องลอบพิจารณาครุ่นคิดชื่นชม ‘มือปราบผู้นี้น่าสนใจยิ่ง ยามปราบผู้กระทำผิดห้าวหาญองอาจ ยามพูดคุยปกติสุภาพนอบน้อม คงมีภูมิความรู้มิใช่ชั่ว’ จึงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้า กับเสียวเอี้ย เดินทางมาติดต่อธุระค้าขายที่ หยุนหนัน พอดีขากลับเมืองหลวงผ่านเมืองกันจือ จึงแวะท่องเทียวชื่นชม”

ลู่ซุนหันไปทาง จิวอวงยี้ เห็นนางไม่แยแสสนใจ จึงถามต่อเอี๊ยะซินแซ

“เซียวโกวเนี๊ยะ  ก็ร่วมทางมากับท่านหรือ”

ลู่ซุนย่อมรู้ชื่อของนางจากเฒ่าแก่ร้านที่บอกกล่าว เอี๊ยะซินแซยังไม่ทันอ้าปากตอบ เทียนอี้กลับชิงกล่าวแทรกขึ้น

“ถูกแล้ว นางร่วมเดินทางมากับพวกเรา”

นางต้องชำเลืองดูเทียนอี้วูบหนึ่ง ไม่ทราบคนผู้นี้คิดกระไร แต่ก็เป็นการดีจะได้ไม่ต้องตอบคำถามมากความของมือปราบผู้นี้ จึงไม่ได้กล่าวกระไร เอี๊ยะซินแซต้องงงงันครู่หนึ่งแต่เมื่อเสียวเอี้ยของตนกล่าวออกมาเช่นนี้ ก็ไม่อาจกล่าวเป็นอื่น จึงผงกศีรษะตอบต่อลู่ซุน ลู่ซุนสนทนาต่อคนทั้งสามอีกครู่หนึ่ง ระหว่างการสนทนาลอบสังเกตุอากัปกิริยาต่างๆโดยละเอียด เห็นว่าเซียวโกวเนี้ยะผู้นี้ไม่ใคร่เจรจากับตน คล้ายกับไม่ชอบหน้าตนอย่างยิ่ง อีกทั้งสองคนนี้มีบุคลิกผิดแปลกเหนือคนธรรมดา จึงซักถามรายละเอียดปลีกย่อยมากมายหวังจับพิรุธ จนจิวอวงยี้รู้สึกขุ่นข้องรำคาญกล่าวแทรกขึ้นมา

“เอ๋... นายกองลู่ ท่านสอบถามมากมายเช่นนี้ ใช่สงสัยเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่โจษจันภายในเมืองสองสามวันมานี้หรือไม่”



น้ำเสียงนางคล้ายกับไม่พอใจอย่างยิ่ง ลู่ซุนเห็นนางคาดเดาออกต้องนิ่งลงครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบ

“เซียวโกวเนี้ยะกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ไม่ใช่แต่พวกท่านทั้งสาม หากแต่เป็นผู้เดินทางเข้าเขตเมืองกันจือก่อนหน้านี้ล้วนตกเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ข้าพเจ้าเพียงสอบถามรายละเอียด เพื่อหาข้อจำกัดให้แคบลง หากล่วงเกินสิ่งใด หวังพวกท่านให้อภัย ณ ที่นี้”  

        

ที่แท้ลู่ซุนต้องการสืบร่องรอยโจรย่องเบาที่ก่อคดีต่อเนื่องในสองสามวันมานี้ คาดว่าไม่ใช่คนในเมืองกันจือ จึงออกตะเวนตามโรงเตี้ยมที่พัก ศาลาวัดล้าง ต่างๆหากพบผู้คนต่างถิ่น ก็เข้าสอบถามหาพิรุธข้อสงสัยจดจำลักษณะ จนมาถึงโรงเตี้ยมที่คนทั้งสามพักอยู่

    

จิวอวงยี้พอฟังมันกล่าวตอบต้องค้อนอย่างขุ่นเคือง สะบัดหน้าเบืองหนี เค้นเสียง ชิ  อย่างไม่พอใจ เทียนอี้เห็นนางอารมณ์ขุ่นมั่ว เป็นที่ไม่สบายใจคาดคิดว่านางไม่พอใจที่ถูกผู้คนสงสัยเป็นโจรร้าย จึงกล่าวกับลู่ซุนว่า

“นายกองลู่ ท่านอย่าได้สงสัยพวกเรา”

พลางส่งของสิ่งหนึ่งยัดให้ในมือ ลู่ซุนพอแลเห็น สีหน้าแตกตื่นตระหนก นี่กลับเป็นป้ายหยกในราชสำนัก ผู้ที่มีป้ายนี้ หากไม่ใช่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หรือเชื้อพระวงค์ไหนเลยมีได้ เอี๊ยะซินแซต้องร้อนรุ่มใจ ที่เสียวเอี้ยของมันกระทำเช่นนี้  จิวอวงยี้ไม่ทราบว่าป้ายหยกนั้นมีความสำคัญเช่นไร แต่เห็นมือปราบลู่ผู้นี้พอเห็นป้ายหยกก็ประคองส่งคืนด้วยสองมือ คิดทำการคุกเข่า แต่เอี๊ยะซินแซกระซิบห้ามไว้ จากนั้นก็กล่าวขออภัยขอตัวอำลา



    ลู่ซุนควบมาจากมาด้วยความคิดอันหนักอึ้ง วันสองวันนี้กลับไม่สามารถหาเบาะแสของโจรร้ายผู้นี้ได้ ยามนี้กลับอับจนปัญญา พอดีผ่านทางเรียบคลองกลางเมือง เห็นคนนั่งตกปลาอยู่กำลังเกี่ยวเหยื่อกับขอเบ็ด พลันครุ่นคิดวิธีได้’คิดตกปลาย่อมต้องมีเหยื่อล่อ คิดจับโจรผู้นี้ย่อมต้องมีเหยื่อเช่นกัน’ พอกลับถึงกรมเมืองบอกกล่าวต่อมือปราบหลายคนให้ไปปล่อยข่าวลือ ว่าทางหยุนหนัน จัดส่งของมีค่ามากมาย ไปยังราชสำนัก ต้องแวะพักที่เสฉวน ให้มือปราบจำนวนหนึ่งจัดขบวนหีบห่อ ทาหน้าติดหนวดเครา ปลอมเป็นสำนักคุ้มกันภัย เดินขบวนผ่านกลางเมือง พอพลบค่ำก็แวะพักที่ บ้านใหญ่ที่ทางการจัดไว้ให้



จิวอวงยี้พอฟังข่าวล่ำลือ พร้อมทั้งเห็นขบวนคุ้มกันแน่นหนา คาดว่าของในหีบย่อมบรรจุของมีค่าสำคัญยิ่ง ครุ่นคิดถึงหากของมีค่าเช่นนี้ สูญหายไปในเขตรับผิดชอบของมัน ยังสามารถแบกหน้าวางท่าได้อีกหรือไม่ แอบลอบสะกดรอยขบวนคุ้มกันไปจนถึงบ้านหลังหนึ่งตั้งโดดเดียวอยู่ทามกลางตัวเมือง รอบนอกบริเวณบ้านกลับเป็นที่ราบโล่งกว้างขวาง ขบวนคุ้มกันเคลื่อนย้ายหายเข้าไปในตัวบ้าน  ลอบสักเกตุที่ทางโดยรอบหมายตาไว้ค่ำคืนนี้จะลอบลงมือ



พอยามดึกพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกทางหน้าต่างโรงเตี้ยม มุ่งหน้าสู่ที่พักของขบวนคุ้มกัน เห็นจัดเวรยามแน่นหน้า ทั้งยังมีมือปราบกรมเมืองมาช่วยเหลือ แต่สอดส่ายสายตากลับไม่พบ มือปราบนายกองผู้นั้น คาดว่าคงไม่ได้มาด้วย เร้นกายเงียบเชียบไปตามรั่วกำแพงกระโดนขึ้นสู่หลังคา สำรวจภายในบริเวณโดยรอบ เห็นแต่เวรยามเดินขวักไขว่ ยังไม่เห็นขบวนรถที่บรรทุกหีบห่อ พอคนสำนักคุ้มกันภัยสองคนเดินผ่านไป รีบทิ้งตัวลงยังด้านล่าง สำรวจห้องในรอบรอบบริเวณ  เห็นห้องห้องหนึ่งมียามพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสม่ำเสมอ ทั้งยังมีผู้ยื่นเฝ้าสองสามคนโดยตลอด คาดว่าคงเป็นที่เก็บรถบรรทุกหีบสมบัติแล้ว แต่ห้องนั้นกลับทึบตันไม่มีประตูหน้าต่าง มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว หากคิดเล็ดรอดเข้าไปโดยไม่ให้ผู้คนล่วงรู้ออกจะยากลำบาก นับว่าคนพวกนี้จัดการรอบครอบรัดกุมยิ่ง คิดเจาะช่องบนหลังคาเข้าไปด้านใน รอจังหวะเวรยามพลั้งเผลอพุ่งร่างทะยานขึ้นบนหลังคาอีกครั้ง พอเท้าจะกระทบถูกต้องหน้าแปรเปลี่ยนรีบหยุดยั้งสภาวะ พลิ้วกายลงกลับมายังที่เดิม กระนั้นเท้ายังกระทบถูกไปคราหนึ่งบังเกิดเสียงกุกกลักเบาๆ  



จิวอวงยี้ต้องลอบสบถด่าในใจ ที่แท้บนหลังค่าบริเวณห้องนี้ เทไว้ด้วยกรวดหินโดยทั่ว ขอเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบถูกต้องบังเกิดเสียงกระทบของก้อนกรวดกลิ้งกุกกลักบนหลังคา ยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงต้องเหลือบแลดูเห็นเงาคนไหววูบลงจากหลังคา ขณะจะอ้าปากร้องบอกเตือนผู้คน ก็ถูกจิวอวงยี้ซัดหินที่เก็บขึ้นจากพื้นซัดใส่ การซัดขว้างครั้งนี้รวดเร็วอย่างยิ่งแฝงพลังฝ่ามือยมทูตสามถึงสี่ส่วน ขยับมือเพียงวูบเดียว หินสามก้อนในมือกลับต้องเข้าจุดสำคัญของยามเฝ้าหน้าประตูทั้งสาม ล้มฟุบหมดสติลงก่อนจะได้ส่งเสียง นางต้องลอบถอนใจอย่างโล่งอกหากลงมือช้ากว่านี้วูบเดียว เวรยามที่เดินตรวจตราภายนอกคงตื่นตัวขึ้นแล้ว



รีบเข้าประชิดหน้าประตู เจาะกระดาษบานประตูส่องดูภายในห้อง พบหีบลังใหญ่วางอยู่บนตัวรถลากบรรทุก ไม่มีผู้คนอื่นอีก รีบเข้าไปยังภายใน พอเปิดหีบลังออกต้องใจหายวาบ เงาฝ่ามือพุ่งออกจากในหีบคว้าเข้าที่คอหอยนาง ต้องรีบยกมือปัดป้อง ถลันหลบออกด้านข้างพุ่งซัดเข็มอสรพิษเข้าไปยังในหีบลัง เงาคนผู้หนึ่งทะยานออกจากหีบลัง ก่อนเข็มอสรพิษจะปักตรึงเข้าไปภายในหีบ มันผู้นั้นพอออกมาก็เป่าปากเป็นสัญญาณ เสียงผู้คนจากภายนอกอึกทึกคึกโครมคล้ายกำลังมุ่งมาที่ห้องนี้ จิวอวงยี้ต้องสีหน้าแปรเปลี่ยน คาดคิดไม่ถึงนี้กลับเป็นกับดักขุดล่อตน พอเพ่งมองร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เห็นถนัดชัดตา ต้องสร้างความขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้น ที่แท้คนผู้นี้คือมือปราบจอมวางท่านี่เอง



