คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๕ มูนไลต์ชาโดว์
บทที่ 5
มูนไลต์ชาโดว์
พลังเสียงที่เกิดจากความเร็วสูงแหวกผ่านอากาศดังลั่นทั่วสนามแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ
นักบิดแต่ละคนล้วนคัดขุมความแรงของเครื่องยนต์ชั้นเยี่ยมมาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
การแข่งขันชิงเจ้าความเร็วจึงเป็นไปอย่างดุเดือด จนผู้ชมข้างสนามต่างลุ้นกันนั่งไม่ติดที่
กระทั่งโค้งสุดท้าย
เหล่านักแข่งต่างก็เริ่มเร่งความเร็วไล่บี้กันไปให้ถึงเส้นชัยแบบหายใจรดต้นคอ
แต่ผู้ที่มีทักษะลีลาการเข้าโค้งอันเหนือกว่าเท่านั้นที่สามารถพาล้อของตนแตะชัยชนะเป็นอันดับแรก
และเมื่อเสียงประกาศอย่างเป็นทางการบอกว่าใครเป็นเจ้าความเร็วในการแข่งขันครั้งนี้
กองเชียร์ต่างกระโดดตัวลอยแสดงความยินดีกับผู้ชนะที่ถอดหมวกกันน็อกออก เผยให้เห็นโฉมหน้าเฉี่ยวในแบบหนุ่มสายเลือดมังกร
“แม่หัวใจจะวายให้ได้เลยตฤณ
เข็ดแล้ว ไม่กล้ามาดูลูกแข่งแล้ว”
ผู้เป็นมารดาเดินมาโอบกอดตัวเขาแน่นพร้อมกับเสียงบ่นแสนคุ้นเคย
“ผมบอกแม่แล้วนี่ครับว่าอย่ามาเลย”
ตฤณคลายมือจากเอวของมารดา แล้วเดินไปกอดรัดเตชิน บิดาผู้เป็นต้นแบบดวงตาเหยี่ยว
มรดกทางพันธุกรรมอันแสนภาคภูมิใจ “เห็นฝีมือผมหรือยังพ่อ”
“เออ เก่ง”
คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยใบหน้าล้อเลียน “วันนี้แกทำได้ดีมาก”
“ถ้าพ่อไม่ยกกาสิโนให้ผมดูแลเต็มตัว
ผมก็จะทำกิจการสนามแข่งรถนี่แหละ แล้วมาดูกันว่าใครจะทำรายได้มากกว่ากัน”
ฝ่ายลูกชายท้าทาย
“ก่อนจะท้าพ่อ
ไปถามแม่แกก่อนมั้ยว่า เขาอยากให้อนาคตทนายของควีนส์คอร์ปมานั่งบนอานรถแข่งหรือเปล่า”
ตฤณยิ้มให้บิดาอย่างรู้กัน
แล้วขอตัวออกไปรับถ้วยรางวัลตามเสียงประกาศเรียก โดยมีเขาเป็นผู้ครองแท่นชนะเลิศลำดับที่หนึ่ง
และแท่นลำดับสองนั้นควรมีร่างของระพีพัฒน์มายืนชูสองแขนฉลองชัยด้วยกัน
ทว่ามันกลับว่างเปล่าด้วยเหตุผลที่ฝากบอกทีมงานว่า
ขอสละสิทธิ์ไม่ร่วมรับรางวัลเพราะมีธุระด่วนเข้าแทรก เป็นเหตุให้ตฤณกลั้นเสียงคำรามไว้แล้วตีหน้ายิ้มแย้มในตอนที่ก้มหัวรับถ้วยรางวัล
แต่ในใจนั้นเดือดจัดยิ่งกว่าหม้อน้ำยามแห้งกรังของรถยนต์
“กระดาษห่อหมากฝรั่ง?”
