ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
INFINITY S ; รัก เหลือ ร้าย! นาย(บอดี้การ์ด)เทวดา

ลำดับตอนที่ #5 : ∞ 8's ∞ จินตนาการ

  • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 54


 

 





4

จินตนาการ

 

                วันต่อมา...

8/8/20XX

                05.30 น.

                ฉันตื่นแต่เช้าด้วยอารมณ์ที่ลัลล้าสุดๆ วันนี้เป็นที่ฉันมีอายุครบ 18 ปีล่ะค่า >O< เมื่อคืนแอบฝันร้ายนิดๆ ฉันฝันว่าถูกพวกปีศาจจับตัวไป พวกมันควักหัวใจฉันด้วยล่ะ แล้วอีกอย่างนะ ปีศาจพวกนั้นเหมือนกับที่เคยเห็นวันนั้นเด๊ะ! ไอ้หัวสีเลือดนั่นล่ะ บรื๋อ~~!!!

                วันนี้ฉันเลยตั้งใจว่าจะตื่นเช้ามาเพื่อใส่บาตร ทำบุญสะเดาะเคราะห์ซักหน่อย (ความจริงตั้งใจจะตื่นมาทำบุญวันเกิดต่างหาก ใครจะไปรู้ว่าจะฝันร้าย ._.)

                ฉันอาบน้ำ แต่งตัว ก่อนจะออกห้องเพื่อเตรียมของใส่บาตร

                แต่พอเข้าไปถึงห้องครัว ฉันก็มึนตื้อไปหมด! ก็ตั้งแต่แม่เสียฉันยังไม่เคยได้ใส่บาตรวันเกิดสักครั้ง แถมตอนแม่อยู่ก็มีแม่เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด ฉันแค่คอยใส่อย่างเดียวนั่นล่ะ

                พ่อแทบจะจำวันเกิดฉันไม่ได้ ยิ่งตอนมียัยแม่เลี้ยงกับยัยฟ้าครึ้มมาอยู่ที่บ้าน ก็ดูเหมือนว่าพ่อจะลืมไปแล้วว่าวันที่แปดเดือนแปดเป็นวันเกิดของลูกสาวตัวเอง ฉันจะไม่โกรธเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าหากว่าพ่อไม่จำวันเกิดยัยฟ้าครึ้มได้ขึ้นใจ!

                พอแล้วน่าพิพพิน! วันนี้เกิดเธอนะ ควรจะทำใจให้สบายสิถึงจะถูก...

                หวัดดีพิพพิน ^O^ ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง สเต๊ปซึ่งโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ทักฉัน

                แหม ปกติฉันก็ไม่ได้ตื่นสายขนาดนั้นสักหน่อยนี่ยะ

                แต่วันนี้เช้าผิดปกตินะ ^^”

                ไม่มีอะไรหรอก เมื่อคืนฝันร้ายนิดหน่อย ก็เลยรีบตื่นน่ะ

                ฝันว่าไร เล่าให้ฟังมั่งสิ

                ถ้าฉันเล่าให้นายฟัง นายต้องหาว่าฉันเพ้อเจ้ออ่ะดิ =_= ไม่โง่นะ ไม่เล่าหรอก

                ไม่มีไรมากมายหรอกน่า ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย

                โห พูดจาตัดรอนมาก น้อยใจ T^T” สเต๊ปก้มหน้าลงก่อนจะพาตัวเองเดินหนีจากครัวไปทางห้องนั่งเล่น  แหงะ ทำไมผู้ชายขี้งอน =O=!

                “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวไว้วันนี้ซื้อน้ำผลไม้มาฝาก

                เอาเข้าจริง อินฟินทั้งเจ็ดติดน้ำผลไม้กันมาก ยกเว้นก็แต่สตาร์ท (ก็นายนั่นไม่ได้ไปกินด้วยนี่นา) เขาเอาแต่ว่าเพื่อนๆ ว่าไร้สาระ น้ำพวกนี้มีดีแค่สีสวยเท่านั้นแหละ -_-^

                จริงนะ *O*”

                “จริงสิ วันนี้ว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย

ฉันเปลี่ยนใจละว่าจะไปถวายสังฆทานที่วัดเหมือนที่ทำทุกปีแทน ขืนอยู่ที่นี่วันนี้คงไม่ได้ทำบุญ อีกอย่างก็ถือโอกาสไปหาแม่ด้วยเลย

                “จะไปไหน?สตาร์ทถามขณะเดินออกมาจากห้องนอน เขาเกาหัวที่แสนยุ่งเหยิงเพื่อให้มันยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก =_=

                “อ๋อ ก็วันนี้วันเกอ... เอ้ย วัน... เอ่อ วันฉันไม่อยากบอกพวกเขาว่านี่วันเกิดฉัน แค่อยากอยู่ฉลองกับตัวเองคนเดียว พ่อจำวันเกิดฉันไม่หรอก ออมสินก็ไม่อยู่ ปีนี้เลยอยากลองฉลองวันเกิดคนเดียวดูบ้าง ฉันอยากไปกราบแม่ 10 ปีแล้ว ที่แม่จากไป...

                วันอะไร

                วันครบรอบ 10 ปีที่แม่ฉันเสียไง ฉันอยากไปกราบแม่สักหน่อยน่ะ

                “ให้พวกเราไปด้วยสิ

                ไม่เอา ฉันอยากไปคนเดียว ฉันอยากอยู่กับแม่แค่สองคน

                เพ้อเจ้อจริงเล๊ย! แม่เสียไปแล้วจะอยู่กันสองคนได้ไงเล่า

                นี่! ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็ไม่ต้องพูดก็ได้ย่ะ! ฉันเชื่อเสมอว่าแม่ยังอยู่กับฉันตลอดเวลา

                คิดดีแล้ว สตรอมโผล่ออกมาจากห้องแล้วพูดเบาราวเสียงกระซิบ

                อยากไปก็ไปเถอะ ไปทำบุญทำทานด้วย เมื่อร่างดับสูญจะได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ ที่ที่เธอจะมีความสุขกว่านี้ อ้อ! แล้วก็ไม่ต้องรีบกลับนะนายนี่พูดจาแปลกๆ วุ้ย - -*

                “ตรอม! นายจะปล่อยยัยนี่ไปคนเดียวน่ะหรอสตาร์ทว่า

                เอาเถอะน่า! วันนี้พิพพินจะไปทำบุญ ฉันเชื่อว่าจะปกป้องเธอได้ พวกมันไม่กล้าทำอะไรกับจิตใจที่ผ่องใสหรอก

                แต่ก็ยังไม่น่าวางใจอยู่ดีแหละน่า ยัยนี่จะมีจิตใจผ่องใสได้ยังไงกัน

                ฉันว่าพิพจะขุ่นมัวก็เพราะนายนี่แหละ -*-

                สตาร์ททำหน้าไม่พอใจก่อนจะกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง ฮ่าๆ สตรอมจ๋าาาาาา~~ ฉันรักนาย ^O^

               

                ณ วัดสิริธรรมมงคล

                เมื่อเจ้าโรซี่ (ชื่อรถฉันเองล่ะค่ะ) นิ่งสนิทอยู่ที่ลานจอดรถแล้ว มือก็คว้าเอาสังฆทานและพวงมาลัยดอกมะลิที่ซื้อระหว่างทางมาวัด ก่อนจะเปิดประตูและพาตัวเองออกมาจากกระป๋องเหล็กสีแดง

                จัดการปิดประตูและล็อครถเรียบร้อยฉันก็เดินไปที่อุโบสถซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าอาวาสวัดในขณะนี้ ตามคำบอกเล่าของเด็กวัดคนหนึ่ง

                กราบพระประทานเรียบร้อยก็หันไปทำพิธีถวายสังฆทานกับหลวงพ่อท่าน จนเสร็จพิธี

                มากราบแม่หรือโยม

                ค่ะ

                อาตมาว่าปีนี้ดูโยมจะผ่องใสขึ้นเยอะนะ ทำจิตใจของเราให้สะอาดไว้เช่นนี้เป็นดี อย่าปล่อยให้กิเลสครอบงำ จะนำพามาซึ่งหายนะ

                “ค่ะ

                ไปหามารดาเถอะ ขอเพียงจำคำอาตมาไว้ อย่าปล่อยให้กิเลสครอบงำ อย่าโลภ อย่าโกรธ อย่าหลง จะนำพามาซึ่งหายนะครั้งใหญ่

                ค่ะ นมัสการพระคุณเจ้า ฉันกราบท่าน หลวงพ่อพยักหน้าเล็กน้อย ฉันจึงออกจากโบสถ์แล้วเดินไปหาแม่ เจดีย์ที่ตั้งเรียงรายหลายสิบนั้นไม่ทำให้ฉันสับสน ฉันจำได้เสมอ ว่าอยู่ตรงไหน

                ฉันเดินเข้าไปในทางที่คุ้นเคยก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเจดีย์สีน้ำเงินที่ซีดจาง วางพวงมาลัยดอกมะลิที่แม่ชอบไว้แทนที่อันเก่าซึ่งแทบจะเหลืออยู่แค่เชือกฟางเส้นเล็กๆ สำหรับร้อยเท่านั้น ดอกไม้ที่แห้งกรอบหลุดรุ่ยออกไปจนเกือบหมด

                แม่คะ... ดอกมะลิที่แม่ชอบค่ะ หอมมั๊ย^-^”

ใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้าฉัน กำลังยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ฉันเลื่อนสายตาลงมาจากภาพนั้น ตัวอักษรสีทองซีดลงอย่างน่าใจหาย

            นางภัทรา วรนัดดานุวงศ์

            ชาตะ 19 ธันวาคม 25XX

            มรณะ 8 สิงหาคม 25XX’

            วันที่ 8 เดือน 8 ... วันเกิดฉัน แต่เป็นวันที่แม่จากฉันไป...

                น้ำตาเอ่อจนล้นขอบตาไหลลงมาเป็นสาย ความรู้สึกมากมายที่แสนอัดอั้นระบายออกมาจนหมด หวังเพียงว่า... บุคคลที่แย้มยิ้มตรงหน้าจะรับฟังทุกสิ่งที่อย่างเอื้อนเอ่ย และเข้าใจ...

                แม่คะพิพอายุครบ 18 ปีแล้วนะ คิดถึงแม่จังเลย T-T”

                ....

ตอนนี้พิพย้ายออกมาอยู่คนเดียวแล้วนะคะ บ้านหลังนั้นของเราสามคน... กลายเป็นบ้านแสนสุขของเค้าสามคนแล้วค่ะ...

                ....

แม่ไม่โกรธหนูใช่มั๊ย ที่หนูย้ายออกมา ที่หนูรักษาครอบครัวแสนสุขของเราเอาไว้ไม่ได้

                ....

พ่อห่างเหินกับพิพมาก เค้าอยู่กับลูกสาวและภรรยาสุดที่รักของเขา บ้านหลังนั้น... ทำเหมือนพีพเป็นส่วนเกิน

....

แต่แม่วางใจเถอะค่ะ หนูไม่เคยโกรธพ่อ เพียงแต่ขอสักครั้ง ให้พ่อมาหาหนูบ้าง มากอดหนูบ้าง สักครั้งก็ยังดี

....

แม่ไม่โกรธพ่อนะคะ เพราะพ่อรักแม่ พ่อบอกพิพอย่างนั้น และพิพเชื่อพ่อ

....

อยากกอดแม่จังเลย คิดถึงแม่มากด้วย พีพรักแม่นะคะ T_T”

....

ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่แม่จะอยู่ข้างพิพเสมอใช่มั๊ย T^T แม่ยังอยู่กับพีพตลอดเวลาเหมือนที่แม่เคยให้สัญญาไว้ใช่มั๊ยคะ ว่าที่ตรงนี้ของพิพ... จะมีแม่นั่งอยู่เสมอ ฉันว่าพลางยกฝ่ามือขึ้นแตะที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง แม่บอกว่าจะอยู่ในใจพิพเสมอ จะไม่ยอมไปไหน ต่อให้พิพไล่แม่ก็จะไม่ไป จำได้หรือเปล่าคะ

....

พิพเชื่อแม่นะ พิพรักแม่ ขอโทษที่ลูกคนนี้ไม่มีโอกาสได้ทดแทนคุณ ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่นองหน้าก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ ฉีกริมฝีปากให้แย้มยิ้ม และพูดต่อ พิพรักแม่ และจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง ตอนนี้พิพอาจอยู่ตัวคนเดียว แต่ในใจ พิพไม่ได้อยู่คนเดียว พิพมีแม่ ...ถึงแม้แม่คนนี้จะกอดได้เพียงในฝันก็ตาม

พิพพิน... เสียงเรียกชื่อที่ทุ้มต่ำ ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์                ฉันหันหลังกลับ สตาร์ทยืนอยู่ตรงนั้น ยื่นมือมาให้ฉันและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

ฝันหรือนี่! เขามาได้ยังไง มายิ้มให้... อย่างอ่อนโยน!!!

ฉันเอื้อมมือไปแตะที่มือนั้น O_O สวรรค์!! จับต้องได้จริงๆ ด้วย สตาร์ทใช่มืออีกข้างประกบมือฉันไว้ ก่อนจะออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อดึงให้ฉันลุกขึ้น เพราะแรงดึงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ฉันเซถลาใส่อ้อมอกของเขาอย่างแรง

ใครสั่งใครสอนให้พูดอย่างนั้นห๊ะ!! เธออยู่ตัวคนเดียวที่ไหนเล่า สตาร์ทว่าพลางยกชายเสื้อขึ้นเช็ดคราบน้ำตาให้ฉัน ในน้ำเสียงที่แข็งกร้าวนั้น... มีบางแอบแฝงอยู่

ช่ายยยย~! ลืมพวกเราไปแล้วหรือไง สต๊อปและสตรองโผล่มาจากด้านหลังของสตาร์ทอีกที

นี่พวกนาย...???

สตาร์ทใช่มือสองข้างจับไหล่ฉัน เขาน้อมตัวลงเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน

จำไว้นะยัยขี้แย ต่อให้โลกนี้แตก คนทั้งโลกตายห่าหมด พวกเราทั้งแปดคนจะไม่มีใครยอมตาย ถ้าเธอยังไม่ตาย เพราะพวกฉันเป็นบอดี้การ์ดของเธอ โอเค๊?

ฉันยิ้ม และพยักหน้าอย่างแรง อืม... รู้สึกอบอุ่นประหลาดๆ แฮะ ^-^

สตาร์ทจูงมือฉันเดินกลับออกไป

เฮ้! แล้วพวกนายมากันได้ยังไงล่ะเนี่ย

สตรองชูมือขึ้น กุญแจรถห้อยต่องแต่งอยู่ในมือเขา ก็เมื่อวาน เธอสั่งให้ใครสักคนเอารถมาให้ไม่ใช่หรอ ^O^”

พอมาถึงลานจอดสตาร์ทก็ลากฉันขึ้นรถตู้คันมหึมาไปด้วย สตรองขึ้นประจำที่คนขับ ส่วนสต๊อปก็นั่งข้างคนขับ แล้วทำไมให้ฉันนั่งหลังกับอีตาปากปีจอสองคนล่ะ

เดี๋ยวก่อน! แล้วน้องโรซี่ฉันล่ะ ใครจะเอาน้องโรซี่ฉันกลับ!

เดี๋ยวๆๆ เปิดให้ฉันลงเดี๋ยวนี้นะ

วู้ว!! อะไรของเธออีกล่ะเนี่ยแน่นอนว่าเป็นสตาร์ท ขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง!

รถฉัน ฉันเอารถมา ฉันก็ต้องเอากลับสิ

เซสเอากลับไปแล้ว

หืม???

ที่บ้านเธอมันมีกุญแจอีกอันนึง ฉันเลยให้เซสเอาติดมาด้วย พอเธอจอดรถ หมอนั่นก็โจรกรรมรถเธอไปเลยไง วางใจเถอะน่า!! มันไปดีแล้วรถเธอน่ะ

แง T^T พูดงี้หมายความว่าไงยะ

ก็ไปจอดที่มันแล้วไง เธอนี่ยังไงกันนะ

ก็ฉันเป็นห่วงรถฉันนี่!! ปีนี้ได้ใบขับขี่ด้วย!! ถ้ารถพังไปแล้วใบขับขี่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ

ติ๊งต๊องน่า!”

เมื่อไม่กี่นาทีก่อนฉันจำได้ว่าเขาไม่ใช่แบบนี้นะ -*- สตาร์ทคนเดิมกลับมาแล้วหรือไง ก่อนหน้านั้นผีสิงหมอนี่ใช่มั๊ย? ถ้างั้นขอให้ผีอะไรก็ได้สิงอีตานี่อีกทีเถ๊อะ! สิงแบบชั่วกัปชั่วกัลป์ไปเลยยิ่งดี T^T

อย่ามาแช่งฉันในใจนะยัยบ้า!!”

น่านนนน TwT รู้ดีอีก

 

                16.00 น.

                พวกนายจะพาฉันไปไหนเนี่ย!!!” ฉันโวยวายลั่นรถทันทีที่ตื่น แค่เผลอหลับไปแป๊บเดียว(หรอ?) ทำไมตอนนี้ตรงหน้าฉันถึงเป็นพิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียรได้ล่ะ

                ไม่รู้จะพาไปไหนเหมือนกัน ก็เลยขับมาเรื่อยๆ เห็นช้างนี่ตัวใหญ่ดี ก็เลยมาดูสตรองว่า

                เค้าเรียกช้างสามเศียรย่ะ อืม... ช้างเอราวัณน่ะ

                แล้วทำไมถึงมีสามหัวล่ะ ช้างที่ไหนมีสามหัวสต๊อปถามอย่างสนใจ เขาถึงกับเปลี่ยนท่านั่งให้หันมาทางฉันอย่างกระตือรือร้น

                เอ... ตอนสมัยมัธยม พวกนี้ไม่เคยเรียนเรื่องบทพากย์เอราวัณหรือยังไงกัน แต่ว่าไป... ช้างเอราวัณจริงๆ ก็มีตั้งสามสิบสามเศียรนี่นา แล้วฉันจะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย =_ =

                “ก็เพราะว่านี่ไม่ใช่ช้างจริงๆ ยังไงล่ะ เป็นเรื่องของจินตนาการ

                จินตนาการ หมายถึงอะไร?

                ถ้าตามความคิดของฉัน ก็หมายถึง... อืม หมายถึงความรู้สึกนึกคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นมาล่ะมั้ง เราสามารถจินตนาการสิ่งใดก็ได้ในหัว ประมาณว่าวาดภาพของเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง หรือไม่มีทางเกิดขึ้นได้

                หรอ... ด้วยสีหน้าที่ยังไม่หายสงสัยของสต๊อป ฉันจึงอธิบายต่อ

                อย่างเช่น ฉันจินตนาการว่ารถคันนี้มีปีก มันสามารถบินได้ นายนึกภาพออกมั๊ย? สต๊อปหลับตา เขายิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ นายเห็นมันเหินฟ้าอยู่ใช่มั๊ย?

                “ใช่ๆ มันกำลังล่องลอย...

                นั่นแหละ เรียกว่าคิดแบบจินตนาการ...

                แล้วอะไรคือความคิดแบบไม่จินตนาการล่ะ?

                ฉันหันไปมองที่เจ้าของคำถามนั้นอย่างสงสัย สตาร์ทก็สนใจเรื่องนี้ด้วยหรอ ไม่ทันสังเกตว่าทั้งเขาและสตรองเองก็ลองหลับตาดูเช่นกัน

                จินตนาการคือความคิดถึงสิ่งขณะนั้นที่มองไม่เห็น ในทางตรงข้าม การคิดถึงสิ่งที่ขณะนั้นมองเห็นได้ จึงไม่ใช่จินตนาการฉันมองใบหน้าที่หลับพริ้มของคนข้างๆ ก่อนจะพูดต่อ... สมมติว่า ณ ขณะนี้ ดวงตาของฉันมองเห็นหน้าของใครสักคนอยู่ เห็นผิวหน้าที่ขาวเนียน เห็นคิ้วที่เข้มหนา เห็นขนตาที่ยาวเรียงกันเป็นแพร เห็นจมูกที่โด่งสวย เห็นปากสีแดงที่บางเฉียบ... ฉันจ้องมองใบหน้านั้นราวกับต้องมนต์สะกด สารภาพเถอะ T^T ที่ฉันพูดออกมาเมื่อกี๊เป็นสตาร์ททั้งหมด แง... ทำไมรู้สึกร้อนๆ แอร์เสียหรือเปล่าเนี่ย!

                เปล่า! แอร์ไม่ได้เสีย!! เพราะเส้นผมของสตรองยังขยับไปตามแรงลมอยู่เลย ถ้างั้น... สงสัยจะเป็นสติฉันนี่แหละที่เสีย!

                ใบหน้าที่สะอาดหมดจดนั้นดูไร้พิษภัย เขาเหมือนเด็กชายตัวน้อยๆ ที่น่ารัก (มากๆ) อาจเพราะว่าฉันไม่เคยสังเกตใบหน้าเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วยเช่นนี้มาก่อนละมั้ง ฉันถึงได้รู้สึกสั่นๆ (._.)

                ทำไมฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ใจสั่นยังไงชอบกล แถมมือไม้ยังหาที่เก็บไม่ได้ ทำไมมันเหมือนใบหน้าสตาร์ทเป็นแม่เหล็กชิ้นใหญ่ แล้วมือของฉันเป็นเหล็กแผ่นเบา ที่พร้อมจะเกาะติดใบหน้าเขาได้ทุกเมื่อ!!

                แต่ไม่ทันฝ่ามือฉันจะแตะบนใบหน้าของเขา ดวงตาสีดำขลับนั้นก็เบิกขึ้นเสียก่อน ทำเอาฉันเก็บมือแทบไม่ทันแหนะ

                “หยุดพูดทำไม ฉันยังไม่เห็นเข้าใจเลย เขาขมวดคิ้วแล้วทำท่าขัดใจอย่างเด็กๆ

                อะ อ๋อ คือฉันคิดว่าบางทีความคิดของฉันเริ่มจะตีกัน อธิบายไปนายอาจจะไม่เข้าใจน่ะ

                “- -* แล้วตกลงว่ามันเป็นยังไงกันแน่สตรองเริ่มงงกับท่าทีของฉัน เขาถามคำถามสรุป

                เอาเป็นว่า... จินตนาการคือความคิดที่เราสร้างขึ้นในจิตใจอาจเป็นความเพ้อฝัน หรือความจริงก็ได้ แต่ความจริงที่ไม่ใช่ความคิด ความฝัน สิ่งนั้นไม่ใช่จินตนาการ

                อืม... เหมือนจะเข้าใจนะ สต๊อปว่า...

                -*- ยัยบ้าเอ๊ย!! พูดมาตั้งยืดยาว สุดท้ายไม่มีอะไร

ฉันมองหน้าสตาร์ทอย่างสับสน ผู้ชายคนนี้ทำฉันปั่นป่วน! บางทีเขาเป็นคนดุร้าย ปากหมา น่าถีบ (-*-) แต่ทำไมบางที... เขาก็ดูอ่อนโยน

                ไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว!!! พวกนายพาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ ออกมาทั้งวันแล้วเนี่ย ป่านนี้เพื่อนนายไม่ทำบ้านฉันพังไปแล้วหรอ

                แทบจะทันทีที่ได้ยิน ทั้งสามสะดุ้งพร้อมกัน ไม่ทราบฉันพูดอะไรผิด???

                โอเคๆ กลับเดี๋ยวนี้แหละ สตรองรีบตั้งท่านั่งให้พร้อมแล้วออกเดินทางทันที

 

                17.30 น.

                โรงแรม P&P

                ฉันมองหาโรซี่ทันทีที่ลงจากรถได้ แต่พอเห็นว่ามันยังคงสงบเสงี่ยมอยู่ที่เดิม และยังมีสภาพร่างกายสมบูรณ์ดีก็โล่งใจ

                ฉันเดินนำพวกเขาทั้งสามไปด้านในโรงแรม เดินไปกดลิฟต์และยืนรออยู่ตรงนั้น อินฟินทั้งสามพยายามแทรกตัวมาอยู่ด้านหน้าฉัน เหมือนขัดขวางไม่ให้ฉันขึ้นลิฟท์อะไรทำนองนั้น

                ทันทีที่ประตูเปิดออก พวกเขาทั้งสามก็กระโจนเข้าไปทันที สต๊อปยืนกางแขนอยู่ในลิฟต์ แต่ทว่า! มันอยู่ตรงส่วนที่ชิดกับประตูลิฟต์ -*- แล้วฉันจะเข้าไปยังไงเล่า!!

                “มันเต็มแล้ว เธอรออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหน เดี๋ยวพวกฉันลงมารับ สตรองว่า เต็ม! ฉันล่ะอยากเอาระเบิดปาหัวมันซะจริงๆ มีสามคนมันหน้าด้านบอกฉันว่าลิฟต์เต็ม!!

                “นี่พวกนาย...??? ฉันที่ยังงงๆ พูดอะไรไม่ออก (นี่ขนาดไม่ออกนะ ยังได้ตั้งสามพยางค์ –O-)

                อย่าเพิ่งขึ้นไปจนกว่าจะมารับนะเข้าใจมั๊ย?? สตาร์ทตะโกนออกมาก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง พวกเขากล้าทั้งฉันไว้คนเดียวได้ไงเนี่ย!

                มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ???

                ทำไมต้องห้ามไม่ให้ขึ้นห้องด้วย ก็ในมันเป็นห้องฉัน ฉันต่างหากที่มีสิทธิ์สั่งว่าห้ามขึ้นห้อง

                หรือว่า... พวกเขาทำอะไรกับห้องฉัน!!! มิน่าล่ะ ตอนพูดว่าทำห้องเละพวกเขาถึงพากันสะดุ้ง อย่างนี้แน่ๆ วางแผนกันก่อนชัวร์! หึ ฉลาดกันนัก คิดว่าฉันโง่หรือไง?

                ขับรถตามออกไป ให้สเตดเอารถฉันกลับมาก่อน เพื่อที่ฉันจะไม่สามารถกลับบ้านด้วยตัวเองได้ จากนั้นก็ขับรถออกนอกเมืองเพื่อถ่วงเวลาให้ฉันกลับมาบ้านเย็นๆ ที่ขึ้นไปก่อนนี่ก็เพราะไปตรวจว่าเรียบร้อยหรือเปล่าก่อนจะมารับฉันขึ้นไป อย่างนี้แน่ๆ แต่ว่า... เหตุผลที่ทำอย่างนี้คืออะไรกัน? พวกเขาทำอะไรกับห้องฉัน? ขโมยของ? หรือว่าอะไร?

                ถูกความสงสัยรบเร้าใจหนักเข้า ฉันก็ไม่ยอมรออยู่ตรงนี้ตามที่เขาต้องการ แต่กลับเดินไปขึ้นลิฟต์อีกฝั่ง แต่เพราะลิฟต์ที่สามารถจะขึ้นถึงชั้น 26 ได้ มีเพียงตัวเดียว ฉันถึงต้องเดินขึ้นบันใดจากชั้น 25

                เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว นายลงไปรับพิพพินมาเถอะสตาร์ท แว่วเสียงสเต๊ป ฉันรีบหลบด้านหลังเสาทันที

                ฉันชะโงกหัวออกไปเล็กน้อย เห็นสตาร์ทพยักหน้าและกำลังเดินไปทางลิฟต์ พอเขาหายเข้าไปในลิฟต์ ฉันจึงเดินย่องเบาๆ เพื่อไปดูว่าแผนการของพวกเขาคืออะไร ถ้าหาเป็นเรื่องร้าย ฉันก็จะได้โทรแจ้งตำรวจได้ทันท่วงที อีกอย่าง ถ้าพวกเขารู้ตัว อาจจะหนีไปก่อนก็ได้

                บานประตูที่แง้มออกเพียงเล็กน้อยตอนสตาร์ทออกมา พอจะให้ฉันมองเห็นความเคลื่อนไหวในห้องได้

                o_O?  O_O  OoO

                ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นทำเอาฉันตกใจจนกระเป๋าถือในมือร่วงหล่น แผนที่จะมาอย่างเงียบเฉียบนั้นพังทลายลงไปพร้อมกับหัวใจที่พองโตขึ้นที่ละน้อย!!!

                “แย่แล้วๆ ยัยเตี้ยหายไป ทำ...O_O พิพ!!!”

 

 

__________________________
SFK.an
มาแล้วจ้าาาาา
ขอบคุณทุกคนที่ให้การติดตามเน้อออ
จุ๊บๆๆๆ

_______________________
T B C>>>>>>

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

3ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

3ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×