NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◇ S.I.N ◇ หน่วยคนบาปล่าทรชน (จบแล้ว) [มีเล่ม มีE-book ทั้ง 2 ภาค]

    ลำดับตอนที่ #5 : บาปที่ ❷ || บาปแห่งเอกเทศ (1)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 67


    บาปที่2
    บาปแห่งเอกเทศ (1)


      




    หลังจากได้ข้อมูลใหม่มาว่าเด็กๆในหมู่บ้านนี้ 97เป็เด็กหลอดแก้ว ผู้กองเหมันต์จึงได้ไปขอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพวกเด็กๆในแผนกทะเบียนราษฎร์และได้ความมาว่า พวกเด็กๆอยู่ในโครงการทำเด็กหลอดแก้ว IVF (IN-VITRO FERTILIZATION) โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาล รังกาเหว่า’ พูดง่ายๆก็คือคุณแม่ทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ทำ IVF กับโรงพยาบาลนี้ทุกคน ด้วยความแปลกเกินเบอร์ขนาดนี้ผู้กองเหมันต์จึงพา ฉัน อคิน ธาม และสายฟ้า นั่งรถยนต์ส่วนตัวออกไปนอกชานเมืองเพื่อไปสำรวจหยั่งโรงพยาบาลรังกาเหว่า สถานที่ต้องสงสัยในเวลาต่อมา

              บรื้นนน...

              รถยนต์สีดำยี่ห่อหรูของผู้กองเหมันต์ขับวนอยู่ระหว่างอพาร์ทเม้นท์ 4 ดาวกับตึกสำนักงานสื่อพิมพ์หลายหนจนฉันเริ่มชักจะเวียนหัว พอรถขับมาจอดติดไฟแดงอยู่ตรง 3 แยกฉันก็เปิด GPS หาตำแหน่งของโรงพยาบาลรังกาเหว่าขึ้นมาดูอีกครั้ง

              “โอเค ฉันว่าเราต้องตั้งต้นใหม่กันแล้ว”

              ฉันที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับและมีหน้าที่บอกทางผู้กองเหมันต์ที่เป็นคนขับถึงกับกุมขมับ เราใส่ที่อยู่ตามที่แผนกทะเบียนราษฎร์บอกมาครบทุกตัวอักษรแล้วแต่ไหงเราถึงเจอ 3 แยกแทนที่จะเป็นโรงพยาบาลรังกาเหว่าไปได้ล่ะเนี่ย?

              “แต่ฉันว่าเราหยุดหาเถอะ ดูยังไงเราก็หลง” ธามโวย

              “เราวนรอบตึกนี่มา 5 รอบแล้วนะ ผมว่าไม่ GPS ก็ผู้หมวดนั่นแหละที่มีปัญหา” อคินเข้าขากับธามได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

              “แต่ฉันดูไม่ผิดจริงๆนะ ฉันไม่ได้โลเทคโนโลยีขนาดนั้นซะหน่อย” ด้านฉันก็เชื่อความสามารถของตัวเองมากเลยเถียงใจขาดดิ้น

              “ใช่ หมวดลิต้าดูไม่ผิดหรอก เรามาถึงแล้วจริงๆ” ผู้กองเหมันต์เหมือนจะจับทางอะไรบางอย่างได้

              “? แล้วไหนล่ะโรงพยาบาลที่ว่า?” สายฟ้าถามเสียงเรียบด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

              “ตรงหน้าเราไง”

              “!?

              คำตอบของผู้กองเหมันต์ทำเอาฉันถึงกับอึ้ง ฉันหันไปขอความเห็นจากคนอื่นๆที่นั่งอยู่เบาะหลังแต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะพากันงงไม่ต่างจากฉัน สักพักพอไฟจราจรกลายเป็นสีเขียว ผู้กองเหมันต์ก็ขับรถไปจอดข้างทางหน้าสำนักงานสื่อพิมพ์แล้วเดินลงจากรถทำให้พวกเราต้องเดินลงมาตามราวกับเป็นอุปทานหมู่

              “มีอะไรเหรอวิน” ธามถาม

              “ GPS บอกเส้นทางเรามาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะขับวนอีกสักกี่ทีมันก็ยังเป็นตรงนี้ พี่ว่ามันปกติเหรอ?

              “เออ สรุปว่า GPS เสียใช่ไหม”

              “ไม่ใช่ GPS อันนี้เหนือเป็นคนทำขึ้นมาเองเลยนะ อัจฉริยะเรื่องเจาะข้อมูลกับตามล่าหาพิกัดอย่างเขาไม่มีทางพลาดเรื่องอย่างนี้ได้หรอก”

              “งั้นทำไมทะเบียนราษฎร์ถึงบอกเส้นทางให้เรามาที่นี่ล่ะ?” ฉันถามบ้าง

              “ทะเบียนราษฎร์มีหน้าที่เก็บข้อมูลเฉยๆ พวกเขาก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าโรงพยาบาลรังกาเหว่าอยู่ที่ไหน”

              “พี่กำลังจะบอกว่ามีคนจงใจใส่ที่อยู่มั่วๆของโรงพยาบาลรังกาเหว่าในประวัติของเด็กๆเหรอ?” สายฟ้าอนุมาน

              “นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่อธิบายได้ว่าทำไมเราถึงต้องวนรถอยู่รอบตึกนี่ตั้งสามสี่รอบด้วย”

              “ห้ารอบถ้วนตังหาก” อคินแย้ง

              “เออ ห้ารอบนั่นแหละ”

             “เดี๋ยวนะ แล้วตกลงว่าโรงพยาบาลรังกาเหว่ามีอยู่จริงใช่ไหม? ไม่งั้นเด็กๆตั้งหลายคนจะเกิดมาจากไหน? ใช่ไหมวิน” คำถามของธามทำเอาทุกคนเริ่มคิดหนัก มีบางจุดของเรื่องราวทั้งหมดนี้ที่ผู้กองเหมันต์รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

             “ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆต้นกำเนินของเด็กๆพวกนี้... ไม่ธรรมดา” 

     

     

     

              เวลา 01.45 น.

              ณ. สนามเด็กเล่น

              หลังจากวิ่งวุ่นตามสืบหาร่องรอยกันมาทั้งวัน ตอนนี้ทุกคนก็ได้เวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มพลังกัน ธามกับมาร์คเข้าไปนอนในเต็นท์ สายฟ้า อคิน เลน นอนในรถของผู้กองเหมันต์ ส่วนรถบ้านทุกคนก็ยกให้ฉันครองแต่เพียงผู้เดียว

    เวลาดึกดื่นป่านี้แล้วผู้กองเหมันต์กับเหนือก็ยังคงนั่งรออีเมลตอบรับผลตรวจลายนิ้วมือกันอยู่ที่หน้าแล็ปท็อปตรงกองไฟที่เราจุดทิ้งไว้อย่างใจจดใจจ่อ ฉันที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเลยแอบเดินย่องๆออกมามองดูด้านนอกก็เห็นผู้กองเหมันต์ฟุบหลับคาเก้าอี้ไปแล้วแต่เหนือยังคงนั่งดื่มกาแฟชิลๆราวกับเขาได้นอนเต็มอิ่มมาแล้วทั้งวัน

     

    นี่สินะโรคประจำตัวประหลาดของเหนือที่ทั้งกรมสืบสวนพูดถึง

     

     

    ติ้ง!

     

     

    !

    โดยไม่ทันคาดคิดระหว่างที่ฉันกำลังแอบดูสองหนุ่มอยู่นั้น จู่ๆก็มีอีเมลส่งมาหยั่งแล็ปท็อปของเหนือ เขาถึงกับสะดุ้งตาเหลือกแล้วยื่นมือไปเขย่าร่างของผู้กองเหมันต์ที่หลับอยู่ในตื่นทันที

    “วิน!ๆ นิติฯส่งผลตรวจลายนิ้วมือมาแล้ว”

    !!! อืม...” ผู้กองเหมันต์สะดุ้งตื่นแล้วค่อยๆขยี้ตาขึ้นมาดูอีเมลที่ส่งมา “กว่าจะส่งมาได้...”

    “กูก็บอกมึงแล้วว่าให้กูแฮ็กระบบศูนย์พิสูจน์หลักฐานนิดเดียวเราก็รู้ทุกอย่างละ จะมาส่งเมลรอเมลอะไรกันให้วุ่นวายทำไมก็ไม่รู้”

    “อยากเข้าไปนอนในคุกอีกใช่ไหม มึงทำงานให้ตำรวจก็ต้องหาหลักฐานแบบตำรวจเนี่ยแหละ”

    “เหอะ ขัดใจจริงๆ” เหนือเบะปากก่อนส่ายหน้าด้วยความไม่ชอบใจ

    ฉันรีบคว้าเสื้อคลุมออกมาจากรถบ้านแล้วเดินโซซัดโซเซมาหาทั้งสองคน

    “มีอีเมลส่งกลับมาแล้วเหรอคะ!

    “หืมตื่นอยู่หรอกเหรอได้นอนบ้างไหมเนี่ยผู้หมวด”

    นั้นควรเป็นคำพูดฉันมากกว่าไหม เหนือ

    “ฉันตื่นขึ้นมาพอดีน่ะค่ะ ได้ยินพวกคุณพูดแว่วๆว่ามีเมลมาเลยรีบเดินออกมาดู”

    “อืม เมลจากทางนิติฯส่งมาแล้ว”

    ผู้กองเหมันต์พูดจบก็ขยับนิ้วไปเปิดเมลฉบับนั้นขึ้นมาดู

    คลิ๊ก!

    !!!

    !? เอ๊ะ?

    ฉันกับเหนือถึงกับต้องขยับเข้ามาหาผู้กองเหมันต์ใกล้ๆเพื่อดูเมลฉบับนั้นชัดๆ

     

    ไม่พบลายนิ้วมือในฐานข้อมูล

     

    ผู้กองเหมันต์ตาค้างเอาแต่จ้องหน้าจอแล็ปท็อปตาไม่กระพริบ ใบหน้าตกตะลึกของเขาพลอยทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจกับเรื่องชายแปลกหน้าคนนี้ขึ้นมาจริงๆหลังจากไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรตั้งแต่ต้น

    “แปลกแฮะ ทางนิติฯตรวจดีแล้วเหรอ?” เหนือก็ประหลาดใจเช่นกัน

    “ตรวจดีแล้ว ที่นั่นเป็นแหล่งรวมฐานข้อมูลของทุกคนในประเทศเลยนะ” ผู้กองเหมันต์ตอบ

    “งั้น ถ้าเขาไม่ใช่คนไทยล่ะคะ?” ฉันถาม

    “ก็ต้องส่งเรื่องไปประสานงานกับ ตม. 

    “เฮ้อ!!! ยุ่งยากจริง เอามานี่” เหนือทนเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ไม่ไหวเลยตัดสินใจหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายสมาร์ทโฟนขึ้นมาเสียบกับแล็ปท็อปแล้วเริ่มการเจาะฐานข้อมูลคนเข้าประเทศด้วยลายนิ้วมือของชายคนนั้น

    “นี่มึงกล้าทำเรื่องผิดกฎหมายต่อหน้าตำรวจเหรอ” ผู้กองเหมันต์ถามเสียงเรียบ

    “กูทำเรื่องผิดกฎหมายต่อหน้ามึงมาเป็นร้อยครั้งแล้ว กูรู้หรอกว่าที่มึงทำเป็นไม่ชอบวิธีการของกูเพราะไม่อยากเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าเด็กใหม่ใช่ไหมล่ะ”

    “...” ผู้กองเหมันต์ถึงกับอ้ำอึ้งด้วยมาดเท่ๆของเขาอยู่

    “เอ๊ะงั้นพวกคุณก็แอบทำเรื่องแบบนี้มาตลอดเลยเหรอคะ!?

    “ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้เราจะจับคนร้ายเร็วกว่าหน่วยอื่นได้ยังไงล่ะ” เหนือตอบอย่างภาคภูมิใจขณะคีย์โค้ดเจาะข้อมูลของ ตม. อยู่

              “สมกับเป็นหน่วยนอกรีดอย่างที่ใครๆว่าจริงๆ”

              “แล้วไง เธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกสารวัตรวิทูรเหรอ?” เมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาผู้กองเหมันต์ก็เปลี่ยนข้างทันที การเจาะข้อมูลของกรมตำรวจไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นตำรวจด้วยกันเองหรือไม่ยังไงมันก็เป็นความผิดขั้นร้ายแรงอยู่ดี ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกสารวัตรวิทูรหน่วยนี้คงถูกสั่งยุบทันทีและฉันก็คงได้ย้ายไปประจำหน่วยอื่นที่มีแต่ตำรวจอยู่ในหน่วยไม่ใช่พวกขี้คุกกับตำรวจบ้าระห่ำไม่สนกฎหมายแบบนี้

              “ว่าไง?

              ผู้กองเหมันต์จ้องเขม่งใส่ฉันเพื่อเร่งขอคำตอบ คำถามของเขาเหมือนกับเป็นนัยยะว่าฉันจะช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไปหรือจะทำให้เรื่องนี้มันแดงขึ้นมา และท่าทีที่เขาถามก็ไม่ได้ดูบังคับให้ฉันต้องเลือกทำอย่างแรกเลย

              “ตอนนี้ฉันสนแต่เรื่องของเด็กๆค่ะ ถ้ามันช่วยให้เราหาเบาะแสของคนร้ายได้ฉันก็ไม่เกี่ยง”

              “...” ผู้กองเหมันต์หันหน้ากลับไปทางแล็ปท็อปพลางอมยิ้มนิดๆ

              “เหอะ ดูเหมือนเราจะมีตัวประหลาดเพิ่มเข้ามาในหน่วยอีกคนละนะวิน” เหนือยิ้มอย่างชอบใจโดยที่สายตาไม่ได้ละออกจากหน้าจอเลยสักวิฯ

              ติ๊กติ๊กติ๊ก!

              “เจอแล้ว!

              สิ้นเสียงร้องด้วยความดีใจของเหนือ ฉันและผู้กองเหมันต์ก็ยื่นหน้าไปมองหยั่งหน้าจอแล็ปท็อปโดยไม่ได้นัดหมาย

              “อเล็กซานเดอร์ ตอลแปร์

              ผู้กองเหมันต์จ้องชายในรูปถ่ายสไตล์พาสปอร์ตของชายคนนั้นด้วยสีหน้าตึงเครียด และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคนร้ายในจินตนาการของผู้กองเหมันต์ ขอบอกเลยว่าตรงปกกับที่ผู้กองเหมันต์ว่าไว้จริงๆถ้าไม่บอกว่าเขาคือผู้ต้องสงสัยฉันคงคิดว่าเขาเป็นนายแบบจากฝั่งเอเชียประเทศใดประเทศหนึ่งแน่ๆ

              “ถือสัญชาติเดนมาร์ก หมอนี่เป็นคนเดนมาร์กเหรอ?” เหนือเอะใจ ฉันก็เอะใจเช่นกัน ดูยังไงเขาก็มีหน้าตาไปทางโทนเอเชียชัดๆ

              “หมวดลิต้า ส่งรูปเขาไปให้เจ้าหน้าที่ทุกคนหาตัวแล้วเรียกมาสอบปากคำ” ผู้กองเหมันต์หันมาออกคำสั่งกับฉัน

              “ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับคำแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนต่อโดยที่พวกเราไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเลนกำลังแอบฟังพวกเราพูดคุยกันหลังรถบ้านมาได้สักพักนึงแล้ว

     

     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่ไก่โห่แล้วกระจายตัวกันออกเป็น 4 ทีมเพื่อไปสอบปากคำเหล่าบรรดาพ่อแม่เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้กองเหมันต์ไปกับเลน ธามไปกับมาร์ค เหนือไปกับอคิน ส่วนฉันก็ได้ไปกับน้องเล็กสายฟ้า

    “ผู้หมวด”

    ระหว่างที่ฉันกำลังจะเตรียมตัวไปรวมกลุ่มกับสายฟ้าจู่ๆเลนก็เดินเข้ามาหาฉันในรถบ้าน

    “มีอะไรเหรอ?

    “พี่วินให้ฉันมาเอาภาพของผู้ต้องสงสัยจากหมวดน่ะ”

    “ฮืม? ทำไมล่ะ?

    “เขาบอกว่าเขาจะเอาไปให้ทีมสืบสวนเองดีกว่าจะได้สั่งเรื่องอื่นกับทีมสืบสวนด้วย”

    “อย่างงั้นเหรอ อื้ม ได้สิ”

    ด้วยความใสซื่อ ฉันเอื้อมมือไปหยิบภาพของนาย อเล็กซานเดอร์ ตอลแปร์ ที่ปริ้นท์ออกมาใส่กระดาษแล้วให้เลนทันที

    “ขอบใจนะหมวด”

    “ยินดีช่วย”

    เลนคลี่ยิ้มแบบฝืนๆให้ฉันแล้วเดินจากไป เขาขย้ำรูปภาพนั่นจนยับยู่ยี่ไม่เหลือชิ้นดีแล้วแอบกำมันใส่กระเป๋าเสื้อไว้พอสบโอกาศตอนที่ทุกคนเผลอเขาก็แอบเอามันไปทิ้งถังขยะซะ

     



    บ้านหลังนี้แหละครับ

    ขณะที่ฉันกำลังง่วงหงาวหาวนอนอยู่สายฟ้าก็ยกมือขึ้นมาชี้บ้านเป้าหมายที่เราได้โทรนัดเอาไว้แล้ว ฉันจึงรีบเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วกำเครื่องบันทึกเสียงไว้แน่นก่อนเบิกตาโตด้วยความมั่นใจแล้วตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น

    ก๊อก ก๊อก

    เราสองคนยืนรอไม่นานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นสมาชิกครอบครัวที่กำลังโศกเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายในบ้านหนึ่งคน นั่นก็คือหญิงวัย 30 ปลายๆผู้เป็นแม่กับเด็กหญิงวัย 4 ขวบผู้เป็นน้องสาวของเด็กที่หายตัวไปกำลังนั่งเล่นบ้านตุ๊กตาอยู่ในห้องรับแขก

    “ขอโทษด้วยนะคะที่ต้องเรียกมาสอบปากคำอีก” ฉันรีบกล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เพราะก่อนหน้านั้นผู้หมวดยศพลได้ขนเหล่าพ่อแม่ของเด็กๆที่หายไปไปสอบปากคำมาเรียบร้อยหมดทุกบ้านแล้ว แต่ครั้งนี้เรามาที่นี่เพราะมีเรื่องอื่นที่ผู้หมวดยศพลยังไม่ได้สอบปากคำมาถามเธอ

    ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่หาตัวคนร้ายที่จับลูกชายฉันไปได้จะสอบปากคำกันอีกกี่รอบฉันก็ยอม”

    ครั้งนี้เราแค่อยากมาสอบถามข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ”

    ได้ค่ะ”

    ฉันหันไปหาสายฟ้าเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นนัยๆให้เขาช่วยถือเครื่องบันทึกเสียงให้ส่วนฉันจะเป็นคนสังเกตพฤติกรรมของผู้เป็นแม่และถามคำถามเธอเอง

    “ลูกชายของคุณชื่อน้อง ‘สกาย’ ใช่ไหมคะ ฉันพอรู้มาว่าน้องสกายเกิดจากการทำ IVF แล้วโรงพยาบาลที่คุณนายติดต่อไปตอนนั้นพอจะจำรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับโรงพยาบาลนั้นได้บ้างไหมคะ?

    โรงพยาบาลเหรอคะ.. เป็นโรงพยาบาลเด็กน่ะค่ะ น่าจะชื่อโรงพยาบาลรังกาเหว่าหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหละค่ะ”

    ท่าทางของเธอดูไม่แน่ใจแต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบังข้อมูลกับเรา สงสัยเธอคงจะจำไม่ค่อยได้จริงๆแฮะ

    “แล้วคุณนายเจอโรงพยาบาลนี้ได้ยังไงครับ” สายฟ้าอดสงสัยไม่ได้

    “เอ่อ.. จำได้ว่าฉันไปเดินงานสินค้าแม่และเด็กน่ะค่ะ เดินอยู่เพลินๆก็มีพยาบาลคนนึงมาแนะนำให้ฉันเข้าไปในบูธเด็กหลอดแก้วของโรงพยาบาลรังกาเหว่า ฉันกับสามีค่อนข้างมีลูกยากทั้งคู่เราก็เลยไปหาหมอบ่อยๆ ฉันทำ IVF กับโรงพยาบาลธนะเวชอยู่ 3-4 ครั้งแต่ก็ยังไม่ติด ตอนนั้นฉันถอดใจมากเลยลองเปลี่ยนมาทำกับที่นี่ดูดีกว่า แล้วมันก็ได้ผลนะคะ พอหลังจากมีสกายแล้วฉันรู้สึกว่าสุขภาพฉันดีขึ้น จนฉันมีน้องสตาร์ตามมาเป็นเพื่อนเล่นให้เขาด้วยอีกคน”

    “แล้วกระบวนการทำเด็ก IVF ของโรงพยาบาลนี้มีอะไรแปลกจากที่อื่นบ้างไหมคะ?” ฉันถาม

    “อ้อ จะว่ามีก็มีอย่างนึงนะคะ พวกเขามาตรวจสอบสถานะทางการเงินของครอบครัวเราด้วยว่ามีมากพอจะเลี้ยงเด็กไหม ที่แปลกคือพวกเขายกบ้านหลังนี้ให้เราเช่าในราคาที่ถูกมาก พวกเขาบอกว่ามันเป็นสิทธิที่เด็กคนนี้ควรได้รับ ตอนแรกๆฉันกับสามีก็คิดว่าพวกเขาจะหัวหมอให้เราเช่าแล้วจบด้วยการบังคับให้เราซื้อบ้านหรูๆนี่รึเปล่า แต่นี่ก็ผ่านมา 7 ปีแล้วฉันกับสามีอยู่ที่นี่จนมีลูกสาวอีกคนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาทักท้วงอะไรนะคะ”

    “ให้ทั้งเด็กให้ทั้งบ้านเลยเหรอ” สายฟ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่

    “แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าเพื่อนบ้านของคุณก็ทำ IVF จากโรงพยาบาลรังกาเหว่าเหมือนกันเกือบทุกหลังเลย”

    “เอ๊ะอย่างนั้นเหรอคะฉันรู้แค่ไม่กี่คน ฉันก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนบ้านทุกคนหรอกค่ะ”

    “งั้นก็แปลว่าเด็กๆทุกคนเกิดมาโดยมีเงื่อนไขให้ต้องอยู่ในระแวกเดียวกันทั้งหมด.. แบบนี้มัน...” ฉันหันไปกระซิบกระซากกับสายฟ้าอยู่ 2 คน

    “พวกเด็กๆก็จะอยู่ในสายตาโรงพยาบาลปริศนานั่นตลอด 24 ชั่วโมงเลยน่ะสิ”

    “คุณพอมีเบอร์ของโรงพยาบาลที่ว่าไหมคะ?” หลังจากฟังความเห็นของสายฟ้าแล้วฉันก็หันไปขอสิ่งที่พอจะสาวไปถึงโรงพยาบาลนั้นได้จากเธอ

    “เอ่อ.. มีค่ะ เดี๋ยวฉันไปเขียนมาให้นะคะ”

    ผู้เป็นแม่เดินจากไปทำให้ตอนนี้ในห้องรับแขกเหลือแค่ฉันกับสายฟ้าและสาวน้อยวัยกำลังน่ารักอีกคนนึงเท่านั้น

    โรงพยาบาลรังกาเหว่าเหรอมีโรงพยาบาลที่ไหนขายเด็กอย่างกับขายผักขายปลาแบบนี้บ้าง? มีลดแลกแจกแถมด้วย” สายฟ้าโวยวายด้วยมาดนิ่งๆของเขา ลุคผู้ชายเลือดร้อนมีรอยสักเต็มแขนดูดุดันขึ้นทันตาเมื่อเขารู้สึกไม่พอใจอะไรสักอย่าง

    “ฉันก็ว่ามันแปลกๆตั้งแต่สถานที่ลอยๆของโรงพยาบาลนี่แล้ว”

    “หรือจะเป็นกลุ่มค้ามนุษย์เลี้ยงเด็กเอาไว้เหมือนทำฟาร์มพอเริ่มเกนกำไลได้ก็ขายทิ้ง”

    “นั่น.. นั่นมันก็น่าคิด...”

    นี่เขาเติบโตมาในสังคมแบบไหนถึงได้คิดในแง่ร้ายขนาดนั้นได้เนี่ย แต่ถ้าเขาดันคิดถูกล่ะป่านี้พวกเด็กๆจะเป็นยังไงบ้างกองกระดูกพวกนั้นถ้าเป็นของพวกเด็กๆจริงแปลว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับฆาตกรรูปแบบไหนอยู่นะ เดาทางมันไม่ออกเลย

     

    เดี๋ยวพี่ก็กลับมา

     

    น้ำเสียงใสๆเล็กๆของเด็กหญิงที่จ้องมองมาที่เราสองคนทำให้เราสองคนถึงกับชะงักและมองกลับไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ

    เอ๊ะนะ.หนูว่าไงนะจ๊ะ?

    “เดี๋ยวพี่ก็กลับมา พี่แค่ต้องไปฟักตัว

    !?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×