คิ้วเข้มของระพีพัฒน์ขมวดมุ่นเข้าหากันจนเกิดรอยย่นลึกที่หัวคิ้ว
ดวงตาคมจับจ้องซองใส่ของกลางที่เป็นพลาสติกใสเห็นสิ่งของด้านในแน่วนิ่ง
“บนกระดาษมีรอยนิ้วมือของป๋องกับรอยนิ้วมือของนายอำพันปรากฏอยู่
และนอกจากกระดาษชิ้นนั้นแล้วก็มีบุหรี่หนึ่งซอง ไฟแช็กหนึ่งอัน กระเป๋าเงิน
บัตรประชาชนกับบัตรนักเรียน” สารวัตรใหญ่สาธยายต่อ ขณะเดินวนโต๊ะมาหยุดด้านหลังชายหนุ่มที่กำลังเท้าแขนใช้สายตาจ้องหลักฐานต่าง
ๆ
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเก็บกระดาษห่อหมากฝรั่งเปล่าไว้กับตัว”
คำรำพึงของระพีพัฒน์ตรงใจกับสิ่งที่สารวัตรคิด
“ผลการพิสูจน์หลักฐานชี้ชัดว่าพบสารเสพติดชนิดหลอนประสาทเจือปนในเลือดของนายป๋องคนนี้”
รูปถ่ายหน้าตรงของศพถูกวางลงตรงหน้า
ถึงจะมองแล้วไม่โสภานัก แต่สมองของระพีพัฒน์สั่งให้เขาหยิบรูปถ่ายขึ้นมาสำรวจดู
พลางฟังเสียงพูดของสารวัตรอัชวิน
“แต่จากการสอบปากคำเพลงพิณ
เด็กหนุ่มนั่นเถียงคอเป็นเอ็นว่านายป๋องไม่มีทางค้ายา
ส่วนการตรวจปัสสาวะคู่กรณีที่ร่วมก่อเหตุวิวาททั้งหมดในคืนนั้นออกมาเป็นบวก
แต่เจ้าเพลงพิณขาวสะอาด”
“แล้วมือปืนปริศนาล่ะครับ”
“ยังหาตัวไม่พบ”
“พี่ป๋องตายไปหลายวันแล้ว
แต่ยังจับตัวไอ้นรกนั่นไม่ได้ ทำไมทำงานกันช้าขนาดนี้!” เกิดเสียงกระโชกโฮกฮากลั่นผ่ากลางวงสนทนา
“ใครปล่อยให้เอ็งเข้ามา
มันยังไม่ถึงเวลาเรียกตัว” อัชวินกดน้ำเสียงต่ำ
ตำหนิเด็กหนุ่มผมยาวประบ่าที่ผลักประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
“แล้วอย่าดูถูกการทำงานของเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้มีคดีเดียวให้จัดการ”
“อ๋อ...”
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ “กะอีแค่เด็กช่างกลโดนยิงตายกลางงานแสดงรถ
มันไม่ใช่คดีเด็ดคดีดังขนาดทำให้ตำแหน่งสารวัตรอัปเกรดได้อย่างนั้นละสิ”
“สามหาวนัก!” สารวัตรเดือดดาลขึ้นทันที
“ถ้าฉันเป็นแกนะเพลงพิณ...ฉันจะไม่พูดอะไรพล่อย
ๆ แบบนั้นต่อหน้าสารวัตร แต่...” ระพีพัฒน์ที่เงียบฟังได้สักพักต้องรีบห้ามทัพ
เขาวางรูปถ่ายผู้ตายลงแล้วหันหน้ามายืน
ใช้สองมือล้วงกระเป๋ามองเด็กหนุ่มวัยคะนองด้วยท่าทีนิ่งสงบ
แล้วเอ่ยประโยคต่อให้จบว่า
“แต่จะพูดลับหลังแทน”
“อ้าว...ไอ้...”
สารวัตรใหญ่ถึงกับฉุนกึกนึกว่าจะช่วยพูด แต่ยังไม่ได้พ่นคำกล่าวสั่งสอน มือของชายหนุ่มก็ยกขึ้นห้ามเสียงไว้
“แต่การตายของป๋องมันไม่ใช่แค่เรื่องนักเรียนช่างกลตีกันอย่างที่ข่าวออกไป”
ระพีพัฒน์อธิบายกู้หน้าให้สารวัตรใหญ่
“เพียงแค่เราต้องมั่นใจก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ตัวการสำคัญ”
“พี่ป๋องไม่มีทางค้ายา!” เพลงพิณพูดเสียงกร้าว “ไม่มีทางที่พี่ป๋องจะหันไปหาความชั่วอย่างที่พ่อ
ๆ ของพวกเราทำ!”
ระพีพัฒน์ไหวไหล่
ยืนเอามือทั้งสองล้วงกระเป๋า “มีไฟย่อมมีควันฉันใด เสพยาได้ก็ต้องค้าได้เป็นธรรมดา
และทางเจ้าหน้าที่ก็พิสูจน์แล้วว่า ในเลือดของป๋องมีสารเสพติด”
“ผมไม่เชื่อ” คล้ายมีน้ำตาเอ่อล้นขอบตา
แต่ประกายต่อต้านยังอัดแน่นเต็มเปี่ยมในหน่วยตาที่ทอดมองไปยังรูปถ่ายใบหน้าเปรอะคราบเลือดของรุ่นพี่ที่จากไป
“ฉันก็ไม่เชื่อ
แต่ต้องมีทั้งพยานและหลักฐานหนักแน่นพอที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของป๋อง”
“พี่เอื้อย...พี่เอื้อยจะเป็นพยานให้พี่ป๋อง”
ในตอนที่สิ้นคำของเพลงพิณ
ระพีพัฒน์หันไปสบตาสื่อความหมายกับสารวัตรอัชวินอย่างตั้งใจ
และรอยยิ้มที่มุมปากของสารวัตรใหญ่ก็คล้ายเป็นคำอนุญาตกลาย ๆ
“ถ้าอย่างนั้น
พาฉันไปพบเอื้อย เราจะได้ช่วยกันยืนยันความบริสุทธิ์ของป๋องไงล่ะ”
ชายหนุ่มจึงรุกต่อในแผนการที่อยู่ในใจของตน
ทั้งสองเดินทางออกจากกรมสืบสวนคดีพิเศษ มุ่งหน้าสู่ถนนสายบันเทิงยามราตรีที่ยังไม่ได้เวลาทำการของเหล่าผีเสื้อกลางคืน
ภาพความร้างผู้คนจึงไม่คุ้นตาสำหรับคนที่มักมาเยี่ยมถิ่นนี้อย่างระพีพัฒน์
แต่เป้าหมายวันนี้ไม่ใช่การมาเที่ยวอย่างเคย เขาบังคับรถเลยไปจนถึงแหล่งที่อยู่อาศัยแออัดตามการนำทางของเพลงพิณ
แล้วชะลอความเร็วเพื่อจอด เมื่อถึงหน้าทางเข้าห้องเช่าแออัด
“ผมจะเข้าไปบอกพี่เอื้อยเรื่องพี่เอาไว้”
เพลงพิณพูดพร้อมกับเปิดประตู แต่เด็กหนุ่มกลับหยุดชะงักแล้วปิดประตูรถตามเดิม
“ทำไมหรือ”
ระพีพัฒน์ถามอย่างสงสัย
“ไอ้สำริด”
เพลงพิณเอ่ยพลางพยักพเยิดบอกให้มองไปทางชายฉกรรจ์ที่กำลังยืนพ่นควันบุหรี่ริมถนน
“ใคร”
ระพีพัฒน์ส่งคำถามพลางพินิจมองเจ้าของผมยาวสีดำสนิทประกายน้ำเงินที่ถูกมัดรวบขึ้น
แต่ใบหน้าคล้ำถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดสีดำ
“คนของคุณนายดารา”
เพลงพิณพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “แล้วรถที่จอดหลบมุมนั่นก็รถของเสี่ยเกียง”
“ให้ฉันขับไปจอดที่อื่นไหม”
เขาเสนอทางเลือก
“ไม่เป็นไร
ผมจะรอให้เสี่ยออกมาก่อน”
แล้วพวกเขาก็รอไม่นานนัก
ร่างท้วมของชายสูงวัยเดินออกมาจากปากทางเข้าห้องเช่าด้วยท่าทางวางก้ามกับคนในละแวกนั้น
ในขณะที่คนของคุณนายดาราหลบเลี่ยงหายตัวไป
หลังจากเพลงพิณลงจากรถ
ระพีพัฒน์ตัดสินใจตามลงไปด้วย ในเมื่อจะต้องทำงานร่วมกัน
คงไม่ผิดที่จะเสนอหน้าไปให้เห็นก่อนเริ่มงาน
แต่เสียงร้องไห้ที่ดังแว่วมาหยุดขาเขาไว้ที่มุมกำแพง แล้วลอบมองใบหน้านองน้ำตาของหญิงสาว
โดยมีเพลงพิณกอดและร่วมประสานเสียงร้องไห้ไปด้วย
คงไม่ใช่เวลาเหมาะแน่ที่จะมากล่อมคนกำลังมีสภาพจิตใจอ่อนไหว
แล้วดวงตาโศกของเธอก็เรียกคะแนนสงสารจากเขาได้ดีเกินไปจนอาจทำให้พูดอะไรไม่ออก
ระพีพัฒน์จึงตัดสินใจย้อนกลับไปรอเพลงพิณที่รถ
แล้วชั่งใจให้ถ้วนถี่ว่าหญิงสาวที่กำลังมีจิตใจอ่อนแอเหมาะจะทำงานเป็นนางนกต่อจริงหรือ
นอกเสียจากเธอจะเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังความแค้นให้มากพอที่จะกล้าเสี่ยงรับงาน
ความคิดนั้นส่งผลให้ระพีพัฒน์เข้ามาเป็นแขกของผับที่หญิงสาวทำงานในเย็นวันเดียวกัน
สภาพภายในนั้นเต็มไปด้วยแสงสีเสียง
บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยความอึกทึกผิดแผกจากตัวอาคารที่เป็นตึกเก่า แต่ถูกนำมาปรับปรุงให้เป็นสถานที่ผ่อนคลายความตึงเครียดของเหล่าผีเสื้อกลางคืน
เขาเลือกนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์
สั่งเมนูเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว จากนั้นสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
แม้จะเชี่ยวชาญแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาเยือนมูนไลต์ชาโดว์
และดูเหมือนว่าเขาต้องเวียนว่ายมาที่นี่บ่อยครั้ง
ความคิดนี้เกิดขึ้นในตอนที่มีเสียงเพลงเปิดตัวเหล่านักเต้นหน้าใสในชุดสายเดี่ยวและกระโปรงแสนสั้นเร้าใจ
แต่คนที่ดึงสายตาเขาไว้ได้คือหญิงสาวที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงกลางเวที
และเธอผู้นั้นก็กำลังเผยรอยยิ้มประกายสดใสโปรยเป็นทานให้แก่กระทาชายน้อยใหญ่ราวกับไม่เคยสูญเสียสิ่งสำคัญของชีวิตไป
“พี่เพิ่งเคยมาหรือครับ”
เสียงใครสักคนถามใกล้หู ชายหนุ่มจึงหันไป แล้วพบว่าผู้ตั้งคำถามคือบาร์เทนเดอร์ที่ชงเครื่องดื่มให้เขา
“ครั้งแรก”
ก็มิได้โกหกแต่อย่างใด
“มิน่าล่ะ
มองเอื้อยตาไม่กะพริบ” บาร์เทนเดอร์คนเดิมชวนคุย
ส่งสายตาพยักพเยิดไปทางนางระบำบนเวที
ขณะเช็ดถูแก้วแล้วโน้มหน้าเข้าใกล้เพื่อพูดเสียงเบา “แต่พี่อย่าคิดไปเกี้ยวเชียวนา
นั่นน่ะเด็กเสี่ย”
ถึงจะรู้อยู่แล้ว
แต่ระพีพัฒน์ขอเล่นด้วยสักหน่อย จึงปั้นหน้าสงสัย
“เสี่ยไหน”
บาร์เทนเดอร์ช่างคุยทำเสียงจึ๊กจั๊กเหมือนว่าเขาไปอยู่ไหนมา
“ก็เสี่ยเกียงไง
เจ้าของผับนี้น่ะ”
เขาร้องอ๋อเบา ๆ
“แล้วนอกจากเอื้อย มีใครเป็นเด็กเสี่ยอีกไหม จะได้ระวังไว้”
บาร์เทนเดอร์กวาดตามองไปรอบผับ
“มีแค่ยายเอื้อยนั่นแหละคนโปรด โปรดทั้งเสี่ยทั้งคุณนายดารา”
ระพีพัฒน์ฟังคำซุบซิบเจ้านายด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ในหัวนั้นกำลังใคร่ครวญถึงคุณนายดาราที่ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งที่สองของวัน
แต่ในขณะกวาดตาหันไปสำรวจรอบ ๆ นั้นก็ไปปะทะกับดวงตาของนายสำริดที่บังเอิญหันมาทางเขาพอดี
ระพีพัฒน์จึงทำเป็นเรียกเด็กเชียร์เบียร์ที่กำลังเดินไปตามโต๊ะนั้นโต๊ะนี้เสนอขายสินค้าของเธอให้เข้ามาเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางพิรุธ
จากนั้นหันไปเทความสนใจกับการแสดงบนเวทีที่จบลงในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
เมื่อนักเต้นสาวที่หมายตาเยื้องย่างลงจากเวทีแล้วแทรกตัวในหมู่คนเดินลับหายไปที่ประตูด้านในสุดของผับ
จึงลอบเดินตามร่างอรชรที่ไปหย่อนตัวนั่งลงบนพื้นพิงหลังกับกำแพงตาข่ายเหล็ก
เขาจะเข้าไปใช้โอกาสทาบทามหญิงสาวตามแผนของสารวัตร
แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปใกล้นั้น มีใครคนหนึ่งเดินตรงมา ก็ต้องรีบหลบฉากถอยกลับไปลอบมองข้างลังเบียร์ตามเดิม
ผู้ที่เข้าไปหาหญิงสาวคือนายสำริด
และดูเหมือนว่าการกระทำของเขาคล้ายกับการลวนลามสตรีเพศ แต่เธอไม่ยินยอม เอื้อยจึงยกมือฟาดลงใบหน้า
แต่หยุดความหยาบช้าของนายสำริดไม่ได้
แถมยิ่งเพิ่มโทสะให้เขาใช้มือบีบเค้นลำคอของเธอ ก่อนดันให้ตรึงกับผนังตาข่ายเหล็ก
เพล้ง!