จิวอวงยี้ต้องเค้นเสียง เฮอะ ระบายโทสะ แต่ยามนี้ไม่หลบหนีคงไม่ได้ผู้คนกลับร่ายล้อมไว้เนืองแน่น รีบพุ่งตัวดีดเท้าใส่กำแพงทะยานร่างขึ้นสูง หวังทะลายหลังคาออกหลบหนี ลู่ซุนพอเห็นรีบตวาด

“ยังคิดหนีไปที่ใด”

คิดก้าวสกัดขัดขวาง แต่จิวอวงยี้มีท่าร่างรวดเร็ว ลู่ซุนไหนเลยขวางไว้ทัน มือยังไม่ทันคว้าถูกร่างนางก็ทะยานขึ้นสูงแล้ว พอร่างทะลวงหลังคา เศษหินกรวดก็พรั่งพลูลงมา นางกลับไม่สามารถทะลวงฝ่าออกไปได้ ด้านบนกลับมีผู้คนขึงตะข่ายใยเหล็กเอาไว้ จิวอวงยี้คล้ายนกบินขึ้นติดร่างแหไม่สามารถฝ่าออกไปได้ ต้องลงสู่เบื้องล่าง



พอเห็นผู้คนกรูเข้ามาทางประตู ต้องลอบร้องย่ำแย่ หากให้ผู้คนเข้ามาเนืองแน่นห้องนี้คับแคบตนเองกลับไม่มีที่หลบหนี ชิงลอยตัวข้ามหัวผู้คนที่หนุนเนืองเข้ามา ผ่านช่องระหว่างศีรษะกับขอบประตูที่เหลือไม่ถึงสองเซียะฝ่าออกไป ก้าวเท้าเหยียบบนศีรษะบนบ่าพวกมัน ทะยานร่างออกสู่ลานโล่งภายนอก นางตัดสิ้นใจรวดเร็วพอคิดก็ลงมือ ลู่ซุนไหนเลยคาดคิดว่านางมีวิชาตัวเบาลำเลิศถึงเพียงนี้ทั้งยังผ่านช่องคับแคบได้ประดุจแมววิ่งผ่านช่องกำแพง ต้องรีบตะโกนให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกกระจายตัวโอบรอบไว้



จิวอวงยี้พอทิ้งตัวสู่ลานกว้าง ขณะคิดตรงเข้าหากำแพงเพื่อหลบหนี พบบรรดาผู้คนยี่สิบสามสิบคนรายล้อมทุกด้าน กักนางไว้กึ่งกลาง พลางล้วงเข็มอสรพิษขึ้นมาในมือข้างล่ะสี่ห้าเล่ม ใช้ฝ่ามือยมทูตสะบัดออก คนแปดเก้าคนต้องล้มระเนระนาด โอดร้องครวญคราง ดีที่นางรับปากเฒ่าแซ่เต็กไม่เข่นฆ่าผู้คนโดยไม่จำเป็น เข็มอสรพิษของนางแม้มีพิษแต่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ทำให้ผู้คนได้รับความเจ็บปวดเพียงเท่านั้น รีบชิงไปยังทิศทางที่ผู้คนล้มกองอยู่ กระโดดข้ามกำแพงหลบหนี ลู่ซุนไหนเลยยินยอม ใช้วิชาตัวเบาทะยานเหยียบเมฆ ก้าวกระโจนติดตาม วิชานี้ย่อมเป็นหนึ่งในยอดวิชาของมือปราบวังหลวง หากคิดจับโจรผู้ร้ายไหนเลยไม่มีวิชาตัวเบาที่ดีได้ พอตนเองขึ้นอยู่บนกำแพง ก็เห็นเงาร่างนั้นพลิ้วลงสู่เบื้องล่าง รีบพลิ้วกายลงตาม จะอย่างไรฝีเท้าของจิวอวงยี้รวดเร็วกว่า ลู่ซุนในยามนี้ถูกนางทิ้งห่างอยู่หลายช่วง แต่กระนั้นยังไม่ยอมให้คาดสายตา ดีที่รอบบริเวณเป็นที่ราบโล่ง นางไม่มีที่ซอกแซกหลบหาย





พอใกล้เข้าเขตบ้านช่องรกทึบ ลู่ซุนต้องลอบร้องย่ำแย่ กริ่งเกรงโจรผู้นี้อาศัยบ้านเรือนบดบังกายหลุดรอดสายตา กลับไม่ทันคาดคิด พอเข้าเขตบ้านเรือน ร่างนั้นพอกระโจนขึ้นหลังคาก็ยืนหยุดนิ่ง ลู่ซุนรู้สึกประหลาดใจ พอบรรลุถึง ทิ้งร่างลงอีกมุมหนึ่งของหลังคา เห็นคนผู้นี้ไม่หลบหนีต่อยืนประจันหน้าเช่นนี้เท่ากับว่าต้องการวัดฝีมือแล้ว  



ลู่ซุนเมื่อเห็นโจรร้ายอยู่เบื้องหน้าไม่กล่าวมากความ ร่ายรำเพลงฝ่ามือกำหราบเสือของมือปราบวังหลวงเข้าจู่โจมหมายคร่ากุมตัว จิวอวงยี้เคยเห็นคนผู้นี้ลงมือต่อล้ออันเพ็ก มีแนวทางวิชาคว้าจับแฝงอยู่ จึงคาดคิดว่าเพลงฝ่ามือกำหราบเสือ มีแนวทางมาจากวิชาคว้าจับแต่เพิ่มเติมหมัดเท้าเข้าไปหนุนเสริมเป็นเขี้ยวเล็บจู่โจมทำร้าย ยามนี้เห็นมันใช้ออก ที่นางคาดเดาไว้ไม่ผิด ต้องกระหยิ่มยิ้มย่อง ฝ่ามือยมทูตของนางก็เน้นหนักที่วิชาคว้าจับ ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘ดูว่าวิชาท่านกับวิชาเรา วิชาไหนเลิศล้ำกว่ากัน’



จึงใช้หลักคว้าจับในฝ่ามือยมทูตเข้าหักหาญ ลู่ซุนพอต่อยออกก็ถูกนางชิงคว้าข้อมือผลักเบี่ยงเบนออก ฉุดดึงให้ถลำเสียหลัก ต้องคว้าข้อมือนางกลับคืนยึดตัวไว้ พลิกร่างคลี่ลายมืออีกข้างวกกลับเข้าคว้าหัวไหล่นางคิดฉุดกระชากให้ล้มนอนลง หัวไหล่นางพลันลื่นไหลหลบเลี่ยงประดุจงูเลื้อย ลู่ซุนกลับคว้าถูกอากาศธาตุ เห็นเงาดำพลิกวูบอ้อมกายไปด้านหลัง ข้อมือกับหัวไหล่ตนกลับถูกคว้าบิดไว้ ต้องรีบตีลังกาม้วนตัวคลายการบิดของแขน เกร็งกำลังใส่ท่อนแขนที่ถูกคว้าสะบัดหลุดออก ดีที่มันกำลังภายนอกเหนือธรรมดากำลังภายในกล้าแข็ง จึงสะลัดหลุดได้ ไม่เช่นนั้นภายใต้การคว้าข้อต่อเกาะกระดูกของจิวอวงยี้ ต้องบิดแขนข้างนี้มันหักลง ทั้งคู่กลับหักหาญกันด้วยวิชาคว้าจับ แฝงหมัดเท้าจู่โจม



จะอย่างไรฝ่ามือยมทูตมีความลึกล้ำพิสดารกว่าฝ่ามือกำหราบเสือ การคว้าจับแต่ล่ะครั้งรวดเร็วแยบยลพิสดาร ยากยิ่งจะคลี่คลายออก ลู่ซุนล้วนแล้วแต่อาศัยกำลังภายในกล้าแข็งเข้าคลี่คลาย ยังหวุดหวิดฉิวเฉียด ผิดกับนางพอถูกลู่ซุนคว้าจับ ก็พลิกร่างบิดกายคลี่คลายออกได้โดยง่าย ความจริงภายใต้อุ้งมือของลู่ซุนที่มีกำลังภายในกล้าแข็งกับพลังภายนอกเหนือผู้คนธรรมดา หากคว้าถูกผู้ใดย่างยิ่งจะหลุดรอด แต่จิวอวงยี้อาศัยเคล็ดวิชาดัดตนอ่อนกายของคังหมิ่นพลิกร่างหมุนตัวฝืนธรรมชาติการเคลื่อนไหว ลู่ซุนไม่สามารถฝืนการเคลื่อนไหวของธรรมชาติร่างกายมนุษย์ได้เช่นนาง จึงไม่สามารถใช้แรงได้เต็มที่ มือที่คว้าร่างนางคล้ายกับไม่มีแรง จึงถูกนางสลัดหลุดได้ ลู่ซุนต้องแตกตื่นครุ่นคิด ‘คนผู้นี้ฝีมือร้ายกาจ ทั้งท่าร่างพิสดาร เห็นที่คิดไม่ทำร้ายก่อนคร่ากุมนั้นกระทำได้ยาก’  



พลันเปลี่ยนท่วงท่า มือซ้ายเป็นหมัด มือขวาเป็นฝ่ามือ ยื่นออกไปเบื้องหน้าเล็กน้อย  ตีออกเป็นวงกว้างเตะเท้าสูงเหยียบลงพสุธา ท่านี้กลับเป็นท่าเริ่มต้นของเพลงหมัดห้าวิถี จิวอวงยี้ไหนเลยไม่รู้จักเพลงหมัดห้าวิถีชนชาวบู๊ทั่วไปล้วนเคยร่ำเรียนถือว่าเป็นกระบวนท่าพื้นฐานก็ว่าได้ ต้องครุ่นคิดเย้ยหยัน ‘ท่านคร่ากุมเราไม่ได้คิดเปิดฉากทำร้าย ไหนเลยไม่งัดเอาวิชาล้ำลึกกว่านี้มาใช้ เช่นนี้ออกจะดูแคลนเราแล้ว’



พลันเอื้อมมือคิดคว้าข้อมือที่ยื่นออก มือข้างนั้นของมันทั้งไม่หดกลับ เพียงขยับก็ต่อยออก การต่อยลักษณะเช่นนี้กลับแปลกประหลาด ทั้งไม่งอแขนเหวี่ยงหมัด เพียงกำหมัดก็กระแทกต่อยได้อย่างรุนแรง จิวอวงยี้ไม่ทันระวังว่ามีการต่อยลักษณะเช่นนี้ ต้องใจหายวาบ รีบวกมือหลบหลีก พบหมัดตามติดอีกสี่ห้าหมัด ต้องรีบพลิ้วกายหลบเลี่ยง แต่ล่ะหมัดจู่โจมรวดเร็ว บางคราเหมือนต่อยด้านซ้ายแต่หมัดออกจากด้านขวา บางคราไม่ทันเหวี่ยงหมัดก็ต่อยออก ยามนี้คิดคว้าจับข้อต่อจุดเส้นชีพจรมันกลับไม่เป็นผล พอคว้าจับถูกยังไม่ทันพลิกร่างบิดแขนขา ลู่ซุนพลันต่อยจู่โจมจุดตายบนร่างนางอย่างหนักหน่วงรวดเร็ว นางต้องรีบปล่อยมือมาปัดป้อง กลับเป็นการสลายกระบวนท่าคว้าจับของนางไปในบัดดล ภายหลังกลับถูกลู่ซุนเหวี่ยงหมัดเตะเท้าจู่โจมรุกไล่  ดีที่นางมีท่าร่างรวดเร็วยังสามารถหลบหลีกได้ ต้องลอบตื่นตระหนกครุ่นคิด ไหนเลยเพลงหมัดห้าวิถี ถึงได้ร้ายกาจปานนี้



จิวอวงยี้ไหนเลยทราบเพลงหมัดห้าวิถี ความจริงไม่ใช่วิชาพื้นฐานต่ำทราม ไม่เช่นนั้นผู้คิดค้น คงไม่ใช้เพลงหมัดนี้ สร้างชื่อเสียงจนโด่งดัง แต่ภายหลังไม่มีผู้ใช้วิชานี้จนแตกฉาน เนื่องจากต้องฝึกฝนยาวนาน ใช้จนชำชองจึงเปล่งอนุภาพ ชนรุ่นหลังเห็นว่าวิชานี้ไม่มีความแปลกพิสดาร จึงฝึกเพียงเป็นพื้นฐานเรียนรู้  



ครานั้นลู่ซุนอยู่กับเฒ่าแซ่เต็ก มักถูกคนทำร้ายบ่อยครั้ง เฒ่าแซ่เต็กเห็นเป็นคนสัตย์ซื่อ ทั้งยังอยู่ตัวคนเดียว นึกเวทนาสงสาร หลังจากลู่ซุนคิดจากไป กริ่งเกรงมันถูกผู้คนรังแก เฒ่าแซ่เต็กเองเรียนรู้วิชาหมัดเท้าไม่มาก ที่ใช้ออกฝึกฝนบ่อยๆกลับมีเพลงหมัดห้าวิถี จึงถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งชีวิตที่ใช้เพลงหมัดชุดนี้รับมือผู้คน เฒ่าแซ่เต็กเห็นว่าเพลงหมัดชุดนี้ต้องหมั่นฝึกฝนยาวนาน อีกทั้งยังต้องใช้ต่อยตีกับผู้คนจนชำชอง จึงเปล่งอนุภาพ  กลัวมันยังไม่ทันสำเร็จก็โดนผู้คนทำร้ายถึงตายก่อน แต่ก็ไม่มีวิชาหมัดเท้าอื่นสอนแก่มัน จำต้องสอนสุดยอดวิชาบางส่วนให้เป็นท่าไม้ตายใช้ในยามคับขัน นั้นคือพลังเทพสาดส่อง กับ เพลงดาบอสูรโลหิต แต่เพลงดาบอสูรโลหิตกับพลังเทพสาดส่องมีอนุภาพใหญ่หลวง กริ่งเกรงมันเมื่อเก่งกาจจนไร้ผู้ต่อต้านแล้วจะหลงระเริง ก่อกรรมทำเข็ญ  จึงไม่ได้ถ่ายทอดให้ทั้งหมด พลังเทพสาดส่องเพียงถ่ายทอดเคล็ดการสร้างเสริมกำลังภายใน เพลงดาบอสูรโลหิตถ่ายทอดให้เพียงแปดกระบ่วนท่าเท่านั้น ลู่ซุนทำตามคำสั่งของเฒ่าแซ่เต็กหลังจากแยกจากมา ก็หมั่นฝึกฝนไม่ได้ขาด ภายหลังเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อสอบเป็นมือปราบวังหลวง พอสอบได้ได้รับต่ำแหน่ง ยามจับโจรผู้ร้ายไม่คำนึกถึงการเจ็บตัวใช้เพลงหมัดห้าวิถีต่อสู่เพียงถ่ายเดียว ยิ่งใช้ยิ่งชำชองจนแตกฉาน



กระบวนท่าเพลงหมัดห้าวิถีไม่มีที่พิสดาร ทุกทวงท่ารวบรัดจัดเจนจึงรวดเร็ว ยิ่งผู้ใช้แตกฉานฝึกฝนจนชำชองเพียงคิดก็ใช้ออก ในความธรรมดากลับแฝงความลึกล้ำ ยามนี้จิวอวงยี้กลับถูกวิชาหมัดเท้าธรรมดา ครอบคลุมการเคลื่อนไหวฝีเท้าเริ่มรวนเร  แต่ยังปลุกปลอบสมาธิต้านหมัดเท้าอย่างแยบคลาย ลู่ซุนยามนี้กลับไร้ทวงท่า คิดต่อยหมัดออกแขนยังไม่ทันงอเข้าก็ต่อยออกได้ คิดเตะขายังไม่ทันวกไปด้านหลังเพิ่มกำลังเอวยังไม่ทันหมุนก็เตะได้ดุจเดียวกัน จิวอวงยี้ต้องต้านรับเป็นพัลวัน ข้อมือปวดแปลบจากแรงกำลังภายในของมันกดกระแทก



