NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๕ มูนไลต์ชาโดว์

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 63


    บทที่ 5

    มูนไลต์ชาโดว์

     

              พลังเสียงที่เกิดจากความเร็วสูงแหวกผ่านอากาศดังลั่นทั่วสนามแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ นักบิดแต่ละคนล้วนคัดขุมความแรงของเครื่องยนต์ชั้นเยี่ยมมาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร การแข่งขันชิงเจ้าความเร็วจึงเป็นไปอย่างดุเดือด จนผู้ชมข้างสนามต่างลุ้นกันนั่งไม่ติดที่

              กระทั่งโค้งสุดท้าย เหล่านักแข่งต่างก็เริ่มเร่งความเร็วไล่บี้กันไปให้ถึงเส้นชัยแบบหายใจรดต้นคอ แต่ผู้ที่มีทักษะลีลาการเข้าโค้งอันเหนือกว่าเท่านั้นที่สามารถพาล้อของตนแตะชัยชนะเป็นอันดับแรก

              และเมื่อเสียงประกาศอย่างเป็นทางการบอกว่าใครเป็นเจ้าความเร็วในการแข่งขันครั้งนี้ กองเชียร์ต่างกระโดดตัวลอยแสดงความยินดีกับผู้ชนะที่ถอดหมวกกันน็อกออก เผยให้เห็นโฉมหน้าเฉี่ยวในแบบหนุ่มสายเลือดมังกร

              “แม่หัวใจจะวายให้ได้เลยตฤณ เข็ดแล้ว ไม่กล้ามาดูลูกแข่งแล้ว” ผู้เป็นมารดาเดินมาโอบกอดตัวเขาแน่นพร้อมกับเสียงบ่นแสนคุ้นเคย

              “ผมบอกแม่แล้วนี่ครับว่าอย่ามาเลย” ตฤณคลายมือจากเอวของมารดา แล้วเดินไปกอดรัดเตชิน บิดาผู้เป็นต้นแบบดวงตาเหยี่ยว มรดกทางพันธุกรรมอันแสนภาคภูมิใจ “เห็นฝีมือผมหรือยังพ่อ”

              “เออ เก่ง” คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยใบหน้าล้อเลียน “วันนี้แกทำได้ดีมาก”

              “ถ้าพ่อไม่ยกกาสิโนให้ผมดูแลเต็มตัว ผมก็จะทำกิจการสนามแข่งรถนี่แหละ แล้วมาดูกันว่าใครจะทำรายได้มากกว่ากัน” ฝ่ายลูกชายท้าทาย

              “ก่อนจะท้าพ่อ ไปถามแม่แกก่อนมั้ยว่า เขาอยากให้อนาคตทนายของควีนส์คอร์ปมานั่งบนอานรถแข่งหรือเปล่า”

              ตฤณยิ้มให้บิดาอย่างรู้กัน แล้วขอตัวออกไปรับถ้วยรางวัลตามเสียงประกาศเรียก โดยมีเขาเป็นผู้ครองแท่นชนะเลิศลำดับที่หนึ่ง และแท่นลำดับสองนั้นควรมีร่างของระพีพัฒน์มายืนชูสองแขนฉลองชัยด้วยกัน

              ทว่ามันกลับว่างเปล่าด้วยเหตุผลที่ฝากบอกทีมงานว่า ขอสละสิทธิ์ไม่ร่วมรับรางวัลเพราะมีธุระด่วนเข้าแทรก เป็นเหตุให้ตฤณกลั้นเสียงคำรามไว้แล้วตีหน้ายิ้มแย้มในตอนที่ก้มหัวรับถ้วยรางวัล แต่ในใจนั้นเดือดจัดยิ่งกว่าหม้อน้ำยามแห้งกรังของรถยนต์

     

              “กระดาษห่อหมากฝรั่ง?

