ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
ตำนานรักแห่งกรีก-โรมัน

ลำดับตอนที่ #5 : อีรอส&ไซคี

  • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 47


                                                                 อีรอสและไซคี



                                                               Eros & Psyche



    ในครั้งโบราณกาล  ยังมีพระชากรีกองค์หนึ่งซึ่งมีพระธิดาผู้งดงามสามองค์  

โดยเฉพาะ”ไซคี”  พระธิดาองค์เล็กนั้นงดงามที่สุด  จนกล่าวได้ว่าความงามของไซ

คีนั้นแม้แต่บรรดาเทพธิดาและนางพรายที่ว่างามนักหนายังมิอาจเทียบได้  ดวง

จันทร์และดวงตะวันที่เปล่งแสงบนฟากฟ้าก็ยังงามสู้ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยผู้นี้

ไม่ได้  ผู้คนต่างเทิดทูนบูชาความงามของเธอราวกับเธอเป็นเทพธิดา  ซึ่งชื่อ”ไซคี”

นี้หมายความว่าจิตวิญญาณ  ดั่งที่นางเป็นจิตวิญญาณและหัวใจของทุกคนใน

อาณาจักร



    แต่ทว่าความงามกลับเป็นภัยแก่เธอ  เมื่อเทพีอะโฟรไดทีนั้นริษยาความ

งามของเธอ  เทพีแห่งความงามได้บัญชาอีรอสผู้เป็นบุตรชายคนโปรดให้ใช้ลูกศร

ทองคำทำให้เจ้าหญิงผู้เลอโฉมหลงรักสิ่งที่ชั่วร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด    



อีรอสรับคำบัญชาจากมารดาก็รีบคว้าอาวุธแล้วกระพือปีกสีมุกบินผ่านปุย

เมฆสีขาวรอบเขาโอลิมปัสลงไปยังพระราชวังอันเป็นที่อยู่ของไซคีทันที  



    เมื่อมาถึงพระราชวัง  อีรอสก็บินเข้าไปในห้องของไซคีทางหน้าต่าง  เทพ

เจ้าแห่งความรักก็มองเห็นไซคีนอนหลับอยู่บนเตียง  จึงกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอา

ลูกศรแทงแล้วค่อยเนรมิตรสิ่งแสนทุเรศให้เธอลืมตาขึ้นมาเห็นทันทีนี่แหล่ะ  ว่า

แล้วอีรอสก็ค่อยย่องเข้าไปใกล้ร่างไซคีพร้อมกับหยิบลูกศรออกมาเตรียมพร้อม  

เมื่ออีรอสเงื้อมือขึ้นหมายจะแทงไซคี  เธอก็ขยับใบหน้าและพลิกตัว  อีรอสถึงกับ

ตะลึงในความงามของเจ้าหญิงมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าจึงเผลอทำลูกศรหลุดมือแทง

ถูกตัวเอง



    ผลก็เป็นดังที่มันเคยทำให้เป็นมานักต่อนัก  หัวใจของอีรอสเต้นแรงขึ้นและ

หลงรักไซคีหมดหัวใจ  เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายไซคีตามที่มารดาบัญชาได้เลย  

อีรอสได้แต่มองดูไซคีอย่างหลงใหลและบินกลับโอลิมปัสก่อนที่เธอจะตื่น



    เทพีอะโฟรไดทีสังเกตเห็นว่าบุตรชายคนโปรดที่เคยซุกซนได้เปลี่ยนไปตั้ง

แต่กลับมาจากโลกมนุษย์  จากที่เคยซุกซนก็เอาแต่เหม่อลอย  ดูรวมๆแล้วเป็น

อาการที่นางแทบไม่อยากจะคิด  !!อีรอสกำลังตกหลุมรัก!!



