ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๑/๔ - เด็กน้อย
๔. เด็กน้อย
เมื่อกลับถึงที่พัก ข้าพบว่าเป็นไปตามที่ตนหวั่นเกรงจริงๆ
เอนลิลออกเดินทางไปแล้ว สัมภาระและอูฐของเขาอันตรธานไปจากบ้านร้างที่เราใช้พักร่วมกันในคืนก่อนหน้าจนสิ้น
ข้าทั้งฉงนทั้งโกรธเคืองที่จู่ๆ เขาไปโดยไม่บอกกล่าว แต่เมื่อก่อกองไฟ นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว ถึงนึกได้ว่าครั้งหลังสุดที่เราพบกันเมื่อบ่ายนี้ เขาพูดว่า “ถึงเวลาที่ข้าต้องไปเสียที” นั่นอาจเป็นคำบอกลาที่มีความหมายมากกว่าที่ข้าคิดในทีแรกก็ได้
แต่ช่วงเวลานั้นประจวบเหมาะกันเกินไปจริงๆ เขาพูดเหมือนรู้จักหญิงที่ชื่อสิมูนคนนั้น ซ้ำยังไปจากเมืองเมื่อนางบอกให้ข้าพาเขาไปพบในวันพรุ่งนี้ราวกับรู้ทันเสียอีก
แล้วพรุ่งนี้ข้าจะทำอย่างไรดี จะเดินทางไปกับพ่อค้าชาวอียิปต์เลย...หรือกลับไปหาหญิงสาวชุดขาวอีกครั้ง
นางเล่า...จะทำอย่างไรหากพบว่าข้ามาคนเดียว คงไม่ใช้มีดปาดคอข้าหมกทรายเสียหรอกนะ
สารพันคำถามประดังเข้ามาทำให้ข้ารู้สึกปวดศีรษะ นอนกระสับกระส่ายจนดึกจึงข่มตาหลับได้
กระนั้นนิมิตยังไม่เมตตา นำข้าไปพบการตามหาลูกแพะ พายุทราย และแผ่นหลังของหญิงชุดขาวผู้มีผมสีดำสะบัดพลิ้วเช่นเคย
* * * * *
ล่วงเย็นวันที่สอง ข้ายังอยู่ในเมืองแห่งสายลม หลังปฏิเสธพ่อค้าชาวอียิปต์แต่เช้าว่าจะไม่ไปกับเขา
ข้าเดินออกจากเมืองร้างริมโอเอซิสทั้งที่ยังลำบากใจ อดเหลียวกลับไปมองหมู่ไม้และแหล่งน้ำด้านหลังมิได้ แต่แล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ก่อนจะก้าวต่อ
ถึงอย่างไร...ข้าได้ให้สัญญาต่อนางแล้ว ข้าจึงต้องไป
...ไปยังที่ที่ ‘สิมูน’ ธิดาแห่งวายุรอข้าอยู่...
ผาหินตั้งตระหง่านเด่นเป็นฉากเบื้องหน้าตะวันสนธยา ร่างระหงยืนสงบนิ่งอยู่ ณ เชิงผา อาภรณ์สีขาวที่ปลิวสะบัดตัดกับสีส้มของเม็ดทราย และสีแดงของผาหินเด่นชัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ข้าพลันนึกขึ้นมาว่า...นางช่างเหมาะสมกับทะเลทรายนี้อย่างลงตัวเสียเหลือเกิน
ราวกับถูกนิรมิตมาเพื่อประดับสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะ...สร้างภาพศิลป์อันงดงามอ้างว้าง ราวประติมากรรมหินอ่อนสีขาวที่จะคงอยู่ที่เดิมชั่วนิรันดร์ ทว่าขณะเดียวกันก็ดูเลือนรางเหมือนภาพมายา ไม่จีรังราวเนินทรายในชั่วสายลมพัด
แทบทันทีที่แลไปทางร่างของนาง ข้าก็รู้สึกได้ว่าดวงตาสีทองนั้นกำลังจับจ้องข้าเช่นกัน ลางทีนางอาจเห็นข้าก่อนด้วยซ้ำกระมัง
กระนั้นสตรีในชุดขาวยังคงยืนนิ่ง รอจนข้าเข้าไปใกล้จึงเอ่ยอย่างเรียบเฉย
"ชายอีกคนเล่า"
"ข...ข้าขออภัย" ข้าตอบ "ข้าพาเขามาไม่ได้ เมื่อคืนพอกลับไปถึงที่พัก...ถึงเพิ่งรู้ว่าเขาออกเดินทางไปแล้ว"
ข้าใจเต้นรอดูปฏิกิริยาของนาง ทว่านางก็มิได้โกรธเกรี้ยวหรือแสดงอาการไม่พอใจอย่างที่ข้าเคยนึกกลัว มีเพียงการทอดสายตาลงมองพื้นทรายอย่างครุ่นคิด และคำเปรยแผ่วเบา
“...ทำไมไม่ยอมมาพบข้า”
ข้าฟังคำของนางแล้วให้สงสัย
“ท่านรู้จักเขาหรือ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองข้า นัยน์ตาของนางเป็นสีทองเหมือนนางสิงห์ แต่แววตาเห็นจะไม่ต่างจากลูกกวางตื่น พร้อมจะกระโจนหนีทันทีที่เห็นภัยสักเท่าใดนัก
“หากเขาเป็นคนที่ข้าคิด...ก็คงใช่”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” นางกลับเอ่ยเสียงแข็ง “ขอบใจที่มาบอก ข้าสิ้นธุระกับเจ้าเท่านี้”
“เดี๋ยวก่อน” โทสะของข้ากรุ่นขึ้น “ท่านเป็นใคร ท่านขู่ข้าให้ไปพาคนคนหนึ่งมาให้พบ แล้วพอข้าพาเขามาไม่ได้ ท่านก็ไล่ข้าไปเสียง่ายๆ แบบนี้ เมื่อวานท่านถูกงูพิษกัด...แต่วันนี้ก็ยังดูปลอดภัยดี ท่านเป็นอะไรกันแน่”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีทองที่พ้นผ้าคลุมหน้าจับจ้องข้า บังคับให้ข้าเป็นฝ่ายต้องก้มหน้าลงมองพื้น ราวกับนัยน์ตาของนางมีอำนาจตรงข้ามกับเมื่อคืนแรกข้าที่มาถึงเมืองแห่งสายลม แทนที่จะสะกดให้แลตะลึง กลับทำให้หวาดกลัวจนไม่กล้าจ้องมองโดยตรง
“ข้าต่างหากที่ควรถามว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่อเจ้ารู้จักนาม ‘สิมูน’” หญิงสาวเอ่ยอีกครั้ง ข้ารู้สึกเหมือนตนกลับเป็นฝ่ายถูกคาดคั้นเอาคำตอบเสียเองแล้ว “ชายคนนั้นบอกอะไรเจ้าเกี่ยวกับนามนี้บ้าง”
“เขาบอกว่าสิมูนคือ...ยาบินต์-อัลฮาวา...ธิดาแห่งวายุ แล้วก็...เด็กน้อยผู้อ้างว้างจากเมืองแห่งสายลม แต่ก็เพียงเท่านั้น”
ข้ารวบรวมความกล้า ลอบปรายตาขึ้นเห็นนางเสมองไปอีกทางหนึ่ง เรียกให้ข้าถามกลับไปบ้าง
“สิมูน...คือนามของท่านหรือ”
“...ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า”
คำตอบนั้นทำให้ข้าสะกิดใจ อดถามไม่ได้
“หรือว่า...แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่รู้” ข้ายิ่งฉงน “ว่านามของท่านคืออะไร”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าอีกแล้ว จู่ๆ ข้าก็ถูกหญิงชุดขาวลึกลับใช้มีดจ่อคอ ขู่ให้พาคนที่ข้าเพิ่งรู้จักเมื่อวานซืนมาพบ จะไม่ให้ข้าสงสัยได้อย่างไรว่าหญิงผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ยิ่งนางทำตัวเป็นปริศนา บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนมีนามว่าอะไร ท่านดึงข้าเข้ามาเอง...แล้วจะมาอ้างว่าไม่ใช่เรื่องของข้าได้เสียที่ไหน”
“ข้าน่ะหรือดึงเจ้า” นางย้อนถาม “เจ้าต่างหากที่ดึงตนเองมายุ่งเกี่ยวเรื่องของข้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้...เจ้าพยายามจุ้นจ้านเรื่องของข้า ตั้งแต่เห็นข้าที่โอเอซิสนั่นแล้ว”
ข้าชะงักไปครู่หนึ่ง
“แสดงว่าท่านจำข้าได้”
“ข้าไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะจำ แต่ยิ่งเจ้ารบกวนข้ามากเท่าไร ข้าก็ยิ่งเมินเฉยไม่ได้มากเท่านั้น” สตรีชุดขาวพูดอย่างเฉยชา “ไปจากที่นี่เสีย คนต่างถิ่น หากต้องการเชยชมหญิงงามสักคน ก็จงไปแสวงหาที่อื่น เพราะข้าไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าคิด”
“ข้าสาบานได้ว่าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าไม่เคยเห็นกระทั่งใบหน้าของท่าน ไยจะไปทึกทักว่าท่านเป็นหญิงงามน่าเชยชม ยอมเสี่ยงมาหาท่านครั้งนี้ด้วยมือเปล่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจถูกท่านสังหารได้”
ข้าพูดความจริง กระนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเต็มตา ข้ากลับเห็นว่าดวงตาของนางกลมโตคมปลาบ ที่เคยแข็งกร้าวระแวงภัยกลับไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ขนตายาวงอน โครงของสันจมูกได้รูปยังปรากฏชัดใต้ผ้าขาวเนื้อบาง และกรอบร่างระหงยามสายลมพัดผ้าคลุมแนบกาย ชวนให้นึกว่าลางทีนางจะเป็นหญิงงามอย่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ ยังผลให้ผิวหน้าของข้าร้อนผ่าวขึ้น
“แล้วไยเจ้าจึงมา ในเมื่อนำเขามาพบข้าไม่ได้” เสียงของนางดึงข้าจากห้วงความคิดน่าละอาย ดวงตาสีทองที่สบกับข้าฉายเพียงแววเรียบเฉย น้ำเสียงที่เอ่ยช้าๆ นั้นราบเรียบ
ข้าอ้ำอึ้ง นึกอยู่ในใจว่าจะตอบคำถามข้อนี้อย่างไรดี
“เพื่อรักษาสัญญาอย่างนั้นหรือ” นางย้อนถาม “หรือเพราะกลัวคำสาปแช่งของข้า หากรู้ว่าข้าเพียงแต่พูดส่งๆ ไปตามที่คิดขึ้นมาในครู่นั้น ก็คงวางใจ เลิกรบกวนข้าแล้วไปได้เสียทีสินะ”
“ข้าน่าจะกลัวกริชในมือท่าน มากกว่าคำสาปแช่งที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงได้หรือไม่เสียอีก” ข้าพยายามโต้กลับ ให้นางรู้ว่าเหตุผลเดียวที่ข้ามาพบนางครั้งนี้ใช่มีเพียงความกลัว “นอกเสียจากท่านมีอำนาจสร้างพายุทรายขึ้นมาได้”
หญิงสาวกลับหัวเราะเบาๆ ให้ข้าประหลาดใจ
“หากทำได้ก็คงดี จะได้พัดตัวน่ารำคาญตรงหน้าไปเสียให้พ้น”
ข้ารู้สึกเหมือนถูกตอกหน้าว่าตนไม่เป็นที่ต้องการอย่างที่สุด
“เช่นนั้นข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่รบกวนท่านอีกแล้ว” ข้ารีบพูดโดยเร็วด้วยโทสะ ก่อนจะกลับหลังหันหมายเดินจากไป
แต่แล้วบางสิ่งในใจลึกๆ กลับรั้งข้าไว้ ห้ามว่าอย่าได้เดินไปจากสตรีชุดขาวที่ข้าได้พบแต่บัดนี้
...เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ข้าจะได้เห็นนาง...เพราะนางอาจเป็นผู้ที่ไขความฝันของข้าได้...
...เพราะนัยน์ตาของนางฉายความอ้างว้างขัดกับวาจา...ปากบอกข้าเป็นตัวน่ารำคาญ...แต่ดวงตาของนางมองข้าอย่างฉงนและสนใจใคร่รู้อย่างประหลาด...
“...นอกเสียจาก...ท่านเห็นว่ามีเรื่องที่ข้าช่วยท่านได้มากกว่านี้” ข้าเอ่ยในที่สุด
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม เสียงเจือความขบขัน...ฟังคล้ายเยาะหยัน
“มีเรื่องอันใดที่เจ้าช่วยข้าได้”
“ก็เอนลิลอย่างไรเล่า” ข้าเสี่ยงยกเรื่องนักเดินทางจากนิปปูร์ขึ้นมาด้วยความคิดชั่วแวบ “ท่านอยากพบเขาไม่ใช่หรือ ถ้าท่านกำลังตามหาคนที่ท่านคิดว่าเป็นเอนลิล ข้าอาจช่วยท่านได้”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกครู่ แล้วจึงปฏิเสธ
“ข้าไม่ได้ตามหาใครทั้งสิ้น”
“แล้วบอกให้ข้าพาเขามาทำไม...ถ้าไม่อยากพบเขา” ข้าดีใจที่เริ่มฟื้นการสนทนาได้ “แถมท่านยังพูดว่าเขารู้ตัวทันจึงได้หลบหน้าท่านอีก”
“เช่นนั้น เจ้าบอกอะไรเกี่ยวกับเอนลิลให้ข้าได้บ้าง” นางเริ่มถามเหมือนท้าทาย
“ข้าทราบว่าเขามาจากนิปปูร์ เขาสูงประมาณนี้” ข้าชูมือขึ้นเลยศีรษะของตนเล็กน้อย “ผิวคล้ำเป็นสีทองแดง ผมตรงสีดำยาวประมาณต้นคอ ไว้เคราสั้น ท่าทางมีการศึกษา และชอบพูดเป็นปริศนา”
“ชอบพูดเป็นปริศนา...” หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ “แสดงว่าที่จริงเจ้าก็ไม่ได้รู้จักเขาถ่องแท้นัก”
ข้ารู้สึกเหมือนนางกำลังบอกทางอ้อมว่า ‘ไม่ได้รู้จักจริงๆ ก็จงอย่าอวดรู้’ จึงถามกลับ
“ก็ข้าเพิ่งพบเขาได้สองวันเท่านั้นเอง ว่าแต่เขาใช่คนที่ท่านรู้จักหรือเปล่า”
“อาจจะใช่ และอาจจะไม่”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ชาวทะเลทรายส่วนมากก็ผิวคล้ำผมดำ และนิยมไว้เคราอยู่แล้ว คำบอกเล่าแค่นี้ช่วยอะไรได้”
“แต่ชาวทะเลทรายส่วนมากไม่ได้ดูเหมือนนักปราชญ์อย่างเขา” ข้าแย้ง “ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ข้าก็รู้สึกได้แล้วว่าเขาไม่ใช่นักเดินทางธรรมดาๆ”
“เจ้าเองก็เห็นจะไม่ใช่นักเดินทางธรรมดาๆ เช่นกัน” นางปรายตามองข้าแวบหนึ่ง...ราวกับกวาดเก็บรายละเอียดโดยเร็ว “เจ้าไม่ใช่ชาวทะเลทราย ซ้ำยังกล้าต่อล้อต่อเถียงกับข้า ทั้งๆ ที่นักเดินทางอื่นๆ เดินทางมาและจากลาไปโดยไม่ใส่ใจข้าเลย”
“หากท่านเป็นธิดาแห่งวายุจริงๆ ข้าก็พอเข้าใจ” ข้าครุ่นคิดตามแล้วลองเอ่ย “...ว่ามนุษย์กลัวเกรงการทำให้เทพที่ตนศรัทธาไม่พอใจ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นเทพหรือ” หญิงสาวกลับย้อนถามด้วยเสียงสงสัย พลอยทำให้ข้างุนงงไปด้วย
“หรือท่านไม่ใช่เทพ”
“ชายที่เจ้าเรียกว่าเอนลิลคงตอบข้าได้ เพราะข้าไม่ทราบเช่นกัน” นางตอบอย่างลังเล เสียงแผ่วเบาไม่มั่นใจ
ข้ายิ่งพิศวงและประหลาดใจ
“ท่านไม่ทราบว่าตนเองเป็นใคร...จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“นึกแล้วว่าเจ้าต้องเห็นเป็นเรื่องตลก” นางเอ่ยพลางยักไหล่ ทว่าเสียงขื่นเจือถอนใจ “ข้าอาจเป็นเพียงหญิงบ้าไร้ที่มา ทำตัวประหลาด พูดจาเลื่อนลอย เมื่อคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ชักกริชแทงเจ้าตายเสียเมื่อไรก็ได้”
ข้าเริ่มแค่นยิ้ม
“ถ้าท่านคิดว่าพูดเท่านี้จะทำให้ข้าเลิกยุ่งกับท่านได้...ท่านคิดผิด” ไม่มีเสียงตอบ ข้าจึงตัดสินใจพูดต่อ “ข้าเชื่อว่าท่านไม่ใช่คนบ้า...เพราะพูดจารู้เรื่องดี การแต่งกายของท่านดีกว่าคนร่อนเร่ ซ้ำท่านยังรู้ภาษาของนักเดินทางจากแดนไกลอย่างข้าเสียอีก ข้าคิดว่าหากท่านไม่ใช่เทพก็คงเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ที่นี่ พ่อค้าชาวอียิปต์ที่ข้าไปถามไม่รู้จักยาบินต์-อัลฮาวา มากไปกว่าภาษาของพวกบัดวี เขาไม่รู้จักสิมูนมากไปกว่าชื่อพายุทราย ซ้ำบอกว่าเขาไม่เคยเห็นสตรีชุดขาวที่นี่เหมือนข้า ทั้งๆ ที่พักอยู่นานกว่าข้า และตั้งกระโจมพักแรมใกล้พวกบัดวีมากกว่าด้วยซ้ำ
“แต่เมื่อคืนวาน ข้าสัมผัสท่านได้ และผิวของท่านก็มีไออุ่น ไม่ต่างจากมนุษย์เลยสักนิด”
นางหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง
“เจ้ากำลังจะบอกว่า...เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงชาวบัดวี ยามปกติก็แต่งกายเหมือนพวกนาง ปะปนอยู่กับพวกนาง แต่สองสามวันนี้หาโอกาสลักลอบเปลี่ยนเป็นชุดขาว หลอกนักเดินทางที่เพิ่งมาถึงไม่นานเล่นๆ เพื่อความสนุกสนานหรือ”
“ข้ามีสิทธิ์จะคิดอย่างนั้นมิใช่หรือ”
“ใช่” นางตอบง่ายดาย “ข้ามีอำนาจบังคับเจ้าให้เปลี่ยนความคิดได้เสียที่ไหน”
“เช่นนั้น ท่านก็ไม่มีอำนาจไล่ข้าไปด้วย”
นางยังคงสบตากับข้า ทว่ามือเคลื่อนไปแถวสะเอวใต้ผ้าคลุมราวกับแตะบางสิ่งเตรียมไว้
“แต่อย่าลืม ว่าข้ามีอาวุธ แม้นไม่มีอำนาจ”
“เช่นนั้น วันหลังข้าจะพกดาบของตนมาด้วย ลองดูว่าหากเราประลองกัน ใครจะชนะ” ข้าลอบยิ้มที่มุมปากอย่างรื่นเริง บทสนทนาพาข้ามาไกลกว่าที่หวังไว้
“วันหลัง นี่เจ้าคิดจะมาอีกหรือ” หญิงสาวถาม น้ำเสียงของนางกลับขุ่นมัวขึ้นอีก
“ใช่ ทว่าข้าไม่ได้ต้องการประลอง เพียงแต่เพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่เคยบอกท่าน เกี่ยวกับเอนลิล” ข้ารีบพูด
“เรื่องอันใดอีก บอกเสียแต่ตอนนี้ก็ได้”
“ข้าเกรงว่า...หากให้เล่าเต็มๆ ก็เห็นจะเสียเวลามากกว่าคืนเดียว เขาเล่าให้ข้าฟังถึงค่อนคืนยังได้ราวครึ่งเรื่องเท่านั้น”
“เรื่องอันใดใช้เวลามากเพียงนั้น” รอยคิ้วเรียวใต้ชายผ้าเหมือนขมวดเข้าหากัน ให้ข้ายินดีที่ดึงความสนใจของนางได้
“เขาเล่ามหากาพย์กิลกาเมชให้ข้าฟัง ไม่ทราบท่านรู้จักเรื่องนี้หรือไม่”
หญิงสาวสั่นศีรษะแล้วกลับถาม
“มหากาพย์คือสิ่งใด”
ข้าประหลาดใจมากที่นางไม่รู้จักคำนี้ แต่ก็เห็นเป็นโอกาสดี
“มหากาพย์เป็นเรื่องเล่า เหมือนตำนานหรือนิทานนั่นเอง”
“แล้วตำนานหรือนิทานเล่า”
“ก็...เป็นเรื่องเล่าเหมือนกัน เรื่องเล่าจากดินแดนที่ห่างไกล ในสมัยเก่าก่อน เป็นเรื่องที่ฟังแล้วเพลิดเพลิน...อย่างน้อยก็สำหรับข้า ท่านไม่เคยฟังเลยหรือ” ข้ายังไม่คลายความสงสัย แต่ก็ยินดีมากเช่นกันเมื่อนางสั่นศีรษะ “ข้าเล่าให้ท่านฟังได้ หากท่านอยากฟัง แต่คืนนี้คงเป็นมหากาพย์กิลกาเมชไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นยาวมาก ข้าจะเล่าเรื่องของ...”
ข้าเหลือบมองฟ้าซึ่งมืดแล้ว บังเอิญเห็นกลุ่มดาวหนึ่งซึ่งชวนให้นึกถึงตำนานเล่าขาน
“...เจ้าหญิงอันโดรเมเดกับเพอร์เซอุส ท่านรู้จักไหม”
นางสั่นศีรษะ ข้าจึงชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“เห็นดาวตรงนั้นไหม ลากเส้นไปยังดาวตรงนี้...แล้วก็ตรงนี้ เจ้าหญิงอันโดรเมเดอยู่ที่นั่น นางถูกล่ามโซ่อยู่”
“ดาวเป็นคนไปได้อย่างไร” หญิงสาวตั้งคำถาม นิ่งนึกไปชั่วอึดใจก็ถามรวดเสียอีกสองข้อ “เพอร์เซอุสกับเจ้าหญิงอันโดรเมเดเป็นใคร ทำไมนางจึงถูกล่ามโซ่”
“เพอร์เซอุสเป็นวีรบุรุษ มหาเทพเซอุสของชาวเอลิเนสจึงได้ให้เขากับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขาได้กลายเป็นกลุ่มดาวบนฟ้า เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ทราบวีรกรรมของเขา ส่วนเรื่องที่ว่าเขากับอันโดรเมเดเป็นใคร ทำไมนางจึงถูกล่ามโซ่ ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ฟังไม่ช้านี้ หากยังสงสัยสิ่งใดหลังเรื่องจบ ท่านค่อยถามข้าตอนนั้นก็ได้”
นางเงียบไป นัยน์ตาสีทองจับจ้องข้าอย่างตั้งใจเหมือนเด็กเล็กๆ ข้าเปลี่ยนไปชี้ดาวกลุ่มอื่นๆ ในไม่ช้า
“เพอร์เซอุสอยู่ตรงนั้น มือหนึ่งถือดาบ อีกมือถืออาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง ท่านคอยสังเกตดาวดวงนั้นดีๆ มันเปลี่ยนแสงได้ บางคืนมันจะริบหรี่ และบางคืนจะสว่างไสว นั่นคือดวงตาของนางอสูรเมโดซา นางมีผมเป็นงูทั่วทั้งศีรษะ ส่วนดวงตามีฤทธิ์เปลี่ยนสิ่งที่จ้องมองนางให้กลายเป็นรูปปั้นหิน
“เหยื่อรายหนึ่งของนางอยู่ที่นั่น มันคือเคโทส...อสูรทะเล เพียงสบตากับหัวของเมโดซาในมือเพอร์เซอุส...เจ้าอสูรก็กลายเป็นหินผาริมชายฝั่งไปเพอร์เซอุส จึงไม่อาจกินอันโดรเมเดซึ่งถูกส่งมาล่ามโซ่ริมผาเป็นเครื่องสังเวยของมัน
“ส่วนเหตุที่ว่าทำไมอันโดรเมเดจึงเป็นเครื่องสังเวย ก็เพราะหญิงที่นั่งเก้าอี้ตรงนั้น” ข้าลากเส้นตามกลุ่มดาวเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนเส้นสลับฟันปลา “นางคือคาสสิโอเป...ราชินีแห่งเอธิโอเปียและพระมารดาของอันโดรเมเด นางพูดจาโอ้อวดว่าธิดาของนางงดงามกว่าเหล่าธิดาแห่งเทพสมุทร พระองค์จึงพิโรธ ส่งอสูรทะเลมาอาละวาดไล่กินชาวเมือง และยื่นคำขาดให้นำตัวอันโดรเมเดมาสังเวย”
“ทั้งๆ ที่อันโดรเมเดไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะหรือ” ผู้ฟังของข้าแทรกขึ้น
“แต่เทพสมุทรเห็นนางเป็นต้นเหตุ”
“แต่...เพอร์เซอุสก็ช่วยนางไว้ได้ใช่ไหม”
“ใช่ เขาสวมรองเท้ามีปีก นำศีรษะของเมโดซาบินผ่านมาระหว่างทาง ด้วยความสงสัยที่พบหญิงงามถูกล่ามโซ่ไว้กับผาจึงได้เข้าไปถามไถ่ เขาตกหลุมรักนางแต่แรกเห็น จึงได้ช่วยนางไว้ และสุดท้ายก็ได้สมรสกับนาง”
“แล้วเพอร์เซอุสเป็นใคร ทำไมถึงมีรองเท้ามีปีก และศีรษะของอสูรที่น่ากลัวเมโดซา” นางตั้งคำถามอีกครั้ง ทว่าข้าเพลิดเพลินกับการเล่าเรื่องในแบบที่เป็นไป...ไม่เรียงตามลำดับเวลา...เกินกว่าจะรู้สึกว่านางกำลังขัดจังหวะ
“เพอร์เซอุสเป็นโอรสของมหาเทพเซอุส กับเจ้าหญิงชาวมนุษย์ นางชื่อดานาเอ เป็นธิดาของกษัตริย์อะคริซิโอสแห่งอาร์โกส มหานครใหญ่แห่งหนึ่งในเอลลัสแผ่นดินเกิดของข้า
“ตั้งแต่ดานาเอยังเล็ก กษัตริย์อะคริซิโอสได้รับคำเทพพยากรณ์ว่าเขาจะถูกสังหารด้วยฝีมือของหลานตน กล่าวคือโอรสที่เกิดจากดานาเอนั่นเอง พระองค์จึงบัญชาให้สร้างวังใต้ดินทำด้วยสำริด มีเพียงช่องรับแสงแดดและระบายอากาศตามสมควร แล้วขังดานาเอไว้ในวังนั้น ไม่ให้พบปะกับชายใด หรือแม้แต่หญิงใดนอกจากแม่นม นางพี่เลี้ยง และหญิงรับใช้
“ทว่าขณะนั้น มหาเทพเซอุสต้องการวางต้นตระกูลของวีรบุรุษที่จะช่วยคณะเทพต่อกรอสูรที่พระแม่ธรณีกำลังจะสร้างขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ จึงแปลงร่างเป็นหยาดฝนทองคำ ไหลลงจากช่องระบายอากาศมาพบกับดานาเอ
“ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์และประสูติโอรส เมื่ออะคริซิโอสทราบก็พิโรธมาก ทว่าเขาไม่กล้าสังหารธิดาของตนและบุตรของนางด้วยมือตนเอง จึงมีบัญชาให้นำนางกับโอรสน้อยใส่หีบปิดตาย ปล่อยลอยไปในทะเลคลุ้มคลั่ง...”
“ทะเล...คืออะไร” หญิงสาวกลับถามอย่างสงสัย “เหมือนทะเลทรายไหม”
“ท่านไม่รู้จักทะเลหรือ”
“หากรู้จักไยต้องถาม” นางเสมองไปอีกทางเหมือนค้อน ทำให้ข้าต้องกลั้นยิ้ม หากไม่เข้าข้างตนเองเกินไป...เสียงนั้นฟังกระเง้ากระงอดเหมือนเด็ก
“ไม่แปลกดอก หากท่านอาศัยในทะเลทรายมาตลอด” ข้าอธิบาย “ทะเลเป็นแหล่งน้ำ เหมือนโอเอซิส แต่กว้างใหญ่พอๆ...ไม่สิ...อาจจะมากกว่าทะเลทรายอีก ลองนึกว่าทะเลทรายรอบตัวเรากลายเป็นห้วงน้ำลึกสุดหยั่ง มีน้ำพัดเป็นคลื่นสูงเหมือนเนินทรายพวกนี้ตลอดเวลาก็ได้”
นางพยักหน้าแม้แววตาจะดูสงสัยอยู่บ้าง ข้าจึงเล่าต่อ
“ดานาเอกับลูกต้องเผชิญคลื่นลมแรงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าเซอุสได้ให้เทพแห่งลมอภิบาลจนหีบนั่นขึ้นฝั่ง อย่างปลอดภัย และมีชาวประมงผู้เมตตานำทั้งสองไปดูแล
“เคราะห์ร้ายที่เจ้าผู้ครองเกาะพบนางในไม่ช้า และหลงใหลความงามของนาง ทว่านางพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมสมรสด้วยตลอดมา จนกระทั่งเพอร์เซอุสเติบโตขึ้น เจ้าเกาะจึงได้ออกอุบายจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตนอย่างใหญ่โต มีแขกเหรื่อนำของขวัญล้ำค่ามาให้มากมาย เพอร์เซอุสเองได้รับเชิญไปงาน แต่เขาไม่สามารถนำของมีค่ามากำนัลให้แก่เจ้าเกาะได้เลย
“เด็กหนุ่มอับอายสุดกลั้นที่ถูกเจ้าผู้ครองเกาะกับแขกเหรื่อทั้งหลายหัวเราะเยาะ จึงลั่นวาจาว่าจะนำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าเกาะต้องการมาให้ เจ้าเกาะสบโอกาสจำกัดเขา จึงบอกว่า ‘เช่นนั้นจงนำศีรษะของนางอสูรเมโดซามาให้ข้า’ เขามิได้ต้องการศีรษะของนางอสูรจริงๆ เพียงแต่คิดว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางเอาชนะเมโดซาผู้ร้ายกาจได้ และจะเอาชีวิตไปทิ้งเสีย ทิ้งมารดาของตนให้เจ้าเกาะบังคับครอบครองได้โดยง่าย
“ด้านเพอร์เซอุสมุ่งมั่นนักแต่ไร้กำลัง กระนั้นยังออกเดินทางตามหาเมโดซาโดยไม่ย่อหย่อน และได้รับความช่วยเหลือจากอาเธนา เทพกัญญาแห่งปัญญา กับเออร์เมส เทพผู้ส่งสาร อาเธนามอบดาบอันคมกริบ และโล่ที่เป็นมันวาวเหมือนกระจกให้แก่เขา ขณะที่เออร์เมสมอบหมวกล่องหน และรองเท้ามีปีกให้
“เพอร์เซอุสเดินทางไปยังที่อยู่ของเมโดซา สถานที่นั้นเต็มไปด้วยรูปปั้นหินนับร้อยๆ...ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่อาจหาญต่อกรนาง เขาลัดเลาะหลบซ่อนหลังรูปปั้นเหล่านั้นไปจนถึงตัวอสูร โดยอาศัยเงาสะท้อนจากโล่บ่งบอกว่านางอยู่ที่ใด เพราะทุกสิ่งที่มองนางจะต้องกลายเป็นหิน...แต่ทุกสิ่งที่มองเงาสะท้อนของนางยังปลอดภัย ด้วยโล่กระจก เขาจึงเข้าประชิดเมโดซาที่กำลังเผลอไผล และตัดศีรษะของนางขาดจากร่าง
“จากนั้น เพอร์เซอุสก็รีบฉวยหัวของนางเก็บใส่ถุง แล้วอาศัยรองเท้ามีปีกรีบหนีจากนางอสูรผู้พี่ของเมโดซาอีกสองตนซึ่งเป็นอมตะ
“ในระหว่างทางกลับสู่เกาะนี่เองที่เขาพบอันโดรเมเด ได้ช่วยนางไว้ และสุดท้ายก็สมรสกับนาง”
“แล้วเขากลับไปที่เกาะหรือเปล่า เจ้าครองเกาะทำอะไรหลังจากนั้น” ผู้ฟังของข้าเริ่มเร่งเร้า
“เพอร์เซอุสเจ้าเกาะเผยธาตุแท้ ดานาเอถูกบังคับให้แต่งงานกับเขา แต่ก่อนนั้นนางหนีไปซ่อนตัวในวิหารแห่งหนึ่งได้เสียก่อนพร้อมกับชาวประมงผู้ช่วยเหลือทั้งสอง ครั้นเพอร์เซอุสกลับมาทราบความ เขาก็ตรงไปที่วังพร้อมกับถุงใส่ศีรษะของเมโดซา และชูมันขึ้นต่อหน้าเจ้าเกาะกับข้าราชบริพารที่หัวเราะเยาะหยันตน
“ท่านคงทราบ ชั่วพริบตาทุกคนกลับกลายเป็นรูปปั้นหินที่มีปากอ้าค้างจนสิ้น จากนั้นเพอร์เซอุสก็ยกบัลลังก์ของเจ้าเกาะให้แก่ชาวประมงผู้อารี แล้วพาอันโดรเมเดกับดานาเอกลับไปยังอาร์โกส อาณาจักรของตา ด้วยหวังจะคืนดีกับตาที่ตนไม่เคยพบหน้า
“แต่เมื่อไปถึงอาร์โกส พวกเขาก็พบว่ามีการเปลี่ยนกษัตริย์โดยไม่คาดฝัน อะคริซิโอสกระทำสิ่งที่ชั่วช้าจนชาวเมืองไม่อาจยอมรับและเนรเทศเขาไป”
“แล้วคำเทพพยากรณ์ล่ะ” นางถามขึ้น “เป็นจริงหรือเปล่า”
“เสียใจที่ต้องบอกว่า...เป็นความจริง” ข้าเล่าต่อ “หลังจากนั้น เพอร์เซอุสเข้าร่วมการแข่งกรีฑาที่อีกอาณาจักรหนึ่ง จักรที่เขาขว้างแฉลบไปทางอัฒจันทร์ซึ่งมีผู้ชมนั่งอยู่เต็ม และประเหมาะไปถูกชายชราคนหนึ่งตายคาที่”
“นั่นคืออะคริซิโอสหรือ”
“ใช่”
“แล้วเพอร์เซอุสรู้ไหม”
“ตำนานไม่ได้บอก แต่ข้าคิดว่าเขาไม่รู้” ข้าลงความเห็น “ข้าคิดว่าเขาไม่ผิด ก็เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคน ไม่ทราบด้วยว่านั่นเป็นตาของตน ลางที...จุดจบของอะคริซิโอสอาจเป็นโทษทัณฑ์ที่เขาคิดฆ่าธิดากับหลานก็ได้ เพอร์เซอุสไม่ได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ เขาใช้ชีวิตหลังจากนั้นอย่างสงบสุขกับอันโดรเมเด เป็นต้นตระกูลของวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดน เอราเคลสคือนามของเขา ไม่ทราบท่านรู้จักนามนี้หรือไม่”
นางสั่นศีรษะ เป็นอันว่าข้าสบโอกาสอีกครั้ง
“ชีวิตของเขาเองมีเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย สนุกสนานไม่แพ้วีรกรรมของเพอร์เซอุส แต่ก็โศกเศร้าผกผันยิ่งกว่า หากท่านอยากทราบ พรุ่งนี้ข้าจะมาเล่าให้ฟังอีก”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คงกำลังชั่งใจว่าควรให้ข้ามาอีกครั้งหรือไม่ ด้านข้าก็พร่ำภาวนา...หวังว่านางจะอนุญาตให้ข้ามาพบอีกครั้ง
“ลองเล่ามาก็ได้ ข้าเองก็...มีเวลามากมายอยู่แล้ว”
หัวใจข้าแทบพองออกมานอกอก จนต้องระงับอาการยินดีไว้
“ท่านจะให้ข้ามาพบที่ใด และเมื่อไร”
“เวลาเดียวกับวันนี้ ณ ที่นี่ก็ได้”
“ตกลง” ข้ารับปาก “พรุ่งนี้ข้าจะรีบมา”
ร่างในชุดขาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไปเช่นในวันวาน
ข้าเองก็กลับหลังหันไปอีกทางหนึ่ง สู่เมืองแห่งสายลม ความคิดแวบขึ้นมาว่านางดูเหมือนจะเป็นเด็กน้อยอย่างที่เอนลิลบอกไว้จริงๆ เสียด้วย เด็กน้อยที่ชอบตำนานและนิทาน...เหมือนกับเด็กที่ข้าเคยเป็นในวัยเยาว์
และเย็นพรุ่งนี้...ข้าจะกลับมาหาเด็กน้อยของเมืองแห่งสายลมอีกครั้ง
* * * * *
ตอนที่ 4 พ่อม่อนพระเอกของเราเข้าสู่โหมดนักเล่านิทานแล้ว
ตำนานของเพอร์เซอุสกับอันโดรเมเด หรือ อันโดรเมดา เป็นตำนานกรีกเรื่องแรกๆ เลยที่ผมได้อ่านตอนเด็ก ในหนังสือเกี่ยวกับการดูดาวที่เป็นชุดการ์ตูนญี่ปุ่นของซีเอ็ด นอกจากนั้นจำได้ว่ามีเรื่องของแม่หมีคัลลิสโตกับลูกหมีอาร์คัส กับเรื่องของออร์ฟีอัสกับยูริดิซด้วย เป็นจุดเริ่มให้สนใจทั้งการดูดาวและตำนานกรีกขึ้นมาพร้อมกันนับแต่นั้น ส่วนตัวคิดว่าเพอร์เซอัสเป็นวีรบุรุษนิสัยดี ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ไม่ชอบอย่างเจสัน (ทิ้งภรรยาไปแต่งใหม่) หรือธีเซียส (ทิ้งผู้หญิงที่ช่วยตัวเองและพยายามเลี้ยงต้อย) แฮะ
ชื่อตัวละครในภาษาอังกฤษครับ
เพอร์เซอุส - Perseus
อันโดรเมเด - Andromeda (กรีกเขียน Andromede)
เมโดซา - Medusa (กรีกเขียน Medousa)
เคโทส - Cetus (กรีกเขียน Ketos)
คาสสิโอเป - Cassiopeia (กรีกเขียน Cassiope)
เซอุส - Zeus
ดานาเอ - Danae
อะคริซิโอส - Acrisius (กรีกเขียน Akrisios)
อาร์โกส - Argos
เอลลัส - Hellas
เออร์เมส - Hermes
อาเธนา - Athena
เอราเคลส - Heracles
ตอนนี้รายชื่อเยอะสักหน่อยเพราะเล่าเป็นตำนานม้วนเดียวจบ แต่โดยทั่วไปจะไม่มีชื่อมากขนาดนี้ครับ
ข้อมูลประกอบตอนที่ 4
- ดาวตาเมดูซาชื่อว่า อัลกอล (Algol) หริอ เบต้า เพอร์เซอี (Beta Persei) มีความสว่างเปลี่ยนทุกราวๆ 2 คืน เพราะเป็นดาวในระบบดาวคู่อุปราคา (eclipsing binary stars - ขอบคุณคุณนอนดูดาวสำหรับชื่อภาษาไทย) คือมีดาว 2 ดวงโคจรรอบกันและกัน (ของอัลกอลมี 3 ดวง แยกเป็น A, B, C แสงจะริบหรี่ลงเมื่อดาว A ซึ่งเป็นดาวหลักและมีแสงสว่างกว่าถูกเงาคราสของดาว B ที่สลัวกว่าบัง)
ข้อมูล: http://en.wikipedia.org/wiki/Algol
- ตำนานเรื่องเพอร์เซอัส เป็นตำนานที่ดังมากตำนานหนึ่ง หากอยากอ่านเต็มๆ ว่าเมดูซาเกิดมาจากไหน และรายละเอียดว่าก่อนเจอเมดูซา เพอร์เซอัสต้องไปถามทาง (กึ่งขู่) จากใครที่ไหนบ้าง ก็สามารถหาอ่านได้จากหนังสือตำนานกรีก (ที่มีมากในบ้านเรา) และเว็บไซต์ภาษาอังกฤษหลายแห่งครับ แล้วเรื่องนี้ยังเคยสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อ Clash of the Titan พล็อตไม่เหมือนตำนานหลายจุด แต่ในด้านเทคนิคของภาพยนตร์สมัยก่อนมี CG ที่ต้องใช้การถ่ายทีละเฟรมเพื่อสร้างการเคลื่อนไหวของโมเดลสัตว์ประหลาดแต่ละตัว นับว่าน่าหามาชมภาพจริงๆ
ข้อมูล: http://en.wikipedia.org/wiki/Clash_of_the_Titans
- ในตำนานสมัยหลังจะบอกว่าเพอร์เซอัสขี่ม้าเปกาซัส (Pegasus) ซึ่งเกิดจากเลือดของเมดูซา ในตำนานโบราณนั้นเปกาซัสเกิดขึ้นจากเลือดเมดูซาจริง ก็ไม่ได้เป็นพาหนะของเพอร์เซอัส เพราะมันบินลิ่วไปเข้าคอกม้าของซูสเลย แล้วก็กลายเป็นม้าส่งสายฟ้าให้ซูสไป ส่วนวีรบุรุษที่ได้ขี่ม้าเปกาซัสตามตำนานเดิมคือเบลเลโรฟอน (Bellerophon) ที่จับเปกาซัสได้แล้วขี่มันไปปราบอสูรคิเมรา (Kimera) แต่แล้วก็กำเริบเสิบสานคิดจะขี่มันขึ้นไปยังสวรรค์โอลิมปัส เลยโดนม้าสลัดตกไปติดเกาะแห่งหนึ่งจนตาย เอ๊ย! ขาเดี้ยงจนวันตาย ฝ่ายเปกาซัสก็กลับเข้าคอกของซูสตามระเบียบ
การตั้งชื่อกลุ่มดาวที่อยู่ใกล้อันโดรเมดา และมีบางส่วนคาบเกี่ยวกันว่าเป็นเพกาซัสที่ยืนเหนือร่างนางนั้นมีขึ้นในสมัยหลัง กลุ่มดาวเดิมที่กลายมาเป็นเปกาซัสมีชื่อว่ากลุ่มดาวม้าเฉยๆ หรือบางคนก็เรียกว่า นางม้าดำ
ตอนหน้าจะเปลี่ยนเป็นมุมมองของนางเอกสุดโหดที่ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กนั่งฟังนิทานตาแป๋วบ้าง แล้วพบกันใหม่ครับ :)
ปล. เมื่อคราวที่แล้วเขียนถึงมหากาพย์กิลกาเมชไว้แบบจุ่มๆ ตอนนี้ไปค้นเจอที่พี่เคียว/ลวิตร์/พัณณิดา ภูมิวัฒน์ แปลและแปลงมาเล่าแบบนิทานในพันทิพถึงตอนที่ 4 ครับ อ่านสนุกดี ขออนุญาตลงลิงค์ให้ผู้ที่สนใจครับ
กิลกาเมช (ฉบับแปลงโดยพี่เคียว/ลวิตร์/พัณณิดา ภูมิวัฒน์)
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ปล. 2 (สืบเนื่องจากปล.แรก) เอนคิดูน่ารักมาก >_< ชอบเวลาพี่เคียวเขียนตัวละครซื่อๆ ใสๆ จิตใจดีที่สุดเลย
เมื่อกลับถึงที่พัก ข้าพบว่าเป็นไปตามที่ตนหวั่นเกรงจริงๆ
เอนลิลออกเดินทางไปแล้ว สัมภาระและอูฐของเขาอันตรธานไปจากบ้านร้างที่เราใช้พักร่วมกันในคืนก่อนหน้าจนสิ้น
ข้าทั้งฉงนทั้งโกรธเคืองที่จู่ๆ เขาไปโดยไม่บอกกล่าว แต่เมื่อก่อกองไฟ นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว ถึงนึกได้ว่าครั้งหลังสุดที่เราพบกันเมื่อบ่ายนี้ เขาพูดว่า “ถึงเวลาที่ข้าต้องไปเสียที” นั่นอาจเป็นคำบอกลาที่มีความหมายมากกว่าที่ข้าคิดในทีแรกก็ได้
แต่ช่วงเวลานั้นประจวบเหมาะกันเกินไปจริงๆ เขาพูดเหมือนรู้จักหญิงที่ชื่อสิมูนคนนั้น ซ้ำยังไปจากเมืองเมื่อนางบอกให้ข้าพาเขาไปพบในวันพรุ่งนี้ราวกับรู้ทันเสียอีก
แล้วพรุ่งนี้ข้าจะทำอย่างไรดี จะเดินทางไปกับพ่อค้าชาวอียิปต์เลย...หรือกลับไปหาหญิงสาวชุดขาวอีกครั้ง
นางเล่า...จะทำอย่างไรหากพบว่าข้ามาคนเดียว คงไม่ใช้มีดปาดคอข้าหมกทรายเสียหรอกนะ
สารพันคำถามประดังเข้ามาทำให้ข้ารู้สึกปวดศีรษะ นอนกระสับกระส่ายจนดึกจึงข่มตาหลับได้
กระนั้นนิมิตยังไม่เมตตา นำข้าไปพบการตามหาลูกแพะ พายุทราย และแผ่นหลังของหญิงชุดขาวผู้มีผมสีดำสะบัดพลิ้วเช่นเคย
* * * * *
ล่วงเย็นวันที่สอง ข้ายังอยู่ในเมืองแห่งสายลม หลังปฏิเสธพ่อค้าชาวอียิปต์แต่เช้าว่าจะไม่ไปกับเขา
ข้าเดินออกจากเมืองร้างริมโอเอซิสทั้งที่ยังลำบากใจ อดเหลียวกลับไปมองหมู่ไม้และแหล่งน้ำด้านหลังมิได้ แต่แล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ก่อนจะก้าวต่อ
ถึงอย่างไร...ข้าได้ให้สัญญาต่อนางแล้ว ข้าจึงต้องไป
...ไปยังที่ที่ ‘สิมูน’ ธิดาแห่งวายุรอข้าอยู่...