                   คิ้วเข้มของระพีพัฒน์ขมวดมุ่นเข้าหากันจนเกิดรอยย่นลึกที่หัวคิ้ว ดวงตาคมจับจ้องซองใส่ของกลางที่เป็นพลาสติกใสเห็นสิ่งของด้านในแน่วนิ่ง

                   “บนกระดาษมีรอยนิ้วมือของป๋องกับรอยนิ้วมือของนายอำพันปรากฏอยู่ และนอกจากกระดาษชิ้นนั้นแล้วก็มีบุหรี่หนึ่งซอง ไฟแช็กหนึ่งอัน กระเป๋าเงิน บัตรประชาชนกับบัตรนักเรียน” สารวัตรใหญ่สาธยายต่อ ขณะเดินวนโต๊ะมาหยุดด้านหลังชายหนุ่มที่กำลังเท้าแขนใช้สายตาจ้องหลักฐานต่าง ๆ

              “ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเก็บกระดาษห่อหมากฝรั่งเปล่าไว้กับตัว”

              คำรำพึงของระพีพัฒน์ตรงใจกับสิ่งที่สารวัตรคิด “ผลการพิสูจน์หลักฐานชี้ชัดว่าพบสารเสพติดชนิดหลอนประสาทเจือปนในเลือดของนายป๋องคนนี้”

              รูปถ่ายหน้าตรงของศพถูกวางลงตรงหน้า ถึงจะมองแล้วไม่โสภานัก แต่สมองของระพีพัฒน์สั่งให้เขาหยิบรูปถ่ายขึ้นมาสำรวจดู พลางฟังเสียงพูดของสารวัตรอัชวิน

              “แต่จากการสอบปากคำเพลงพิณ เด็กหนุ่มนั่นเถียงคอเป็นเอ็นว่านายป๋องไม่มีทางค้ายา ส่วนการตรวจปัสสาวะคู่กรณีที่ร่วมก่อเหตุวิวาททั้งหมดในคืนนั้นออกมาเป็นบวก แต่เจ้าเพลงพิณขาวสะอาด”

              “แล้วมือปืนปริศนาล่ะครับ”

              “ยังหาตัวไม่พบ”

              “พี่ป๋องตายไปหลายวันแล้ว แต่ยังจับตัวไอ้นรกนั่นไม่ได้ ทำไมทำงานกันช้าขนาดนี้!” เกิดเสียงกระโชกโฮกฮากลั่นผ่ากลางวงสนทนา

              “ใครปล่อยให้เอ็งเข้ามา มันยังไม่ถึงเวลาเรียกตัว” อัชวินกดน้ำเสียงต่ำ ตำหนิเด็กหนุ่มผมยาวประบ่าที่ผลักประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต “แล้วอย่าดูถูกการทำงานของเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้มีคดีเดียวให้จัดการ”

              “อ๋อ...” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ “กะอีแค่เด็กช่างกลโดนยิงตายกลางงานแสดงรถ มันไม่ใช่คดีเด็ดคดีดังขนาดทำให้ตำแหน่งสารวัตรอัปเกรดได้อย่างนั้นละสิ”

              “สามหาวนัก!” สารวัตรเดือดดาลขึ้นทันที

              “ถ้าฉันเป็นแกนะเพลงพิณ...ฉันจะไม่พูดอะไรพล่อย ๆ แบบนั้นต่อหน้าสารวัตร แต่...” ระพีพัฒน์ที่เงียบฟังได้สักพักต้องรีบห้ามทัพ

              เขาวางรูปถ่ายผู้ตายลงแล้วหันหน้ามายืน ใช้สองมือล้วงกระเป๋ามองเด็กหนุ่มวัยคะนองด้วยท่าทีนิ่งสงบ แล้วเอ่ยประโยคต่อให้จบว่า

              “แต่จะพูดลับหลังแทน”

              “อ้าว...ไอ้...” สารวัตรใหญ่ถึงกับฉุนกึกนึกว่าจะช่วยพูด แต่ยังไม่ได้พ่นคำกล่าวสั่งสอน มือของชายหนุ่มก็ยกขึ้นห้ามเสียงไว้

