คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บาปที่ ❷ || บาปแห่งเอกเทศ (1)
หลังจากได้ข้อมูลใหม่มาว่าเด็กๆในหมู่บ้านนี้ 97% เป็นเด็กหลอดแก้ว ผู้กองเหมันต์จึงได้ไปขอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพวกเด็กๆในแผนกทะเบียนราษฎร์และได้ความมาว่า พวกเด็กๆอยู่ในโครงการทำเด็กหลอดแก้ว IVF (IN-VITRO FERTILIZATION) โดยทีมแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาล ‘รังกาเหว่า’ พูดง่ายๆก็คือคุณแม่ทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ทำ IVF กับโรงพยาบาลนี้ทุกคน ด้วยความแปลกเกินเบอร์ขนาดนี้ผู้กองเหมันต์จึงพา ฉัน อคิน ธาม และสายฟ้า นั่งรถยนต์ส่วนตัวออกไปนอกชานเมืองเพื่อไปสำรวจหยั่งโรงพยาบาลรังกาเหว่า สถานที่ต้องสงสัยในเวลาต่อมา
บรื้นนน...
รถยนต์สีดำยี่ห่อหรูของผู้กองเหมันต์ขับวนอยู่ระหว่างอพาร์ทเม้นท์ 4 ดาวกับตึกสำนักงานสื่อพิมพ์หลายหนจนฉันเริ่มชักจะเวียนหัว พอรถขับมาจอดติดไฟแดงอยู่ตรง 3 แยกฉันก็เปิด GPS หาตำแหน่งของโรงพยาบาลรังกาเหว่าขึ้นมาดูอีกครั้ง
“โอเค ฉันว่าเราต้องตั้งต้นใหม่กันแล้ว”
ฉันที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับและมีหน้าที่บอกทางผู้กองเหมันต์ที่เป็นคนขับถึงกับกุมขมับ เราใส่ที่อยู่ตามที่แผนกทะเบียนราษฎร์บอกมาครบทุกตัวอักษรแล้วแต่ไหงเราถึงเจอ 3 แยกแทนที่จะเป็นโรงพยาบาลรังกาเหว่าไปได้ล่ะเนี่ย?
“แต่ฉันว่าเราหยุดหาเถอะ ดูยังไงเราก็หลง” ธามโวย
“เราวนรอบตึกนี่มา 5 รอบแล้วนะ ผมว่าไม่ GPS ก็ผู้หมวดนั่นแหละที่มีปัญหา” อคินเข้าขากับธามได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
“แต่ฉันดูไม่ผิดจริงๆนะ ฉันไม่ได้โลเทคโนโลยีขนาดนั้นซะหน่อย” ด้านฉันก็เชื่อความสามารถของตัวเองมากเลยเถียงใจขาดดิ้น
“ใช่ หมวดลิต้าดูไม่ผิดหรอก เรามาถึงแล้วจริงๆ” ผู้กองเหมันต์เหมือนจะจับทางอะไรบางอย่างได้
“? แล้วไหนล่ะโรงพยาบาลที่ว่า?” สายฟ้าถามเสียงเรียบด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“ตรงหน้าเราไง”
“!?”
คำตอบของผู้กองเหมันต์ทำเอาฉันถึงกับอึ้ง ฉันหันไปขอความเห็นจากคนอื่นๆที่นั่งอยู่เบาะหลังแต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะพากันงงไม่ต่างจากฉัน สักพักพอไฟจราจรกลายเป็นสีเขียว ผู้กองเหมันต์ก็ขับรถไปจอดข้างทางหน้าสำนักงานสื่อพิมพ์แล้วเดินลงจากรถทำให้พวกเราต้องเดินลงมาตามราวกับเป็นอุปทานหมู่
“มีอะไรเหรอวิน” ธามถาม
“ GPS บอกเส้นทางเรามาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะขับวนอีกสักกี่ทีมันก็ยังเป็นตรงนี้ พี่ว่ามันปกติเหรอ?”
“เออ สรุปว่า GPS เสียใช่ไหม”
“ไม่ใช่ GPS อันนี้เหนือเป็นคนทำขึ้นมาเองเลยนะ อัจฉริยะเรื่องเจาะข้อมูลกับตามล่าหาพิกัดอย่างเขาไม่มีทางพลาดเรื่องอย่างนี้ได้หรอก”
“งั้นทำไมทะเบียนราษฎร์ถึงบอกเส้นทางให้เรามาที่นี่ล่ะ?” ฉันถามบ้าง
“ทะเบียนราษฎร์มีหน้าที่เก็บข้อมูลเฉยๆ พวกเขาก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าโรงพยาบาลรังกาเหว่าอยู่ที่ไหน”
“พี่กำลังจะบอกว่ามีคนจงใจใส่ที่อยู่มั่วๆของโรงพยาบาลรังกาเหว่าในประวัติของเด็กๆเหรอ?” สายฟ้าอนุมาน
“นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่อธิบายได้ว่าทำไมเราถึงต้องวนรถอยู่รอบตึกนี่ตั้งสามสี่รอบด้วย”
“ห้ารอบถ้วนตังหาก” อคินแย้ง
“เออ ห้ารอบนั่นแหละ”
“เดี๋ยวนะ แล้วตกลงว่าโรงพยาบาลรังกาเหว่ามีอยู่จริงใช่ไหม? ไม่งั้นเด็กๆตั้งหลายคนจะเกิดมาจากไหน? ใช่ไหมวิน” คำถามของธามทำเอาทุกคนเริ่มคิดหนัก มีบางจุดของเรื่องราวทั้งหมดนี้ที่ผู้กองเหมันต์รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆต้นกำเนินของเด็กๆพวกนี้... ไม่ธรรมดา”
เวลา 01.45 น.
ณ. สนามเด็กเล่น
หลังจากวิ่งวุ่นตามสืบหาร่องรอยกันมาทั้งวัน ตอนนี้ทุกคนก็ได้เวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มพลังกัน ธามกับมาร์คเข้าไปนอนในเต็นท์ สายฟ้า อคิน เลน นอนในรถของผู้กองเหมันต์ ส่วนรถบ้านทุกคนก็ยกให้ฉันครองแต่เพียงผู้เดียว
เวลาดึกดื่นป่านี้แล้วผู้กองเหมันต์กับเหนือก็ยังคงนั่งรออีเมลตอบรับผลตรวจลายนิ้วมือกันอยู่ที่หน้าแล็ปท็อปตรงกองไฟที่เราจุดทิ้งไว้อย่างใจจดใจจ่อ ฉันที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเลยแอบเดินย่องๆออกมามองดูด้านนอกก็เห็นผู้กองเหมันต์ฟุบหลับคาเก้าอี้ไปแล้วแต่เหนือยังคงนั่งดื่มกาแฟชิลๆราวกับเขาได้นอนเต็มอิ่มมาแล้วทั้งวัน
นี่สินะโรคประจำตัวประหลาดของเหนือที่ทั้งกรมสืบสวนพูดถึง
ติ้ง!
“!”
โดยไม่ทันคาดคิด! ระหว่างที่ฉันกำลังแอบดูสองหนุ่มอยู่นั้น จู่ๆก็มีอีเมลส่งมาหยั่งแล็ปท็อปของเหนือ เขาถึงกับสะดุ้งตาเหลือกแล้วยื่นมือไปเขย่าร่างของผู้กองเหมันต์ที่หลับอยู่ในตื่นทันที
“วิน!ๆ นิติฯส่งผลตรวจลายนิ้วมือมาแล้ว”
“!!! อืม...” ผู้กองเหมันต์สะดุ้งตื่นแล้วค่อยๆขยี้ตาขึ้นมาดูอีเมลที่ส่งมา “กว่าจะส่งมาได้...”
“กูก็บอกมึงแล้วว่าให้กูแฮ็กระบบศูนย์พิสูจน์หลักฐานนิดเดียวเราก็รู้ทุกอย่างละ จะมาส่งเมลรอเมลอะไรกันให้วุ่นวายทำไมก็ไม่รู้”
“อยากเข้าไปนอนในคุกอีกใช่ไหม มึงทำงานให้ตำรวจก็ต้องหาหลักฐานแบบตำรวจเนี่ยแหละ”
“เหอะ ขัดใจจริงๆ” เหนือเบะปากก่อนส่ายหน้าด้วยความไม่ชอบใจ
ฉันรีบคว้าเสื้อคลุมออกมาจากรถบ้านแล้วเดินโซซัดโซเซมาหาทั้งสองคน
“มีอีเมลส่งกลับมาแล้วเหรอคะ!”
“หืม? ตื่นอยู่หรอกเหรอ? ได้นอนบ้างไหมเนี่ยผู้หมวด”
นั้นควรเป็นคำพูดฉันมากกว่าไหม เหนือ
“ฉันตื่นขึ้นมาพอดีน่ะค่ะ ได้ยินพวกคุณพูดแว่วๆว่ามีเมลมาเลยรีบเดินออกมาดู”
“อืม เมลจากทางนิติฯส่งมาแล้ว”
ผู้กองเหมันต์พูดจบก็ขยับนิ้วไปเปิดเมลฉบับนั้นขึ้นมาดู
คลิ๊ก!
“!!!”
“!? เอ๊ะ?”
ฉันกับเหนือถึงกับต้องขยับเข้ามาหาผู้กองเหมันต์ใกล้ๆเพื่อดูเมลฉบับนั้นชัดๆ
“ไม่พบลายนิ้วมือในฐานข้อมูล”
ผู้กองเหมันต์ตาค้างเอาแต่จ้องหน้าจอแล็ปท็อปตาไม่กระพริบ ใบหน้าตกตะลึกของเขาพลอยทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจกับเรื่องชายแปลกหน้าคนนี้ขึ้นมาจริงๆหลังจากไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรตั้งแต่ต้น
“แปลกแฮะ ทางนิติฯตรวจดีแล้วเหรอ?” เหนือก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ตรวจดีแล้ว ที่นั่นเป็นแหล่งรวมฐานข้อมูลของทุกคนในประเทศเลยนะ” ผู้กองเหมันต์ตอบ
“งั้น ถ้าเขาไม่ใช่คนไทยล่ะคะ?” ฉันถาม
“ก็ต้องส่งเรื่องไปประสานงานกับ ตม. ”
“เฮ้อ!!! ยุ่งยากจริง เอามานี่” เหนือทนเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ไม่ไหวเลยตัดสินใจหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายสมาร์ทโฟนขึ้นมาเสียบกับแล็ปท็อปแล้วเริ่มการเจาะฐานข้อมูลคนเข้าประเทศด้วยลายนิ้วมือของชายคนนั้น
“นี่มึงกล้าทำเรื่องผิดกฎหมายต่อหน้าตำรวจเหรอ” ผู้กองเหมันต์ถามเสียงเรียบ
“กูทำเรื่องผิดกฎหมายต่อหน้ามึงมาเป็นร้อยครั้งแล้ว กูรู้หรอกว่าที่มึงทำเป็นไม่ชอบวิธีการของกูเพราะไม่อยากเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าเด็กใหม่ใช่ไหมล่ะ”
“...” ผู้กองเหมันต์ถึงกับอ้ำอึ้งด้วยมาดเท่ๆของเขาอยู่
“เอ๊ะ? งั้นพวกคุณก็แอบทำเรื่องแบบนี้มาตลอดเลยเหรอคะ!?”
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้เราจะจับคนร้ายเร็วกว่าหน่วยอื่นได้ยังไงล่ะ” เหนือตอบอย่างภาคภูมิใจขณะคีย์โค้ดเจาะข้อมูลของ ตม. อยู่
“สมกับเป็นหน่วยนอกรีดอย่างที่ใครๆว่าจริงๆ”
“แล้วไง เธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกสารวัตรวิทูรเหรอ?” เมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาผู้กองเหมันต์ก็เปลี่ยนข้างทันที การเจาะข้อมูลของกรมตำรวจไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นตำรวจด้วยกันเองหรือไม่ยังไงมันก็เป็นความผิดขั้นร้ายแรงอยู่ดี ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกสารวัตรวิทูรหน่วยนี้คงถูกสั่งยุบทันทีและฉันก็คงได้ย้ายไปประจำหน่วยอื่นที่มีแต่ตำรวจอยู่ในหน่วยไม่ใช่พวกขี้คุกกับตำรวจบ้าระห่ำไม่สนกฎหมายแบบนี้
“ว่าไง?”
ผู้กองเหมันต์จ้องเขม่งใส่ฉันเพื่อเร่งขอคำตอบ คำถามของเขาเหมือนกับเป็นนัยยะว่าฉันจะช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไปหรือจะทำให้เรื่องนี้มันแดงขึ้นมา และท่าทีที่เขาถามก็ไม่ได้ดูบังคับให้ฉันต้องเลือกทำอย่างแรกเลย
“ตอนนี้ฉันสนแต่เรื่องของเด็กๆค่ะ ถ้ามันช่วยให้เราหาเบาะแสของคนร้ายได้ฉันก็ไม่เกี่ยง”
“...” ผู้กองเหมันต์หันหน้ากลับไปทางแล็ปท็อปพลางอมยิ้มนิดๆ
“เหอะ ดูเหมือนเราจะมีตัวประหลาดเพิ่มเข้ามาในหน่วยอีกคนละนะวิน” เหนือยิ้มอย่างชอบใจโดยที่สายตาไม่ได้ละออกจากหน้าจอเลยสักวิฯ
ติ๊ก! ติ๊ก! ติ๊ก!
“เจอแล้ว!”
สิ้นเสียงร้องด้วยความดีใจของเหนือ ฉันและผู้กองเหมันต์ก็ยื่นหน้าไปมองหยั่งหน้าจอแล็ปท็อปโดยไม่ได้นัดหมาย
“อเล็กซานเดอร์ ตอลแปร์”
ผู้กองเหมันต์จ้องชายในรูปถ่ายสไตล์พาสปอร์ตของชายคนนั้นด้วยสีหน้าตึงเครียด และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคนร้ายในจินตนาการของผู้กองเหมันต์ ขอบอกเลยว่าตรงปกกับที่ผู้กองเหมันต์ว่าไว้จริงๆถ้าไม่บอกว่าเขาคือผู้ต้องสงสัยฉันคงคิดว่าเขาเป็นนายแบบจากฝั่งเอเชียประเทศใดประเทศหนึ่งแน่ๆ
“ถือสัญชาติเดนมาร์ก หมอนี่เป็นคนเดนมาร์กเหรอ?” เหนือเอะใจ ฉันก็เอะใจเช่นกัน ดูยังไงเขาก็มีหน้าตาไปทางโทนเอเชียชัดๆ
“หมวดลิต้า ส่งรูปเขาไปให้เจ้าหน้าที่ทุกคนหาตัวแล้วเรียกมาสอบปากคำ” ผู้กองเหมันต์หันมาออกคำสั่งกับฉัน
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับคำแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนต่อโดยที่พวกเราไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเลนกำลังแอบฟังพวกเราพูดคุยกันหลังรถบ้านมาได้สักพักนึงแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่ไก่โห่แล้วกระจายตัวกันออกเป็น 4 ทีมเพื่อไปสอบปากคำเหล่าบรรดาพ่อแม่เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้กองเหมันต์ไปกับเลน ธามไปกับมาร์ค เหนือไปกับอคิน ส่วนฉันก็ได้ไปกับน้องเล็กสายฟ้า
“ผู้หมวด”
ระหว่างที่ฉันกำลังจะเตรียมตัวไปรวมกลุ่มกับสายฟ้าจู่ๆเลนก็เดินเข้ามาหาฉันในรถบ้าน
“มีอะไรเหรอ?”
“พี่วินให้ฉันมาเอาภาพของผู้ต้องสงสัยจากหมวดน่ะ”
“ฮืม? ทำไมล่ะ?”
“เขาบอกว่าเขาจะเอาไปให้ทีมสืบสวนเองดีกว่าจะได้สั่งเรื่องอื่นกับทีมสืบสวนด้วย”
“อย่างงั้นเหรอ อื้ม ได้สิ”
ด้วยความใสซื่อ ฉันเอื้อมมือไปหยิบภาพของนาย อเล็กซานเดอร์ ตอลแปร์ ที่ปริ้นท์ออกมาใส่กระดาษแล้วให้เลนทันที
“ขอบใจนะหมวด”
“ยินดีช่วย”
เลนคลี่ยิ้มแบบฝืนๆให้ฉันแล้วเดินจากไป เขาขย้ำรูปภาพนั่นจนยับยู่ยี่ไม่เหลือชิ้นดีแล้วแอบกำมันใส่กระเป๋าเสื้อไว้พอสบโอกาศตอนที่ทุกคนเผลอเขาก็แอบเอามันไปทิ้งถังขยะซะ
“บ้านหลังนี้แหละครับ”
ขณะที่ฉันกำลังง่วงหงาวหาวนอนอยู่สายฟ้าก็ยกมือขึ้นมาชี้บ้านเป้าหมายที่เราได้โทรนัดเอาไว้แล้ว ฉันจึงรีบเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วกำเครื่องบันทึกเสียงไว้แน่นก่อนเบิกตาโตด้วยความมั่นใจแล้วตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น
ก๊อก ก๊อก
เราสองคนยืนรอไม่นานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นสมาชิกครอบครัวที่กำลังโศกเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายในบ้านหนึ่งคน นั่นก็คือหญิงวัย 30 ปลายๆผู้เป็นแม่กับเด็กหญิงวัย 4 ขวบผู้เป็นน้องสาวของเด็กที่หายตัวไปกำลังนั่งเล่นบ้านตุ๊กตาอยู่ในห้องรับแขก
“ขอโทษด้วยนะคะที่ต้องเรียกมาสอบปากคำอีก” ฉันรีบกล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เพราะก่อนหน้านั้นผู้หมวดยศพลได้ขนเหล่าพ่อแม่ของเด็กๆที่หายไปไปสอบปากคำมาเรียบร้อยหมดทุกบ้านแล้ว แต่ครั้งนี้เรามาที่นี่เพราะมีเรื่องอื่นที่ผู้หมวดยศพลยังไม่ได้สอบปากคำมาถามเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่หาตัวคนร้ายที่จับลูกชายฉันไปได้จะสอบปากคำกันอีกกี่รอบฉันก็ยอม”
“ครั้งนี้เราแค่อยากมาสอบถามข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ”
“ได้ค่ะ”
ฉันหันไปหาสายฟ้าเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นนัยๆให้เขาช่วยถือเครื่องบันทึกเสียงให้ส่วนฉันจะเป็นคนสังเกตพฤติกรรมของผู้เป็นแม่และถามคำถามเธอเอง
“ลูกชายของคุณชื่อน้อง ‘สกาย’ ใช่ไหมคะ ฉันพอรู้มาว่าน้องสกายเกิดจากการทำ IVF แล้วโรงพยาบาลที่คุณนายติดต่อไปตอนนั้นพอจะจำรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับโรงพยาบาลนั้นได้บ้างไหมคะ?”
“โรงพยาบาลเหรอคะ.. เป็นโรงพยาบาลเด็กน่ะค่ะ น่าจะชื่อโรงพยาบาลรังกาเหว่าหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหละค่ะ”
ท่าทางของเธอดูไม่แน่ใจแต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบังข้อมูลกับเรา สงสัยเธอคงจะจำไม่ค่อยได้จริงๆแฮะ
“แล้วคุณนายเจอโรงพยาบาลนี้ได้ยังไงครับ” สายฟ้าอดสงสัยไม่ได้
“เอ่อ.. จำได้ว่าฉันไปเดินงานสินค้าแม่และเด็กน่ะค่ะ เดินอยู่เพลินๆก็มีพยาบาลคนนึงมาแนะนำให้ฉันเข้าไปในบูธเด็กหลอดแก้วของโรงพยาบาลรังกาเหว่า ฉันกับสามีค่อนข้างมีลูกยากทั้งคู่เราก็เลยไปหาหมอบ่อยๆ ฉันทำ IVF กับโรงพยาบาลธนะเวชอยู่ 3-4 ครั้งแต่ก็ยังไม่ติด ตอนนั้นฉันถอดใจมากเลยลองเปลี่ยนมาทำกับที่นี่ดูดีกว่า แล้วมันก็ได้ผลนะคะ พอหลังจากมีสกายแล้วฉันรู้สึกว่าสุขภาพฉันดีขึ้น จนฉันมีน้องสตาร์ตามมาเป็นเพื่อนเล่นให้เขาด้วยอีกคน”
“แล้วกระบวนการทำเด็ก IVF ของโรงพยาบาลนี้มีอะไรแปลกจากที่อื่นบ้างไหมคะ?” ฉันถาม
“อ้อ จะว่ามีก็มีอย่างนึงนะคะ พวกเขามาตรวจสอบสถานะทางการเงินของครอบครัวเราด้วยว่ามีมากพอจะเลี้ยงเด็กไหม ที่แปลกคือพวกเขายกบ้านหลังนี้ให้เราเช่าในราคาที่ถูกมาก พวกเขาบอกว่ามันเป็นสิทธิที่เด็กคนนี้ควรได้รับ ตอนแรกๆฉันกับสามีก็คิดว่าพวกเขาจะหัวหมอให้เราเช่าแล้วจบด้วยการบังคับให้เราซื้อบ้านหรูๆนี่รึเปล่า แต่นี่ก็ผ่านมา 7 ปีแล้วฉันกับสามีอยู่ที่นี่จนมีลูกสาวอีกคนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาทักท้วงอะไรนะคะ”
“ให้ทั้งเด็กให้ทั้งบ้านเลยเหรอ” สายฟ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่
“แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าเพื่อนบ้านของคุณก็ทำ IVF จากโรงพยาบาลรังกาเหว่าเหมือนกันเกือบทุกหลังเลย”
“เอ๊ะ? อย่างนั้นเหรอคะ? ฉันรู้แค่ไม่กี่คน ฉันก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนบ้านทุกคนหรอกค่ะ”
“งั้นก็แปลว่าเด็กๆทุกคนเกิดมาโดยมีเงื่อนไขให้ต้องอยู่ในระแวกเดียวกันทั้งหมด.. แบบนี้มัน...” ฉันหันไปกระซิบกระซากกับสายฟ้าอยู่ 2 คน
“พวกเด็กๆก็จะอยู่ในสายตาโรงพยาบาลปริศนานั่นตลอด 24 ชั่วโมงเลยน่ะสิ”
“คุณพอมีเบอร์ของโรงพยาบาลที่ว่าไหมคะ?” หลังจากฟังความเห็นของสายฟ้าแล้วฉันก็หันไปขอสิ่งที่พอจะสาวไปถึงโรงพยาบาลนั้นได้จากเธอ
“เอ่อ.. มีค่ะ เดี๋ยวฉันไปเขียนมาให้นะคะ”
ผู้เป็นแม่เดินจากไปทำให้ตอนนี้ในห้องรับแขกเหลือแค่ฉันกับสายฟ้าและสาวน้อยวัยกำลังน่ารักอีกคนนึงเท่านั้น
“โรงพยาบาลรังกาเหว่าเหรอ? มีโรงพยาบาลที่ไหนขายเด็กอย่างกับขายผักขายปลาแบบนี้บ้าง? มีลดแลกแจกแถมด้วย” สายฟ้าโวยวายด้วยมาดนิ่งๆของเขา ลุคผู้ชายเลือดร้อนมีรอยสักเต็มแขนดูดุดันขึ้นทันตาเมื่อเขารู้สึกไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“ฉันก็ว่ามันแปลกๆตั้งแต่สถานที่ลอยๆของโรงพยาบาลนี่แล้ว”
“หรือจะเป็นกลุ่มค้ามนุษย์? เลี้ยงเด็กเอาไว้เหมือนทำฟาร์มพอเริ่มเกนกำไลได้ก็ขายทิ้ง”
“นั่น.. นั่นมันก็น่าคิด...”
นี่เขาเติบโตมาในสังคมแบบไหนถึงได้คิดในแง่ร้ายขนาดนั้นได้เนี่ย แต่ถ้าเขาดันคิดถูกล่ะ? ป่านี้พวกเด็กๆจะเป็นยังไงบ้าง? กองกระดูกพวกนั้นถ้าเป็นของพวกเด็กๆจริงแปลว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับฆาตกรรูปแบบไหนอยู่นะ เดาทางมันไม่ออกเลย
“เดี๋ยวพี่ก็กลับมา”
น้ำเสียงใสๆเล็กๆของเด็กหญิงที่จ้องมองมาที่เราสองคนทำให้เราสองคนถึงกับชะงักและมองกลับไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ
“? เอ๊ะ? นะ.หนูว่าไงนะจ๊ะ?”
“เดี๋ยวพี่ก็กลับมา พี่แค่ต้องไปฟักตัว”
“!?”
ความคิดเห็น