ผาหินตั้งตระหง่านเด่นเป็นฉากเบื้องหน้าตะวันสนธยา ร่างระหงยืนสงบนิ่งอยู่ ณ เชิงผา อาภรณ์สีขาวที่ปลิวสะบัดตัดกับสีส้มของเม็ดทราย และสีแดงของผาหินเด่นชัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ข้าพลันนึกขึ้นมาว่า...นางช่างเหมาะสมกับทะเลทรายนี้อย่างลงตัวเสียเหลือเกิน
ราวกับถูกนิรมิตมาเพื่อประดับสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะ...สร้างภาพศิลป์อันงดงามอ้างว้าง ราวประติมากรรมหินอ่อนสีขาวที่จะคงอยู่ที่เดิมชั่วนิรันดร์ ทว่าขณะเดียวกันก็ดูเลือนรางเหมือนภาพมายา ไม่จีรังราวเนินทรายในชั่วสายลมพัด
แทบทันทีที่แลไปทางร่างของนาง ข้าก็รู้สึกได้ว่าดวงตาสีทองนั้นกำลังจับจ้องข้าเช่นกัน ลางทีนางอาจเห็นข้าก่อนด้วยซ้ำกระมัง
กระนั้นสตรีในชุดขาวยังคงยืนนิ่ง รอจนข้าเข้าไปใกล้จึงเอ่ยอย่างเรียบเฉย
"ชายอีกคนเล่า"
"ข...ข้าขออภัย" ข้าตอบ "ข้าพาเขามาไม่ได้ เมื่อคืนพอกลับไปถึงที่พัก...ถึงเพิ่งรู้ว่าเขาออกเดินทางไปแล้ว"
ข้าใจเต้นรอดูปฏิกิริยาของนาง ทว่านางก็มิได้โกรธเกรี้ยวหรือแสดงอาการไม่พอใจอย่างที่ข้าเคยนึกกลัว มีเพียงการทอดสายตาลงมองพื้นทรายอย่างครุ่นคิด และคำเปรยแผ่วเบา
“...ทำไมไม่ยอมมาพบข้า”
ข้าฟังคำของนางแล้วให้สงสัย
“ท่านรู้จักเขาหรือ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองข้า นัยน์ตาของนางเป็นสีทองเหมือนนางสิงห์ แต่แววตาเห็นจะไม่ต่างจากลูกกวางตื่น พร้อมจะกระโจนหนีทันทีที่เห็นภัยสักเท่าใดนัก
“หากเขาเป็นคนที่ข้าคิด...ก็คงใช่”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” นางกลับเอ่ยเสียงแข็ง “ขอบใจที่มาบอก ข้าสิ้นธุระกับเจ้าเท่านี้”
“เดี๋ยวก่อน” โทสะของข้ากรุ่นขึ้น “ท่านเป็นใคร ท่านขู่ข้าให้ไปพาคนคนหนึ่งมาให้พบ แล้วพอข้าพาเขามาไม่ได้ ท่านก็ไล่ข้าไปเสียง่ายๆ แบบนี้ เมื่อวานท่านถูกงูพิษกัด...แต่วันนี้ก็ยังดูปลอดภัยดี ท่านเป็นอะไรกันแน่”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีทองที่พ้นผ้าคลุมหน้าจับจ้องข้า บังคับให้ข้าเป็นฝ่ายต้องก้มหน้าลงมองพื้น ราวกับนัยน์ตาของนางมีอำนาจตรงข้ามกับเมื่อคืนแรกข้าที่มาถึงเมืองแห่งสายลม แทนที่จะสะกดให้แลตะลึง กลับทำให้หวาดกลัวจนไม่กล้าจ้องมองโดยตรง
“ข้าต่างหากที่ควรถามว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่อเจ้ารู้จักนาม ‘สิมูน’” หญิงสาวเอ่ยอีกครั้ง ข้ารู้สึกเหมือนตนกลับเป็นฝ่ายถูกคาดคั้นเอาคำตอบเสียเองแล้ว “ชายคนนั้นบอกอะไรเจ้าเกี่ยวกับนามนี้บ้าง”
“เขาบอกว่าสิมูนคือ...ยาบินต์-อัลฮาวา...ธิดาแห่งวายุ แล้วก็...เด็กน้อยผู้อ้างว้างจากเมืองแห่งสายลม แต่ก็เพียงเท่านั้น”
ข้ารวบรวมความกล้า ลอบปรายตาขึ้นเห็นนางเสมองไปอีกทางหนึ่ง เรียกให้ข้าถามกลับไปบ้าง
“สิมูน...คือนามของท่านหรือ”
“...ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า”
คำตอบนั้นทำให้ข้าสะกิดใจ อดถามไม่ได้
“หรือว่า...แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่รู้” ข้ายิ่งฉงน “ว่านามของท่านคืออะไร”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าอีกแล้ว จู่ๆ ข้าก็ถูกหญิงชุดขาวลึกลับใช้มีดจ่อคอ ขู่ให้พาคนที่ข้าเพิ่งรู้จักเมื่อวานซืนมาพบ จะไม่ให้ข้าสงสัยได้อย่างไรว่าหญิงผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ยิ่งนางทำตัวเป็นปริศนา บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนมีนามว่าอะไร ท่านดึงข้าเข้ามาเอง...แล้วจะมาอ้างว่าไม่ใช่เรื่องของข้าได้เสียที่ไหน”
“ข้าน่ะหรือดึงเจ้า” นางย้อนถาม “เจ้าต่างหากที่ดึงตนเองมายุ่งเกี่ยวเรื่องของข้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้...เจ้าพยายามจุ้นจ้านเรื่องของข้า ตั้งแต่เห็นข้าที่โอเอซิสนั่นแล้ว”
ข้าชะงักไปครู่หนึ่ง
“แสดงว่าท่านจำข้าได้”
“ข้าไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะจำ แต่ยิ่งเจ้ารบกวนข้ามากเท่าไร ข้าก็ยิ่งเมินเฉยไม่ได้มากเท่านั้น” สตรีชุดขาวพูดอย่างเฉยชา “ไปจากที่นี่เสีย คนต่างถิ่น หากต้องการเชยชมหญิงงามสักคน ก็จงไปแสวงหาที่อื่น เพราะข้าไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าคิด”
“ข้าสาบานได้ว่าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าไม่เคยเห็นกระทั่งใบหน้าของท่าน ไยจะไปทึกทักว่าท่านเป็นหญิงงามน่าเชยชม ยอมเสี่ยงมาหาท่านครั้งนี้ด้วยมือเปล่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจถูกท่านสังหารได้”
ข้าพูดความจริง กระนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเต็มตา ข้ากลับเห็นว่าดวงตาของนางกลมโตคมปลาบ ที่เคยแข็งกร้าวระแวงภัยกลับไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ขนตายาวงอน โครงของสันจมูกได้รูปยังปรากฏชัดใต้ผ้าขาวเนื้อบาง และกรอบร่างระหงยามสายลมพัดผ้าคลุมแนบกาย ชวนให้นึกว่าลางทีนางจะเป็นหญิงงามอย่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ ยังผลให้ผิวหน้าของข้าร้อนผ่าวขึ้น
“แล้วไยเจ้าจึงมา ในเมื่อนำเขามาพบข้าไม่ได้” เสียงของนางดึงข้าจากห้วงความคิดน่าละอาย ดวงตาสีทองที่สบกับข้าฉายเพียงแววเรียบเฉย น้ำเสียงที่เอ่ยช้าๆ นั้นราบเรียบ
ข้าอ้ำอึ้ง นึกอยู่ในใจว่าจะตอบคำถามข้อนี้อย่างไรดี
“เพื่อรักษาสัญญาอย่างนั้นหรือ” นางย้อนถาม “หรือเพราะกลัวคำสาปแช่งของข้า หากรู้ว่าข้าเพียงแต่พูดส่งๆ ไปตามที่คิดขึ้นมาในครู่นั้น ก็คงวางใจ เลิกรบกวนข้าแล้วไปได้เสียทีสินะ”
“ข้าน่าจะกลัวกริชในมือท่าน มากกว่าคำสาปแช่งที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงได้หรือไม่เสียอีก” ข้าพยายามโต้กลับ ให้นางรู้ว่าเหตุผลเดียวที่ข้ามาพบนางครั้งนี้ใช่มีเพียงความกลัว “นอกเสียจากท่านมีอำนาจสร้างพายุทรายขึ้นมาได้”
หญิงสาวกลับหัวเราะเบาๆ ให้ข้าประหลาดใจ
“หากทำได้ก็คงดี จะได้พัดตัวน่ารำคาญตรงหน้าไปเสียให้พ้น”
ข้ารู้สึกเหมือนถูกตอกหน้าว่าตนไม่เป็นที่ต้องการอย่างที่สุด
“เช่นนั้นข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่รบกวนท่านอีกแล้ว” ข้ารีบพูดโดยเร็วด้วยโทสะ ก่อนจะกลับหลังหันหมายเดินจากไป
แต่แล้วบางสิ่งในใจลึกๆ กลับรั้งข้าไว้ ห้ามว่าอย่าได้เดินไปจากสตรีชุดขาวที่ข้าได้พบแต่บัดนี้
...เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ข้าจะได้เห็นนาง...เพราะนางอาจเป็นผู้ที่ไขความฝันของข้าได้...
...เพราะนัยน์ตาของนางฉายความอ้างว้างขัดกับวาจา...ปากบอกข้าเป็นตัวน่ารำคาญ...แต่ดวงตาของนางมองข้าอย่างฉงนและสนใจใคร่รู้อย่างประหลาด...
“...นอกเสียจาก...ท่านเห็นว่ามีเรื่องที่ข้าช่วยท่านได้มากกว่านี้” ข้าเอ่ยในที่สุด
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม เสียงเจือความขบขัน...ฟังคล้ายเยาะหยัน
“มีเรื่องอันใดที่เจ้าช่วยข้าได้”
“ก็เอนลิลอย่างไรเล่า” ข้าเสี่ยงยกเรื่องนักเดินทางจากนิปปูร์ขึ้นมาด้วยความคิดชั่วแวบ “ท่านอยากพบเขาไม่ใช่หรือ ถ้าท่านกำลังตามหาคนที่ท่านคิดว่าเป็นเอนลิล ข้าอาจช่วยท่านได้”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกครู่ แล้วจึงปฏิเสธ
“ข้าไม่ได้ตามหาใครทั้งสิ้น”
“แล้วบอกให้ข้าพาเขามาทำไม...ถ้าไม่อยากพบเขา” ข้าดีใจที่เริ่มฟื้นการสนทนาได้ “แถมท่านยังพูดว่าเขารู้ตัวทันจึงได้หลบหน้าท่านอีก”
“เช่นนั้น เจ้าบอกอะไรเกี่ยวกับเอนลิลให้ข้าได้บ้าง” นางเริ่มถามเหมือนท้าทาย
“ข้าทราบว่าเขามาจากนิปปูร์ เขาสูงประมาณนี้” ข้าชูมือขึ้นเลยศีรษะของตนเล็กน้อย “ผิวคล้ำเป็นสีทองแดง ผมตรงสีดำยาวประมาณต้นคอ ไว้เคราสั้น ท่าทางมีการศึกษา และชอบพูดเป็นปริศนา”
“ชอบพูดเป็นปริศนา...” หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ “แสดงว่าที่จริงเจ้าก็ไม่ได้รู้จักเขาถ่องแท้นัก”
ข้ารู้สึกเหมือนนางกำลังบอกทางอ้อมว่า ‘ไม่ได้รู้จักจริงๆ ก็จงอย่าอวดรู้’ จึงถามกลับ
“ก็ข้าเพิ่งพบเขาได้สองวันเท่านั้นเอง ว่าแต่เขาใช่คนที่ท่านรู้จักหรือเปล่า”
“อาจจะใช่ และอาจจะไม่”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ชาวทะเลทรายส่วนมากก็ผิวคล้ำผมดำ และนิยมไว้เคราอยู่แล้ว คำบอกเล่าแค่นี้ช่วยอะไรได้”
“แต่ชาวทะเลทรายส่วนมากไม่ได้ดูเหมือนนักปราชญ์อย่างเขา” ข้าแย้ง “ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ข้าก็รู้สึกได้แล้วว่าเขาไม่ใช่นักเดินทางธรรมดาๆ”
“เจ้าเองก็เห็นจะไม่ใช่นักเดินทางธรรมดาๆ เช่นกัน” นางปรายตามองข้าแวบหนึ่ง...ราวกับกวาดเก็บรายละเอียดโดยเร็ว “เจ้าไม่ใช่ชาวทะเลทราย ซ้ำยังกล้าต่อล้อต่อเถียงกับข้า ทั้งๆ ที่นักเดินทางอื่นๆ เดินทางมาและจากลาไปโดยไม่ใส่ใจข้าเลย”
“หากท่านเป็นธิดาแห่งวายุจริงๆ ข้าก็พอเข้าใจ” ข้าครุ่นคิดตามแล้วลองเอ่ย “...ว่ามนุษย์กลัวเกรงการทำให้เทพที่ตนศรัทธาไม่พอใจ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นเทพหรือ” หญิงสาวกลับย้อนถามด้วยเสียงสงสัย พลอยทำให้ข้างุนงงไปด้วย
“หรือท่านไม่ใช่เทพ”
“ชายที่เจ้าเรียกว่าเอนลิลคงตอบข้าได้ เพราะข้าไม่ทราบเช่นกัน” นางตอบอย่างลังเล เสียงแผ่วเบาไม่มั่นใจ
ข้ายิ่งพิศวงและประหลาดใจ
“ท่านไม่ทราบว่าตนเองเป็นใคร...จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“นึกแล้วว่าเจ้าต้องเห็นเป็นเรื่องตลก” นางเอ่ยพลางยักไหล่ ทว่าเสียงขื่นเจือถอนใจ “ข้าอาจเป็นเพียงหญิงบ้าไร้ที่มา ทำตัวประหลาด พูดจาเลื่อนลอย เมื่อคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ชักกริชแทงเจ้าตายเสียเมื่อไรก็ได้”
ข้าเริ่มแค่นยิ้ม
“ถ้าท่านคิดว่าพูดเท่านี้จะทำให้ข้าเลิกยุ่งกับท่านได้...ท่านคิดผิด” ไม่มีเสียงตอบ ข้าจึงตัดสินใจพูดต่อ “ข้าเชื่อว่าท่านไม่ใช่คนบ้า...เพราะพูดจารู้เรื่องดี การแต่งกายของท่านดีกว่าคนร่อนเร่ ซ้ำท่านยังรู้ภาษาของนักเดินทางจากแดนไกลอย่างข้าเสียอีก ข้าคิดว่าหากท่านไม่ใช่เทพก็คงเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ที่นี่ พ่อค้าชาวอียิปต์ที่ข้าไปถามไม่รู้จักยาบินต์-อัลฮาวา มากไปกว่าภาษาของพวกบัดวี เขาไม่รู้จักสิมูนมากไปกว่าชื่อพายุทราย ซ้ำบอกว่าเขาไม่เคยเห็นสตรีชุดขาวที่นี่เหมือนข้า ทั้งๆ ที่พักอยู่นานกว่าข้า และตั้งกระโจมพักแรมใกล้พวกบัดวีมากกว่าด้วยซ้ำ
“แต่เมื่อคืนวาน ข้าสัมผัสท่านได้ และผิวของท่านก็มีไออุ่น ไม่ต่างจากมนุษย์เลยสักนิด”
นางหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง
“เจ้ากำลังจะบอกว่า...เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงชาวบัดวี ยามปกติก็แต่งกายเหมือนพวกนาง ปะปนอยู่กับพวกนาง แต่สองสามวันนี้หาโอกาสลักลอบเปลี่ยนเป็นชุดขาว หลอกนักเดินทางที่เพิ่งมาถึงไม่นานเล่นๆ เพื่อความสนุกสนานหรือ”
“ข้ามีสิทธิ์จะคิดอย่างนั้นมิใช่หรือ”
“ใช่” นางตอบง่ายดาย “ข้ามีอำนาจบังคับเจ้าให้เปลี่ยนความคิดได้เสียที่ไหน”
“เช่นนั้น ท่านก็ไม่มีอำนาจไล่ข้าไปด้วย”
นางยังคงสบตากับข้า ทว่ามือเคลื่อนไปแถวสะเอวใต้ผ้าคลุมราวกับแตะบางสิ่งเตรียมไว้
“แต่อย่าลืม ว่าข้ามีอาวุธ แม้นไม่มีอำนาจ”
“เช่นนั้น วันหลังข้าจะพกดาบของตนมาด้วย ลองดูว่าหากเราประลองกัน ใครจะชนะ” ข้าลอบยิ้มที่มุมปากอย่างรื่นเริง บทสนทนาพาข้ามาไกลกว่าที่หวังไว้
“วันหลัง นี่เจ้าคิดจะมาอีกหรือ” หญิงสาวถาม น้ำเสียงของนางกลับขุ่นมัวขึ้นอีก
“ใช่ ทว่าข้าไม่ได้ต้องการประลอง เพียงแต่เพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่เคยบอกท่าน เกี่ยวกับเอนลิล” ข้ารีบพูด
“เรื่องอันใดอีก บอกเสียแต่ตอนนี้ก็ได้”
“ข้าเกรงว่า...หากให้เล่าเต็มๆ ก็เห็นจะเสียเวลามากกว่าคืนเดียว เขาเล่าให้ข้าฟังถึงค่อนคืนยังได้ราวครึ่งเรื่องเท่านั้น”
“เรื่องอันใดใช้เวลามากเพียงนั้น” รอยคิ้วเรียวใต้ชายผ้าเหมือนขมวดเข้าหากัน ให้ข้ายินดีที่ดึงความสนใจของนางได้
“เขาเล่ามหากาพย์กิลกาเมชให้ข้าฟัง ไม่ทราบท่านรู้จักเรื่องนี้หรือไม่”
หญิงสาวสั่นศีรษะแล้วกลับถาม
“มหากาพย์คือสิ่งใด”
ข้าประหลาดใจมากที่นางไม่รู้จักคำนี้ แต่ก็เห็นเป็นโอกาสดี
“มหากาพย์เป็นเรื่องเล่า เหมือนตำนานหรือนิทานนั่นเอง”
“แล้วตำนานหรือนิทานเล่า”
“ก็...เป็นเรื่องเล่าเหมือนกัน เรื่องเล่าจากดินแดนที่ห่างไกล ในสมัยเก่าก่อน เป็นเรื่องที่ฟังแล้วเพลิดเพลิน...อย่างน้อยก็สำหรับข้า ท่านไม่เคยฟังเลยหรือ” ข้ายังไม่คลายความสงสัย แต่ก็ยินดีมากเช่นกันเมื่อนางสั่นศีรษะ “ข้าเล่าให้ท่านฟังได้ หากท่านอยากฟัง แต่คืนนี้คงเป็นมหากาพย์กิลกาเมชไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นยาวมาก ข้าจะเล่าเรื่องของ...”
ข้าเหลือบมองฟ้าซึ่งมืดแล้ว บังเอิญเห็นกลุ่มดาวหนึ่งซึ่งชวนให้นึกถึงตำนานเล่าขาน
“...เจ้าหญิงอันโดรเมเดกับเพอร์เซอุส ท่านรู้จักไหม”
นางสั่นศีรษะ ข้าจึงชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“เห็นดาวตรงนั้นไหม ลากเส้นไปยังดาวตรงนี้...แล้วก็ตรงนี้ เจ้าหญิงอันโดรเมเดอยู่ที่นั่น นางถูกล่ามโซ่อยู่”
“ดาวเป็นคนไปได้อย่างไร” หญิงสาวตั้งคำถาม นิ่งนึกไปชั่วอึดใจก็ถามรวดเสียอีกสองข้อ “เพอร์เซอุสกับเจ้าหญิงอันโดรเมเดเป็นใคร ทำไมนางจึงถูกล่ามโซ่”
“เพอร์เซอุสเป็นวีรบุรุษ มหาเทพเซอุสของชาวเอลิเนสจึงได้ให้เขากับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขาได้กลายเป็นกลุ่มดาวบนฟ้า เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ทราบวีรกรรมของเขา ส่วนเรื่องที่ว่าเขากับอันโดรเมเดเป็นใคร ทำไมนางจึงถูกล่ามโซ่ ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ฟังไม่ช้านี้ หากยังสงสัยสิ่งใดหลังเรื่องจบ ท่านค่อยถามข้าตอนนั้นก็ได้”
นางเงียบไป นัยน์ตาสีทองจับจ้องข้าอย่างตั้งใจเหมือนเด็กเล็กๆ ข้าเปลี่ยนไปชี้ดาวกลุ่มอื่นๆ ในไม่ช้า
“เพอร์เซอุสอยู่ตรงนั้น มือหนึ่งถือดาบ อีกมือถืออาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง ท่านคอยสังเกตดาวดวงนั้นดีๆ มันเปลี่ยนแสงได้ บางคืนมันจะริบหรี่ และบางคืนจะสว่างไสว นั่นคือดวงตาของนางอสูรเมโดซา นางมีผมเป็นงูทั่วทั้งศีรษะ ส่วนดวงตามีฤทธิ์เปลี่ยนสิ่งที่จ้องมองนางให้กลายเป็นรูปปั้นหิน
“เหยื่อรายหนึ่งของนางอยู่ที่นั่น มันคือเคโทส...อสูรทะเล เพียงสบตากับหัวของเมโดซาในมือเพอร์เซอุส...เจ้าอสูรก็กลายเป็นหินผาริมชายฝั่งไปเพอร์เซอุส จึงไม่อาจกินอันโดรเมเดซึ่งถูกส่งมาล่ามโซ่ริมผาเป็นเครื่องสังเวยของมัน
“ส่วนเหตุที่ว่าทำไมอันโดรเมเดจึงเป็นเครื่องสังเวย ก็เพราะหญิงที่นั่งเก้าอี้ตรงนั้น” ข้าลากเส้นตามกลุ่มดาวเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนเส้นสลับฟันปลา “นางคือคาสสิโอเป...ราชินีแห่งเอธิโอเปียและพระมารดาของอันโดรเมเด นางพูดจาโอ้อวดว่าธิดาของนางงดงามกว่าเหล่าธิดาแห่งเทพสมุทร พระองค์จึงพิโรธ ส่งอสูรทะเลมาอาละวาดไล่กินชาวเมือง และยื่นคำขาดให้นำตัวอันโดรเมเดมาสังเวย”
“ทั้งๆ ที่อันโดรเมเดไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะหรือ” ผู้ฟังของข้าแทรกขึ้น
“แต่เทพสมุทรเห็นนางเป็นต้นเหตุ”
“แต่...เพอร์เซอุสก็ช่วยนางไว้ได้ใช่ไหม”
“ใช่ เขาสวมรองเท้ามีปีก นำศีรษะของเมโดซาบินผ่านมาระหว่างทาง ด้วยความสงสัยที่พบหญิงงามถูกล่ามโซ่ไว้กับผาจึงได้เข้าไปถามไถ่ เขาตกหลุมรักนางแต่แรกเห็น จึงได้ช่วยนางไว้ และสุดท้ายก็ได้สมรสกับนาง”
“แล้วเพอร์เซอุสเป็นใคร ทำไมถึงมีรองเท้ามีปีก และศีรษะของอสูรที่น่ากลัวเมโดซา” นางตั้งคำถามอีกครั้ง ทว่าข้าเพลิดเพลินกับการเล่าเรื่องในแบบที่เป็นไป...ไม่เรียงตามลำดับเวลา...เกินกว่าจะรู้สึกว่านางกำลังขัดจังหวะ
“เพอร์เซอุสเป็นโอรสของมหาเทพเซอุส กับเจ้าหญิงชาวมนุษย์ นางชื่อดานาเอ เป็นธิดาของกษัตริย์อะคริซิโอสแห่งอาร์โกส มหานครใหญ่แห่งหนึ่งในเอลลัสแผ่นดินเกิดของข้า
“ตั้งแต่ดานาเอยังเล็ก กษัตริย์อะคริซิโอสได้รับคำเทพพยากรณ์ว่าเขาจะถูกสังหารด้วยฝีมือของหลานตน กล่าวคือโอรสที่เกิดจากดานาเอนั่นเอง พระองค์จึงบัญชาให้สร้างวังใต้ดินทำด้วยสำริด มีเพียงช่องรับแสงแดดและระบายอากาศตามสมควร แล้วขังดานาเอไว้ในวังนั้น ไม่ให้พบปะกับชายใด หรือแม้แต่หญิงใดนอกจากแม่นม นางพี่เลี้ยง และหญิงรับใช้
“ทว่าขณะนั้น มหาเทพเซอุสต้องการวางต้นตระกูลของวีรบุรุษที่จะช่วยคณะเทพต่อกรอสูรที่พระแม่ธรณีกำลังจะสร้างขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ จึงแปลงร่างเป็นหยาดฝนทองคำ ไหลลงจากช่องระบายอากาศมาพบกับดานาเอ
“ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์และประสูติโอรส เมื่ออะคริซิโอสทราบก็พิโรธมาก ทว่าเขาไม่กล้าสังหารธิดาของตนและบุตรของนางด้วยมือตนเอง จึงมีบัญชาให้นำนางกับโอรสน้อยใส่หีบปิดตาย ปล่อยลอยไปในทะเลคลุ้มคลั่ง...”
“ทะเล...คืออะไร” หญิงสาวกลับถามอย่างสงสัย “เหมือนทะเลทรายไหม”
“ท่านไม่รู้จักทะเลหรือ”
“หากรู้จักไยต้องถาม” นางเสมองไปอีกทางเหมือนค้อน ทำให้ข้าต้องกลั้นยิ้ม หากไม่เข้าข้างตนเองเกินไป...เสียงนั้นฟังกระเง้ากระงอดเหมือนเด็ก
“ไม่แปลกดอก หากท่านอาศัยในทะเลทรายมาตลอด” ข้าอธิบาย “ทะเลเป็นแหล่งน้ำ เหมือนโอเอซิส แต่กว้างใหญ่พอๆ...ไม่สิ...อาจจะมากกว่าทะเลทรายอีก ลองนึกว่าทะเลทรายรอบตัวเรากลายเป็นห้วงน้ำลึกสุดหยั่ง มีน้ำพัดเป็นคลื่นสูงเหมือนเนินทรายพวกนี้ตลอดเวลาก็ได้”
นางพยักหน้าแม้แววตาจะดูสงสัยอยู่บ้าง ข้าจึงเล่าต่อ
“ดานาเอกับลูกต้องเผชิญคลื่นลมแรงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าเซอุสได้ให้เทพแห่งลมอภิบาลจนหีบนั่นขึ้นฝั่ง อย่างปลอดภัย และมีชาวประมงผู้เมตตานำทั้งสองไปดูแล
“เคราะห์ร้ายที่เจ้าผู้ครองเกาะพบนางในไม่ช้า และหลงใหลความงามของนาง ทว่านางพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมสมรสด้วยตลอดมา จนกระทั่งเพอร์เซอุสเติบโตขึ้น เจ้าเกาะจึงได้ออกอุบายจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตนอย่างใหญ่โต มีแขกเหรื่อนำของขวัญล้ำค่ามาให้มากมาย เพอร์เซอุสเองได้รับเชิญไปงาน แต่เขาไม่สามารถนำของมีค่ามากำนัลให้แก่เจ้าเกาะได้เลย
“เด็กหนุ่มอับอายสุดกลั้นที่ถูกเจ้าผู้ครองเกาะกับแขกเหรื่อทั้งหลายหัวเราะเยาะ จึงลั่นวาจาว่าจะนำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าเกาะต้องการมาให้ เจ้าเกาะสบโอกาสจำกัดเขา จึงบอกว่า ‘เช่นนั้นจงนำศีรษะของนางอสูรเมโดซามาให้ข้า’ เขามิได้ต้องการศีรษะของนางอสูรจริงๆ เพียงแต่คิดว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางเอาชนะเมโดซาผู้ร้ายกาจได้ และจะเอาชีวิตไปทิ้งเสีย ทิ้งมารดาของตนให้เจ้าเกาะบังคับครอบครองได้โดยง่าย
“ด้านเพอร์เซอุสมุ่งมั่นนักแต่ไร้กำลัง กระนั้นยังออกเดินทางตามหาเมโดซาโดยไม่ย่อหย่อน และได้รับความช่วยเหลือจากอาเธนา เทพกัญญาแห่งปัญญา กับเออร์เมส เทพผู้ส่งสาร อาเธนามอบดาบอันคมกริบ และโล่ที่เป็นมันวาวเหมือนกระจกให้แก่เขา ขณะที่เออร์เมสมอบหมวกล่องหน และรองเท้ามีปีกให้
“เพอร์เซอุสเดินทางไปยังที่อยู่ของเมโดซา สถานที่นั้นเต็มไปด้วยรูปปั้นหินนับร้อยๆ...ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่อาจหาญต่อกรนาง เขาลัดเลาะหลบซ่อนหลังรูปปั้นเหล่านั้นไปจนถึงตัวอสูร โดยอาศัยเงาสะท้อนจากโล่บ่งบอกว่านางอยู่ที่ใด เพราะทุกสิ่งที่มองนางจะต้องกลายเป็นหิน...แต่ทุกสิ่งที่มองเงาสะท้อนของนางยังปลอดภัย ด้วยโล่กระจก เขาจึงเข้าประชิดเมโดซาที่กำลังเผลอไผล และตัดศีรษะของนางขาดจากร่าง
“จากนั้น เพอร์เซอุสก็รีบฉวยหัวของนางเก็บใส่ถุง แล้วอาศัยรองเท้ามีปีกรีบหนีจากนางอสูรผู้พี่ของเมโดซาอีกสองตนซึ่งเป็นอมตะ
“ในระหว่างทางกลับสู่เกาะนี่เองที่เขาพบอันโดรเมเด ได้ช่วยนางไว้ และสุดท้ายก็สมรสกับนาง”
“แล้วเขากลับไปที่เกาะหรือเปล่า เจ้าครองเกาะทำอะไรหลังจากนั้น” ผู้ฟังของข้าเริ่มเร่งเร้า
“เพอร์เซอุสเจ้าเกาะเผยธาตุแท้ ดานาเอถูกบังคับให้แต่งงานกับเขา แต่ก่อนนั้นนางหนีไปซ่อนตัวในวิหารแห่งหนึ่งได้เสียก่อนพร้อมกับชาวประมงผู้ช่วยเหลือทั้งสอง ครั้นเพอร์เซอุสกลับมาทราบความ เขาก็ตรงไปที่วังพร้อมกับถุงใส่ศีรษะของเมโดซา และชูมันขึ้นต่อหน้าเจ้าเกาะกับข้าราชบริพารที่หัวเราะเยาะหยันตน
“ท่านคงทราบ ชั่วพริบตาทุกคนกลับกลายเป็นรูปปั้นหินที่มีปากอ้าค้างจนสิ้น จากนั้นเพอร์เซอุสก็ยกบัลลังก์ของเจ้าเกาะให้แก่ชาวประมงผู้อารี แล้วพาอันโดรเมเดกับดานาเอกลับไปยังอาร์โกส อาณาจักรของตา ด้วยหวังจะคืนดีกับตาที่ตนไม่เคยพบหน้า
“แต่เมื่อไปถึงอาร์โกส พวกเขาก็พบว่ามีการเปลี่ยนกษัตริย์โดยไม่คาดฝัน อะคริซิโอสกระทำสิ่งที่ชั่วช้าจนชาวเมืองไม่อาจยอมรับและเนรเทศเขาไป”
“แล้วคำเทพพยากรณ์ล่ะ” นางถามขึ้น “เป็นจริงหรือเปล่า”
“เสียใจที่ต้องบอกว่า...เป็นความจริง” ข้าเล่าต่อ “หลังจากนั้น เพอร์เซอุสเข้าร่วมการแข่งกรีฑาที่อีกอาณาจักรหนึ่ง จักรที่เขาขว้างแฉลบไปทางอัฒจันทร์ซึ่งมีผู้ชมนั่งอยู่เต็ม และประเหมาะไปถูกชายชราคนหนึ่งตายคาที่”
“นั่นคืออะคริซิโอสหรือ”
“ใช่”
“แล้วเพอร์เซอุสรู้ไหม”
“ตำนานไม่ได้บอก แต่ข้าคิดว่าเขาไม่รู้” ข้าลงความเห็น “ข้าคิดว่าเขาไม่ผิด ก็เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคน ไม่ทราบด้วยว่านั่นเป็นตาของตน ลางที...จุดจบของอะคริซิโอสอาจเป็นโทษทัณฑ์ที่เขาคิดฆ่าธิดากับหลานก็ได้ เพอร์เซอุสไม่ได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ เขาใช้ชีวิตหลังจากนั้นอย่างสงบสุขกับอันโดรเมเด เป็นต้นตระกูลของวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดน เอราเคลสคือนามของเขา ไม่ทราบท่านรู้จักนามนี้หรือไม่”
นางสั่นศีรษะ เป็นอันว่าข้าสบโอกาสอีกครั้ง
“ชีวิตของเขาเองมีเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย สนุกสนานไม่แพ้วีรกรรมของเพอร์เซอุส แต่ก็โศกเศร้าผกผันยิ่งกว่า หากท่านอยากทราบ พรุ่งนี้ข้าจะมาเล่าให้ฟังอีก”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คงกำลังชั่งใจว่าควรให้ข้ามาอีกครั้งหรือไม่ ด้านข้าก็พร่ำภาวนา...หวังว่านางจะอนุญาตให้ข้ามาพบอีกครั้ง
“ลองเล่ามาก็ได้ ข้าเองก็...มีเวลามากมายอยู่แล้ว”
หัวใจข้าแทบพองออกมานอกอก จนต้องระงับอาการยินดีไว้
“ท่านจะให้ข้ามาพบที่ใด และเมื่อไร”
“เวลาเดียวกับวันนี้ ณ ที่นี่ก็ได้”
“ตกลง” ข้ารับปาก “พรุ่งนี้ข้าจะรีบมา”
ร่างในชุดขาวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไปเช่นในวันวาน
ข้าเองก็กลับหลังหันไปอีกทางหนึ่ง สู่เมืองแห่งสายลม ความคิดแวบขึ้นมาว่านางดูเหมือนจะเป็นเด็กน้อยอย่างที่เอนลิลบอกไว้จริงๆ เสียด้วย เด็กน้อยที่ชอบตำนานและนิทาน...เหมือนกับเด็กที่ข้าเคยเป็นในวัยเยาว์
และเย็นพรุ่งนี้...ข้าจะกลับมาหาเด็กน้อยของเมืองแห่งสายลมอีกครั้ง
* * * * *
ตอนที่ 4 พ่อม่อนพระเอกของเราเข้าสู่โหมดนักเล่านิทานแล้ว
ตำนานของเพอร์เซอุสกับอันโดรเมเด หรือ อันโดรเมดา เป็นตำนานกรีกเรื่องแรกๆ เลยที่ผมได้อ่านตอนเด็ก ในหนังสือเกี่ยวกับการดูดาวที่เป็นชุดการ์ตูนญี่ปุ่นของซีเอ็ด นอกจากนั้นจำได้ว่ามีเรื่องของแม่หมีคัลลิสโตกับลูกหมีอาร์คัส กับเรื่องของออร์ฟีอัสกับยูริดิซด้วย เป็นจุดเริ่มให้สนใจทั้งการดูดาวและตำนานกรีกขึ้นมาพร้อมกันนับแต่นั้น ส่วนตัวคิดว่าเพอร์เซอัสเป็นวีรบุรุษนิสัยดี ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ไม่ชอบอย่างเจสัน (ทิ้งภรรยาไปแต่งใหม่) หรือธีเซียส (ทิ้งผู้หญิงที่ช่วยตัวเองและพยายามเลี้ยงต้อย) แฮะ
ชื่อตัวละครในภาษาอังกฤษครับ
เพอร์เซอุส - Perseus
อันโดรเมเด - Andromeda (กรีกเขียน Andromede)
เมโดซา - Medusa (กรีกเขียน Medousa)
เคโทส - Cetus (กรีกเขียน Ketos)
คาสสิโอเป - Cassiopeia (กรีกเขียน Cassiope)
เซอุส - Zeus
ดานาเอ - Danae
อะคริซิโอส - Acrisius (กรีกเขียน Akrisios)
อาร์โกส - Argos
เอลลัส - Hellas
เออร์เมส - Hermes
อาเธนา - Athena
เอราเคลส - Heracles
ตอนนี้รายชื่อเยอะสักหน่อยเพราะเล่าเป็นตำนานม้วนเดียวจบ แต่โดยทั่วไปจะไม่มีชื่อมากขนาดนี้ครับ
ข้อมูลประกอบตอนที่ 4
- ดาวตาเมดูซาชื่อว่า อัลกอล (Algol) หริอ เบต้า เพอร์เซอี (Beta Persei) มีความสว่างเปลี่ยนทุกราวๆ 2 คืน เพราะเป็นดาวในระบบดาวคู่อุปราคา (eclipsing binary stars - ขอบคุณคุณนอนดูดาวสำหรับชื่อภาษาไทย) คือมีดาว 2 ดวงโคจรรอบกันและกัน (ของอัลกอลมี 3 ดวง แยกเป็น A, B, C แสงจะริบหรี่ลงเมื่อดาว A ซึ่งเป็นดาวหลักและมีแสงสว่างกว่าถูกเงาคราสของดาว B ที่สลัวกว่าบัง)
ข้อมูล: http://en.wikipedia.org/wiki/Algol
- ตำนานเรื่องเพอร์เซอัส เป็นตำนานที่ดังมากตำนานหนึ่ง หากอยากอ่านเต็มๆ ว่าเมดูซาเกิดมาจากไหน และรายละเอียดว่าก่อนเจอเมดูซา เพอร์เซอัสต้องไปถามทาง (กึ่งขู่) จากใครที่ไหนบ้าง ก็สามารถหาอ่านได้จากหนังสือตำนานกรีก (ที่มีมากในบ้านเรา) และเว็บไซต์ภาษาอังกฤษหลายแห่งครับ แล้วเรื่องนี้ยังเคยสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อ Clash of the Titan พล็อตไม่เหมือนตำนานหลายจุด แต่ในด้านเทคนิคของภาพยนตร์สมัยก่อนมี CG ที่ต้องใช้การถ่ายทีละเฟรมเพื่อสร้างการเคลื่อนไหวของโมเดลสัตว์ประหลาดแต่ละตัว นับว่าน่าหามาชมภาพจริงๆ
ข้อมูล: http://en.wikipedia.org/wiki/Clash_of_the_Titans
- ในตำนานสมัยหลังจะบอกว่าเพอร์เซอัสขี่ม้าเปกาซัส (Pegasus) ซึ่งเกิดจากเลือดของเมดูซา ในตำนานโบราณนั้นเปกาซัสเกิดขึ้นจากเลือดเมดูซาจริง ก็ไม่ได้เป็นพาหนะของเพอร์เซอัส เพราะมันบินลิ่วไปเข้าคอกม้าของซูสเลย แล้วก็กลายเป็นม้าส่งสายฟ้าให้ซูสไป ส่วนวีรบุรุษที่ได้ขี่ม้าเปกาซัสตามตำนานเดิมคือเบลเลโรฟอน (Bellerophon) ที่จับเปกาซัสได้แล้วขี่มันไปปราบอสูรคิเมรา (Kimera) แต่แล้วก็กำเริบเสิบสานคิดจะขี่มันขึ้นไปยังสวรรค์โอลิมปัส เลยโดนม้าสลัดตกไปติดเกาะแห่งหนึ่งจนตาย เอ๊ย! ขาเดี้ยงจนวันตาย ฝ่ายเปกาซัสก็กลับเข้าคอกของซูสตามระเบียบ
การตั้งชื่อกลุ่มดาวที่อยู่ใกล้อันโดรเมดา และมีบางส่วนคาบเกี่ยวกันว่าเป็นเพกาซัสที่ยืนเหนือร่างนางนั้นมีขึ้นในสมัยหลัง กลุ่มดาวเดิมที่กลายมาเป็นเปกาซัสมีชื่อว่ากลุ่มดาวม้าเฉยๆ หรือบางคนก็เรียกว่า นางม้าดำ
ตอนหน้าจะเปลี่ยนเป็นมุมมองของนางเอกสุดโหดที่ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กนั่งฟังนิทานตาแป๋วบ้าง แล้วพบกันใหม่ครับ :)
ปล. เมื่อคราวที่แล้วเขียนถึงมหากาพย์กิลกาเมชไว้แบบจุ่มๆ ตอนนี้ไปค้นเจอที่พี่เคียว/ลวิตร์/พัณณิดา ภูมิวัฒน์ แปลและแปลงมาเล่าแบบนิทานในพันทิพถึงตอนที่ 4 ครับ อ่านสนุกดี ขออนุญาตลงลิงค์ให้ผู้ที่สนใจครับ
กิลกาเมช (ฉบับแปลงโดยพี่เคียว/ลวิตร์/พัณณิดา ภูมิวัฒน์)
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ปล. 2 (สืบเนื่องจากปล.แรก) เอนคิดูน่ารักมาก >_< ชอบเวลาพี่เคียวเขียนตัวละครซื่อๆ ใสๆ จิตใจดีที่สุดเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น