    กล่าวถึงฝ่ายไซคี  แม้ว่าเธอจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด  ก็กลับไม่มีชายใด

มาสูขอนางสักที  จนพวกพี่ๆของเธอแต่งงานไปหมดแล้ว  ทำให้พระราชาผู้เป็น

บิดากลัดกลุ้มมาก  จึงไปขอคำแนะนำจากวิหารของอะพอลโล  ซึ่งก็ได้คำ

พยากรณ์มาว่า

    

                            “จงแต่งกายนางให้สง่า  แล้วนำพาไปพงไพรสุดไกลห่าง  อันสิ้นไร้ซึ่งผู้คน

จะเดินทาง  ณ.ใจกลางป่าไม้แห่งภูตพราย  ปีกแห่งอสูรกายจักโบกบินมารับบุตรี

เจ้า  พาไปยังยอดสูงสุดของภูผาชัน  เพื่อเป็นคู่ชีวันแห่งจอมนาคาผู้ยิ่งใหญ่  

อำนาจนั้นไซร้เทียมโอลิมเปียนจอมเทวา”



                          พระราชาจึงต้องส่งไซคีไปยังเชิงเขาอันเป็นที่อยู่ของผู้อมตะเพื่อปกป้อง

อาณาจักร  เจ้าหญิงน้อยก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวในตัวอสุรกายที่ต้องไป

เผชิญ  แต่แล้วเซฟีรุสเทพเจ้าแห่งลมตะวันตกก็หอบเอาร่างของเธอขึ้นไปยังยอด

เขา

                      ไซคีต้องประหลาดใจที่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย  มันสวยงามยิ่งกว่า

พระราชวังแห่งกษัตริย์ใดๆเสียอีก  ราวกับว่ามันเป็นดั่งที่อยู่แห่งเทพก็ไม่ปาน  มี

สวนอันร่มรื่นปลูกพันธุ์ไม้ที่แปลกตาสีสันระยิบระยับเหมือนเพชรพลอย  น้ำพุบ่อ

ใหญ่ก็พวยพุ่งสะท้อนแสงแดดอ่อนๆเป็นสีรุ้ง  และมีทางเดินเป็นแผ่นหินอ่อนสี

ขาวทอดยาวไปสู่ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่  และเธอก็ได้ยินเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น  

เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้และเป็นสามีเธอ  เขาบอกให้เธอไปไหน

มาไหนในบ้านนี้ตามสบาย  ซึ่งก็มีคนรับใช้ที่มองไม่เห็นคอยรับใช้  เสิร์ฟอาหารรส

เลิศ   และบรรเลงเพลงขับกล่อมยามที่เธอเข้านอน



                     ไซคีอยู่ที่คฤหาสน์แสนวิเศษอย่างมีความสุข  ซึ่งเธอก็ไม่เคยเห็นเจ้าของ

คฤหาสน์ผู้เป็นสามีของเธอเลย  เพราะเขาจะมาหาเธอในเฉพาะยามกลางคืนเท่า

นั้นและไม่ยอมให้เธอจุดตะเกียง  แต่เขาก็ดีกับเธอมากจนเธอคลายความหวาด

กลัวและคิดว่าเขาไม่ใช่อสูรกายที่โหดร้ายโดยแน่แท้  



                      แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ไซคีก็คิดถึงครอบครัวจึงขออนุญาตอีรอสให้พาพี่สาว

มาเยี่ยมเธอ  ซึ่งพี่สาวของเธอต่างแปลกใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่  พวกเธอคิดว่าไซคีคง

จะถูกสัตว์ร้ายบนเขากินไปแล้ว  เจ้าหญิงทั้งสองก็ตื่นตะลึงในความงามและความ

ใหญ่โตอันเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่าของสถานที่ที่น้องสาวอาศัยอยู่ก็เกิดความ

ริษยาขึ้นมา  พวกเธอก็ซักไซ้เกี่ยวกับเจ้าของคฤหาสน์โดยไม่มีความเกรงใจ  และ

เมื่อทราบว่าไซคีไม่เคยเห็นหน้าเขา  พวกเธอก็พูดไปต่างๆนาๆว่า



                   “เขาอาจจะอัปลักษณ์อย่าสุดแสน  หากมาตรแม้นต้องซ่อนกายถึงเพียง

นั้น”



                  “หรือว่าเขาเป็นอสูรกายที่น่าสะพรึงกลัวกัน  คอยขย้ำเมื่อเจ้ามิทันระวังตัว”



               แม้ไซคีจะแก้ต่างว่าเขามีความอ่อนโยนและดีกับเธอมาก  แต่พี่สาวอีกคนก็

ยังต่ออีกว่า



                  “โธ่เอ๋ย!แม่น้องพี่  ก็เจ้าไร้เดียงสาเสียเพียงนี้  จะทันทีเลห์ปีศาจอย่างไรได้  

ทุกคำหวานที่มันพร่ำพูดไป  อาจกระหยิ่มในใจใช่พูดจริง”



                 เมื่อถูกพี่สาวทั้งสองพูดกรอกหูมากเช่นนี้  และเธอก็ยังไม่เคยเห็นหน้าอีรอส

เลย  ก็ทำให้ใจเธอก็ยิ่งหวั่นไหว    



                 และพี่สาวทั้งสองกลับไป  เจ้าหญิงน้อยก็รีบเอาตะเกียงและมีดไปซ่อนไว้ใต้

เตียง  



              อีรอสก็มาหาเธอในตอนกลางคืนเช่นเคย  



             เมื่ออีรอสหลับ  ไซคีก็หยิบตะเกียงขึ้นมาจุด  แสงไฟที่ส่องไปยังร่างที่หลับ

ไหลนั้นทำให้ไซคีตกตะลึง  เพราะเธอกำลังเห็นชายที่รูปงามที่สุดที่เธอเคยเห็น  

เขาดูเป็นคนอ่อนโยนเฉกเช่นน้ำเสียงของเขาเวลาที่พูดคุยกับเธอ  ใบหน้าของเขา

งามราวภาพวาดจากหัตถ์แห่งเทพ  กลางหลังมีปีกสีขาวมุกส่องประกายเรื่อเรือง  

และผิวกายของเขาเปล่งประกายคล้ายเป็นรัศมีอ่อนๆแห่งราชรถอพอลโล



             ไซคีมองอีรอสและหลงรักเขาเต็มหัวใจทันที  ความหวาดระแวงทั้งปวงได้

หายไป  แล้วเธอก็ค่อยๆขยับตัวจะเก็บตะเกียง  แต่น้ำมันร้อนหยดหนึ่งก็หยดลง

บนแขนของอีรอส  เขาก็ลืมตาสีไพลินขึ้นทันที  ใบหน้างดงามดูเจ็บปวดใจ



                 “เจ้าฝ่าฝืนคำข้า”  อีรอสพูดและกางปีกสีมุกบินออกไปทางหน้าต่างทันที  

เสียงกังวาลดังมาตามสายลม  “เราไม่อาจอยู่ร่วมชายคาต่อไปได้  หากสิ้นไร้ความ

เชื่อใจและไว้ใจ  ข้าก็ขอจากไปไม่รอรี”



              ไซคีวิ่งตามและกระโดดออกจากหน้าต่าง  แต่เซฟีรุสก็รับตัวเธอเอาไว้ได้

ก่อนที่ร่างของเธอจะหล่นลงกระแทกกับพื้นจนร่างแหลกเหลว  ซึ่งไซคีก็หมดสติไป



              เจ้าหญิงน้อยตื่นขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดหัวใจในยามเช้า  เธอรักอีรอส

จนถอนตัวไม่ขึ้น  ใจหนึ่งเธออยากตายไปเสียหากไม่มีเขา  แต่เธอก็คิดได้ว่าจะมี

ประโยชน์อะไรเล่าหากเธอตายไป  น่าละอายเสียเปล่า  และเธอจะทำให้อีกหลาย

คนเสียใจกับการกระทำของเธอด้วย  สู้ตามหาอีรอสและขอให้เขายกโทษให้กับ

ความโง่เขลาของเธอจะไม่ดีกว่าหรือ



               ว่าแล้วเธอก็เดินหน้าต่อไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง  โดยหวังว่าไม่วัน

ใดวันหนึ่งก็ต้องได้พบสามีของเธอแน่นอน



                จนตกเย็น  เธอก็มาถึงวิหารของเทพีเดมีเตอร์  ซึ่งเธอก็อ่อนล้าจากการเดิน

ทางตากแดดตากลมมาทั้งวันเหลือเกิน  จึงจะขอเข้าไปอาศัยร่มเงาของวิหารนอน

พักให้คลายเหนื่อย  



                แต่เมื่อเข้าไปในวิหารก็พบว่ามีกองพืชพรรณธัญญาหารวางระเกะระกะไป

หมด  เห็นได้ชัดว่าพวกชาวไร่ชาวนานั้นเก็บเกี่ยวมาทั้งวันจึงอ่อนแรงเกินกว่าจะ

จัดวางให้เป็นระเบียบได้  ไซคีจึงจึงจัดการเก็บกวาดและเรียงผลผลิตเหล่านั้นให้

สะอาดเรียบร้อย



                ซึ่งเทพีเดมีเตอร์นั้นพอใจมากที่ไซคีช่วยเก็บกวาดวิหารให้ตน  และทราบ

เรื่องราวของเธอและอีรอสดี  จึงปรากฏกายให้เธอเห็นและแนะนำ



              “ไซคีเอ๋ย…เจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจดีมากคนหนึ่ง…ข้ารู้ซึ่งสิ่งเจ้า

ต้องการ….เจ้าเดินทางยาวนานตามหาใคร”



             “….ฟังเถิดเจ้าหญิงผู้เป็นมิ่งแห่งวิญญา…จงมุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งอะโฟร

ไดที  และเอ่ยวจีสวดอ้อนวอน  เจ้าอาจได้พรแห่งรักสมอุรา”



             ไซคีก็ได้ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสางด้วยหัวใจเบ่งบาน  เมื่อมาถึงวิหารแห่งอะ

โฟรไดที  เธอก็ได้คุกเข่าลงและอ้อนวอนภาวนาให้อะโฟรไดทีช่วยให้เธอได้พบกับ

สามีอีกครั้ง



              อะโฟรไดทีไม่เพียงจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของเธอ  แต่ยังรับปากอีกด้วยว่าจะช่วย



                อ๊ะ!อ๊ะ!  อย่าคิดว่าเจ้าแม่แห่งความรักผู้นี้จะหายเกลียดชังเจ้าหญิงน้อยผู้

งามกว่านางแล้วนะครับ



               อะโฟรไดทีรับปากก็จริง  แต่มีเงื่อนไขมหาหินมหาโหด  3  ข้อด้วยกัน  ถ้า

ทำไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว  ต้องเลิกพูดกันทันที



               ประการแรก  หลังจากที่ไซคีได้พักผ่อนแล้วหนึ่งคืน  อะโฟรไดทีก็พาเธอมา

ที่ห้องแห่งหนึ่ง  ซึ่งในห้องนั้นมีเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดปะปนกับเต็มพื้นไปหมด



           “ดูเถิด…บนพื้นมีเมล็ดมากมายหลายชนิด  จงคัดแยกออกจากกันอย่าให้

ผิด  ก่อนอพอลโลผู้ศักดิ์สิทธิ์จะจากจร”  อะโฟรไดทีกล่าว  “แล้วข้าจะกลับมาใน

ยามนั้น  หากไม่ทันก็ไร้คำใดๆ  เจ้าต้องไปให้ไกลก่อนราตรี”



                ไซคีเห็นกองภูเขาย่อมๆของเมล็ดพืชหลากหลายนี้  ก็แทบอยากจะร้องไห้  

แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง  ถ้าเธอทำได้ทั้งหมด  เธอก็จะได้พบอีรอส



                ทางฝ่ายอีรอส  ซึ่งยังคงรักเธอไม่เสื่อมคลายและแอบเฝ้าดูแลคุ้มครองเธอ

เสมอ  ก็ได้ส่งกองทัพมดไปช่วยเธอ  ซึ่งไซคีทั้งประหลาดใจและดีใจ  ที่อยู่ๆก็มีมด

มากมายเดินเข้ามาและช่วยคัดแยกเมล็ดพันธุ์  แรงงานแสนขยันนี้ก็คัดแยกเมล็ด

พันธุ์ทุกเมล็ดอย่างเรียบร้อยก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน



                     ไซคีกล่าวขอบคุณพวกมด  ซึ่งมันก็รีบแยกย้ายกันกลับรังเพราะมันได้ทำ

หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว



                        เมื่อตะวันคล้อยต่ำดั่งจะจุมพิตห้วงธรณี  เทพธิดาอะโฟรไดทีก็เยื้องย่าง

มายังมหาวิหารด้วยอารมณ์แสนสดใส  ด้วยคิดว่าเจ้าหญิงน้อยนั้นทำงานที่ตนสั่ง

ไม่ได้แน่  ยิ่งเห็นไซคีก้มหน้างุดเมื่อเห็นตนก็ยิ่งนึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ



                  แต่พอเข้าไปในห้องเก็บเมล็ดพืชแล้ว  เจ้าแม่แห่งความรักและความงามก็

ต้องเก็บอารมณ์โมโหแทบไม่ทัน  เมื่อเห็นว่าทั้งห้องนั้นสะอาดเรียบร้อย  เมล็ด

พันธุ์ทุกเมล็ดถูกแยกตามชนิดใส่ในแต่ละกระสอบที่วางเรียงรายอยู่ข้างฝา  



                  อะโฟรไดทีเชิดใบหน้าขึ้นและมองไซคีที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานจริงใจให้นาง  

แต่สายตาของอะโฟรไดทีนั้นเย็นชาและเกลียดชัง  นางกล่าวกับเจ้าหญิง



                   “จงยิ้มไปก่อนเถิดไซคี  แต่อย่านึกจะมีทางชนะอีกต่อไป”

      

                 เทพีแห่งความงามก็ส่งขนมปังอันหยาบกระด้างให้ไซคี  และนางก็จากไป



                    เมื่อดวงจันทราจากลาสุริยาเคลื่อนมาแทน  อะโฟรไดทีก็มาหาไซคีอีก  

นางสั่งให้เจ้าหญิงน้อยข้ามแม่น้ำไปเก็บขนแกะจากฝูงแกะที่มีขนเป็นทองคำมาทุกตัว

ซึ่งแกะพวกนี้มันดุร้ายมาก  เทพีแห่งความงามก็ถามไซคีกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเยาะ



                     “แกะทองคำพวกนี้  ช่างมีฤทธีมากมาย  หากว่าตัวนั้นเจ้ากลัวตาย

จะกลับกายกลับใจก็ใคร่ทัน”



                  แต่ไซคีก็ตอบด้วยความกล้า



                     “โอ้  ท่านเทวีผู้สูงศักดิ์  ข้ารู้สึกซึ้งใจนักที่ท่านห่วง  หากยามนี้ข้าไร้ซึ่งสิ่งทั้ง

ปวง  จะแตกดับหรือโชติช่วงไม่ต่างกัน”



                        แล้วไซคีก็มุ่งหน้าออกจากวิหารไปยังสายธาร  เธอก็เห็นฝูงแกะขนทองคำ

กำลังเล็มกินยอดหญ้าสีเขียวขจีอยู่ฝั่งตรงข้าม  เจ้าหญิงน้อยจึงถลกชายกระโปรง

ขึ้นเหนือเข่าเพื่อเตรียมจะลุยน้ำ  แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงที่ฟังเป็นมิตรดังขึ้นมา



                    “เจ้าหญิง…เจ้าหญิง…หยุดก่อนเจ้าหญิง  หากไปในยามนี้  ก็เห็นทีวาย

ชีวา  เนื่องด้วยตอนนี้เชษฐาดวงจันทรา  สถิตย์ฟ้าแสงส่องแสนเจิดจ้า  แกะเลอค่า

ยิ่งแสนร้ายเหนือคณา  จงรอก่อน..รอจนตะวันผ่อนอ่อนแสงล้า  เมื่อนั้นมันจะหยุด

นิ่งทอดกายา  เข้าสู่ห้วงนิทราทุกตัวตน  แล้วเจ้าจึงค่อยข้ามพ้นสายธารา  เก็บเส้น

ทองคำที่ติดตามหนามพฤกษา  นำไปถวายเทพธิดาผู้ต้องการ”



                      ไซคีก็ทำตามคำแนะนำ  เธอเฝ้าคอยจนบ่ายคล้อย  ซึ่งดวงอาทิตย์ลดแสง

อันร้อนแรงลง  พวกแกะขนทองคำก็พากันล้มตัวลงนอนตามเงาไม้  



                          เจ้าหญิงน้อยก็ข้ามลำธารและไปเก็บขนแกะที่ติดอยู่ตามไม้หนามจนได้เต็ม

กระสอบ  แล้วจึงกลับไปหาอะโฟรไดที



                        เทพธิดาก็ยิ่งฉุนไปใหญ่  ที่ไซคีไม่ถูกฝูงแกะที่ดุร้ายรุมทำร้ายจนตายที่ไป

เอาขนของมันมาอย่างนี้  นางก็ยื่นเปลือกขนมปังแข็งๆหนึ่งชิ้นให้ไซคีให้รับ

ประทานเป็นอาหาร  แล้วนางก็จากไปเช่นเดิม



                         ไซคีก็กัดขนมปังแสนอนาถานั้นด้วยความหิว  แต่ในใจของเธอกลับมีแต่

ความสุข  เพราะเหลืองานเพียงชิ้นเดียวก็จะได้พบกับสามีผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอ

แล้ว  เขาเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งหัวใจของเธอไว้ไม่ให้ยอมแพ้กับสิ่งยากลำบาก

ต่างๆที่เผชิญมาแล้ว  รวมถึงสิ่งต้องเผชิญต่อไปในภายภาคหน้า  เธอล้มตัวลง

นอนอย่างอ่อนล้า  และคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรรอเธออยู่



                                รุ่งเช้าอะโฟรไดทีก็มาบอกไซคีถึงภารกิจอย่างสุดท้าย



                   “สิ่งที่สามซึ่งข้าให้ทำนั้นแสนสบาย  เพียงบ่ายหน้าไปยังเฮดีสที่มืดมิด  

มอบหีบทองปิดสนิทให้เปอร์เซฟโฟนี  บอกว่าตัวข้านี้เทพธิดาอะโฟรไดที  

ขอแบ่งปันความโสภีจากจอมนาง”  



                     เจ้าหญิงน้อยฟังก็ถึงกับอึ้ง  งานชิ้นนี้เธอคงทำไม่ได้แน่  ฟังดูเหมือนจะง่าย

ก็จริง  แต่ว่าไม่มีใครเข้าไปในเฮดีสทั้งที่เป็นๆนี่นา  



                      เธอเดินไปก็ร้องไห้ไป  แต่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยนที่เคยช่วยเธอไว้ก็ดังแว่วมา

ตามสายลม



                   “จะร้องไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า  มาเถิด…ข้าจะเล่าบอกเส้นทางข้างล่างให้  

เช็ดน้ำตาแล้วนิ่งเถิดแม่ยาใจ  ไม่มีสิ่งใดไซร้ไกลเกินจริง”



                 เสียงนั้นแนะนำเส้นทางที่ปลอดภัยโดยให้เธอลงเรือแจวข้ามแม่น้ำแอคเคอ

รอน  ซึ่งจะมีชายแก่ชื่อแครอนเป็นคงพาย  และเธอต้องจ่ายเงินให้เขา



                    จากนั้นก็ต้องผ่านเซอร์บิรัสสุนัขสามหัวซึ่งมีหางเป็นอสรพิษ  เธอต้องอย่า

กลัวและร้องเพลงให้มันฟัง  แล้วมันก็จะสงบ  ซึ่งเธอก็จะผ่านเข้าไปได้และให้ออก

มาด้วยวิธีเดิม



                      แล้วเสียงนั้นยังย้ำอีก  ว่าเธอจะต้องไม่กินอาหารของโลกบาดาลเป็นเด็ด

ขาด  เพราะถ้าเธอกินเข้าไปเธอก็ต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล  ซึ่งมันเป็นกฎที่ไม่มี

ใครผืนได้  แม้แต่ผู้เป็นเทพอย่างเปอร์เซพโฟนีก็ยังต้องอยู่ที่นั่นตามจำนวนเมล็ด

ทับทิมที่กินเข้าไป  



                   อีกทั้งเธอจะต้องไม่เปิดหีบเป็นอันขาด  ไม่ว่าจะอยากรู้เพียงไรก็ตามว่ามีสิ่ง

ใดอยู่ข้างใน



                        ไซคีรับปากเสียงผู้ปรารถนาดีอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ  แล้วเธอก็ลงไปตาม

ทางที่เขาบอก  เธอจ่ายเงินให้แครอน  ชายแก่ก็พาเธอข้ามไปเฮดีส  พบกับเซอร์บิ

รัสก็กล่าววาจาอันอ่อนโยนและร้องเพลงให้มันฟัง  มันก็กลายเป็นสุนัขเชื่องๆ

ธรรมดาๆตัวหนึ่งเท่านั้น(ยกเว้นหัวสามหัว  หางเป็นงู  และตัวใหญ่อย่างกับยักษ์)



                             และเธอก็เข้าเฝ้าราชินีแห่งโลกบาดาล  และบอกจุดประสงค์ที่มา



                    ซึ่งเปอร์เซฟโฟนีรับหีบแล้วก็ให้เธอนั่งรอ  นางก็เข้าไปข้างใน  ชั่วครู่เทวีแห่ง

เฮดีสก็ออกมาแล้วมอบหีบคืนให้ไซคี



                      เมื่อไซคีออกมาจากเฮดีสแล้ว  เธอก็ใคร่รู้ว่าความงามที่อะโฟรไดทีให้มาขอ

จากเปอร์เซฟโฟนีมันมีหน้าตาอย่าไร  และอีกนัยหนึ่ง  เธอก็อยากได้ความงามสัก

นิดมาเติมให้ตนเอง  เพราะหลังจากอีรอสจากไป  เธอก็ทั้งรอนแรมมาไกลรวมถึง

ต้องตรากตรำทำงานอีก  เธอคงจะดูโทรมลงกว่าเดิมลงไปถนัดตา เธออยากดูสวย

ให้มากที่สุดเมื่อได้เจออีรอส



                        เจ้าหญิงน้อยจึงเปิดหีบออก  ซึ่งก็มีควันขาวดั่งหมอกพวยพุ่งออกมา  แล้ว

สติเธอก็เลือนลงเข้าสู่ห้วงนิทรา



                       ฝ่ายอีรอส  เทพหนุ่มไม่เห็นไซคีกลับมาเสียทีก็เป็นห่วง  จึงกางปีกสีมุกแล้ว

บินไปดู  ก็พบร่างอันไร้สติของไซคีทอดกายอยู่บนผืนหญ้า  ข้างๆนั้นมีหีบทองคำ

ซึ่งเปิดแง้มอยู่  อีรอสจึงรีบปิดหีบและช่วยให้ไซคีตื่นจากนิทรา



                    ไซคีค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความง่วงงันมิทันจาง  แต่เมื่อเห็นใบหน้างาม

สง่าที่เธอไม่เคยลืม  มนต์สะกดแห่งนิทรารมย์ก็หายไปสิ้น  เธอยิ้มด้วยความดีใจ

เป็นสุดแสน  ดูละม้ายดั่งมวลบุพผาจะเบ่งบานทั้งโลกด้วยรอยยิ้มของเธอ



                       อีรอสก็ชี้ให้ไซคีเห็นถึงความยุ่งยากที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของ

เธอ  “ตระหนักมั่นไว้ในใจเถิด…แม่ยอดรัก  ที่เราสองต้องพรากไกลจักเหตุใด  

ถ้ามิใช่ความอยากรู้แห่งนงคราญ”



                           ไซคีก็สวมกอดอีรอสด้วยความคิดถึงและกล่าวให้เขายกโทษให้เธอ  “ข้าขอ

อภัยในเรื่องเก่าก่อน  ที่ผ่านมามันได้สอน  ยามดวงใจจากจรเป็นเช่นไร  ในยามนี้

และต่อไปจะมีไม่  สิ่งที่ข้ายึดมั่นคือเชื่อใจ  มิสงสัยให้ท่านหลีกไกลดั่งแล้วมา”



                            อีรอสจึงพาไซคีไปยังโอลิมปัสและขอซีอุสให้มอบความเป็นอมตะให้กับเธอ  

ซึ่งซีอุสก็มอบแอมโบรเซียในถ้วยทองคำมาให้  เมื่อไซคีดื่มเข้าไปก็รู้สึกถึงพลังแห่ง

ความเป็นอมตะไหลเวียนไปทั่วร่าง  ผิวขาวนวลของเธอเปล่งประกายเช่นชาวเทพ  

และความงามของเธอก็มากขึ้นกว่าเดิม  



                   เทพทั้งปวงก็ปรากฏกายให้เธอเห็นและกล่าวต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัว  

อะโฟรไดทีก็สิ้นซึ่งความเกลียดชังทั้งปวงต่อไซคี  นางเข้าสวมกอดไซคีอย่างอบอุ่น

    

                     อีรอสและเจ้าหญิงไซคีก็ครองคู่กันอย่างมีความสุขตราบจนชั่วนิจนิรันดร์

  

  





ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

3ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

3ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture