ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา

ลำดับตอนที่ #5 : กำเนิด(ตี_น)แมวเทวดา

  • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 48


ตอนที่ 5 กำเนิดตีนแมวเทวดา

    

    จิวอวงยี้สองสามวันมานี้ ล้วนมองเหม่อจับจ่องอยู่กับตุ๊กตาไม้ในกล่องที่นำมาจากบ้านเฒ่าแซ่เต็ก นางมีความคิดสับสนร้อนรุ่มมากมาย ใคร่ติดตามหาตั่วกอที่สาบสูญของนาง พอคิดเรื่องราวที่ได้อยู่รวมกับตั่วกอ พลันคิดถึงครอบครัวที่ถูกสังหาร พลันตัดสินใจเขียนจดหมายกล่าวบอกฉบับหนึ่งถึงบรรดาซือแป๋มีใจความว่า ‘ศิษย์อวงยี้ มีความร้อนใจใคร่ติดตามหาคน กับสืบสาวความแค้นแต่หนหลัง อภัยที่ไม่ได้กล่าวบอกด้วยตนเอง เมื่อสำเร็จลุล่วงแล้วจะกลับมา...  อวงยี้’ จัดจดหมายวางไว้ที่โต๊ะกลางห้อง จัดแจงเปลือยเสื้อผ้าออก ส่วมเสื้อเกาะไหมดำที่ตั่วซือแป๋ประทานให้ไว้ลงบนเรือนร่างเปล่าเปลือย ค่อยสวมเสื้อผ้าธรรมดาทับอีกชั้นหนึ่ง เสื้อเกาะไหมดำตัวนี้ดูภายนอกตัวเล็กแต่พอสวมใส่กลับยืดหยุ่นตามสรีระของผู้สวมใส่ไม่รู้สึกอึดอัดแต่ประการใด ทั้งยังกระชับคล่องแคล่ว จากนั้นก็พลิ้วกายลงจากเขา



เดินทาง สามวันเศษก็บรรลุถึงตัวเมืองกันจือ ถิ่นกำเนิดของนาง ยามนี้ถนนหนทางกับตึกรามบ้านช่องล้วนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ผ่านร้านขายข้าวสารใหญ่แห่งหนึงจดจำออกว่าร้านนี้เป็นกิจการของตระกูลจิวมาก่อน บิดานางเคยพานางมาเยี่ยมชมยามเยาว์วัย แต่ยามนี้ไหนเลยแบกป้ายยี่ห้อตระกูลจิวไว้ จิวอวงยี่ย่อมทราบว่าหลังจากครอบครัวตนตายหมดสิ้น กิจการต่างๆของตระกูลจิวย่อมถูกกลืนกินโดยผู้อื่น  พอผ่านมุมโค้งถนนที่มีศาลเจ้าหลักเมืองอยู่จิวอวงยี้จดจำออกถนนเบื้องหน้าเป็นที่ตั้งบ้านตระกูลจิวที่นางถือกำเนิด พอลับมุมถนนต้องแตกตื่นเล็กน้อย แต่ก่อนถนนสายนี้เงียบเชียบมีผู้คนผ่านไปมาไม่มาก บ้านช่องในระแวกนี้ก็นิดน้อย แต่ยามนี้กลับคราคร่ำไปด้วยผู้คน สองฝากถนนเป็นโรงเตี้ยมบ้าง ร้านค้าบาง ที่สำคัญตึกบ้านตระกูลจิวกลายเป็นหอคณิกาแห่งหนึ่ง จิวอวงยี้เมื่อเห็นแล้วต้องสะทกสะท้อนใจ



คิดหาโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในระแวกนี้พำนัก พบเห็นโรงเตี้ยมด้านขวามือมีบรรยากาศไม่เลวยิ่ง ยามนางเดินกรีดกายบนท้องถนน ทั้งรูปโฉม สรีระร่างกายล้วนเป็นจุดเด่น บรรดาชายที่เดินสวนผ่านกับนางต้องอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองตาม พอก้าวย่างเข้าโรงเตี้ยม บรรดาแขกหลายโต๊ะที่นั่งดื่มกิน ล้วนจับจ่องมองนางเป็นจุดเดียว จิวอวงยี้หาได้สนใจไม่ หาโต๊ะว่างที่หนึ่งจัดแจงนั่งลง เด็กรับใช้รีบกุลีกุจอเข้ามากล่าวถามใบหน้ายิ้มแย้ม

“เสียวเจี๊ยะ ไม่ทราบต้องการรับสิ่งใดดี”

คนรับใช้ผู้นี้กล่าวเรียบร้อยต่อนางยิ่ง คล้ายประจบประแจง ถึงกับเรียกนางเป็นเสียวเจี๊ยะ จิวอวงยี้สอดส่ายสายตาไปรอบข้างอย่างแช่มช้า บางผู้คนที่แอบลอบมองนางพอเห็นสายตานางกวาดมาต้องรีบก้มหน้าหลบโดยบัดดล จิวอวงยี้มาหยุดที่คนรับใช้ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

“เราต้องการ ห้องพิเศษห้องหนึ่งติดหน้าต่างด้านตะวันออกสามารถมองเห็นภายนอกได้ ไม่ทราบพอมีเหลือหรือไม่”



คนรับใช้ขมวดคิ้ว มีสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมาเป็นเชิงเสียดาย

“เสียวเจี๊ยะ มาสายก้าวหนึ่งเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ห้องที่ว่าถูกกงจื้อ(คุณชาย) ท่านนั้นจับจองไว้แล้ว”

จิวอวงยี้มองตามนิ้วมือคนรับใช้ที่ชี้บอกกล่าว พบเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งอายุประมาณยี่สิบกว่าปี ทวงท่าสง่างามแต่งตัวขาวสะอาดใบหน้าหมดจรดเกลี้ยงเกรา ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่บ่อยครั้ง คล้ายกงจื้อเจ้าสำราญของตระกูลรุ่มรวย ข้างกายนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคนท่าทีสูงส่ง เพ่งพินิจดูแล้วทวงท่ากิริยาคล้ายครูสอนหนังสือของนางยามเยาว์วัย แต่คนผู้นี้อยู่ในวัยกลางคนไม่แก่ชราเท่า พลันคิดไปถึง บัณฑิตมือวิเศษ ตั่วซือแป๋ ต้องอมยิ้มครุ่นคิด’หรือบัณฑิตล้วนมีท่าทีกิริยาเช่นนี้’



เห็นคนทั้งสองกวาดตามองมา ต้องยิ้มให้คราหนึ่ง หันไปกล่าวบอกต่อ คนรับใช้

“เช่นนั้นไม่เป็นไร รบกวนท่านจัดอาหารเลิศรสขึ้นชื่อของที่นี้ มาสองสามอย่าง พร้อมสุราไผ่เขียวได้หรือไม่”

คนรับใช้ได้ฟังนางกล่าวน้ำเสียงนุ่นนวลไพเราะ ทั้งวาจาก็น่าฟัง รีบจัดแจ้งให้นางรวดเร็วเป็นพิเศษ เพียงครู่เดียวอาหารสุราก็ถึงโต๊ะนางแล้ว ทั้งทีแขกเหลื่อภายในร้านออกมากมาย จิวอวงยี้ต้องลอบหัวเราะคิกคัก ครุ่นคิด ‘ซาซือแป๋กล่าวไว้ไม่ผิด บุรุษหนุ่มจะอย่างไรต้องหวังดีต่อสาวงามอยู่ สามส่วน’