              “แต่การตายของป๋องมันไม่ใช่แค่เรื่องนักเรียนช่างกลตีกันอย่างที่ข่าวออกไป” ระพีพัฒน์อธิบายกู้หน้าให้สารวัตรใหญ่ “เพียงแค่เราต้องมั่นใจก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ตัวการสำคัญ”

              “พี่ป๋องไม่มีทางค้ายา!” เพลงพิณพูดเสียงกร้าว “ไม่มีทางที่พี่ป๋องจะหันไปหาความชั่วอย่างที่พ่อ ๆ ของพวกเราทำ!

              ระพีพัฒน์ไหวไหล่ ยืนเอามือทั้งสองล้วงกระเป๋า “มีไฟย่อมมีควันฉันใด เสพยาได้ก็ต้องค้าได้เป็นธรรมดา และทางเจ้าหน้าที่ก็พิสูจน์แล้วว่า ในเลือดของป๋องมีสารเสพติด”

              “ผมไม่เชื่อ” คล้ายมีน้ำตาเอ่อล้นขอบตา แต่ประกายต่อต้านยังอัดแน่นเต็มเปี่ยมในหน่วยตาที่ทอดมองไปยังรูปถ่ายใบหน้าเปรอะคราบเลือดของรุ่นพี่ที่จากไป

              “ฉันก็ไม่เชื่อ แต่ต้องมีทั้งพยานและหลักฐานหนักแน่นพอที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของป๋อง”

              “พี่เอื้อย...พี่เอื้อยจะเป็นพยานให้พี่ป๋อง”

              ในตอนที่สิ้นคำของเพลงพิณ ระพีพัฒน์หันไปสบตาสื่อความหมายกับสารวัตรอัชวินอย่างตั้งใจ และรอยยิ้มที่มุมปากของสารวัตรใหญ่ก็คล้ายเป็นคำอนุญาตกลาย ๆ

              “ถ้าอย่างนั้น พาฉันไปพบเอื้อย เราจะได้ช่วยกันยืนยันความบริสุทธิ์ของป๋องไงล่ะ” ชายหนุ่มจึงรุกต่อในแผนการที่อยู่ในใจของตน

              ทั้งสองเดินทางออกจากกรมสืบสวนคดีพิเศษ มุ่งหน้าสู่ถนนสายบันเทิงยามราตรีที่ยังไม่ได้เวลาทำการของเหล่าผีเสื้อกลางคืน ภาพความร้างผู้คนจึงไม่คุ้นตาสำหรับคนที่มักมาเยี่ยมถิ่นนี้อย่างระพีพัฒน์ แต่เป้าหมายวันนี้ไม่ใช่การมาเที่ยวอย่างเคย เขาบังคับรถเลยไปจนถึงแหล่งที่อยู่อาศัยแออัดตามการนำทางของเพลงพิณ แล้วชะลอความเร็วเพื่อจอด เมื่อถึงหน้าทางเข้าห้องเช่าแออัด

              “ผมจะเข้าไปบอกพี่เอื้อยเรื่องพี่เอาไว้” เพลงพิณพูดพร้อมกับเปิดประตู แต่เด็กหนุ่มกลับหยุดชะงักแล้วปิดประตูรถตามเดิม

              “ทำไมหรือ” ระพีพัฒน์ถามอย่างสงสัย

              “ไอ้สำริด” เพลงพิณเอ่ยพลางพยักพเยิดบอกให้มองไปทางชายฉกรรจ์ที่กำลังยืนพ่นควันบุหรี่ริมถนน

              “ใคร” ระพีพัฒน์ส่งคำถามพลางพินิจมองเจ้าของผมยาวสีดำสนิทประกายน้ำเงินที่ถูกมัดรวบขึ้น แต่ใบหน้าคล้ำถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดสีดำ

              “คนของคุณนายดารา” เพลงพิณพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “แล้วรถที่จอดหลบมุมนั่นก็รถของเสี่ยเกียง”

              “ให้ฉันขับไปจอดที่อื่นไหม” เขาเสนอทางเลือก

              “ไม่เป็นไร ผมจะรอให้เสี่ยออกมาก่อน”

              แล้วพวกเขาก็รอไม่นานนัก ร่างท้วมของชายสูงวัยเดินออกมาจากปากทางเข้าห้องเช่าด้วยท่าทางวางก้ามกับคนในละแวกนั้น ในขณะที่คนของคุณนายดาราหลบเลี่ยงหายตัวไป

              หลังจากเพลงพิณลงจากรถ ระพีพัฒน์ตัดสินใจตามลงไปด้วย ในเมื่อจะต้องทำงานร่วมกัน คงไม่ผิดที่จะเสนอหน้าไปให้เห็นก่อนเริ่มงาน แต่เสียงร้องไห้ที่ดังแว่วมาหยุดขาเขาไว้ที่มุมกำแพง แล้วลอบมองใบหน้านองน้ำตาของหญิงสาว โดยมีเพลงพิณกอดและร่วมประสานเสียงร้องไห้ไปด้วย

              คงไม่ใช่เวลาเหมาะแน่ที่จะมากล่อมคนกำลังมีสภาพจิตใจอ่อนไหว แล้วดวงตาโศกของเธอก็เรียกคะแนนสงสารจากเขาได้ดีเกินไปจนอาจทำให้พูดอะไรไม่ออก

              ระพีพัฒน์จึงตัดสินใจย้อนกลับไปรอเพลงพิณที่รถ แล้วชั่งใจให้ถ้วนถี่ว่าหญิงสาวที่กำลังมีจิตใจอ่อนแอเหมาะจะทำงานเป็นนางนกต่อจริงหรือ นอกเสียจากเธอจะเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังความแค้นให้มากพอที่จะกล้าเสี่ยงรับงาน

              ความคิดนั้นส่งผลให้ระพีพัฒน์เข้ามาเป็นแขกของผับที่หญิงสาวทำงานในเย็นวันเดียวกัน สภาพภายในนั้นเต็มไปด้วยแสงสีเสียง บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยความอึกทึกผิดแผกจากตัวอาคารที่เป็นตึกเก่า แต่ถูกนำมาปรับปรุงให้เป็นสถานที่ผ่อนคลายความตึงเครียดของเหล่าผีเสื้อกลางคืน

              เขาเลือกนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ สั่งเมนูเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว จากนั้นสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แม้จะเชี่ยวชาญแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาเยือนมูนไลต์ชาโดว์

              และดูเหมือนว่าเขาต้องเวียนว่ายมาที่นี่บ่อยครั้ง ความคิดนี้เกิดขึ้นในตอนที่มีเสียงเพลงเปิดตัวเหล่านักเต้นหน้าใสในชุดสายเดี่ยวและกระโปรงแสนสั้นเร้าใจ แต่คนที่ดึงสายตาเขาไว้ได้คือหญิงสาวที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงกลางเวที และเธอผู้นั้นก็กำลังเผยรอยยิ้มประกายสดใสโปรยเป็นทานให้แก่กระทาชายน้อยใหญ่ราวกับไม่เคยสูญเสียสิ่งสำคัญของชีวิตไป

              “พี่เพิ่งเคยมาหรือครับ” เสียงใครสักคนถามใกล้หู ชายหนุ่มจึงหันไป แล้วพบว่าผู้ตั้งคำถามคือบาร์เทนเดอร์ที่ชงเครื่องดื่มให้เขา

              “ครั้งแรก” ก็มิได้โกหกแต่อย่างใด

              “มิน่าล่ะ มองเอื้อยตาไม่กะพริบ” บาร์เทนเดอร์คนเดิมชวนคุย ส่งสายตาพยักพเยิดไปทางนางระบำบนเวที ขณะเช็ดถูแก้วแล้วโน้มหน้าเข้าใกล้เพื่อพูดเสียงเบา “แต่พี่อย่าคิดไปเกี้ยวเชียวนา นั่นน่ะเด็กเสี่ย”

              ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ระพีพัฒน์ขอเล่นด้วยสักหน่อย จึงปั้นหน้าสงสัย

              “เสี่ยไหน”

              บาร์เทนเดอร์ช่างคุยทำเสียงจึ๊กจั๊กเหมือนว่าเขาไปอยู่ไหนมา

              “ก็เสี่ยเกียงไง เจ้าของผับนี้น่ะ”

              เขาร้องอ๋อเบา ๆ “แล้วนอกจากเอื้อย มีใครเป็นเด็กเสี่ยอีกไหม จะได้ระวังไว้”

              บาร์เทนเดอร์กวาดตามองไปรอบผับ “มีแค่ยายเอื้อยนั่นแหละคนโปรด โปรดทั้งเสี่ยทั้งคุณนายดารา”

              ระพีพัฒน์ฟังคำซุบซิบเจ้านายด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในหัวนั้นกำลังใคร่ครวญถึงคุณนายดาราที่ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งที่สองของวัน แต่ในขณะกวาดตาหันไปสำรวจรอบ ๆ นั้นก็ไปปะทะกับดวงตาของนายสำริดที่บังเอิญหันมาทางเขาพอดี

              ระพีพัฒน์จึงทำเป็นเรียกเด็กเชียร์เบียร์ที่กำลังเดินไปตามโต๊ะนั้นโต๊ะนี้เสนอขายสินค้าของเธอให้เข้ามาเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางพิรุธ จากนั้นหันไปเทความสนใจกับการแสดงบนเวทีที่จบลงในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น

              เมื่อนักเต้นสาวที่หมายตาเยื้องย่างลงจากเวทีแล้วแทรกตัวในหมู่คนเดินลับหายไปที่ประตูด้านในสุดของผับ จึงลอบเดินตามร่างอรชรที่ไปหย่อนตัวนั่งลงบนพื้นพิงหลังกับกำแพงตาข่ายเหล็ก เขาจะเข้าไปใช้โอกาสทาบทามหญิงสาวตามแผนของสารวัตร แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปใกล้นั้น มีใครคนหนึ่งเดินตรงมา ก็ต้องรีบหลบฉากถอยกลับไปลอบมองข้างลังเบียร์ตามเดิม

              ผู้ที่เข้าไปหาหญิงสาวคือนายสำริด และดูเหมือนว่าการกระทำของเขาคล้ายกับการลวนลามสตรีเพศ แต่เธอไม่ยินยอม เอื้อยจึงยกมือฟาดลงใบหน้า แต่หยุดความหยาบช้าของนายสำริดไม่ได้ แถมยิ่งเพิ่มโทสะให้เขาใช้มือบีบเค้นลำคอของเธอ ก่อนดันให้ตรึงกับผนังตาข่ายเหล็ก

           เพล้ง!

              เพราะอยากช่วยเธอ ระพีพัฒน์จึงดันลังเบียร์เก่าสุดแรงจนโค่นลงมา ส่งผลให้ขวดเบียร์แตกกระจายส่งเสียงดัง คนของผับหลายคนวิ่งออกมาดู ส่วนชายหนุ่มต้นเหตุรีบใช้ความมืดอำพรางตัว ลอบมองนายสำริดปล่อยหญิงสาวแล้วเดินเลี่ยงหลบไปอีกทาง

              เมื่อร่างบอบบางได้รับอิสระ เธอก็ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงตาข่าย แล้วก้มหน้าซุกกับหัวเข่า ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะเข้าไปประชิดตัวได้ในวันนี้

              “ฉันขอคุยกับเธอหน่อย ใช้เวลาไม่นาน”

              เธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาชื้นน้ำ เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณที่ช่วยฉัน”

              “รู้ได้ยังไงว่าฉันช่วย” คิ้วเข้มเลิกขึ้น

              “มีกลิ่นเบียร์ติดที่รองเท้าของคุณ”

              เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก คิดในใจว่าอาจประเมินผู้หญิงคนนี้ผิดไป “ฟังฉันนะ...เอื้อย”

              “คุณรู้จักชื่อฉัน?

              ดวงตาโศกฉาบอายแชโดว์สีเทาหม่นบอกเขาว่าต้องการคำตอบ สายสืบจำเป็นจึงลอบถอนหายใจ แล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้เธอได้ยินชัดเจน “ฉันรู้จักมากกว่าชื่อของเธอ...ฉันรู้ว่าพ่อของเธอถูกจำคุกอยู่ด้วยข้อหาร่วมกระทำผิดในคดีอุกฉกรรจ์กับนายพนา”

              เรียวปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น “พิณบอกว่าจะมีคนมาคุยกับฉันเรื่องเป็นพยานให้ป๋อง หรือว่าคนคนนั้นจะเป็นคุณ คุณเป็นใคร ไม่ใช่นักแข่งรถมือสมัครเล่นหรือไงกัน”

              “ฉันทำงานให้สารวัตรอัชวิน” เขาบอกเธอแค่นั้นเพื่อต้องการปกปิดเรื่องของตัวเอง “และต้องการความร่วมมือจากเธอเพื่อให้คดีของป๋องสรุปเร็วขึ้น”

              “คดีของป๋องสรุปเร็วขึ้น?

              ดวงตาคมจ้องมองมาราวกับอยากรู้ความหมาย แต่เขายังไม่รีบร้อนบอกอะไรมากมายตอนนี้ “ถ้าอยากรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ก็ร่วมมือกับเรา รีบตัดสินใจ เพลงพิณหรือผู้เคราะห์ร้ายคนอื่นอาจกำลังถูกตามล่าจากคนคนเดียวกัน ที่สำคัญ...”

              แต่ก่อนจะพูดคำต่อมา เขากวาดตามองรอบตัวพลางกระซิบใกล้ใบหูโคโยตี้สาว “ทางตำรวจพบลายนิ้วมือของพ่อเธอบนกระดาษที่เจอในศพป๋อง”

              ยังไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงสาว นอกจากการจ้องตาเขานิ่งอย่างที่ชายหนุ่มไม่อาจคาดเดาความหมาย เธอหยัดตัวขึ้นยืน แล้วก้าวขาเดินราวกับไม่ได้สนใจหรือได้ยินคำพูดของเขาก่อนหน้า

              “เรามีเวลาไม่มากนัก” ชายหนุ่มรั้งร่างบอบบางให้หันหลังกลับมา เขาย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้ม “ถ้าไม่อยากสูญเสียไปมากกว่านี้ เธอต้องร่วมมือกับตำรวจ”

              ดวงตาสีหม่นมีประกายวูบไหว แต่เมื่อมีเสียงเพลงแว่วดังจากผับที่คงมีใครบางคนเปิดประตูออกมา เธอจึงหมุนตัวพาร่างบางสะโอดสะองเดินกลับเข้าไป เหลือเพียงแต่ชายหนุ่มที่ยังยืนมองอยู่ใต้ไฟสลัวของหลอดนีออน




    สายอีบุ๊ก คลิกลิงก์ได้เลยค่ะ

    กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา


    ปรารถนาเพียงเธอ Love you so madly



    ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ
    ผลงานที่อัพจบแล้ว
    หัวใจเศรษฐี



    ผลงานที่กำลังอัพ
    สิ้นแสงสุรีย์




    อยากคุยกับไรท์ กดแอดเฟรนด์หรือกดติดตามเลยค่า
    https://www.facebook.com/mylifeiswritingmydream/

    หรือไลค์เพจไว้จะได้ไม่พลาดข่าวอัพนิยาย



    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

    ฤดีวัลย์


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×