เพราะอยากช่วยเธอ ระพีพัฒน์จึงดันลังเบียร์เก่าสุดแรงจนโค่นลงมา ส่งผลให้ขวดเบียร์แตกกระจายส่งเสียงดัง
คนของผับหลายคนวิ่งออกมาดู ส่วนชายหนุ่มต้นเหตุรีบใช้ความมืดอำพรางตัว
ลอบมองนายสำริดปล่อยหญิงสาวแล้วเดินเลี่ยงหลบไปอีกทาง
เมื่อร่างบอบบางได้รับอิสระ เธอก็ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงตาข่าย
แล้วก้มหน้าซุกกับหัวเข่า ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะเข้าไปประชิดตัวได้ในวันนี้
“ฉันขอคุยกับเธอหน่อย ใช้เวลาไม่นาน”
เธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาชื้นน้ำ เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณที่ช่วยฉัน”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันช่วย” คิ้วเข้มเลิกขึ้น
“มีกลิ่นเบียร์ติดที่รองเท้าของคุณ”
เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก คิดในใจว่าอาจประเมินผู้หญิงคนนี้ผิดไป
“ฟังฉันนะ...เอื้อย”
“คุณรู้จักชื่อฉัน?”
ดวงตาโศกฉาบอายแชโดว์สีเทาหม่นบอกเขาว่าต้องการคำตอบ
สายสืบจำเป็นจึงลอบถอนหายใจ แล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้เธอได้ยินชัดเจน
“ฉันรู้จักมากกว่าชื่อของเธอ...ฉันรู้ว่าพ่อของเธอถูกจำคุกอยู่ด้วยข้อหาร่วมกระทำผิดในคดีอุกฉกรรจ์กับนายพนา”
เรียวปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น
“พิณบอกว่าจะมีคนมาคุยกับฉันเรื่องเป็นพยานให้ป๋อง หรือว่าคนคนนั้นจะเป็นคุณ
คุณเป็นใคร ไม่ใช่นักแข่งรถมือสมัครเล่นหรือไงกัน”
“ฉันทำงานให้สารวัตรอัชวิน”
เขาบอกเธอแค่นั้นเพื่อต้องการปกปิดเรื่องของตัวเอง
“และต้องการความร่วมมือจากเธอเพื่อให้คดีของป๋องสรุปเร็วขึ้น”
“คดีของป๋องสรุปเร็วขึ้น?”
ดวงตาคมจ้องมองมาราวกับอยากรู้ความหมาย
แต่เขายังไม่รีบร้อนบอกอะไรมากมายตอนนี้ “ถ้าอยากรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ก็ร่วมมือกับเรา
รีบตัดสินใจ เพลงพิณหรือผู้เคราะห์ร้ายคนอื่นอาจกำลังถูกตามล่าจากคนคนเดียวกัน
ที่สำคัญ...”
แต่ก่อนจะพูดคำต่อมา เขากวาดตามองรอบตัวพลางกระซิบใกล้ใบหูโคโยตี้สาว “ทางตำรวจพบลายนิ้วมือของพ่อเธอบนกระดาษที่เจอในศพป๋อง”
ยังไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงสาว นอกจากการจ้องตาเขานิ่งอย่างที่ชายหนุ่มไม่อาจคาดเดาความหมาย
เธอหยัดตัวขึ้นยืน แล้วก้าวขาเดินราวกับไม่ได้สนใจหรือได้ยินคำพูดของเขาก่อนหน้า
“เรามีเวลาไม่มากนัก” ชายหนุ่มรั้งร่างบอบบางให้หันหลังกลับมา เขาย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ถ้าไม่อยากสูญเสียไปมากกว่านี้ เธอต้องร่วมมือกับตำรวจ”
ดวงตาสีหม่นมีประกายวูบไหว
แต่เมื่อมีเสียงเพลงแว่วดังจากผับที่คงมีใครบางคนเปิดประตูออกมา เธอจึงหมุนตัวพาร่างบางสะโอดสะองเดินกลับเข้าไป
เหลือเพียงแต่ชายหนุ่มที่ยังยืนมองอยู่ใต้ไฟสลัวของหลอดนีออน
ความคิดเห็น