ยามนี้นางเพิ่งสังเกตุเห็นวิชาหมัดเท้าเช่นนี้กลับคล้ายคลึงกับเฒ่าแซ่เต็กอย่างยิ่ง ที่แท้ยามที่เฒ่าแซ่เต็กรับมือกับสามภูติกวนตั๋งก็ใช้เพลงหมัดห้าวิถี เพียงแต่ไม่ตั้งท่ามากความคิดใช้ออกก็ใช้ทันที นางจึงไม่ทราบว่า เป็นวิชาหมัดเท้าอะไร แต่ยามนี้เห็นลู่ซุนใช้ออกได้ละม้ายคล้ายเหมือนจึงนึกถึงขึ้นมา แต่เวลานี้ไหนเลยมีเวลาให้ขบคิด เห็นหมัดหนึ่งจู่โจมเข้าใบหน้า หมัดนี้มีกำลังไม่น้อยกว่าสองสามร้อยชั่ง ไม่มีที่หลบหลีก ต้องรีบยกสองมือต้านประทะ คิดหยิบยืมสภาวะหมัดของมันตีลังกาข้ามศีรษะหลบรอด ลู่ซุนพลันเปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือ คว้าข้อมือนางที่ยื่นออกหมายต้านทาน อีกมือหนึ่ง พุ่งคว้าเข้าที่ทรวงอก ในท่าคว้าหัวใจพยัคฆ์ ในฝ่ามือกำหราบเสือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เหนือความคาดหมาย นางกลับไม่สามารถปกป้องได้ พอกระทบถูกพบก้อนเนื้ออ่อนหยุ่นบนทรวงอก ต้องตะลึงงัน ยามกระทันหันยังไม่ทันปล่อยมือ จิวอวงยี้ขุ่นเคืองมีโทสะแทบร่ำไห้ ตวาดด่าเสียงดัง

“คนชั่วช้าลามก ยังไม่รีบปล่อยมือ”



ลู่ซุนพอฟังเป็นซุ่มเสียงสตรี ยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม ไม่ทราบควรกล่าวคำขออภัยดีหรือไม่ พอคิดจะปล่อยมือ นางก็เตะกวาดเท้าใส่ขา มือซ้ายทิ่มทะลวงเข้าคอหอย ต้องรีบยกเท้าหลบหลีกวกมือปัดป้อง มือนางพลันลื่นเลื้อยประดุจงู พันรอบแขนลู่ซุน ถึงเบื้องหน้าก็ตบออกฉาด หนึ่ง นางยามนี้เดือดดาลถึงขีดสุดไม่ว่าวิชาใดล้วนนำมาใช้ ในฝ่ามือยมทูตยังแฝงฝ่ามืออสรพิษของคังหมิ่นเสริมเข้าไป  



ดีที่ว่าเมื่อครู่ในมือนางไม่มีเข็มอสรพิษ จึงทำได้แค่ตบหน้ามันระบายโทสะ ไม่เช่นนั้นมันคงโดนเข็มพิษจิ้มเข้าที่ใบหน้าแล้ว ฝ่ามือนางยามนี้กลับลึกล้ำพิสดารมากกว่าเดิมทั้งยังกราดเกรี้ยวรุนแรง ลู่ซุนไม่ทันคาดคิดว่านางสามารถใช้ออกได้พิสดารถึงเพียงนี้กลับโดนนางตบเข้าฉาดหนึ่งยามนี้ไม่ประมาทต้านรับรัดกุมกว่าเดิม จิวอวงยี้พอตบมันได้ฉาดหนึ่งก็ไม่สามารถทำร้ายมันได้อีก ต้องคับแค้นขุ่นข้อง พอดีเสียงม้าควบขับใกล้เข้ามา เป็นบรรดามือปราบที่ติดตามมาเบื้องหลังจำนวนมาก หากไม่หลบหนีคงต้องถูกโอบล้อมอีก จำต้องหยุดมือถอยกายออกห่าง เค้นเสียงกล่าวน้ำเสียงขุ่นเคืองทั้งยังสั่นเล็กน้อยคล้ายโกรธแค้นจนหลั่งน้ำตา

“คนชั่วช้า ระวังตัวไว้ สักวันจะตัดมือท่านทิ้ง”



ลู่ซุน เห็นนางกล่าวอาฆาตแค้น คล้ายคิดว่าตนเองเจตนาคว้าทรวงอกของนาง มีสีหน้าไม่ถูกรีบกล่าวขึ้น

“ขออภัย ข้าพเจ้าไม่ทันสังเกตุว่าท่านเป็นสตรี”

นางไหนเลยรอฟังคำแก้ตัวของมัน พลิ้วกายลงจากหลังคา วิ่งไปตามซอกถนน พอลู่ซุนจะขยับกายคิดติดตาม กลับได้ยินเสียงของนางตะโกนมา

“คนหน้าด้านยังคิดติดตามมาทำชั่วช้าอีกหรือ”

ลู่ซุนโดนนางกล่าวประณามต้องชะงักงัน ยามกระทันหันไม่ทราบควรติดตามไปดีหรือไม่ แต่ถึงคิดติดตามก็ไม่ทันแล้ว

    จิวอวงยี้พกพาอารมณ์ขุ่นเคืองกลับโรงเตี้ยม นางเข้าใจว่าลู่ซุนทราบว่านางเป็นสตรีแต่ยังเจตนา ฉกฉวยช่องว่างคว้าที่ทรวงอกของนาง นึกถึงตนเองโดนล่วงเกินหยาบอัปยศ ต้องคับแค้นจนหลั่งน้ำตา พอถึงก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ชั่วครู่พลันเงยหน้าขึ้นพรวดพราด พอเห็นข้าวของสิ่งใดก็ขัดหูขวางตา เป็นต้องปัดทิ้งทำลายจนหมดสิ้น ภายหลังล้มตัวลงยังที่นอนดึงผ้าห่มคลุมโปรง เค้นเสียงกล่าวระบายความอัดอั้นออกมา

“เต็กเอี่ยเอี้ยท่านบอกข้าพเจ้าอย่าได้ฆ่าผู้คนมากไป แต่ข้าพเจ้าไม่ฆ่ามันไม่ได้แล้ว”



    เช้าวันรุ่งขึ้นจิวอวงยี้สอบถามที่อยู่ของลู่ซุนจาก คนรับใช้ในโรงเตี้ยมทราบว่าพำนักอยู่บ้านเก่าในซอยคับแคบหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้เคยเป็นของมือปราบอู๋ ที่เสียชีวิตจากคดีบ้านตระกูลจิว จิวอวงยี้พอฟังต้องฉงนสงสัย นางยามเยาว์วัยไม่เคยได้ยินชื่อมือปราบอู๋ ไม่ทราบว่าผู้ที่มาช่วยเหลือตนในครานั้นเป็นมือปราบ เนื่องเพราะตอนนั้นอู๋เส้าเทียนแต่งชุดดำไม่ได้สวมชุดมือปราบ นางกลับเข้าใจว่าเป็นชาวยุทธ์ผู้หนึ่ง พอฟังว่ามือปราบอู๋เสียชิวิตในเหตุการณ์บ้านตระกูลจิวจึงสงสัยสอบถาม

“คดีบ้านตระกูลจิวนี้เป็นคดีอันใดหรือ แล้วมือปราบอู๋นี่มี่ความเป็นมาเช่นไรถึงจบชีวิตที่บ้านตระกูลจิว ”





“เซียวเสียวเจี๊ยะ ท่านมาจากที่อื่นคงไม่ทราบ  มือปราบอู๋มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อสิบปีก่อน นามท่าน อู๋เส้าเทียน เป็นคนซื่อสัตย์ เถรตรงทั้งยังฉลาดเฉลี่ยวอย่างยิ่ง ยามนั้นทราบข่าวบ้านตระกูลจิวถูกปองร้าย ท่านแจ้งข่าวไปยังกรมเมืองขอกำลังหนุนเสริม ส่วนตนเองรุดหน้าไปก่อน แต่คาดว่าคนร้ายคงมีหลายสิบคน ถึงประทุษท่านถึงชีวิต ส่วนบ้านตระกูลจิวถูกสังหารหมดสิ้น ท่านกลับตายอย่างหน้าอนาถหน้าประตูใหญ่ของตระกูลจิว เฮ้อ... เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าพเจ้าเองก็ยังไปร่วมงานศพของท่าน”



จิวอวงยี้มีสีหน้าสลดลง ยามนี้จึงได้ทราบว่าผู้ที่ช่วยเหลือตนในครานั้น เป็นมือปราบผู้หนึ่ง นามอู๋เส้าเทียน ในใจบังเกิดความรู้สึกสำนึกตื้นตันอย่างยิ่ง ต้องกล่าวออกมาอย่างเศร้าสลด

“เป็นที่น่าเสียดาย จริงๆ”



คนรับใช้พอเห็นนางมีท่าทีเศร้าสลดต่อมือปราบอู๋เช่นนี้ คล้ายที่ปากคันยากจะเกา ตนเองมีเรื่องเล่าแต่เกรงกลัวผู้อื่นได้ยิน สักครู่ชะเง้อมองไปนอกห้องเมื่อไม่เห็นมีผู้ใด จึงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า

“เซียวเสียวเจี๊ยะ ความจริงมือปราบอู๋อาจไม่ถึงกับจบชีวิตและบ้านตรกูลจิวคงไม่ล่มสลาย หากกรมเมืองนำกำลังมาช่วยเหลือได้ทัน แต่ที่งานศพมือปราบอู๋ข้าพเจ้าแอบได้ยินสหายสนิทของมือปราบอู๋ร่ำไห้พรรณากล่าวต่อว่านายอำเภอเฉิน ต่อหน้าหลุมศพว่า กรมเมืองดึงเรื่องยืดเยื้อเรียกรวมพลก่อนออกไปช่วยเหลือ ทั้งที่ยามนั้นมือปราบที่ประจำการอยู่ก็มีไม่น้อย กว่าจะรวบรวมพลได้ ก็สายไปเสียแล้ว”



จิวอวงยี้รู้สึกตระหนกเล็กน้อยไม่คาดคิดว่าจะได้เบาะแสของการฆ่าสังหารครอบครัวตน รีบกล่าวถาม

“เรื่องเหล่านี้เป็นจริงหรือ”



คนรับใช้ส่ายศีรษะถอนหายใจ กล่าวว่า

“เรื่องราวเหล่านี้ผู้ต่ำต้อยแอบได้ยินโดยบังเอิญ ส่วนจริงหรือไม่นั้นผู้ต่ำต้อยไม่อาจทราบได้”

จิวอวงยี้ ครุ่นคิดชั่วครู่ คาดเดาว่าผู้ที่รู้เรื่องลึกตื้นหนาบางน่าจะเป็นสหายมือปราบอู๋ผู้นั่น หากได้พบเจอคงรู้เรื่องราวไม่น้อยจึงกล่าวถาม

“แล้วสหายมือปราบอู๋ผู้นั้น อยู่ที่ใดหรือ”



“คนผู้นั่นตายแล้ว ภายหลังมือปราบอู๋เสียชีวิตจึงล่าออกจากราชการ ต่อมาไม่นานก็เสียชีวิตด้วยโรคร้าย”



จิวอวงยี้รู้สึกเสียดายไม่น้อย ในใจกลับครุ่นคิดว่าคนผู้นั้นย่อมไม่ได้เสียชีวิตจากโรคร้ายอย่างแน่นอนแต่น่าจะเป็นการฆ่าปิดปาก สอบถามความอีกครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่ได้ความเพิ่มเติมอันใด จึงล้วงง้วนปอเงินก้อนโตยื่นส่งให้กล่าวบอกหมดธุระแล้ว คนรับใช้ตาเป็นประกายรีบรับมากล่าวของคุณ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งคาดเดาว่านายอำเภอเฉิน ต้องมีส่วนเกี่ยวพันถึงการฆ่าสังหารครอบครัวของนาง ถึงกับครุ่นคิดลืมเรื่องราวของลู่ซุน จึงตกลงใจไปดูลาดเลาที่จวนนายอำเภอเฉินผู้นี้



นางเดินเตร็ดเตร่ อยู่ถนนภายนอกจวนตรวจตราสังเกตุ พบว่าจวนนายอำเภอเฉินผู้นี้ใหญ่โตเกินต่ำแหน่ง ออกจะรุ่มรวยจนเกินไป เฝ้าดูผู้คนเข้าออกอยู่ครึ่งค่อนวัน ครุ่นคิดหาวิธีปลอมแปลงปะปนเข้าไปภายในจวน แต่กลับไร้หนทาง

พลันนึกถึงเทียนอี้ขึ้นมา คนผู้นี้เพียงแสดงป้ายหยกประจำตัว มือปรายจอมวางท่านั้นก็คิดคุกเขากราบกราน คาดว่าต้องมีต่ำแหน่งในราชการสูงยิ่ง หากให้มันออกหน้าไม่แน่ว่าสามารถเข้าไปภายในจวนนายอำเภอได้ จึงกลับมายังโรงเตี้ยมเขียนจดหมายถึงเทียนอี้ ให้คนรับใช้นำไปส่ง



    เทียนอี้พอได้รับจดหมาย ทราบจากคนรับใช้ว่าเป็น เซียวเสียวเจี๊ยะส่งมา ต้องรีบฉีกออกอ่าน ต้องแย้มยิ้มเบิกบาน สร้างความสะกิดใจสงสัย แก่เอี๊ยะซินแซ ต้องกล่าวถาม

“เสียวเอี้ย เซียวเสียวเจี๊ยะ มีข้อความใดถึงท่าน”

เทียนอี้แย้มยิ้มไม่ได้หุบ ส่งจดหมายต่อให้เอี๊ยะซินแซ พร้อมกล่าวว่า

“นางนัดเราชมสวนดอกไม้ ที่สวนหลังเมือง ในวันพรุ่งนี้”

  เอี๊ยะซินแซรับมาอ่านพิจารณา เป็นข้อความเชิญชวนนัดหมายธรรมดา แต่กลับมีสีหน้ายุ่งยากครุ่นคิด ไม่ทราบสตรีนี้เล่นลวดลายใด ที่นัดหมายเสียวเอี้ยของตน จึงกล่าวว่า

“เสียวเอี้ย เซียวเสียวเจี๊ยะผู้นี้ไม่น่าไว้วางใจ ความเป็นมาก็ไม่กระจ่าง อีกทั้งดูท่าทางนางรู้จักวรยุทธ์ไม่ใช่น้อย ทางทีดีอย่าได้คลุกคลีกับนาง...”



“เอี๊ยะซินแซ ท่านอย่าได้มีอคติกับนาง ความเป็นมานางไม่กระจ่างปกปิดไว้ย่อมมีสาเหตุ เราเองก็ปกปิด ท่านเองก็ปกปิด ล้วนมีเหตุผลจำเพาะ หากคิดระแวดระวังกัน เช่นนี้ไยไม่ต้องคบหาผุ้คน นางสนใจเรื่องราวยุทธภพ การที่มีวรยุทธ์ติดตัวไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด”



เอี๊ยะซินแซ ต้องถอนหายใจยาวคราหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า

“เสียวเอี้ย.. ท่านเมื่อคิดมาท่องเที่ยวหาความสุขสำราญ ควรท่องเที่ยวอย่างชาวบ้านสามัญ ไยต้องไปเกลือกกรั่วกับเหล่าชาวยุทธ ให้เสื่อมเสีย คนพวกนี้นิยมต่อยตี เอะอะก็ฆ่าฟัน.. “

มันยังกล่าวไม่ทันจบ เทียนอี้พลันตบโต๊ะฉาดใหญ่ ผุดลุกขึ้น ยืนตัวตรงสองมือไขว้หลัง เพ่งมองด้วยประกายตาแข็งกร้าว คล้ายมีโทสะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่เปี่ยม อำนาจ

“เอี๊ยะซินแซ ท่านกำลัง ว่ากล่าวตำหนิติเตียนเรา”

เอี๊ยะซินแซ ต้องใจหายวาบ รีบก้มลงคุกเข่าหมอบกับพื้น ลนลานกล่าวขึ้น

“ข้าผู้น้อยมิบังอาจ สมควรตายอย่างยิ่งแล้ว”



เทียนอี้นิ่งงันยังไม่ได้กล่าววาจา มองดูร่างที่หมอบกราบกับพื้น ชั่วครู่แววตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ทอดถอนใจคราหนึ่ง ค่อยเข้าไปประครองมันลุกขึ้นกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล

“เอาเถอะ เอาเถอะ เราเข้าใจเจตนาของท่านที่ห่วงใยในความปลอดภัยของเรา ท่านลุกขึ้นเถอะ”

เห็นสีหน้ามันยังไม่คลายกังวล จึงแย้มยิ้มกล่าวต่อไปว่า

“เช่นนี้เถอะ เราอนุญาติท่านติดตามไป แต่ให้ติดตามโดยห่างอย่าได้รบกวนเราสนทนากัน”

เอี๊ยะซินแซจำต้องรับคำ



ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture