คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 3 : รวมตัว
ดันเต้พานาวินเดินเข้าไปด้านในห้องๆหนึ่ง ซึ่งด้านในมันต้องผ่านห้องทดลองมากมาย ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างเดินไปเดินมาเพื่อทำงานของพวกเขา พวกเขาทดลองอะไรหลายๆอย่าง ทั้งอุปกรณ์ รมถึงยาชนิดต่างๆ ทำเอานาวินถึงกับสงสัยอะไรบางอย่าง
“อืม ที่นี่เป็นห้องทดลองอย่างนั้นหรือ??” นาวินถามไป
“ใช่แล้วหล่ะ ผมทดลองคนแบบพวกคุณ รวมถึงตัวผมมานานแล้วตั้งแต่อยู่ที่สหรัฐ และผมก็รู้ว่ายังมีคนแบบพวกเราอีกหลายล้านคนบนโลก ผมเคยมีเพื่อนเป็นคนไทยด้วยนะ แล้วพวกนี้ที่คุณเห็น พวกเขาไม่ใช่คนหรอก พวกเขาเป็นหุ่นแอนดรอยด์หน่ะ ผมสร้างมาเพื่อให้ช่วยทดลองงานเฉยๆ” ดันเต้พูดขึ้น
“ห่ะ อย่าบอกนะว่าที่ผมเห็น พวกเขาเป็นหุ่นทั้งหมดเลย??” นาวินถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้วหล่ะ แล้วผมก็จะพาคุณไปพบกับคนอื่นๆ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เดินไปถึงประตูหนึ่งซึ่งเป็นประตูเหล็กพร้อมกับแผงวงจรอะไรบางอย่าง ตัวของดันเต้รีบกดนิ้วไปเพื่อสแกนลายนิ้วมือ และเมื่อประตูเปิด ดันเต้ก็พาพวกนาวินไปพบกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้บางคนก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวของนาวินก็แปลกใจเหมือนกันว่าคนพวกนี้เป็นใคร แต่ไม่นานนัก หญิงสาวคนหนึ่งที่เหลือบมองมาเห็นนาวิน เธอก็ทักทายเขาอย่างตื่นเต้น
“คุณวินคะ!!”
“อ้าว คุณเวียนเหรอ นี่คุณมาทำอะไรที่นี่เนี่ย??” นาวินถามไป และในตอนนั้นเอง อากิระซึ่งมองเห็นนาวินก็พูดกับเขาในทันที พร้อมกับชักปืนออกมา ทำเอาคนอื่นถึงกับตกใจ
“เฮ้ย นี่พวกมึงเอากูมาทำอะไรที่นี่เนี่ย??” อากิระถามไป
“นี่ ใจเย็นนะพี่ชาย ถ้าเขาจะฆ่าเรา เขาคงฆ่าเราไปแล้วหล่ะ” ภาภินที่ถูกช่วยเหลือมาด้วยพูดขึ้น อากิระเห็นคนด้านในดูไม่เป็นอันตราย รวมถึงมีเด็กอย่างลาลินด้วย ตัวของอากิระจึงลดปืนลงไปพร้อมกับเก็บปืนไปด้วย
“ว่าแต่ เอาพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไรกันหล่ะ??” ฮารุถามไป
“เพราะในตอนนี้ รัฐบาลและองค์กรลับที่ทำงานให้สหประชาชาติ กำลังตามล่าพวกเราอยู่ พวกคุณต้องร่วมมือกัน ถึงจะผ่านวิกฤตไปได้” ดันเต้พูดขึ้น
“อ้อ ผมเองก็พาจะเดาออกตั้งแต่แรก ไอ้พวกนั้นต้องการกวาดล้างผู้เกิดใหม่ทั่วโลก เพราะพวกมันคิดว่าเราเป็นภัยกับพวกมัน” ลันโทสพูดขึ้น
“ใช่ เพราะฉะนั้น ผมจะเป็นผู้ช่วยเหลือพวกคุณ ผมจะฝึกให้พวกคุณคุ้นเคยกับพลังของพวกคุณ เพราะข้อเสียของพลัง มันคือสิ่งที่พวกคุณควบคุมไม่ได้ ใช่หรือเปล่าหล่ะ??” ดันเต้ถามอย่างสงสัย แต่ในตอนนั้น จู่ๆ ตัวของโจไซอาห์ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นๆสังเกตได้ชัด
“อ่า พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ??” ลาลินถามโจไซอาห์ไป แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆที่มองเธอ ผู้หญิงคนนั้นเมื่อได้เจอกับโจไซอาห์ก็รู้สึกอะไรบางอย่าง แต่ตัวของเธอยังเปิดเผยออกไปไม่ได้
“อ่า กำลังรออะไรกันเหรอทุกคน??” อินเนสซ่าถามไป
“คือ ผมแค่ รู้สึกหวั่นๆนิดหน่อย แต่ช่างมันเถอะ” โจไซอาห์พูดกับเธอไป
“โย่ว ลุง ผมถามหน่อย แล้วผู้เกิดใหม่ในเมืองไทยมีกี่คนหล่ะ??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย
“เท่าที่รู้มาในกรุงเทพ มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นคนได้หน่ะ ทั่วโลกคงมีเป็นล้านๆเลย” ดันเต้พูดขึ้น
“2 หมื่น แต่ลุงช่วยเรามาได้แค่นี้อย่างงั้นเหรอครับ??” ลูโดวิกถามไป
“ผมช่วยเท่าที่จะช่วยได้หน่ะ แต่พวกเขามีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง คงไม่เป็นอะไรหรอก” ดันเต้พูดขึ้น
“แล้วตำรวจทหารในไทยหล่ะ ใครอยู่เบื้องหลังกันแน่??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย
“เท่าที่ผมรู้มานะ พวกคุณรู้จัก ส.ส.สุรสิงห์หรือเปล่า??” นาวินถามคนในนั้นไป และในตอนนั้น มันทำเอาอากิระถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“เฮ้พวก มันเป็นอะไรกับนายงั้นเหรอ??” ซีโร่ถามไป
“ลูกไอ้ห่านั่นมันซื้อเพื่อนที่กูไว้ใจที่สุด เพื่อมาฆ่ากู!!” อากิระพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นก็อาจจะเป็นไปได้ ลูกมันคงวิ่งแจ๋นไปหาพ่อเพื่อเล่นงานพวกเรา” ฮารุพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็เห็นนายลืมที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บริเวณนั้น ทำเอาพวกเขาถึงกับแปลกใจเล็กน้อยว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร
“แล้วนี่ ไอ้หมอนั่น ทำไมต้องมากอดเข่าแบบนั้นหล่ะ??” นาวินถามดันเต้ไป
“เขาชื่อนายลืม พลังของเขาคือการที่ทำให้คนรอบข้างสามารถลืมความทรงจำบางส่วนได้ ถ้าไม่อยากลืม อย่าถอดเข็มกลัดที่ผมติดไว้ให้เด็ดขาด” ดันเต้พูดขึ้น ทำเอาทุกคนถึงบางอ้อในทันทีว่าทำไมดันเต้ถึงต้องทำแบบนี้
“เฮ้อ เกือบถอดมันแล้วมั้ยหล่ะ ไอ้บ้าเอ้ย!!” ลุ้นพูดขึ้น และในตอนนั้น นายลืมก็พูดขึ้น
“คนบ้าก็ต้องแสดงออกบ้าๆสิครับ” นายลืมพูดขึ้น
“หน่อว กวนตีนซะด้วยไอ้บ้านี่” โลร็องต์พูดขึ้น แต่ลูโดวิกก็พยายามให้น้องของเขาใจเย็นไว้
“เอาหล่ะ คุณวิน ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว เราควรจะทำยังไงต่อดี??” เวียนถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้เราคงต้องหลบซ่อนตัว แล้วต่อสู้ตอบโต้กับพวกมันไปก่อน” นาวินพูดขึ้น
“แล้วเราจะรบกับรัฐบาลได้ยังไงหล่ะ ถึงรบได้ก็คงต้องตายกันไปข้างเลยหล่ะ??” โจไซอาห์ถามอย่างสงสัย
“เท่าที่ผมรู้ ตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าพวกเรามีอยู่จริง ประชาชนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ นี่อาจจะเป็นข้อได้เปรียบของพวกเรา” ลันโทสพูดขึ้น
“เอาเถอะ พวกเรามันก็ตายไปแล้ว เราจะไปกลัวอะไรกันหล่ะ” อินเนสซ่าถามไป
“อืม ว่าแต่ ลุงพอจะบอกเราได้หรือเปล่า ว่าพลังของพวกเราแต่ละคนเป็นยังไง แล้วมีข้อเสียยังไง??” ลูโดวิกยิงคำถามไป
“เอาหล่ะ เท่าที่ผมได้ศึกษาพลังของพวกคุณมา คุณนาวิน คุณมีพลังความเป็นอมตะ แต่เวลาฟื้นคืนชีพจะเจ็บปวดทรมานจากไฟที่เผาร่าง” ดันเต้พูดขึ้นพลางชี้ไปที่นาวิน
“ของคุณฮารุ พลังของคุณคือการใช้ไฟ แต่มันก็ต้องแลกกับความเหน็บหนาวในใจของคุณ”
“คุณอากิระ สะท้อนความเจ็บปวด แต่คุณต้องมีสมาธิ ไม่อย่างงั้น คุณจะรับความเจ็บปวดนั้นไปเต็มๆ”
“คุณเวียน พลังจิตสังหาร แต่พลังจิตของคุณ จะทำให้จิตของคุณคุ้มคลั่ง”
“นายภา นายสามารถใช้พลังของนายแฮ็กได้ทุกอย่างบนโลก แต่พลังของนายก็จะหมดลงเรื่อยๆ”
“โจไซอาห์ นายสามารถกลายร่างเป็นครุฑ แต่การกลายร่างของนายจะทำให้นายเสียพลังงานมาก” อินเนสซ่าได้ยินดังนั้นถึงกับผงะไปเล็กน้อย
“ลาลิน เธอสามารถสังเคราะห์กลิ่นต่างๆออกมาใช้เป็นอาวุธได้ แต่เธอก็อาจพลังหมดระหว่างการใช้”
“ลันโทส พลังแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ถ้าใช้มันมากไป ร่างกายของนายจะช็อกและเป็นอัมพาต”
“ลูโดวิกส์ โลร็องต์ พลังแห่งการวิ่ง แต่พวกนายจะเหนื่อยกว่าคนปกติ”
“ลุ้น ไพ่ของนายาสามารถทำนายสิ่งที่นายต้องเจอ แต่มันก็ต้องแลกกับผลของมัน”
“อินเนสซ่า เธอคือพญานาค 5 เศียร แต่เมื่อเธอใช้พลังมากๆก็สามารถหมดแรงได้เหมือนกัน แล้วยังมีคนอื่นๆอีก ที่ฉันพอจะรู้ แต่วันหนึ่งเขาอาจจะมาเจอกับพวกนายเอง” ดันเต้บอกพลังให้กับทุกคนได้รู้อย่างแม่นยำ ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งไปเลย
“แล้วพลังของคุณคืออะไร??” ซีโร่ถามดันเต้ไป
“ฉันมีพลังน้ำแข็งไงหล่ะ พ่อแอนดรอยด์” ดันเต้ตอบไป
“ดูท่าที่ลุงพูดจะเป็นความจริงทุกอย่างเลยนะเนี่ย” นายภาพูดขึ้น
“แล้วแบบนี้พวกหนูต้องทำอะไรต่อคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้ฉันกำลังพัฒนาเครื่องทุ่นแรงให้พวกเธออยู่ มันอาจจะช่วยเธอได้ในการใช้พลัง เดี๋ยวฉันไปดูความคืบหน้าก่อนก็แล้วกัน” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปจากห้องๆนั้น และในตอนนั้นเอง ตัวของอากิระก็พูดขึ้นมา
“ฉันว่าเราวางแผนไปฆ่าไอ้ ส.ส. นั่นก่อนดีกว่า” อากิระพูดขึ้น
“แล้วเราจะยังไงหล่ะ นายคิดว่าฆ่า ส.ส. ระดับนั้นมันง่ายเหรอ??” เวียนถามกลับไป
“ก็ให้เจ้าภาแฮ็กดูความเคลื่อนไหวของพวกมันสิ หมอนี่เป็นแฮ็กเกอร์นี่” ฮารุพูดขึ้น
“ผมก็ทำได้นะพี่ แต่ผมคงทำได้ไม่นาน แต่จากการที่ผมเก็บข้อมูลมา ผมก็พอจะรู้นะว่าใครมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ พวกพี่รู้จักชื่อผู้พันประกอบหรือเปล่า??” ภาภินถามไป
“อ้อ นายทหารที่ชอบเต๊ะท่าออกทีวีอย่างงั้นเหรอ??” นายลุ้นถามไป
“หมอนี่มันยิ่งกว่าเต๊ะท่าอีก มันมีกำลังทหารนอกสังกัด ส่วนใหญ่เป็นพวกมือปืนกับอดีตทหารที่มันเลี้ยงไว้ ไอ้พวกเนี่ย ผู้พันประกอบสั่งอะไรมันทำทั้งนั้น” ลันโทสพูดขึ้น
“ปัญหาก็คือ เราต้องรู้โครงสร้างของพวกมันก่อนนะครับ เราถึงจะลงมือได้” ซีโร่พูดขึ้น
“เท่าที่ผมได้ข่าวมา ส.ส.สุรสิงห์เนี่ย ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งนายกไทยสมัยหน้าเลยนะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ใช่ ได้ยินว่าเส้นสายดีมากด้วย ลูกชายมันทำระยำอะไร พ่อมันก็ช่วยได้หมด มันนี่ไปก่อเรื่องในผับทุกวัน” โรล็องต์พูดขึ้น
“งานนี้คงเป็นงานช้างเลย จะฆ่านักการเมืองดังมันก็ยากอยู่แล้ว นี่เล่นว่าที่นายกเลยนะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“จะยากแค่ไหนเชียว พวกเรามันไม่มีใครฆ่าตายได้อยู่แล้วนี่” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“แต่ฉันก็ได้ยินว่า คนอย่างพวกเราก็ตายอีกรอบได้นี่” ลืมพูดขึ้น
“อ้าว นี่นายก็รู้ด้วยเหรอ??” นาวินถามไป แต่นายลืมเองก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดอะไรเลย
“แต่จะว่าไป เขาก็น่าสงสารนะคะ ดูแล้วลืมไปหมดทุกอย่างเลย” ลาลินพูดขึ้น
“บางที บางอย่างลืมไปได้ซะก็ดีแล้วนะ ฉันเองก้อยากลืมได้แบบหมอนั่นเหมือนกัน” อากิระพูดขึ้น ราวกับตัวของเขามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่นานนัก ตัวของดันเต้ก็เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มาพูดกับพวกของนาวินต่อ
“เอาหล่ะ ของที่ผมเตรียมไว้ให้ คงจะได้วันพรุ่งนี้นะครับ” ดันเต้พูดขึ้น
“อ้อ ไม่เป็นครับ ถึงยังไงพวกผมก็ต้องอยู่ที่นี่ก่อนอยู่แล้ว” นาวินพูดขึ้น
“ในระยะนี้พวกคุณกบดานที่นี่ไปก่อนนะครับ” ดันเต้พูดขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะเดินออกไปด้านนอก ปล่อยให้พวกของนาวินพักผ่อนกันอยู่ที่แล็บของดันเต้ต่อไป
ณ บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในย่านบ้านจัดสรรสุดหรู สส.สุรสิงห์ตื่นเช้ามาเพื่อแต่งตัวไปทำงานต่อ แต่จู่ๆก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามาหาเขา เขารีบรับสายอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล มีอะไร??”
“ท่านครับ ลูกท่านถูกยิง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ!!”
“ห่ะ จริงเหรอ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
.
ตัดภาพมาที่โรงพยาบาล สส.สุรสิงห์เดินมุ่งตรงไปยังห้องที่ลูกชายของเขานอนอยู่ ตัวของเขามาถึงหน้าห้องผู้ป่วยเดี่ยวซึ่งบรรดาลูกน้องของเขายืนเฝ้าอยู่ เขาเดินเข้าไปด้านในห้องทันที โดยที่เพื่อนๆของลูกชายสส.ในห้อง เมื่อได้เห็นตัวของสส. พวกนั้นก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พวกมึงไปก่อเรื่องอะไร ทำไมลูกกูถึงเป็นแบบนี้??” สส.สุรสิงห์ยิงคำถามไป
“ไม่นะครับพ่อ เขาโดนยิงในที่ทำงานเลยครับ” เพื่อนของเขาพูดขึ้น และสส.สุรสิงห์ก็เดินไปหาลูกชายของเขาที่โดนยิงจนแขนขาด และยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงนั้น ทำเอาตัวของสส.สุรสิงห์แทบจะบ้า
“ฝีมือใครวะเนี่ย ใครที่มันกล้าทำแบบนี้??” สุรสิงห์ถามไป
“ตอนนี้เรากำลังตามสืบอยู่ครับ”
“ใช่ฝีมือไอ้พวกเกิดใหม่นั่นหรือเปล่า??” สุรสิงห์ถามไป
“อาจจะเป็นไปได้ครับ เพราะไอ้ผู้เกิดใหม่คนหนึ่งมันจะตามมาแก้แค้นเขาแน่ครับ” เพื่อนของลูกชายสุรสิงห์พูดขึ้น
“แล้วไอ้นั่นมันเป็นใคร??” สุรสิงห์ถามไป
“ได้ยินว่ามันเป็นเด็กกำพร้าที่ชื่ออากิระ ถ้าเรื่องนี้ผมจะลองไปสืบเอง คุณพ่อไว้ใจผมได้เลยครับ”
“เออ ถ้ามันเป็นคนทำจริงๆ ฉันจะจัดการมันเอง” สุรสิงห์พูดขึ้น และไม่นานนัก ตัวของหมอนั่นก็เดินออกไปด้านนอก จากนั้นก็ควักโทรศัพท์ออกมา แล้วก็คุยโทรศัพท์ในทันที
“เฮ้ย ไอ้ตี๋ กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อย มึงรู้หรือเปล่าว่าใครที่รู้จักไอ้อากิระมันบ้าง”
ตกเย็น ที่ร้านอาหารของอัญชัน ซึ่งในตอนนี้บรรดาลูกค้ามากมายก็พากันเข้าร้านเนื่องจากว่าฝีมือการทำอาหารของอัญชันนั่นไม่เป็นสองรองใครเลย ในระหว่างที่เธอกำลังทำอาหารอยู่ในร้านนั้น จู่ๆ พนักงานร้านคนหนึ่งก็เดินมาหาเธอในห้องครัวอย่างรวดเร็ว แล้วก็มาพูดกับเธออย่างรวดเร็ว
“คุณอัญชันคะ มีคนมารอคุณอยู่ที่หน้าร้านค่ะ”
“งั้นเหรอ ใช่คุณหลงหรือเปล่า??” อัญชันถามไป
“ไม่ใช่ค่ะ แต่คุณลองไปพบเขาเถอะค่ะ”
อัญชันพยักหน้าและล้างมือ จากนั้นก็เดินออกไปที่หน้าร้านอย่างรวดเร็ว และเมื่อมาถึงที่หน้าร้าน เธอก็มาพบกับชายคนหนึ่งซึ่งรอเธออยู่ และเมื่อเธอเจอหน้าเขา เธอก็พูดขึ้นในทันที
“นี่ แกมาทำไมที่นี่อีก??”
“อัญชัน ฉันขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ฉันหวังดีนะถึงได้มาบอก ตอนนี้ ไอ้สุรสิงห์ พ่อของไอ้แสนที่โดนยิง มันกำลังตามล่าทุกคนที่เกี่ยวข้อง มันอาจจะมาเล่นงานเธอกับเสี่ยวหลงด้วย ระวังตัวไว้ด้วยหล่ะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไป และในไม่นานนัก เสี่ยวหลงก็มาหาเธอ เสี่ยวหลงเห็นผู้ชายคนนั้นเดินจากไป เขาเลยไปถามอัญชันในทันที
“อัญชัน นั่นใครกันหล่ะ??”
“ไอ้เป๊กหน่ะ”
“ไอ้เป๊ก ไอ้ระยำ ฉันจะไปกระทืบมันเอง!!” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ไม่ มันไม่ได้มาร้ายอะไรหรอก มันมาเตือนฉันเฉยๆหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“ห่ะ มันมาเตือนอะไร มันมาขู่อะไรเธอกัน??” เสี่ยวหลงถามไป
“เรื่องที่มันบอกว่าไอ้แสน ลูกสส.ที่มันมีส่วนในการฆ่าอากิระ โดนยิงนอนอยู่โรงพยาบาล มันคงตามล่าทุกคนที่เกี่ยวข้องแน่” อัญชันพูดขึ้น
“อะไรกัน มันก็ฆ่าเพื่อนฉันตายแล้ว มันจะเอาอะไรอีก อัญชัน เอาแบบนี้ ฉันจะมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาฉันก็แล้วกัน ถ้ามันมาอาละวาดที่นี่ ฉันฆ่ามันแน่” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“เออๆ เอาเถอะ เข้ามาในร้านก่อนสิ เดี๋ยวทำอะไรให้กิน ช่วงนี้นายไม่ไปที่อื่นเลยเหรอ??” อัญชันถามไป
“ก็ได้ยินเรื่องที่เธอเล่า ฉันเลยเป็นห่วงไงหล่ะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ถ้าอากิระยังอยู่ก็คงจะดีอ่ะนะ” อัญชันพูดขึ้น จากนั้นเสี่ยวหลงก็ถึงกับนิ่งไปซักพักเลย
ณ แหล่งกบดานลับแห่งหนึ่งในกรุงเทพ หลังจากที่กลุ่มล่าผู้เกิดใหม่ทำงานไม่สำเร็จ พวกเขาก็กลับมายังแหล่งกบดานเพื่อวางแผนการกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อ โดยที่พวกเขารวบรวมข้อมูลพลังของผู้เกิดใหม่หลายคนจากทั้งหมดที่จับได้ ผู้พันประกอบเดินทางมาคุยกับพวกเขาอย่างรวดเร็วหลังจากที่รู้ข่าว และเมื่อผู้พันประกอบมาถึง การสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นในทันที
“เอาหล่ะ งานของพวกเราเป็นยังไงบ้างครับ??” ผู้พันประกอบถามไป
“เราจับพวกมันไม่ได้เลยซักคนค่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น
“ห่ะ พวกคุณจับไม่ได้เลยซักคนอย่างงั้นเหรอ??” ผู้พันประกอบถามไป
“ดูเหมือนว่าผู้เกิดใหม่ที่นี่จะมีพลังมหาศาลมากกว่าที่อื่นเลยค่ะ” รูกิพูดขึ้น
“แล้วอีกเรื่อง ผู้กองเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ครับ ผมบอกให้ตำรวจไปค้นบ้านของเป้าหมาย พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น
“ตอนนี้เราจับผู้เกิดใหม่ได้แค่ 1 พันคนจาก 2 หมื่น ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไม่มีฝีมือทั้งนั้นเลย” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“เอาเถอะ เรื่องของผู้กองธีรนัท ผมจะจัดการเอง แล้วนี่ พวกคุณจะเอายังไงกันต่อหล่ะ??” ผู้พันประกอบถามไป
“ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกมันคงจะเริ่มรวมตัวกันแล้ว ถ้าพวกมันรวมตัวกัน เราจะจัดการมันได้ยาก เราคงต้องจับพวกมันทีละคน ผมเชื่อว่าบางคนก็ยังไม่รวมตัวกันหรอก” รูกี้พูดขึ้น
“แต่ถ้าเกิดเราทำแบบโฉ่งฉาง งานนี้กรุงเทพได้บรรลัยแน่ๆ” จ่าชัยพูดขึ้น
“ตอนนี้คุณสุรสิงห์กำลังเดือดจัดเลย ลูกชายเขาเพิ่งจะโดนยิง เราเชื่อว่าเป็นฝีมือของผู้เกิดใหม่ ตอนนี้เขาต้องการให้พวกเราจับมันให้ได้ภายใน 30 วัน ไม่อย่างงั้นทุกอย่างจะสูญเปล่า” ผู้พันประกอบพูดขึ้น
“ห่ะ แล้วทำไมถึงต้อง 30 วันด้วยหล่ะ??” กาลีน่าถามอย่างสงสัย
“ตามความเชื่อของไทย เราเชื่อว่าใน 30 จะเป็นวันที่ประตูนรกปิดลง และถึงตอนนั้น การที่จะตามฆ่าพวกมันจะยากขึ้นไปอีก” ผู้พันประกอบพูดขึ้น
“สงสัย คงต้องขอความช่วยเหลือจาก UNASO มาช่วยเราแล้วหล่ะ” ยูริพูดขึ้น
“โว๊ะ จะไปขอความช่วยเหลือจากไอ้พวกนั้นทำไมกัน??” วูฟถามอย่างสงสัย
“จริงด้วย คงต้องรายงานเรื่องนี้ให้คุณคริสเตียลแล้วหล่ะ เราจะติดต่อไปทางเขา งานนี้คงต้องใช้ปฏิบัติการลับแล้วหล่ะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“ปฏิบัติการลับ แสดงว่ามันไม่ถูกกฏหมายหน่ะสิครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น
“โธ่ ยังจะมาคิดถึงกฎหมายอีกเหรอ หนุ่มน้อย??” เวอร์รีนพูดพลางขยิบตาให้กับเขาไป
“เอาหล่ะ พวกคุณอยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้เรื่องนี้มันแดงไปถึงสื่อมวลชนเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นพวกเราคงพังกันหมดแน่ ผมขอตัวนะครับ” ผู้พันประกอบพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าคุณคริสเตียลรู่เรื่องผู้เกิดใหม่ที่นี่ คงจะไม่พอใจแน่ๆ หรือไม่ก็อาจจะลงมาเองเลย” รูกิพูดขึ้น
“แต่เราก็ได้รู้พลังของพวกมันแต่ละคนแล้วนี่ครับ” จ่าชัยพูดขึ้น
“ใช่ ตอนนี้ข้อมูลจากตำรวจบอกมาบางส่วนแล้ว ว่าพวกมันมีพลังอะไรกันบ้าง บางคนรวมตัวกันเป็นองค์กรเลย” ยูริพูดขึ้น
“เฮ้อ ถ้าอย่างงั้นเราคงต้องจัดการกับพวกนั้นก่อน ดูจะจัดการง่ายกว่าดันเต้ซะอีก” กาลีน่าพูดขึ้น
“คนอย่างดันเต้ ไม่ใช่ว่าใครจะจับมันก็ได้ คนที่มาช่วยพวกมัน คงต้องเป็นคนของดันเต้ด้วย” รูกี้พูดขึ้น
“ยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้นกบ้านั่นมันทำฉัน” วูฟพูดขึ้น
“เออๆ ดีแล้วที่มันไม่ฆ่านาย เพื่อนเอ้ย” รูกิพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้เราคงต้องกวาดล้างพวกระดับเล็กๆน้อยๆไปก่อน แล้วค่อยจัดการพวกของดันเต้อีกที” เวอร์รีนพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น ฉันจะลองติดต่อคุณคริสเตียลดู ให้เขาส่งกำลังมาช่วยเรา” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“ถ้าจะถึงขั้นนั้น ฉันว่าเมืองแตกแน่ๆ นายก็รู้จักคุณคริสเตียลนี่” รูกี้พูดขึ้น
“เอาเถอะครับ อย่าให้บ้านเมืองผมมันฉิบหายก็แล้วกัน” แสงจันทร์พูดขึ้น
“เอาน่า คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง อย่าห่วงเลย” จ่าชัยพูดพลางแตะไหล่แสงจันทร์ไป
“โอเค ถ้าอย่างงั้นเราพยายามไปตามล่าพวกระดับล่างก่อนดีกว่า ค่อยๆบีบให้พวกมันจนตรอกไปเลย” กาลีน่าพูดขึ้น
“แล้วไอ้พวกบ้านั่นมันจะมาช่วยเราเมื่อไหร่กันหล่ะ??” วูฟถามแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ระดับคุณคริสเตียล เขาต้องมาในอีกไม่นาน ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เรามาวางแผนกันต่อเถอะ” ยูริบอกกับทุกคนไป
ณ สวนสาธารณะที่ไหนซักแห่งในกรุงเทพ หลังจากที่เบลหนีจากการตามล่าของเหล่าตำรวจมาได้อย่างหวุดหวิด ตัวของเขาเดินทางหลบหนีตำรวจไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ตัวของเขาก็เดินสวนกับชายคนหนึ่งซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะหนีมาเหมือนกัน เบลหยุดนิ่งอย่างรวดเร็ว
“เอาบุหรี่หน่อยมั้ย??” ชายคนนั้นถามเบลไป เบลสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงได้คุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“รู้สึกว่าจะเจอมาหนักเลยนะวันนี้” เบลพูดกับหมอนั่นไป
“ก็นิดหน่อย ไม่นึกเลยว่ามาที่นี่ก็โดนพวกมันเล่นด้วย” ชายคนนั้นตอบกลับ
“เออ ว่าแต่ นายว่างหรือเปล่าหล่ะ??” เบลถามไป
“ก็นิดหน่อย ว่าแต่นายชื่ออะไรวะ??”
“ฉันเบล นายไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันอยู่มานานแค่ไหนแล้ว” เบลพูดขึ้น
“ฉันเกเบรียล ดูเหมือนว่าพวกรัฐบาลกำลังตามล่าเราอยู่นะ” เกเบรียลพูดขึ้น
“ไม่ใช่แค่พวกรัฐบาลหรอก ดูเหมือนว่าองค์กรลับก็ตามล่าเราเหมือนกัน จะอยู่สงบๆไม่ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย??” เบลถามไป
“ฉันว่า คนแบบพวกเราคงไม่มีทางอยู่แบบสงบได้หรอก” เกเบรียลตอบไป
“เอาเหอะ เอาไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกัน” เบลพูดขึ้นจากนั้นก็เดินเร่ร่อนออกไปจากเกเบรียล ส่วนตัวของเกเบรียลก็ควักเอาบุหรี่ที่ขโมยมามาสูบอย่างรวดเร็ว
กลับมายังบ้านของขวัญแก้ว หลังจากที่บ้านของเธอถูกตำรวจพยายามค้นบ้าน ตัวของเธอก็สั่งให้คนของเธอเฝ้าบ้านอย่างแข็งขัน รวมถึงให้ลูกหลานของเธอใช้เส้นสายในการคุ้มครองเธอด้วย ตัวของแก้วในตอนนั้นก็รีบมาคุยกับแม่บ้านอย่างรวดเร็วเพื่อปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป
“ขอบคุณมากนะคะที่เมื่อคืนคุณช่วยประคองฉันหน่ะ” แก้วพูดขึ้น
“ค่ะคุณแก้ว แต่ฉันว่าพวกนั้นคงไม่หยุดแค่นี้หรอกค่ะ” คนใช้ของเธอพูดขึ้น
“อืม ว่าแต่ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันหล่ะ??” แก้วถามไป
“ตอนนี้กำลังสืบกันอยู่ค่ะ แต่ดูเหมือนว่าคุณแก้วคงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วหล่ะ”
“แล้วจะให้ฉันหนีไปที่ไหนหล่ะคะ??” แก้วถามไป
“ตอนนี้เราควรจะหนีออกจากกรุงเทพไปก่อนดีกว่านะคะ” คนใช้ของเธอพูดขึ้น
“ฉันคิดว่าจะหนีไปเชียงใหม่ซักพักหน่ะ” แก้วพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ดิฉันจะไม่ให้ใครทำอะไรคุณแก้วค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ ถ้าเกิดพวกมันมาอีก คราวนี้ฉันไม่ยอมแน่ค่ะ” แก้วพูดอย่างแน่วแน่
กลับมายังบ้านพักของพัตติยา ในวันนั้นตัวของเธอได้ใช้โทรศัพท์เครื่องหนึ่งตั้งกล้องเพื่อไลฟ์สด เพื่อทำการโปรโมทงานใหม่ของเธออย่างรวดเร็ว
“ยังไงก็อย่าลืมไปงานอีเว้นท์กันเยอะๆนะคะ!!”
ตัวของพัตติยาก็ร่ายสาธยายยาวไปเรื่อย รวมถึงมีการตอบโต้กับแชทที่ส่งมาเพื่อทักทายเธอด้วย
“ขอบคุณมากที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ”
“ช่วงนี้ก็สบายดีค่ะ ยังไงก็ติดตามกันไปนานๆนะคะ”
ในระหว่างที่พัตติยากำลังคุยกับช่องแชทไป จู่ๆ ก็มีแชทหนึ่งโผล่ขึ้นมา ทำเอาตัวของเธอถึงกับแปลกใจ
“พี่ตายไปแล้วเหรอคะ??”
ตัวของพัตติยาแปลกใจมาก แต่เอาตัวของเธอถึงกับหยุดนิ่งไปเลย แต่ยังดีที่ยังมีคอมเม้นท์อื่นคอยช่วยเธอเอาไว้ และไม่นาน หลังจากที่เธอได้สติ ตัวของเธอก็พูดขึ้น
“ยังไงก็อย่าลืมไปที่งานกันนะคะ เดี๋ยวไปก่อนนะคะ”
พัตติยาพูดขึ้นจากนั้นก็หยุดการไลฟ์สดอย่างรวดเร็ว และเมื่อเธอหยุดการไลฟ์ ตัวของเธอก็ถึงกับกวาดของบนโต๊ะทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าตัวเธอตอนนี้ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ระยำเอ้ย นี่มันอะไรกันวะ!!”
เธอตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อเธอได้สติ ตัวของเธอก็ค่อยๆเก็บของกลับขึ้นไปบนโต๊ะของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็กลับไปนอนที่เตียงอย่างรวดเร็ว
กลับมายังตึกสำนักข่าวของมิกิ ในตอนนั้นตัวของเธอรีบกลับมาเพื่อมาเอาข้อมูลของเธอที่เก็บอยู่ เธอเข้าไปด้านในสำนักงานจากนั้นก็เก็บข้อมูลเข้าฮาร์ดดิสก์พกพาของเธออย่างรวดเร็ว รวมถึงวิ่งไปหยิบเอาถังน้ำมันที่อยู่ในห้องๆหนึ่งมา จากนั้นก็ราดไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว
“ระยำเอ้ย เร็วๆสิวะ”
มิกิพูดขึ้นในขณะที่กำลังรอข้อมูลอยู่ และไม่นานนัก จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากด้านล่างของตึก เธอรีบชะโงกลงไปดูในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“บ้าเอ้ย ตำรวจ!!”
ตัวของเธอไม่รอช้ารีบราดน้ำมันต่ออย่างรวดเร็ว และไม่นาน ข้อมูลของมิกิก็ได้มาจนครบ ตัวของเธอรีบเก็บข้อมูลไปในทันที จากนั้นไม่นาน เธอก็ควักเอาไฟแช็คของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จุดมันขึ้นมาในทันที
“พรึ่บ!!”
หลังจากที่โยนไฟแช็คลงพื้น เปลวเพลิงก็ลุกไหม้ห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ตัวของเธอรีบหนีไปทางบันไดหนีไฟ เธอวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอเดินมาถึงชั้นหนึ่งแล้ว เธอก็พบว่ามีตำรวจมากมายอยู่ชั้นหนึ่ง ทำเอาตัวของเธอต้องหาที่หลบไป
“เวรหล่ะ ทำไงดีวะเนี่ย??”
และในตอนนั้นเอง ตัวของมิกิก็รีบวิ่งออกมาจากทางด้านหลัง เธอไปเปิดประตูซึ่งเป็นประตูขนของด้านหลัง โดยวิ่งผ่านกลุ่มพนักงานขนของที่กำลังทำงานกันอยู่ และในตอนนั้น จู่ๆก็มีเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างดังขึ้น
“กริ๊งๆๆๆๆ!!”
สัญญาณไฟไหม้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำเอาพนักงานแถวนั้นถึงกับตกใจและวิ่งหนีกันไปคนละทาง และไม่นานนัก ตำรวจสองสามคนก็รีบวิ่งมาที่ด้านหลัง ตัวของมิกิเลยรีบวิ่งออกทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“มึงคิดว่าจะจับกูได้เหรอ??”
กลับมายังคอนโดของไค ในวันนั้นตัวของเธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับทำกิจวัตรประจำวันของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็รีบแต่งตัวและเดินออกมาจากห้องของเธอ เธอเดินลงไปด้านล่างเรื่อยๆ ในตอนนั้นตัวของเธอก็แปลกใจเล็กน้อย ว่าเธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอเดินมาที่ห้องๆหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเธอสัมผัสถึงอะไรแปลกๆ และเมื่อเธอเข้าใกล้ประตู เธอก็รู้สึกได้ในทันที
“ผู้หญิงคนนั้นเมื่อคืน เธอเป็นผู้เกิดใหม่งั้นเหรอ??”
ไม่นานนัก ตัวของไคก็ลองเปิดประตูห้องดู แล้วก็พบว่าประตูห้องไม่ได้ล็อค เธอเปิดเข้ามาในห้องก็พบว่ามันเป้นแค่ห้องธรรมดาๆ ซึ่งตกแต่งราวกับยังมีคนอยู่ในห้อง
“ก็ไม่มีอะไรนี่ สงสัยคงต้องหาข่าวเองหล่ะมั้ง??”
ตัวของไคพูดขึ้น และไม่นานนัก เธอก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เธอรีบปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบลงไปด้านล่างอีกทางหนึ่งซึ่งต้องเดินไปไกลอีก จากนั้นก็หลบอยู่หลังกำแพงแถวนั้นเพื่อดูสถานการณ์ที่หน้าห้องของหญิงสาวคนนั้น และไม่นาน ตำรวจกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการหาอะไรบางอย่างในห้อง
“เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะ”
ตัวของไคพูดขึ้น และไม่นานนัก ตำรวจก็เดินออกมาจากห้องโดยที่ดูเหมือนว่าไม่พบอะไรผิดปกติ และหลังจากที่ตำรวจไปหมด ตัวของเธอก็เดินออกมาจากพื้นที่นั่นอย่างรวดเร็ว และออกจากคอนโดเพื่อไปที่ไหนซักแห่ง
กลับมายังบ้านของอีสครินน่า ในระหว่างที่ตัวของเธอกำลังนั่งพักอยู่บริเวณห้องรับแขก ในตอนนั้นเอง ลูอิสก็เดินมาหาเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดกับเธออย่างรวดเร็ว
“คุณอีสครินน่า เมื่อคืนมีการตามล่าผู้เกิดใหม่กันครับ”
“อืม งั้นเหรอ แล้วเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” อีสครินน่าถามไป
“ได้ยินมาว่าผู้เกิดใหม่ถูกจับไป 2 พันครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังหลบหนีไปได้” ลูอิสพูดขึ้น
“โห แสดงว่าผู้เกิดใหม่ที่นี่เก่งมากเลยสิ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ผมว่า พวกองค์กร UNASO คงต้องลงมาดำเนินการเองแน่ครับ” ลูอิสออกความเห็นไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้พวกนั้นหน่ะมันขี้ผง ถ้าเกิดผู้เกิดใหม่รวมตัวกัน ก็คงจะเอาชนะได้ไม่ยาก” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ตอนนี้เราเองก็ยังไม่เจอผู้เกิดใหม่ที่เราตามหาเลยครับ” ลูอิสพูดขึ้น
“แสดงว่าตัวของเขาต้องกบดานอยู่ที่ไหนซักแห่งแน่ๆ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ว่าแต่ เป็นไปได้หรือเปล่าครับว่าเขาจะไปกบดานกับกลุ่มใต้ดินหน่ะครับ??” ลูอิสถามไป
“กลุ่มใต้ดินของผู้เกิดใหม่มันมีตั้งหลายกลุ่มเลยนะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ผมจะลองไล่หาดูครับ” ลูอิสพูดขึ้น
“ได้เลย ถ้าอย่างงั้นก็ลองจัดการดูก็แล้วกัน” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็หยิบเอาถ้วยชาที่มีน้ำชาด้านในมาดื่มอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของลูอิสก็เดินออกไปด้านนอกทันที
ณ ที่ไหนซักแห่งย่านชุมชนในกรุงเทพ ตัวของคิฮาระ หลังจากที่เธอหนีจากตำรวจมาได้อย่างหวุดหวิด เธอรีบเดินไปตามถนนเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย เธอเดินเข้าไปยังอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะไปหาที่พักด้านใน แต่ยังไม่ทันที่ตัวของเธอยังไม่ทันจะเดินเข้าไป จู่ๆ ก็มีเสียงรถตำรวจมาแต่ไกล ตัวของคิฮาระจึงรีบวิ่งหนีเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์อย่างรวดเร็ว ตัวของเธอรีบหนีขึ้นไปที่บนของอพาร์ทเม้นท์ แต่ในระหว่างที่เธอกำลังวิ่งอยู่นั้น จู่ๆเธอก็วิ่งไปชนชายคนหนึ่งเข้า
“ตุ๊บ!!”
“โอ๊ย!!” คิฮาระตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้น ชายอีกคนซึ่งกำลังถือกระเป๋าอะไรบางอย่างก็ลุกขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้น
“อะไรของเธอเนี่ย วิ่งหนีอะไรมา??”
“ก็หนีตำรวจสิวะ!!” คิฮาระพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง ตัวของผู้ชายคนนั้นก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว คิฮาระเห็นดังนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เลยวิ่งตามชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว ตัวของชายคนนั้นรีบหนีออกไปทางด้านหลังอพาร์ทเม้นท์ พวกเขาทั้งคู่รีบวิ่งหนีออกไปเรื่อยๆ จนพวกเขาหนีเข้ามาในซอยๆหนึ่ง จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็พักหายใจกันไปซักพัก จากนั้นพวกเขาก็พูดกันในทันที
“บ้าเอ้ย เกือบซวยแล้วมั้ยหล่ะ??” ผู้ชายคนนั้นถามไป
“ก็พวกมันมาตามนาย ฉันต่างหากที่เกือบซวย” คิฮาระพูดขึ้น
“เอาเถอะ ดูเหมือนว่าฉันจะโดนหักหลังแล้วหล่ะ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครทำแบบนี้” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“แล้วทำไมนายถึงรู้ว่าตำรวจจะมาตามนายหล่ะ หรือว่าจะมีเซนส์??” คิฮาระถามไป
“ฉันก็มีสัมผัสเหมือนเธอนั่นแหละ เธอไม่รู้สึกเหรอ??” ชายคนนั้นถามกลับไป
“เออ จริงด้วย นายก็เป็นพวกเกิดใหม่เหมือนกันเหรอ??” คิฮาระถามไป
“ความจริง ก่อนที่พวกมันจะมา มีคนโทรมาบอกฉันเหมือนกัน แต่เอาเถอะ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ว่าแต่ นายเป็นใครกัน มาจากไหน??” คิฮาระถามไป
“ฉันชื่อเซน แล้วเธอหล่ะ??”
“ฉันคิฮาระ เออ ว่าแต่นายจะไปไหนต่อหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“ฉันก็คงต้องหาที่กบดานใหม่ ดูเหมือนว่าฉันคงอยู่ไม่ได้แล้วหล่ะ” เซนพูดขึ้น
“นายมีที่กบดานใหม่ด้วยงั้นเหรอ??” คิฮาระถามไป
“ก็นิดหน่อย ฉันต้องไปแล้วหล่ะ” เซนพูดขึ้น
“เฮ้ เดี๋ยว ฉันขอไปด้วยได้หรือเปล่า ฉันกำลังหาที่กบดานใหม่อยู่หน่ะ ฉันไม่เป็นตัวถ่วงนายหรอก” คิฮาระพูดขึ้น
“เอาเถอะ ถ้าอยากตามมาก็ตามมาแล้วกัน” เซนพูดขึ้นจากนั้นก็เดินหันหลังออกจากซอยไป ส่วนคิฮาระก็เดินตามเขาไปด้วย
กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในขณะที่ตัวของเขากำลังนั่งสมาธิเพื่อเข้าฌานอยู่นั้น จู่ๆตัวของเขาก็ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกระซิบอยู่ที่ข้างหูของเขา ตัวของเขารีบยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเขาก็พูดขึ้น
“เฮ้อ พวกมึงกล้าลองของกูหรือ??”
วิบัติในตอนนั้นจึงร่ายคาถาบริกรรมอะไรบางอย่าง จากนั้นตัวของเขาก็ตะโกนออกมา
“ไปจัดการมัน!!”
และอีกด้านหนึ่งนอกเขตถ้ำ และอยู่บริเวณชานป่า ในตอนนั้นกองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งได้เดินลาดตระเวนและถืออาวุธครบมือ ดูเหมือนว่าพวกนั้นกำลังตามหาอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย พวกเรา ได้ยินว่ามันอาจจะกบดาบอยู่แถวนี้”
“เออๆ รีบทำให้เสร็จเถอะ” ทหารอีกคนพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ทหารคนหนึ่งก็ยืนหยุดนิ่งไม่ไหวติง ทำเอาคนอื่นๆถึงกับแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย ยืนนิ่งทำไมวะ??”
“ปังๆๆๆๆ!!”
ชายคนนั้นยืนปืนกลขึ้นมาแล้วยิงใส่คนอื่นๆไปรอบๆ ทำเอาทหารพวกนั้นถึงกับแตกกระเจิงไปคนละทาง ทหารคนอื่นๆจึงยิงตอบโต้กลับไปจนตายคาที่
“เฮ้ย นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย??”
“อ๊าค!!”
“ปังๆๆๆๆๆ!!”
เสียงปืนรวมถึงเสียงร้องโหยหวนดังสลับกันไปมาแต่ไกล แบะไม่นานนัก เสียงก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นวิบัติก็ตะโกนออกมา
“กลับไปได้ หากใครมารบกวนกู ฆ่ามันให้หมด!!” วิบัติตะโกนออกมา
ณ ตึกสำนักงานแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา สำนักงานซึ่งมีแต่บรรดาชายหญิงในชุดสูทเดินเข้าออกกันไปมา รวมถึงมีเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือเพื่อคุ้มกันพื้นที่อย่างแข็งขัน และในห้องๆหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องทำงานใหญ่ที่มีชายในชุดสูทคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตัวของเขา ในขณะเดียวกันนั้น เชขาคนหนึ่งก็ได้ถือโทรศัพท์เครื่องหนึ่งเดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ท่านคะ ฮาเวิร์ดติดต่อมาค่ะ”
ชายคนนั้นรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว พวกเขาคุยกันอยู่ไม่นานก็วางสายอย่างรวดเร็ว แล้วก็พูดกับเลขาไป
“แจ้งไปยังคุณกรีน ว่าเรามีงานใหญ่ที่เมืองไทย”
“เหรอคะคุณคริสเตียล มีเรื่องอะไรเหรอคะ??”
“ดูเหมือนว่าเราจะเจอตัวรายใหญ่ที่เมืองไทยแล้วหล่ะ เตรียมเครื่องบินและคนของเราไปให้พร้อม ติดต่อรัฐบาลไทยด้วยหล่ะ” คริสเตียลบอกเธอไป
“ค่ะ ดิฉันเองก็อยากกินต้มยำกุ้งอยู่พอดีเลย” เลขาของเขาพูดขึ้น
กลับมายังห้องทดลองลับของดันเต้ ในตอนนี้บรรดาผู้เกิดใหม่ที่ดันเต้ช่วยได้ก็มารวมตัวกันเพื่อหลบภัยรวมถึงเตรียมการวางแผนเพื่อหาทางตอบโต้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ในตอนนั้นภาภินซึ่งได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลมาบางส่วน เขาก็วางรูปของผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ตามกระดานไวท์บอร์ดอันหนึ่ง จากนั้นก็มาคุยกันในทันที
“เอาหล่ะครับทุกคน นี่คือข้อมูลที่ผมหามาได้จากการรวบรวมอยู่หลายวัน ซึ่งผมจะขอเริ่มจากคนที่เป็นโตโผใหญ่ก่อนเลย สส.สุรสิงห์ อย่างที่ทุกคนรู้ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะตามล่าผู้เกิดใหม่ทุกคนเลย ไม่ว่าจะเป็นใคร” ภาภินพูดขึ้นพลางชี้ไปที่รูป
“ก็อย่างที่บอก ก็ลูกมันมีเรื่องกับฉันหน่ะสิ ลูกมันเลยไปวิ่งแจ๋นไปฟ้องพ่อมัน เฮ้อ น่าจะกระทืบมันให้ตายตั้งนานแล้ว!!” อากิระพูดโดยใส่อารมณ์ด้วย
“แต่เมื่อกี้ หนูอ่านข่าวในเน็ต ไปเจอข่าวลูกสส.คนนั้นโดนยิงด้วยนี่พี่” ลาลินพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เอาข่าวให้กับทุกคนได้ดูอย่างรวดเร็ว
“คิดว่าเป็นฝีมือใครอย่างงั้นเหรอ??” โจไซอาห์ถามไป
“ก็คงเป็นฝีมือใครก็ได้ ไอ้บ้านี่มันมีเรื่องไปทั่ว ใครๆก็อยากเก็บมันหน่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“คุณลันโทสครับ ผมลองใช้เครื่องติดต่อเพื่อลองติดต่อกับกลุ่มที่เรารู้จักในพื้นที่ พบว่ามีผู้เกิดใหม่ถูกจับไป 2 พันคนได้แล้วครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“พวกมันกวาดล้างขนาดนี้ เราคงต้องระวังตัวกันหน่อยแล้วหล่ะ” ลันโทสพูดขึ้น
“แล้วนี่ เราจะไปเล่นงาน สส. คนนั้นเลยเหรอ ฉันว่าเรื่องมันไม่จบง่ายๆแน่” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ฉันเห็นด้วย ทำแบบนั้นมันจะเป็นการท้าทายรัฐบาลมากขึ้นหน่ะสิ” ฮารุพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น ก็หมายความว่าเราก็ทำได้แค่เป็นเป้านิ่งหน่ะสิ” นายลืมพูดขึ้นพล่างนั่งกอดเข่าไปด้วย
“ไม่หรอก ตอนนี้เราคงต้องหลักฐานเพื่อเปิดโปงคนพวกนั้นให้ได้ ถ้าพวกนั้นมีข่าวเสียกัน ความเชื่อถือของคนพวกนั้นก็น่าจะลดลง” นาวินพูดขึ้น
“โห คุณวิน คิดเหมือนฉันเลยค่ะ เราต้องใช้ข่าวเสียๆกับพวกนั้น รับรองว่าพวกมันไม่มีที่ยืนแน่ๆ” เวียนพูดขึ้น
“ว่าแต่ ที่นี่ไม่มีใครจะตามเรามาได้แน่ๆใช่หรือเปล่า??” โลร็องต์พูดขึ้น
“คงไม่หรอก ที่นี่มันระดับไหนแล้ว ลุงดันเต้ไม่ปล่อยให้มันเจอเราหรอก” ลูโดวิกส์ตอบไป
“เอาหล่ะครับ ส่วนเรื่องทีมที่ตามล่าเรา เท่าที่รู้มีประมาณ 9 คนครับ คนแรกเขาชื่อฮาเวิร์ด โล เจ้าหน้าที่หน่วย UNASO” ภาภินพูดขึ้น
“UNASO งั้นเหรอ กะแล้วว่าต้องเป็นพวกมัน” อากิระพูดขึ้น
“ว่าแต่ พี่รู้จักพวกมันด้วยอย่างงั้นเหรอคะ??” ลาลินถามไป
“ฉันเคยมีอดีตกับองค์กรนี้หน่ะ” อากิระพูดขึ้น
“ครับ ยังมีอีก เจ้าหน้าที่ที่ทำงานกับ UNASO ยังมีรูกี้ เล็กจ์ เจ้าหน้าที่ระดับสูง เวอร์รีนและรูกิ สองคนนี้เป็นหุ่นแอนดรอยด์หน่ะครับ ส่วนยูริ อดีตหน่วย Seal ที่มาร่วมงานด้วย ยังมีตำรวจไทยด้วยนะครับ จ่าสิบเอกชัยณรงค์ รวมถึงหมอนี่ นายแสงจันทร์ แล้วก็นายนี่ ที่เราไม่รู้ชื่อ แต่ใครๆเรียกมันว่าวูฟ” ภาภินพูดขึ้น
“แล้วอีกคนหล่ะคะพี่ กาลีน่าหน่ะค่ะพี่??” ลาลินถามไป
“อีกคนแค่มาร่วมงานด้วย ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก” ภาภินพูดสั้นๆและไม่พูดอะไรอีกเลย
“รูกี้ ไอ้บ้านี่มันจับฉันได้ตอนไปเมืองจีน แต่โชคยังดี ที่มีนกตัวหนึ่งมาช่วยไว้หน่ะ” นาวินพูดขึ้น
“นกตัวนั้นก็ผมยังไงหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ว่าแต่ พวก UNASO นี่ มันเป็นองค์กรอะไรกันเหรอ??” ฮารุถามอากิระไป
“ไอ้พวกนี้มันเอาผู้เกิดใหม่มาทดลองเพื่อสกัดเอาพลังมาใช้ทางการทหารหน่ะ” อากิระพูดขึ้น
“โห ประมาณว่าจะดึงพลังคนอื่นมาใช้สินะ” ฮารุพูดขึ้น
“เฮ้อ เราจะกลัวอะไรกันหล่ะ เราก็รบกับพวกมันเลยสิ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“เย็นไว้ ไอ้พวกนี้มีแต่หัวกะทิทั้งนั้น อย่าประมาทมันไป” โจไซอาห์พูดขึ้น
“เอาเถอะ ว่าแต่ เราต้องจัดการคนพวกนี้ยังไงหล่ะ??” อินเนสซ่าถามไป
“ผมว่านะ ในเมื่อพวกมันทำให้ภารกิจนี้เป็นภารกิจนอกกฎหมาย เราก็เปิดเผยให้โลกรู้เลยสิ ว่าพวกมันกำลังตามล่าสิ่งที่เหนือธรรมชาติอยู่ แล้วถึงตอนนั้น ผู้คนก็คงไม่เชื่อ และพยายามตั้งคำถามกัน สุดท้ายพวกมันก็ต้องแพ้ภัยตัวเองนะพี่” นายลุ้นพูดขึ้น
“เอ๊ะ เมื่อกี้ฉันพูดอะไรนะ เป้านิ่ง เป้าเคลื่อนไหว??” จู่ๆ นายลืมก็พูดขึ้นมา ทำเอาโลร็องต์ถึงกับตะโกนออกมา
“โอ๊ย ไม่ลืมซักวันนี่มันจะตายมั้ยวะพวก ฮ่ะ??”
“เฮ้ย นายจะไปเอาอะไรกับมันมากหล่ะ อย่าไปคิดมากเลย” ลุโดวิกพูดปรามไป
“เอาหล่ะ ตอนนี้เราคงต้องหาข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกมัน เรื่องฉาวๆเกี่ยวกับองค์กรบ้าพวกนี้ ที่จะพังมันได้ อากิระ นายไม่มีข้อมูลอะไรหน่อยเหรอ??” เวียนหันไปถามอากิระ
“องค์กรนี้มันเป็นองค์กรภายใต้สหประชาชาติ ถึงจะทำอะไร ก็มีพวกนี้คอยปิดข่าวให้” อากิระพูดขึ้น
“สงสัยจะเส้นใหญ่จริงแหะ” เวียนพูดขึ้น
“ซีโร่ ส่งข่าวไปเตือนกลุ่มอื่นๆ ที่ยังกระจายตัวกันไว้ด้วย เราคงได้เจอของจริงอีกไม่นาน” ลันโทสพูดขึ้น
“นั่นสิครับ เอาไว้ผมจะบอกกับทุกคนเอง” ซีโร่พูดขึ้น
“แล้วอีกอย่าง อย่าเพิ่งบอกใครหล่ะว่าพวกเราอยู่ที่ไหน” ลันโทสพูดขึ้น
“รับทราบครับผม” ซีโร่พูดออกไป
“ตอนนี้เราคงต้องรอดูว่าเหตุการณ์มันจะเป็นยังไงต่อไป แต่ถึงยังไงเราก็จัดการพวกมันได้อยู่แล้วหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“แน่นอน ให้พวกมันมาเถอะ พวกเราอยากสู้จะแย่อยู่แล้ว” โลร็องต์พูดขึ้น
“เย็นไว้ เราต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทุกคนอยากเล่นพนันกับผมด้วยกันหรือเปล่า??” ลุ้นถามไป ทำเอาคนอื่นๆถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธกันยกใหญ่ และในขณะเดียวกันนั้นเอง ดันเต้ก็เดินมาจากไหนก็ไม่รู้มาหาพวกเขา นาวินเห็นจึงเดินไปคุยกับเขาในทันที
“เอาหล่ะ พวกคุณอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า??” ดันเต้ถามไป
“อ้อ พวกเราโอเคครับ เรากำลังพูดถึงเรื่องการตอบโต้พวกมันกลับอยู่เลย” นาวินพูดขึ้น
“อุปกรณ์ของพวกคุณคงจะเสร็จสมบูรณ์พรุ่งนี้ ยังไงพวกคุณก็พักผ่อนซะที่นี่นะครับ” ดันเต้พูดขึ้น
“ได้ครับ ขอบคุณมากเลยครับที่ช่วยเหลือพวกผม” นาวินพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ผมเตรียมห้องพักให้พวกคุณไว้แล้ว ยังไงคืนนี้ก็หลับให้สบายนะครับ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินหันหลังกลับไปเพื่อทำอะไรบางอย่างกับเขา
“เอาหล่ะทุกคนครับ ตอนนี้เราแยกย้ายไปพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าจะเอายังไงต่อ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นไม่นานทุกๆคนก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่ห้องของแต่ละคนตามที่ดันเต้จัดหาไว้ให้เพื่อพักผ่อนเอาแรงกันก่อน
ตกดึก ที่ห้องนอนของนาวิน ในตอนนี้ตัวของนาวินได้พักผ่อนอยู่บนเตียงเพื่อพักผ่อนหลังจากที่เขาโดนตามล่า ในตอนนั้นมีข้อความแจ้งเตือนมาจากโทรศัพท์ของเขา เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็อ่านข้อความไปในทันที
“คุณวินครับ ตำรวจมาค้นบ้านของคุณ แต่กระผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าพวกนั้นไม่มาที่นี่อีกแล้วครับ!!”
และไม่นานนัก ตัวของนาวินก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที
“ดีครับ ผมฝากที่นั่นด้วย ผมอาจจะไม่ได้กลับไปซักพัก”
นาวินพิมพ์เสร็จก็เก็บโทรศัพท์ของเขาไป จากนั้นก็หยิบปืนของเขาออกมา แล้วก็เล็งมันไปยังประตูห้องของเขาราวกับว่าเขาจะยิงปืนกระบอกนั้นออกมา
“คุณพ่อ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะครับ จบงานนี้ก่อน แล้วผมจะไปเจอ”
======================================================================
การต่อสู้ของนาวินจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดได้เลยครับ
ความคิดเห็น