    บุรุษหนุ่มชุดขาวหลังจากถูกนางยิ้มให้ ก็ลอบชำเลืองลอบมองนางอยู่บ่อยครั้ง คิดเข้าไปชวนสนทนาแต่นางกำลังรับประทานอาหาร หากเข้าไปเกรงจะเป็นที่เสียมารยาท คิดรอให้นางรับประทานอาหารเสร็จค่อยชวนสนทนา เห็นนางรับประทานเชื่องช้า เพียงคีบกับแกล้มเข้าปากคำหนึ่ง ยกจอกสุราจิบดื่มค่ำหนึ่ง ก็หันไปเหม่อมองท้องถนนเป็นเวลานาน ค่อยหันกับมาคีบรับประทานอีกคำหนึ่งดื่มอีกค่ำหนึ่ง เป็นเช่นนี้เนิ่นนานกับข้าวบนโต๊ะก็ยังไม่พร่อง คล้ายรับประทานไม่มีวันจบสิ้น เป็นที่ร้อนรุมกับบุรุษชุดขาวยิ่งนัก สะกิดคนรับใช้ในโรงเตี้ยมซุบซิบสั่งความ คนรับใช้ผงกศีรษะรับทราบ เดินหายไปยังด้านหลัง



จิวอวงยี้ เหม่อมองผู้คนตามท้องถนน ดูผู้คนผ่านไปมา ในใจคล้ายภาวนา ให้พบเห็นตั่วกอของนางเดินผ่านไปมาในระแวกนี้ พลันเห็นคนผู้หนึ่งมีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ต้องบังเกิดรอยยิ้ม คิดกล่าวเรียกออกไป แต่แล้วเมื่อพินิจดูกลับไม่ใช่ แผลเป็นมันกลับไม่ละม้ายคล้ายเหมือน ทอดถอนใจอย่างผิดหวัง พอดีคนรับใช้ผู้หนึ่งยกถาดอาหารมาเพิ่ม จัดวางลงบนโต๊ะ

จิวอวงยี้ร้องเอ๊ะ อย่างประหลาดใจ กล่าวว่า

“อาหารพวกนี้ เราไม่ได้สั่ง”



คนรับใช้ยิ้มประจบประแจงกล่าวว่า

“อาหารพวกนี้เย็นชืดหมดแล้ว กงจื้อ ท่านนั้นเกรงว่าไร้รสชาติ จึงให้นำมาเปลี่ยน”

พลางชี้มือไปยังบุรุษชุดขาว วาจากล่าวยังไม่ทันจบดี ก็มีคนรับใช้อีกผู้หนึ่งยกถาดอาหารมาอีก กล่าววาจาดุจเดียวกัน เพียงแต่ผู้ที่สั่งเป็น บุรุษชุดสีม่วงนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของนางถัดไปอีกหลายโต๊ะ พบเห็นมันใส่ชุดบู๊เริดหรูสีม่วงพราวราวเกล็ดมังกร ท่วงท่าทะมัดทะแมง อายุยี่สิบเศษ ใบหน้ายาวรี ไม่มีหนวดเครา นับว่าหล่อเหลาไม่แพ้บุรุษชุดขาว ข้างกายวางไว้ด้วยกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง จิวอวงยี้สังเกตุบุรุษชุดสีม่วงยังไม่ครบถ้วน คนรับใช้อีกผู้หนึ่งก็ยกถาดมา จิวอวงยี้อดไม่ได้ต้องกล่าวถาม

“แล้วนี้ของผู้ใด”



“ของ กงจื้อ ท่านนั้น”



นางแลสายตาไปตามคนรับใช้ชี้บอก เห็นเป็นบุรุษใส่อาภรณ์สีเขียม อายุยี่สิบเศษเช่นเดียวกัน สะพายกระบี่ที่หว่างเอว เคาหน้าไม่ค่อยโดดเด่นกระไร แต่ก็นับได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง



ไม่คาดว่าบุรุษชุดขาวคิดเยี่ยงไร บุรุษอีกสองคนก็คิดเยี่ยงเดียวกัน ทั้งสามเมื่อพบเห็นคนรับใช้คนแรกยกอาหารไปยังโต๊ะจิวอวงยี้ ที่แรกยังคิดว่าเป็นของตน แต่พอเพิ่มอีกสองถาดทั้งได้ฟังคนรับใช้บอกกล่าวต่อจิวอวงยี้ ต้องหน้าแปรเปลี่ยนสอดส่ายสายตามองหา สายตาทั้งสามคู่ประสานกันสลับไปมา พริบตาเดียวบนโต๊ะจิวอวงยี้ จัดวางอาหารมากมายสิบกว่าอย่าง อีกทั้งสุราชั้นดีอีกสามป่าน จิวอวงยี้ต้องลอบหัวร่อครุ่นคิด “นี่กลับไม่ใช่สามส่วน หากแต่เป็นห้าส่วนแล้ว”



บุรุษชุดขาวอยู่โต๊ะตัวใกล้นางมากกว่า รีบชิงสะอึกลุกขึ้น ถึงเบื้องหน้าโน้มตัวคารวะ กล่าวอย่างสุภาพ

“อภัย ที่ข้าพเจ้าเสียมารยาทถือวิสาสะ จัดสั่งเปลี่ยนสุราอาหาร เพียงเห็นว่าอาหารบนโต๊ะโกวเนี้ยะนั้นเย็นชืดแล้วไม่น่ารับประทาน ยังคงขออภัย ณ ที่นี้”



จิวอวงยี้ ลุกขึ้น คารวะตอบอย่างชดช้อย กล่าวว่า

“ท่านกลับใส่ใจข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ นับว่าขอบคุณมากแล้ว ไม่ทราบว่า กงจื้อมีนามเรียกหาว่ากระไร”

มันยังไม่ทันอ้าปากตอบ บุรุษชุดเขียวก็หัวเราะเปรยขึ้น มีน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ผู้อื่นก็สั่งจัดเปลี่ยนสุราอาหาร ไฉนคนผู้หนึ่งถึงรับเหมาเอาหน้าแต่ผู้เดียว ช่างน่าไม่อายนัก”

คำกล่าวมันพอกล่าว ชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายครูสอนหนังสือมีสีหน้าเคร่งขรึม ขยับตัวคล้ายจะกล่าววาจา แต่บุรุษชุดขาวปลายตาห้ามไว้



บุรุษชุดสีม่วงพลันแสยะยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ท่านจะกล่าวทวงถามไปไย เราผู้หนึ่งก็เป็นผู้สั่งเปลี่ยนยังไม่เดือดร้อน ขอเพียงโกวเนี๊ยะผู้นั้นได้รับประทานอย่างสบายเราก็พึงพอใจแล้ว”

พอมันกล่าวกลับชิงเป็นฝ่ายเหนือผู้คน ไม่เพียงบอกให้นางรับทราบว่ามันก็เป็นผู้สั่งเปลี่ยนอีกผู้หนึ่ง ทั้งยังแสดงความมีน้ำใจต่อนาง



บุรุษชุดเขียวต้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เพ่งมองไปยังบุรุษชุดสีม่วง เค้นเสียง ฮึ มีสีหน้าไม่ใคร่พอใจ ครุ่นคิดถึงกับเสียเปรียบทางวาจาต่อคนผู้นี้

จิวอวงยี้ต้องลอบหัวร่อในกิริยาท่าทีของบุรุษทั้งสาม ลอบครุ่นคิด’คนพวกนี้เห็นสตรีเป็นต้องโอ้อวด ยุยงให้มันต่อยตีกันสักคราจะเป็นไร ไม่แน่ตั่วกอเราหากอยู่ในละแวกนี้อาจรุดมาชมดู’ ครุ่นคิดแล้วน่าสนุก จึงยิ้มแย้มผายมือออกอย่างแช่มช้า เป็นเชิงเชื้อเชิญกล่าวว่า

“เช่นนั้น เชิญกงจื้อ ทั้งหลายนั่งรวมกันสนทนา”



ทั้งหมดมีสีหน้าปิติ ลุกขึ้นก้าวมาจับจองเก้าอี้คนล่ะตัว โต๊ะมีสี่ด้านเป็นบุรุษชุดม่วงและชุดขาวนั่งข้างซ้ายขวาของนาง บุรุษชุดเขียวแม้ไม่ใคร่พอใจแต่ก็ไม่มีที่นั่งให้ตนแทรก ได้แต่นั่งลงตรงข้ามกับนาง จิวอวงยี้รินสุราลงจอกแยกย้ายส่งให้ พลางยกจอกดื่มคารวะก่อน ทั้งหมดจึงดื่มตาม จิวอวงยี้กล่าวถามขึ้นว่า

“ไม่ทราบว่า กงจื้อ ทั้งหลายมีนานเรียกหาว่ากระไร”

บุรุษชุดม่วงชิงกล่าวก่อน

“ข้าพเจ้า แซ่ จิ่น นามง้วนตัง ไม่ทราบว่าโกวเนี้ยะ เรียกหาว่ากระไร”

จิวอวงยี้ ยังไม่ได้ตอบคำเห็นกระบี่ผู้แซ่จิ่นวางอยู่ข้างโต๊ะใกล้นาง ฝักกระบี่สลักคำว่า คุนลุ้น เข้าใจว่าคนผู้นี้ต้องเป็นศิษย์ของสำนักคุนลุ้นอย่างแน่นอน เอื้อมมือหยิบกระบี่มาชมดู จิ่นง้วนตังทีแรกคิดทัดทานแต่เกรงเป็นที่เสียมารยาท อีกทั้งนางอาจเข้าใจผิด คิดว่าตนใจคอคับแคบ จึงไม่ได้ว่ากระไร



จิวอวงยี้ชักกระบี่ออกดัง เปรื่อง ท่าการจับกระบี่ไม่ค่อยมั่นคงประดุจทารกเล่นของมีคม ลุกขึ้นกวัดแกว่งไปมา บ้างครั้งเกือบทำหลุดมือ เป็นที่หวาดเสียวแก่ผู้คนยิ่ง ทั้งสามต้องตระหนกเล็กน้อย เกรงนางพลั้งพลาดทำร้ายผู้คนแต่ไม่กล้ากล่าวห้ามปราม เห็นนางสอดกระบี่คืนฝัก ต้องลอบถอนหายใจ



จิวอวงยี้เจตนาอ่าน อักษรข้างฝักกระบี่เสียงดัง มีสีหน้าแตกตื่นยินดี กล่าวว่า

“จิ่นกงจื้อ ท่านเป็นศิษย์ของ สำนักคุนลุ้น”

จิ่นง้วนตัง มีสีหน้าภาคภูมิใจ ยิ้มแย้มกล่าวว่า

“ดูไม่ออกว่าโกวเนี้ยะ ก็สนใจเรื่องราวในยุทธจักร โกวเนี้ยะกล่าวถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นศิษย์สำนักคุนลุ้น”

นางส่งกระบี่คืนด้วยสองมือ ท่าที นบนอบอ่อนช้อย กล่าวน้ำเสียงปราบปลื้ม

“ข้าพเจ้า ชมชอบรับฟังเรื่องราวในยุทธภพอย่างยิ่ง เคยฟังว่า ศิษย์สำนักคุนลุ้น ทั้งสง่างามโอ่อ่าผ่าเผย วันนี้ได้พบกลับไม่ผิดหวัง”



“โกวเนี้ยะกล่าวชมเกินไปแล้ว”

จิ่นง้วนตัง ได้ฟังนางกล่าวชื่นชม แทบตัวลอยจากเก้าอี้ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม แทบไม่ได้หุบ  ทั้งสองกล่าวชื่นชมกันเนิ่นนาน ยังไม่ได้ถามไถ่ชื่อแซ่บุรุษอีกสองคนที่นั่งรวมโต๊ะ เป็นที่ขุ่นข้องรำคาญแก่ผู้คน บุรุษชุดเขียวอดรนทนไม่ได้ ต้องกระแอมไอออกมาคราหนึ่ง



จิวอวงยี้คล้ายรู้สึกตัว มีสีหน้าสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้งคล้ายไม่ได้เจตนาลืมเลือนบุรุษทั้งสองที่นั่งรวมโต๊ะ กล่าวขออภัย น้ำเสียงสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง คนทั้งสองกลับเข้าใจว่านางชื่นชมต่อ ผู้แซ่จิ่นจนลืมเลือนจริงๆ กลับไม่คิดโทษนางแต่เพิ่มความเขม่งเกรียวต่อ จิ่นง้วนตัง  



“ข้าพเจ้า แซ่ล้อ นามอันเพ็ก ฉายา กระบี่ประกายฟ้า”

บุรุษชุดเขียว กล่าวบอกโดยไม่รอให้นางถามไถ่ กระทั้งฉายาก็บ่งบอก เพื่อนางจะเคยได้ยินมา จิวอวงยี้ มีสีหน้าตื่นเต้นยิ้มแย้ม ดวงตาทอประกาย กล่าวว่า

“ท่านคือ  กระบี่ประกายฟ้า ล้ออันเพ็ก แห่งสำนัก บ้วนกิมเกี่ยม(หมื่นกระบี่ทองคำ) ผู้ขับไล่สิบสามโจรขโมยม้าแห่งส่านซี”



จิ่นง้วนตังต้องลอบตระหนกแต่ไม่แสดงออก เมื่อทราบว่ามันเป็นผู้ใด



ล้ออันเพ็ก แย้มยิ้มเบิกบานภาคภูมิใจ นางไม่เพียงบอกกล่าวสังกัดสำนักตนได้ถูก ทั้งยังบอกวีรกรรมที่สร้างชื่อให้มันได้ถูกต้องอีกด้วย แสดงว่านางย่อมเคยได้รับฟังเรื่องเกี่ยวกับตนมาไม่น้อย มันไหนเลยทราบสิบสามโจรขโมยม้าส่านซี หลบหนีมันมาเสฉวน ขึ้นหุบเขาสิ้นชีพขอลี้ภัย พำนักที่โรงเตี้ยมของคังหมิ่นนานหลายเดือน ไหนเลยนางจะไม่เคยได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับมัน แต่ไม่แน่ว่าเรื่องราวของมันที่ออกจากปากของสิบสามโจรขโมยม้าจะเป็นเรื่องดีนัก จิวอวงยี้หันไปทางบุรุษชุดขาวกล่าวถามขึ้น

“แล้ว กงจื้อ ไม่ทราบเรียกหาว่ากระไร มีชื่อฉายาสูงส่งหรือไม่”



บุรุษชุดขาวกล่าวตอบ

“ข้าพเจ้าเรียกว่าเทียนอี้ เป็นพ่อค้า มาเสฉวนครานี้เพื่อติดต่อธุระให้กับบิดา ฉายานับว่าไม่มี แต่หากมีคงเป็นลูกคิดว่องไวกระมั่ง”

มันพอกล่าว ผู้คนต้องหัวเราะครืนออกมา ล้ออันเพ็กกับจิ่นง้วนตังพอฟังว่ามันเป็นพ่อค้านึกดูแคลนมันอยู่บ้าง จิวอวงยี้แย้มยิ้มหัวร่อกล่าวออกมา “เทียนกงจื้อ ล้อเล่นแล้ว” พลางย่อตัวลงก้มศีรษะลงเล็กน้อยกล่าวกับทุกคนว่า

“ข้าพเจ้าแซ่เซียว เรียกว่า เซียวเกียว”

ซื่อเซียวเกียวนี้ย่อมเป็นชื่อที่นางตั้งขึ้นเองไม่ต้องการเปิดเผยชื่อที่แท้จริง ที่นี่เข้าเขตเมืองกันจือ ผู้รู้จักตระกูลจิวมีมากหลาย หากบอกว่าแซ่จิวอาจเป็นที่สะกิดใจแก่ผู้คน นางหันไปกล่าวถามเรื่องราวการปราบสิบสามโจรขโมยม้าของล้ออันเพ็กมีท่าทีสนใจเป็นพิเศษ ล้ออันเพ็กกลับเล่าอย่างเพลิดเพลิน นางยิ่งปรบมือชมชอบ มันยิ่งเล่าประโคมโอ้อวดโอ้ฝีมือ ยามนี้นางไม่ได้แยแสสนใจจิ่นง้วนตังอีก จิ่นง้วนตังต้องลอบขุ่นเคืองลอบเพ่งมองล้ออันเพ็กอย่างเคืองขุ่น



มีแต่เทียนอี้แม้นางไม่สนใจแยแสมันก็ไม่รู้สึกกระไร ทั้งยังจับจ่องมองกิริยาการสนทนาของนางกับผู้แซ่ล้อ อย่างครุ่นคิดเคลิบเคลิ้ม พลันรู้สึกด้านหลังมีผู้คนมาสะกิดเรียกจึงได้สติหันกลับไป พบสายตาของชายวัยกลางคนที่มาด้วยกันปลายตาไปยังมุมด้านหนึ่งคล้ายมีเรื่องลับสนทนา จึงกล่าวคำขอตัว แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ให้ความสนใจแก่มัน



    เทียนอี้พอมาถึงมีสีหน้าไม่ใคร่พอใจที่ชายวัยกลางคนผู้นี้ทำลายบรรยากาศสุนทรีย์ของตน ต้องกล่าวถามอย่างไม่สบอารมณ์

“เอี๊ยะซินแซ มีเรื่องราวใด”

ชายวัยกลางคนที่เรียกว่าเอี๊ยะซินแซ อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งคล้ายเกรงอกเกรงใจ ก่อนกล่าวกระซิบบอกว่า

“เสียวเอี้ย(นายน้อย) ทางทีดีอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านั้น ชายสองคนนั่นเป็นศิษย์สำนักใหญ่ในยุทธภพ อาจนำพาให้เกิดภัยอันตราย อีกทั้งสตรีผู้นั้นก็ลี้ลับอย่างยิ่งไม่น่าไว้วางใจ”



เทียนอี้พอฟังมันกล่าวต้องขมวดคิ้ว กล่าวว่า

“เซียวเสียวเจี๊ยะ ผู้นั้นไฉนไม่น่าไว้วางใจ เรากับเห็นว่านางน่าคบหาอย่างยิ่ง ท่านดู นางทั้งซื่อทั้งไร้เดียงสา กิริยาท่าทางก็ดูแล้วสบายตา เรากับไม่เคยพบเห็นสตรีเช่นนี้มาก่อน”

เอี๊ยะซินแซ ต้องระบายลมออกจากปาก คล้ายกลัดกลุ่มหนักใจต่อนายน้อยของตน กล่าวว่า

“เพราะกิริยาท่าทางเช่นนี้ ข้าพเจ้าถึงไม่ไว้วางใจ คล้ายเสียวเจี๊ยะสูงศักดิ์ก็ไม่คล้าย คล้ายสาวชาวบ้านก็ไม่คล้าย คล้ายหญิงคณิกาก็ไม่คล้าย ดูแล้วคล้ายจิ้งจอกจำแลงเสียมากกว่า”



เทียนอี้พอฟังมันเปรียบเทียบว่ากล่าวนาง ต้องบังเกิดโทสะกล่าวเสียงเข้มขรึม

“เอี๊ยะซินแซ เซียวเสียวเจี๊ยะ สูงส่งกว่าที่ท่านกล่าวมากนัก เรื่องเหล่านี้อย่าได้กล่าวแล้ว หากรู้ถึงหูนาง เราจะพลอยเสื่อมเสีย”

เอี๊ยะซินแซจำต้องหุบปากเงียบสนิท รับคำอย่างคุมเครือ ทั้งสองพลันได้ยินเสียงเอะอะตวาดลั่นคล้ายบันดาลโทสะ เทียนอี้จำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของ ล้ออันเพ็ก ต้องรีบหันไปชมดู



“จิ่นง้วนตัง ท่านกล่าววาจาเช่นนี้ออกจะดูแคลนเราอยู่บ้าง หากสิบสามโจรขโมยม้าส่านซีเป็นโจรชนชั้นไร้นาม เราไยไม่ใช่ชนชั้นไร้ฝีมือ”



จิ่นง้วนตังเค้นเสียง เฮอะ

“แค่ปราบสิบสามโจรขโมยม้าก็คุยเขื่องโขหนัก สิบสามโจรขโมยม้าไม่ว่าผู้ใดก็ปราบได้”

ล้ออันเพ็กถึงกลับเดือดดาลลุกขึ้น จิวอวงยี้ท่าทางประหวั่นลนลานรีบลุกขึ้นห้ามปรามฉุดรั้งล้ออันเพ็กไว้ รีบหันไปกล่าวกับจิ่นง้วนตัง

“จิ่นกงจื้ออย่าได้กล่าวแล้ว เกรงว่าล้อกงจื้อ จะมีโทสะแล้ว”

วาจานางยิ่งกล่าวยิ่งยั่วยุ จิ่นง้วนตังเห็นเช่นนี้ไหนเลยทานทนได้ วาจาท่าทางนางเช่นนี้ไยไม่ใช้หมายความว่าเราสู้ผู้แซ่ล้อไม่ได้ ลุกขึ้นกระชากเสียงกล่าว

“มีโทสะ ก็มีโทสะ หรือเรายังจะกลัว สำนักคุนลุ้นมีชื่อเสียงนับร้อยปีมีหรือจะพ่ายแพ้ ต่อ บ้วนกิมเกี่ยม”



“เช่นนั้นลองดูเป็นไร”



วาจาพอกล่าวจบ เสียงเปรื่อง ก็ดังลั่นกราว กระบี่ที่คาดหว่างเอวล้ออันเพ็กถูกชักขึ้นมาถือในมือ จิ่นง้วนตังเมื่อถูกชักกระบี่ท้าทายไหนเลยยินยอมได้ ตวัดคว้ากระบี่ขึ้นชิงจู่โจมในบัดดล จิวอวงยี้มีที่ท่าคล้ายหวาดกลัวถอยกายออกมาด้านหลังปะทะชนกับเทียนอี้ มันต้องรีบโอบประคองนางไว้



ทั้งสองเขม่นกันตั้งแต่ตน ยามนี้ได้รับการจุดปะทุก็ไม่รีรอ ชักกระบี่หักหาญกันจนโต๊ะล้มระเนระนาด แขกเหลื่อภายในร้านต้องตื่นตกใจอกสั่นขวัญแขวง ถอยหนีกันจ้าระหวั่น



จิ่นง้วนตัง คิดอวดโอ้แสดงฝีมือต่อหน้าจิวอวงยี้ แม้ทราบว่า ล้ออันเพ็กมีฝีมือไม่ต่ำทรามก็ไม่กริ่งเกรง บรรจงร่ายรำ เพลงกระบี่คุนลุ้น ใช้อออกด้วยท่า ปาดหิมะยอดเขา เฉือนเงาจันทรา ทลายภูผาหยก สามท่าเชื่อมสัมพันธ์ ในสิบสามกระบี่เอกะคุนลุ้น ชิงเป็นฝ่ายรุกไล่ ประกายกระบี่พุ่งซ้ายปาดขวาคุกคามล้ออันเพ็กต้องถดถอย



จิวอวงยี้ต้องปรบมือโห่ร้องชมเชย

“เพลงกระบี่ ยอดเยี่ยม”

จิ่นง้วนตังได้ยินนางชื่นชม ต้องลงมือเร่งเร้ากว่าเดิม ล้ออันเพ็กไหนเลยยินยอมให้มันอวดโอ้แสดงฝีมือแต่ฝ่ายเดียว ยกกระบี่ต้านรับกระบี่หนึ่งที่คุกดามเบื้องหน้า เตะเท้าขวางสกัดการก้าวลุกไล่ของผู้แซ่จิ่น ม้วนตัวคราหนึ่งฟาดฟันสลับแทงกระบี่ออก ใช้ในท่วงท่าหยาดฝนโปรยปราย ของบ้วนกิมเกียมเข้าคลี่คลาย สภาวะการลุกไล่ของจิ่นง้วนตังจึงผ่อนปรนลงไม่อาจมีเปรียบเหนือมัน จิวอวงยี้ปรบมือโห่ร้องออกมาอีกครา

“คลี่คลายได้ ดียิ่ง  คลี่คลายได้ดียิ่ง”



เอี๊ยะซินแซพอเห็นเช่นนี้ก็คาดเดาออก เช่นนี้ไยไม่ใช่นางเสี้ยมโคกระบือให้ชนกัน แต่เห็นผู้เป็นเสียวเอี้ยของตนประกบนางไม่ยอมห่าง ไม่สะดวกกลับการว่ากล่าว อีกทั้งเรื่องราวยังไม่ได้พัวพันถึง จึงนิ่งเฉยดูท่าที



ทั้งสองมีเพลงกระบี่ก่ำกึ่งสูสี เสียง เคล้ง เคล้ง ของลำตัวกระบี่ยิ่งมายิ่งถี่ยิบ ยิ่งนางโห่ร้องชมเชยยิ่งงัดวิชาออกมาห้ำหันกันไม่ได้ขาด ผู้คนที่ผ่านไปมารอบนอกต่างออชมดูอยู่หน้าโรงเตี้ยมจนแน่นขนัด คล้ายชมปาหี่ก็ไม่ปาน ชั่วครู่มีมือปราบของกรมเมืองสิบกว่าคนเร่งรุดฝ่าผู้คนเข้ามา ผู้หนึ่งในนั้นป้องปากร้องตะโกน

“หยุดมือ ทั้งหมดต่างหยุดมือ”



ทั้งสองเห็นมือปราบกรมเมืองมายุ่งเกี่ยวเรื่องราวอาจบานปราย จำต้องหยุดมือถอยห่างออกจากกัน ความจริงมันทั้งสองไม่เห็นมือปราบพวกนี้อยู่ในสายตา อีกทั้งเรื่องราวการต่อสู้ของชาวยุทธไม่ยุ่งเกี่ยวกับกรมเมือง เสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งเกี่ยวน้ำคลอง แต่หากเรื่องราวรู้ถึงซือแป๋พวกมัน ไม่ทราบจะหาคำแก้ตัวเช่นไร จำต้องหยุดมือสอดกระบี่คืนฝัก แต่สายตายังจับจ่องกันไม่วาง



คนผู้หนึ่งในชุดมือปราบสืบเท้า ก้าวออกมาเบื้องหน้า คล้ายเป็นหัวหน้ากลุ่มมือปราบ คนผู้นี้พอก้าวออกมา จิวอวงยี้ต้องแตกตื่นจับจ่องมองพินิจ เห็นมันรูปกายสูงกำยำ ใบหน้าหยาบก้านผิวคล้ำเล็กน้อยเฉกเช่นชาวนาชนบท หนวดเคราแม้ได้รับการโกน แต่ยังเห็นรอยเขียวของขุมขน เป็นรูปร่างเด่นชัด ที่สำคัญมันมีแผลเป็นที่แก้มซ้ายยาวถึงหางตา



ทีแรกนางแตกตื่นยินดียิ่ง แต่พอมันเข้ามาใกล้ กลับต้องผิดหวังลงอีกครา ในรอยแผลเป็นยาวมีอีกเส้นหนึ่งขวางทับ ไหนเลยเหมือนตั่วกอของนาง แผลเป็นบนแก้มมันกลับเป็นรูปกากบาท เส้นหนึ่งยาวเส้นหนึ่งสั้น นางต้องครุ่นคิดอย่างผิดหวัง ‘ไฉนผู้คนถึงนิยมมีแผลเป็นที่แก้มด้านซ้ายนัก’



เฒ่าแก่โรงเตี้ยมรีบสะอึกเข้ามา ร้องห่มร้องไห้

“มือปราบลู่ ท่านมาก็ดี ช่วยห้ามปรามสองคนนั้น ร้านข้าพเจ้าทำมาค้าขายไม่ได้แล้ว”



มันผู้นี้กลับเป็นลู่ซุนจริงๆ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา แผลเป็นที่แก้มซ้ายกลับได้รับเพิ่มอีกหนึ่งแผลทาบทับแผลเดิม แผลนี้ได้ตอนอาศัยอยู่กับเฒ่าแซ่เต็ก ตอนนั้นคิดขึ้นบนยอดหุบเขาติดตามหาจิวอวงยี้ แต่โดนบริวารของ สามภูติกวนตั๋งจับไว้ เห็นมันเป็นเด็กไม่รู้ความคิดว่าพลัดหลงมาจึงลงมือทุบตีขับไล่ ไม่คาดว่าลู่ซุนเมื่อโดนขับไล่ลงไปแล้วยังหวนกลับมาอีกหลายครั้งทุกครั้งก็โดนทุบตีไล่กลับไป หากเป็นยามปกติลู่ซุนเจอบุคคลพวกนี้ต้องตกตายแต่แรกแล้ว แต่สามภูติกวนตั๋งสั่งไว้ไม่ให้ฆ่าคนโดยพละการ ครั้งสุดท้ายพวกมันเกิดความรำคาญ จึงชักดาบฟันมันสองสามแผลให้ได้รับความหราบจำ แผลหนึ่งกลับทาบทับรอยแผลเป็นเดิมจนเกิดเป็นรูปกากบาทแทน จิวอวงยี้ย่อมไม่สามารถจดจำออก อีกทั้งนางอยู่รวมกับมันไม่กี่วัน ใบหน้ามันในความทรงจำของนางนั้นเรือนลางอย่างยิ่ง



ลู่ซุนก้าวเดินไปเบื้องหน้า ล้ออันเพ็ก กับ จิ่นง้วนตัง ยกมือประสานกล่าวน้ำเสียงห้าวหาญดังกังวาน

“ทั้งสองคงเป็นชาวยุทธจักร ไม่ทราบสักกัดสำนักใด ขอทราบนานสูงส่งได้หรือไม่”



ล้ออันเพ็ก ไม่ต้องการมีเรื่องราวยืดยาว เค้นเสียงเฮอะ ไม่ตอบคำ เรียกเฒ่าแก่ร้านเข้ามา ล้วงง้วนปอทองแวววาวหนักหนึ่งตำลึง วางลงบนโต๊ะ กล่าวกับเฒ่าแก่โรงเตี้ยมว่า

“นี่นับว่าเป็นค่าเสียหาย”



จิ่นง้วนตัง เห็นมันทำเช่นนั้น ย่อมไม่ยอมน้อยหน้า ล้วงออกมาง้วนปอทองออกมาสองก้อน เค้นเสียงกล่าว

“นี่นับว่าเป็นของเรา”



ทั้งสองประสานมือกล่าวคำอำลาต่อ จิวอวงยี้ ก็คิดจากไป ลู่ซุนพลันกล่าวทันทานขึ้น

“ทั้งสองท่าน โปรดหยุดเท้าซักครู่ เรื่องราวยังไม่จบสิ้นไฉนจึงรีบไป”



ล้ออันเพ็ก ต้องบังเกิดโทสะครุ่นคิด ‘อาศัยเป็นมือปราบกรมเมืองก็กล่าวเขื่องโขนัก’ ต้องชะงักเท้าหันกายกลับมา กล่าวคล้ายมีโทสะหยามหยัน

“หัวหน้ากอง ไม่ทราบมีสิ่งใดชี้แนะ”



“ทั้งสองท่านยังไม่ได้ทิ้งกระบี่ให้กับเรา ตามกฎของเมืองกันจือผู้ที่อาละวาดต่อยตีต้องถูกริบรอนอาวุธ”

ทั้งสองต้องงงันวูบ จากนั้นเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย ล้ออันเพ็กบังเกิดความคิดวูบหนึ่ง ‘มือปราบผู้นี้วางอำนาจเขื่องโขนัก สั่งสอนมันให้ทราบความร้ายกาจของเราดูซักครา’ พลันยื่นกระบี่ออกทำทีคล้ายส่งให้ กล่าวว่า

“กระบี่เราอยู่ที่นี้ ท่านมารับไปเถอะ”

ลู่ซุนพยักหน้าต่อมือปราบสองคนให้ไปรับมา มือปราบคนแรกพอเอื้อมมือคว้ากระบี่ กลับโดนกำลังภายในของล้ออันเพ็กดูดติดไว้ ไม่สามารถคล้ายมือออกทั้งยังโดนกดลงโดยแรง ขาสองข้างต้องคู้ลง รีบใช้มืออีกข้างหนึ่งช่วยต้านทานกลับไม่เป็นผล



มือปราบอีกผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นรีบเข้าไปช่วยเหลือ ยื่นมือสองข้างของมันช่วยต้านท้าน แต่กระบี่ภายใต้การกดมือเดียวของล้ออันเพ็กคล้ายหนักสองสามร้อยชั่งก็ปาน มือปราบทั้งสองไม่สามารถดันขึ้นยื้อยุดฉุดดึงมาได้ กลับถูกมันกดคู้ขาคุกเขาลงทั้งสองคน ล้ออันเพ็กยิ้มแย้มกล่าวว่า

“คิดรับกระบี่ ไยต้องมากมารยาท”



ลู่ซุนทราบว่ามันไม่ยินย่อมแต่โดยดี เอื้อมมือคว้าคอเสื้อมือปราบทั้งสองออก เตะเท้าใส่ลำตัวกระบี่อย่างหักโหม เสียงเท้าแหวกอากาศดังหวืดหวือ ล้ออันเพ็กต้องหน้าแปรเปลี่ยน มือปราบผู้นี้กลับมีกำลังภายในไม่ต่ำทราม ต้องวกกระบี่หลบหลีก เท้ายังไม่ทันเตะถึงก็หดกลับ มือข้างหนึ่งพุ่งคว้าเข้าหาตัวกระบี่อย่างรวดเร็ว ที่แท้ท่าเตะนี้กลับเป็นท่าหลอก การลงมือที่แท้จริงกลับเป็นการคว้ากระบี่ที่ล้ออันเพ็กวกกระบี่หลบเลี่ยงเท้าของลู่ซุน ล้ออันเพ็กไม่มีทางหลีกเลี่ยงต้องยอมสูญเสียหน้า หดมือรั้งกระบี่กลับคืน ถอยกายออกห่าง

ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า

“คิดให้กระบี่ ไฉนจึงดึงกลับคืน ไยไม่ผิดวาจา”



  ล้ออันเพ็กหน้าแดงฉาด รู้สึกเสื่อมเสียหน้าไม่น้อย  ยิ่งเหลือบแลเห็นจิวอวงยี้เพ่งมองมาแทบไม่อาจทานทนได้ แต่ยามกระทันหันยังนึกหาคำกล่าวไม่ออก เทียนอี้ ยืนชมดูรู้สึกมือปราบผู้นี้ลงมือรวดเร็วอดชื่นชมไม่ได้ เคาะพัดจีบในมือมีสีหน้ายิ้มแย้มกล่าวกับเอี๊ยะซินแซเบาๆ

“ไฉนที่ชนบทห่างไกลเช่นนี้ ถึงมีมือปราบฝีมือดีผู้หนึ่ง”

เอี๊ยะซินแซ กล่าวตอบแผ่วเบา

“มันเป็นมือปราบวังหลวง กระบวนท่าที่ใช้เมื่อครู่ เป็นท่าหนึ่งในเพลงหมัดกำหราบเสือของมือปราบวังหลวง เรียกว่าคว้าหัวใจพยัคฆ์”

เที่ยนอี้ผงกศีรษะรับ ยิ้มแย้มอย่างพอใจ จิวอวงยี้ย่อมได้ยินคำสนทนาของคนทั้งสองแต่แสร้งไม่ได้สนใจ ชมดูมือปราบผู้นั้นจะกระทำการสิ่งใดต่อ



    ลู่ซุนเห็นล้ออันเพ็กมีสีหน้าคับแค้นเคืองขุ่น ทราบว่าชาวยุทธจักรกลัวที่สุดคือการเสื่อมเสียหน้า แต่บ้านมีกฎบ้านเมืองมีกฎเมืองไม่อาจไม่ทำการริบอาวุธ จึงประสานมือกล่าวขึ้น

“ไต้เฮียบทั้งสอง อภัยที่ล่วงเกิน ท่านทั้งสองหากต่อยตีภายนอกเขตเมืองผู้ต่ำต้อยไหนเลยกล้าบังอาจเสนอหน้า แต่ภายในเมืองการรักษาความสงบของชาวประชาเป็นสิ่งสำคัญ หวังว่าไต้เฮียบทั้งสองจะเห็นแก่ความสงบ ยอมลดทิฐิ กระทำตามกฎเรา ประชาชนในที่นี้มีแต่จะสำนึกขอบคุณ”



ล้ออันเพ็ก กับ จิ่นง้วนตัง เห็นมันมีท่าทีอ่อนลงกล่าวให้เกียรติไม่น้อย ทั้งยังกล่าวอ้างถึงประชาชน หากไม่กระทำตามผู้คนที่มามุ่งอยู่ที่นี่ไม่ทราบจะกล่าวประนานเช่นไร อีกทั้งมือปราบผู้นี้มีฝีมือไม่ต่ำทราม ไม่ทราบว่าในบรรดามือปราบที่มายังมีผู้มีฝีมืออีกหรือไม่ หากเราดื้อดึงถูกมันกรุ่มรุมครากุมยึดกระบี่ ไยไม่ใช่เสื่อมเสียมากกว่าเดิม เช่นนี้สู่มอบให้ยังรักษาหน้าได้มากกว่า แต่อาวุธประจำกายเช่นนี้ไหนเลยยินยอมให้ผู้อื่นริบรอนได้โดยง่าย ยามกระทันหันกลับไม่กล้าตัดสินใจ



จิวอวงยี้ เห็นมือปราบผู้นี้มีท่าทีเขื่องโข ทำตัวประดุจเทพเจ้าสามตาผู้คุ้มประตูสวรรค์ก็มิปาน นางเองอยู่ในชนชั้นมิจฉาชีพไม่ชมชอบกับมือปราบอยู่แล้ว เห็นท่าที จิ่นง้วนตังกับล้ออันเพ็กครุ่นคิดลังเลคิดมอบกระบี่ อดไม่ได้ ต้องกล่าวแทรกขึ้น

“เอ๋.. นายกองผู้นี้กลับไม่ทราบ ? ชนชาวยุทธจักรมีคำกล่าวยินย่อมตายไม่ยินยอมมอบอาวุธ ทั้งสองเป็นไต้เฮียบมีชื่อเลื่องลือไหนเลยยินยอมได้”

นางกล่าวคล้ายไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกไม่ทราบสถานะการณ์คล้ายชื่นชมคนทั้งจิ่นง้วนตังกับล้ออันเพ็ก แต่นางพอกล่าวทั้งสองก็ไม่อาจมอบกระบี่แล้ว หากมอบคำว่าไต้เฮียบมีชื่อเลื่องลือไหนเลยรักษาไว้ได้ ที่กล่าวประโคมโอ่ต่อหน้านางไยไม่ใช่เช่นผายลม ต้องสงวนท่าทีมองหน้ากัน อย่างยากตัดสินใจ เอี๊ยะซิงแซต้องลอบชำเรืองมองดูจิวอวงยี้ไม่ทราบว่านางกล่าววาจายุยงนี้มีแผนการใด รู้สึกว่าสตรีผู้นี้อันตรายอย่างยิ่ง



ลู่ซุนหันกายมายังผู้กล่าวเห็นเป็นสตรีสวยสดงดงามเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น เคาหน้ากลับคับคล้ายเคยพบเจอในที่ใดที่หนึ่งแต่กลับนึกไม่ออก จับจ่องมองครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงเข้มอาจหาญว่า

“คำว่ายอมตายไม่ยอมมอบอาวุธ หมายถึง ตายก็ไม่ยอมสยบ ใช้กับศัตรูคู่อาฆาตนับว่าเป็นผู้กล้า แต่ในทีนี้กลับแตกต่าง ทำผิดแล้วยอมรับผิดนับว่าเป็นผู้กล้า ยินยอมมอบอาวุธ เคารพตัวบทกฎหมายนับเป็นวิญญูชน ถือสาอันใดกลับการมอบอาวุธให้ผู้อื่นคุ้มครองดูแล”



เอี๊ยะซินแซได้ฟังต้องลูบเคราโครงศีรษะตาม กล่าวแทรกขึ้น

“ถูกต้องแล้วกล่าวได้ดียิ่ง”

จิวอวงยี้ต้องหน้าแปรเปลี่ยน กลับไม่มีวาจาจะกล่าว ต้องเพ่งมองมันด้วยสายตาเคียดขึง แต่กลับพบประกายตาทั้งติเตียนทั้งเอ็นดู เพ่งมองกลับมาต้องสะท้านกายเล็กน้อยนางกลับรู้สึกกริ่งเกรงต่อประกายตาของมัน คล้ายกลับเคยถูกจ่องมองเช่นนี้มาก่อน นางหาทราบไม่ลู่ซุนเคยมองนางเช่นนี้ที่นางนำขนมเปี๊ยะสอดใส้พริกให้มันรับประทานในวัยเยาว์ ยามนี้ลู่ซุนแม้ไม่ทราบว่านางเป็นใครแต่ได้ฟังนางกล่าววาจาคล้ายยั่วยุคน ไม่ทราบว่านางมีเจตนาหรือไม่หรือกล่าวออกมาโดยความไร้เดียงสาจึงจ่องสายตาเป็นเชิงตำหนิ นางกลับไม่กล้าจ่องสบตามัน ต้องเชิดหน้าเบืองไปทางอื่นสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง ครุ่นคิดอย่างเคืองขุ่น ‘หากไม่ใช่ในทีนี้มีผู้คนมากมาย คงต้องลงมือสั่งสอนท่านให้ได้รับความเจ็บปวดดูสักครา’



ล้ออันเพ็กพอฟังลู่ซุนกล่าว ไม่อาจหน้าด้านไม่มอบกระบี่ ต้องกระแทกวางกระบี่ลงบนโต๊ะ กล่าวว่า

“เราย่อมเป็นผู้กล้า ทำผิดย่อมต้องยอมรับผิด กระบี่นี่ท่านรับเอาไปเถอะ”

พลางหันกายจากโรงเตี้ยมไป จิ่นง้วนตังเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจไม่ทำตามวางกระบี่ลงบนโต๊ะ สะบัดกายจากไปโดยไม่กล่าววาจา ลู่ซุนพลันกล่าวไล่หลังคนทั้งสอง

“กระบี่นี้ข้าพเจ้าจะดูแลอย่างดี หากท่านคิดเดินทางออกจากเมืองกันจือ สามารถไปรับคืนได้ที่ประตูเมืองตะวันออก”

กลับไม่มีเสียงคนทั้งสองตอบมา คาดว่าจิ่นง้วนตังกับล้ออันเพ็กคงไม่ต้องการกระบี่ที่ถูกผู้คนริบรอนแล้ว



ลู่ซุนเก็บกระบี่ทั้งสองก้าวกระโดดขึ้นม้านำมือปราบกรมเมืองออกจากโรงเตี้ยม จิวอวงยี้ยังลอบมองเงาหลังมันด้วยความคับแค้นจนมันหายลับตา เทียนอี้สังเกตุนางคล้ายมีโทสะคุกรุ่น เข้าใจว่ามือปราบผู้นั้นหยาบกร้านกล่าวาจาไม่ให้เกียรตินาง ต้องกล่าวขึ้น

“เซียวเสียวเจี๊ยะ ท่านอย่าได้ถือสากลับมือปราบผู้นั้น..”

มันกล่าววาจายังไม่ทันจบ จิวอวงยี้ก็ผลักมันออกให้พ้นทางกล่าวคล้ายระบายโทสะ

“ข้าพเจ้าถือสามันหรือไม่เกี่ยวข้องอันใดต่อท่าน”

ก้าวกระแทกเท้าไปยังเฒ่าแก่โรงเตี้ยมให้จัดห้องให้นาง เทียนอี้กลับไม่ถือสาแย้มยิ้มเหม่อมองเงาหลังนางจวบจนหายลับขึ้นบันได เอี๊ยะซินแซต้องส่ายศีรษะต่อเสียวเอี้ยของมัน



    จิวอวงยี้ยังขุ่นข้องคับแค้นไม่คลาย เรียกคนรับใช้มาสอบถามถึงมือปราบผู้นี้ คนรับใช้รีบบอกเล่าอย่างยินดีทั้งยังมีท่าทีชื่นชม

“มือปราบผู้นี้ นามลู่ซุน เดินทางมาจากเมืองหลวงส่วนสาเหตุที่มาผู้ต่ำต้อยไม่ทราบได้ ตั่งแต่มาถึงทำงานขยันขันแข็งขโมยขโจร ล้วนปราบหมดสิ้น มือปราบประจำเมืองก็มีวินัยผิดจากเดิม ชาวบ้านต่างนิยมชมชอบ ที่แรกเข้าใจว่าเป็นคนเมืองหลวงแต่พบว่า สำเนียงมือปราบลู่เป็นสำเนียงชาวเสฉวนเรา คาดคิดว่าคงเป็นชาวเสฉวน ...”

มันยังกล่าวเยินยอชื่นชมอีกหลากหลาย จนจิวอวงยี้รับฟังจนขุ่นข้องรำคาญ ไล่ให้มันออกจากห้อง นางกลับนั่งครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน พลันแย้มยิ้มออกมา กล่าวพึมพำเบาๆคล้ายกล่าวกลับตัวเอง

“ท่านเป็นมือปราบ ปราบโจรผู้ร้าย เฮอะ ดูว่าท่านแน่ หรือข้าพเจ้าแน่กว่า”

ลุกขึ้นพลัดเปลี่ยนชุดเป็นชุดดำกระชับรัดกุม ใช้ผ้าแพรเบาบางสีดำปิดคลุมโฉมหน้าไว้



พอยามสามตะเวนออกตามบ้านเศรษฐี ร้านค้าใหญ่ พอได้ที่หมายตาก็สะกิดเท้าข้ามกำแพงทิ้งตัวลงอย่างเงียบงันไร้สุ่มเสียง แม้มีนักบู๊พิทักษ์ตึกเวรยามแน่นหนา หากไม่ใช่ชนชั้นยอดฝีมือไหนเลยจับการเคลื่อนไหวของนางได้ บางครากลับก้าวเดินตามหลังเวรยามห่างไม่ถึงสองเซียะ มันกลับยังไม่รู้ตัวพอสะกิดใจหันกายกลับมา นางก็พลิกตัวไปอยู่ด้านหลังมันประดุจเงาตามตัวก็ปาน มันเมื่อไม่พบเห็นจึงเข้าใจว่าเกิดจิตคิดระแวงไปเอง



    ใช้เวลาสืบเสาะสะกดรอยตามเวรยามอยู่ชั่วครู่ ก็บรรลุถึงห้องเก็บทรัพย์สิน เห็นข้าวของมีค่าหลายชิ้น แต่ไม่ใคร่ได้สนใจทรัพย์สินที่นางหมายตาต้องมีค่าควรเมือง จึงควรคู่แก่การลงมือ สำรวจภายในห้องอยู่ครู่หนึ่งยังไม่เห็นสิ่งใดต้องตา พลันนึกขึ้นได้ว่าบ้านเศรษฐีมักนิยมทำช่องลับไว้เก็บของมีค่า แต่เก่าก่อนตระกูลจิวก็เคยทำเช่นนั้น ตรวจดูตามกำแพงชั้นตู้ โดยละเอียด เพียงครู่นางก็ยิ้มน้อยๆออกมา พบรูปปั้นเก่าทรุดโทรมตัวหนึ่งผิดปกติไม่สามารถยกขึ้นได้ คาดว่าคงเป็นกลไกเปิดช่องลับ พอบิดหมุนช่องลับด้านข้างกำแพงก็เปิดออก ภายในบรรจุของมีค่าหลายชิ้น



จิวอวงยี้รีบคลี่ผ้ากางออกจัดเอาของมีค่าใส่ลงห่อหุ้มไว้ มาสะกิดใจที่ธงเหลืองผืนหนึ่งบรรจุรวมอยู่ด้วย มีอักษรคำว่า “พลิกฟ้า” ปักอยู่ไม่ทราบว่ามีค่าอันใด แต่ก็ยัดลงใส่ห่อผ้านำไปด้วย พอจะจากไปพลันนึกได้ ‘เราเป็นถึงศิษย์สามภูติกวนตั๋ง หากลงมือโดยไม่บ่งบอกฉายา ออกจะดูเป็นโจรกระจอกไป ควรทิ้งชื่อฉายาไว้ให้รับทราบ’ แต่ยามกระทันหันยังนึกชื่อฉายาไม่ออก พลันแลเห็นรูปปั้นหยกรูปแมวงามสง่าท่าทางปราดเปรียว จึงนึกขึ้นได้ สลักรูปอุ้งเท้าแมว ลงบนเสาไม้กลางห้อง พอเสร็จมีสีหน้าภาคภูมิใจ ครุ่นคิดอย่างภาคภูมิ ‘ใช้สัญลักษญ์นี้แทนเถอะ’ หอบหิ้วของมีค่าพลิ้วกายออกจากแหล่ง ไปอย่างเงียบงัน



    เพียงข้ามคืนเดียวนางก่อคดี เจ็ดแปดแห่ง ตามบ้านเศรษฐีนางมักพบธงเหลืองซุกซ่อนอยู่รวมกับของมีค่า คล้ายเป็นของสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักคาดคิดว่าอาจเป็นเครื่องรางทำมาค้าขาย หอบหิ้วของมีค้ากลับโรงเตี้ยมมามากมาย พลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้มตัวนอนภายใต้ผ้าห่ม ยิ้มเล็กยิ้มน้อย ครุ่นคิดถึงมือปราบผู้นั้น ไม่ทราบว่าเมื่อมีโจรร้ายออกอาละวาดโดยไร้ร่องรอย ก่อคดีไม่ว่างเว้น มันจะมีสีหน้าเช่นไร ครุ่นคิดถึงภายหลังพลันหัวเราะคิกคักออกมา

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

3ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

3ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture