ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปรากฏว่าเป็นรัก

    ลำดับตอนที่ #45 : ตอนที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 67


    กำหนดการเปิดพินัยกรรมนั้นไม่ได้กำหนดเวลาเอาไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อทนายของครอบครัวพยักหน้าบอกว่าตอนนี้พร้อมอ่านพินัยกรรมแล้ว ทุกคนจึงลุกขึ้นยืนจากโต๊ะอาหารเตรียมเดินไปรวมกันที่ห้องโถงใหญ่ ซึ่งตามหลักการแล้วผู้ที่ควรจะมีรายชื่อในพินัยกรรมอยู่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น มาสฟ้าและอู่อี้เทียนจึงทำท่าจะปลีกตัวออกไปในตอนนี้ติดแค่ว่าชายหนุ่มถูกเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน

    “คุณอี้เทียนต้องอยู่ด้วยครับ” เป็นอีกครั้งที่ทุกความเคลื่อนไหวภายในห้องถูกหยุดลง มาสฟ้าเองก็พลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนรักของเธอต้องไปเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายนี้เข้าจนได้ ก่อนความคิดไม่เข้าท่าจะผุดขึ้นมาในหัวกลัวว่าจ้าวลี่หยางจะนึกพิเรนท์แล้วเปลี่ยนคนรับตำแหน่งผู้นำตระกูลจ้าวในนาทีสุดท้าย แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้หรอก...ใช่ไหม

    “เดี๋ยวพ่อจะพามาสฟ้าไปพัก” อู่เมิ่งหลิ่วรู้ตัวดีว่าเขาไม่เป็นที่ต้อนรับในห้องอ่านพินัยกรรมแน่ แม้ว่าจะอยากอยู่เคียงข้างภรรยา แต่เขาก็รู้ว่ามีสิ่งที่เขาสามารถทำได้ดีกว่าการนั่งเป็นหุ่น รอฟังการทะเลาะของครอบครัวภรรยานั่นก็คือการอยู่เป็นเพื่อนคนรักของลูกชาย “ลูกไปเถอะ”

    “ฝากมาสฟ้าด้วยนะครับพ่อ” ว่าแล้วอู่อี้เทียนต้องปล่อยมือคนรักอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินตามหลังญาติผู้น้องไปอีกทาง ทำให้มาสฟ้าต้องเดินเคียงพ่อคนรักมุ่งหน้ามาตามทางเดินอีกด้าน หากอู่อี้เทียนเดินไปทางหน้าบ้านตอนนี้มาสฟ้ากับอู่เมิ่งหลิ่วก็กำลังเดินไปด้านหลัง

    “หนูไม่ควรพูดแบบนั้นเลยนะรู้ไหม” อู่เมิ่งหลิ่วพูดกับมาสฟ้าเสียงเบา ยกเรื่องบทสนทนาระหว่างหญิงสาวและจ้าวโจวเหวินขึ้นมาพูดอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง “อารองเขาไม่ใช่คนที่ใจดีนักหรอก หนูพูดแบบนั้นจะทำให้เขายังไม่ชอบหน้าหนูเปล่าๆ”

    “หนูเสแสร้งไปเขาก็ใช่ว่าจะชอบหน้าหนูนี่คะ” มาสฟ้าถอนหายใจ เธอไม่ใช่พวกชอบดับเครื่องชนก็จริงอยู่ แต่เธอก็ใช่ว่าจะไร้พิษสงเสียทีเดียว “ไม่ว่ายังไงหาก็หาเหตุผลมาเกลียดหนูได้อยู่แล้ว อดทนถูกเขาค่อนแคะก็รังแต่จะเสียอารมณ์เปล่าๆ”

    “นั่นก็จริง” อู่เมิ่งหลิวฟังแล้วก็ลอบผงกศีรษะเห็นด้วยกับเด็กสาว ตัวเขาเองเคยอดทนกับคำถากกางและสายตารังเกียจจากคนในครอบครัวของภรรยามามาก จากตัวของจ้าวโจวเหวินเองเขาก็เคยต้องรับมือด้วยอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ยังคงจงเกลียดชังเขาอยู่ดี “บางทีฉันอาจจะแก่เกินไปแล้ว อย่าถือสาเลย คิดเสียว่าฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหนูแล้วกันนะ”

    “ไม่เลยค่ะ หนูรู้ว่าคุณลุงแค่เป็นห่วง” มาสฟ้ารีบตีตัวเองที่พาลเผลอใส่อารมณ์กับพ่อของอู่อี้เทียน หากนับจริงๆ นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอและเขาพบหน้ากัน แต่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ “หนูผิดเองค่ะ ที่ใช้อารมณ์ไปหน่อย”

    “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราควรใช้อารมณ์กัน” อู่เมิ่งหลิ่วว่าแล้วก็ถอนหายใจ หวนนึกถึงการกลับมาเยือนบ้านหลังนี้ของเขากับภรรยาทุกครั้งแล้ว ใบหน้าของท่านก็ยิ่งเครียดครึมยิ่งกว่าเดิม “ทั้งหนูทั้งน้องสาวควรจะระวังตัวกันไว้มากๆ”

    “คงเพราะอย่างนี้หรือเปล่าคะอี้เทียนเขาถึงยืนยันนักหนาว่าจะพักอยู่ข้างนอก” มาสฟ้าสงสัย

    “คงจะหลายๆ อย่าง” อู่เมิ่งหลิ่วครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ทำให้อู่อี้เทียนตัดสินใจให้มาสฟ้าพักอยู่ข้างนอก แทนที่จะมาพักรวมกับพวกเขาที่นี่ “เรื่องความปลอดภัยก็อย่างหนึ่ง แต่คงไม่ดีที่ทายาทสายตรงของคุณลี่หยางจะรวมตัวกันอยู่ที่เดียวกันทั้งหมด”

    “คุณลุงคิดว่าจะมีใครกล้าลอบทำร้ายคนตระกูลจ้าวงั้นเหรอคะ”

    “ไม่ใช่ว่ากลัวใครจะทำอะไรพวกเราหรอก แต่กลัวคนในพวกเราเองนี่แหละที่คิดไม่ซื่อ” อู่เมิ่งหลิ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่ปลงตกกับเรื่องนี้ได้นานแล้ว “ยิ่งพินัยกรรมยังไม่เปิด อะไรก็เกิดขึ้นได้”

    “ยังไงเวยหลงก็ต้องเป็นผู้นำตระกูลเจ้าค่ะ” มาสฟ้ายืนยันกับคนตรงหน้า นิมิตที่เรื่องนี้ที่เธอเคยเห็นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสักครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบมาสฟ้าก็เห็นว่าเป็นจ้าวเวยหลงที่ได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลจ้าว

    “คุณลี่หยางก็บอกกับพวกเราอย่างนี้ วันที่เรียกพวกเราเข้าไปคุย” อู่เมิ่งหลิ่วพูดถึงวันที่เขากับภรรยา รวมไปถึงจ้าวซ่งเหยี่ยนถูกจ้าวลี่หยางเรียกเข้าไปพูดคุยในห้องทำงานในบ้านของจ้าวเวยหลง “เขายืนยันหนักแน่นเรื่องนี้ ไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น”

    “คุณลี่หยางเป็นคนเด็ดขาดมากค่ะ” มาสฟ้าพึมพำ หวนคิดถึงวันที่เธอบอกเขาว่าเธอเห็นในนิมิต แววตาของชายชราในวันนั้นแน่วแน่อย่างที่มาสฟ้าไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน ชวนให้มาสฟ้าคิดว่าไม่ว่าเธอจะพูดอะไรจ้าวลี่หยางก็มีคำตอบในใจไว้แล้วว่ าคนที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขาต้องเป็นจ้าวเวยหลง “คนเดียวที่ท่านนึกลังเลกับเวยหลงก็คืออี้เทียน ไม่มีคนอื่น”

    อู่เมิ่งหลิ่วหันขวับ มองหน้าคนรักของลูกชายอย่างคาดไม่ถึง...เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้เลย ก่อนหน้านี้พ่อของภรรยานั้นรังเกียจเขาและครอบครัวของเขาอย่างมาก กระทั่งอู่อี้เทียนสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบครัวของเขามีทุกวันนี้ขึ้นมาได้ ก็ยังไม่สามารถทำให้จ้าวลี่หยาวเปิดใจยอมรับพวกเขา คอยค่อนแคะว่าอู่อี้เทียนนั้นเป็นคนตระกูลจ้าวเพียงครึ่งตัว แต่นี่มาสฟ้ากลับบอกว่าจ้าวลี่หยาวนึกลังเลว่าระหว่างจ้าวเวยหลงและอู่อี้เทียน ลังเลใครเหมาะจะเป็นผู้นำตระกูลจ้าวอย่างนั้นเหรอ

    “จริงเหรอ?”

    “ท่านไม่ได้รังเกียจอี้เทียนหรอกค่ะ เป็นหนูเองที่บอกท่านไปว่าอี้เทียนไม่มีทางยอมรับตำแหน่งนี้” มาสฟ้าตอบไปตามความจริง ไม่กลัวหากอู่เมิ่งหลิ่วจะโกรธเธอที่ตัดหนทางความเจริญของลูกชายเขา “เป็นหนูเองที่บอกท่านว่าท่านจะไม่มีทางได้หลานชายคนโตกลับมาตระกูลจ้าว”

    “ขอบคุณนะ” เสียงของอู่เมิ่งหลิ่วสั่นเครือจนไม่สามารถพูดประโยคที่ยาวกว่านี้ได้ มือเหี่ยวย่นนั้นเอื้อมมาบีบมือของมาสฟ้าพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำ “ขอบคุณหนู ที่ไม่ทำลายอี้เทียน”

    หากวันนั้นมาสฟ้าไม่พูดเช่นนั้นกับจ้าวลี่หยาง อู่เมิ่งหลิ่วไม่รู้เลยว่าลูกชายของเขาจะสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้หรือเปล่า ทุกอย่างล้วนต้องขอบคุณเด็กสาวที่ตัดสินใจพูดเช่นนั้นออกไป และขอบคุณจ้าวลี่หยางที่เชื่อเธอแล้วตัดสินใจเลือกจ้าวเวยหลงเป็นทายาท ตอนนั้นเองที่อู่เมิ่งหลิ่วสัมผัสถึงความเย็นของแหวนบนนิ้วของมาสฟ้า สีหน้าเขาฉายแววประหลาดใจให้เห็นครู่หนึ่งก่อนคิ้วหนาจะค่อยคลายออกจากกันในนาทีต่อมา

    “อี้เทียนคงรักหนูมากจริงๆ เป็นโชคดีของเขาที่ได้มาเจอหนู”

    “ขอบคุณเขาที่ยังหัวรั้น ไม่ยอมแพ้เรื่องของเราง่ายๆ” มาสฟ้ายิ้ม หลุบตามองแหวนบนนิ้วของเธอพลางใช้มืออีกข้างลูบไล้แหวนเกลี้ยงวงนั้นอย่างหลงไหล “หนูว่ามันคงเป็นโชคดีของหนูมากกว่าที่ได้มีเขาในชีวิต ถึงหนูจะยังไม่รู้ว่าต้องจัดการกับความขี้หึงของเขายังไงก็เถอะ”

    “อา เรื่องนั้น” ผู้ที่ผ่านประสบการณ์การมีคนรักตระกูลจ้าว ที่มีความสามารถในการหึงหวงโดดเด่นเป็นพิเศษนั้นเผยสีหน้ายุ่งยากใจเมื่อได้รับฟังปัญหาของมาสฟ้า ด้วยเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไรเช่นเดียวกัน โชคดีที่เขาไม่ได้มีนิสัยเจ้าชู้ประตูดินเป็นทุนเดิม ไม่อย่างนั้นเขาคงใช้ชีวิตลำบากกว่านี้

    มาสฟ้าเองเห็นสีหน้าเช่นนั้นของอู่เมิ่งหลิ่วแล้วเธอก็ได้แต่ยิ้มขัน เดาได้ไม่ยากว่าเขาเคยพบเจออะไรมาบ้าง มาสฟ้าคิดว่าชีวิตแต่งงานของท่านและภรรยาคงมีสีสันไม่น้อย

    “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ถ้าหนูมีวิธีก็ช่วยแนะนำฉันหน่อยนะ”

    “หนูยอมแพ้เรื่องนั้นไปแล้วแหละค่ะ” มาสฟ้าบอก มือก็หมุนแหวนบนนิ้วไปด้วย “หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

    “ได้สิ”

    “ก่อนหน้านี้ซูเจินเห็นแหวนนี้ก็ทักหนูมาหนหนึ่งแล้ว ตอนนี้คุณลุงเห็นก็เหมือนจะรู้อะไรมา...ตกลงแล้วแหวนนี้เคยเป็นของใครมากก่อนหรือคะ ทำไมใครๆ เห็นหนูสวมก็มองหนูแปลกๆ” และการถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ นั้นไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนรักของอู่อี้เทียน หรือเป็นคนที่จ้าวลี่หยางสั่งเสียเอาไว้ว่าให้มาทำความเคารพท่านเป็นพิเศษอย่างแน่นอน ยังไม่รวมถึงสายตาครางแครงใจที่คล้ายไม่แน่ใจว่าแหวนที่เธอสวมอยู่นี่ใช่วงเดียวกับที่พวกเขาคิดหรือไม่อีก

    “ฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอกนะ” อู่เมิ่งหลิ่วถอนหายใจ ลดเสียงที่ใช้พูดกับมาสฟ้าลงกว่าเดิมจนแน่ใจว่าจะไม่ใครอื่นได้ยินคำพูดของเขาแล้วเว้นแต่มาสฟ้า “แหวนนี้แม่อี้เทียนบอกว่าเป็นของคุณย่า”

    “คุณย่าของท่าน ไม่ใช่คุณนายจ้าวคนก่อนใช่ไหมคะ?” มาสฟ้ากำลังพยายามเรียบเรียงลำดับญาติในตระกูลของอู่อี้เทียน ที่ซับซ้อนจนเธอหัวหมุนไปหมด “เป็นแม่ของคุณลี่หยาง”

    “ใช่ แม่ของคุณลี่หยาง” อู่เหมิ่งหลิ่งพยักหน้าบอกว่ามาสฟ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว “คุณแม่ของเฟยหรงท่านได้แหวนนี้มาอีกที เขาเล่ากันว่าก่อนที่ท่านจะแต่งงานเข้าบ้านพ่อคุณลี่หยางท่านตั้งใจแต่งผู้หญิงอีกคนเข้ามาเป็นภรรยาด้วย แต่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรแม่ของคุณลี่หยางก็ไม่ยอม ขนาดที่ว่าพ่อคุณลี่หยางท่านยืนยันว่าจะให้ฝ่ายนั้นอยู่ที่อเมริกา จะไม่ให้มาที่นี่หากไม่จำเป็น แต่แม่ของคุณลี่หยางก็ไม่ยอมอย่างเดียว เห็นว่าพ่อคุณลี่หยางขอแค่แหวนบนนิ้วของเธอวงเดียวแล้วผู้หญิงคนนั้นจะไม่ขออะไรอีกเลย” มาสฟ้าไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ หญิงสาวจึงได้แต่เงียบฟัง “แต่คุณแม่ของคุณลี่หยางกลับชิงส่งแหวนนี้ให้สะใภ้แทน แม่ของเฟยหรงอย่างไรล่ะ”

    “แล้วคุณป้าท่านก็ให้แหวนนี่กับอี้เทียนอีกที”

    “ใช่ แต่ยังมีเครื่องเพชรอีกชุด แต่ไม่มีใครได้เห็นตั้งแต่ที่ท่านเสียไป ว่ากันว่าคุณลี่หยางเก็บไว้ขนาดเฟยหรงเองก็ไม่เคยเห็น”

    “ทำไมถึงต้องซ่อนไว้ขนาดนั้นคะ” มาสฟ้านึกสงสัย ในบรรดาทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลจ้าวแค่เครื่องเพชรชุดเดียวนับว่าเป็นอะไรได้ ยิ่งแหวนเกลี้ยงวงนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

    “ฉันไม่รู้หรอกเพราะว่าไม่เคยเห็น” อู่เมิ่งหลิ่วยังพูดต่อไปด้วยสีหน้าและท่าทางสบายๆ แต่มาสฟ้ากลับยังมีเรื่องติดใจอยู่ไม่น้อย

    “คุณลุงว่าว่าพ่อของคุณลี่หยางยืนยันจะแต่งภรรยารองเข้ามาให้ได้ แต่ว่าคุณนายจ้าวตอนนั้นไม่ยอม แล้วเรื่องจบยังไงคะ แค่ยกแหวนให้กับสะไภ้แทนก็จบเหรอ”

    “เขาก็รับผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอยู่ดี แต่ไม่ได้ตบแต่ง” อู่เมิ่งหลิ่วเรื่องเก่าๆ ของครอบครัวภรรยาให้มาสฟ้าฟัง “คนที่นี่เขาไม่พูดกันหรอกนะ หนูเองก็อย่าเที่ยวเอาไปพูดกับใครไปทั่วล่ะ...ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของบ้านรองก็อยู่ที่นั่นมาตลอด ไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง”

    “ที่แท้คุณโจวเหวินเป็นน้องชายคนละแม่ของคุณลี่หยางนี่เอง” มาสฟ้าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งทันที “ที่เรียกพวกเขาว่าบ้านรองก็เพราะอย่างนี้เองหรือคะ”

    “ใช่”

    “แล้วทำไมคนบ้านรองถึงไม่มาเหยียบที่นี่อีกเลยคะ...หนูหมายถึงว่าคุณลี่หยางก็ไม่ได้เลวร้าย” แทนที่จะสิ้นสงสัยมาสฟ้ากลับมีแต่คำถามผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด “เพราะแม่ของเขาเคยอยากได้แหวนวงนี้หรือเปล่าคุณโจวเหวินถึงได้จับผิดหนูเป็นพิเศษ”

    “เรื่องนี้บอกยาก เขาเองไม่ใช่คนที่เป็นมิตรกับชาวบ้านอยู่แล้ว” อู่เมิ่งหลิ่วทบทวนคำถามของมาสฟ้าแล้วก็ได้แต่ยักไหล่ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วในบ้านหลังนี้เกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วจะให้ไปขุดคุ้ยหาความจริงตอนนี้ไม่รู้ว่าจะไปถามกับใคร จ้าวลี่หยางเองก็เสียไปแล้วจะถามจ้าวโจวเหวินเขาก็คงจะบอกหรอก “ไม่มีใครชอบพูดเรื่องที่แม่ของตัวเองเป็นภรรยารองหรอกนะมาสฟ้า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไทยหรือครอบครัวคนจีน”

    “คุณโจวเหวินบอกว่าหนูเหมือนคุณนายจ้าว คุณลุงว่าท่านกำลังพูดถึงใครคะ”

    “เขาไม่เคยสนใจแม่ของเฟยหรงอยู่แล้ว” อู่เมิ่งหลิวจำได้ว่าตอนที่เขารักกับจ้าวเฟยหรงใหม่ๆ ยามที่โดนขัดขวางจากครอบครัวจ้าวทุกวิถีทางนั้น มีเพียงแม่ของจ้าวเฟยหรงที่คล้ายจะยอมรับเขาและสนับสนุนการแต่งงานนี้ ขณะที่จ้าวลี่หยางโกรธมากแต่จ้าวโจวเหวินในตอนนั้นกลับนิ่งเป็นของไม่รู้ร้อน สำหรับเขาแล้วความขัดแย้งระหว่างจ้าวลี่หยางและภรรยาเป็นเรื่องชวนขบขันแต่ไม่เคยเป็นปัญหา “เรื่องของคนแก่ คนต้นเรื่องตายกันไปหมดแล้วก็คงต้องปล่อยไปนั่นแหละ”

    “คุณนายจ้าวคนก่อนท่านชอบอยู่ที่เรือนบัวหรือเปล่าคะ?” มาสฟ้าเอ่ยถามแต่ทำให้อู่เมิ่งหลิ่วนั้นหันขวับมามองเธอด้วยสายตา ประหนึ่งว่าเธอเป็นตัวประหลาดที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

    “ใช่ หนูรู้ได้ยังไง”

    อย่างนั้นก็คงเป็นคุณผีคนเดียวกับที่เหมือนฝันบอก ที่แท้คุณนายจ้าวคนก่อนก็ยังไม่เคยไปไหน หากท่านอยู่เพราะโกรธเกลียดอีกครอบครัวของสามีจริง ท่านก็เป็นคนที่รักแรงแค้นแรงอย่างไม่ต้องสงสัย นับว่าเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่งเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้รู้จักท่าน

    “ถ้าท่านเกลียดภรรยาอีกคนของสามีขนาดนั้น แล้วทำไมถึงยอมรับคุณโจวเหวินได้ล่ะคะ”

    “ท่านไม่เคยยอมรับคนบ้านรอง” อู่เมิ่งหลิ่วสั่นศีรษะ พลันหวนนึกถึงวันที่เขาและภรรยากลับมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน “คุณโจวเหวินได้เข้าตระกูลหลังจากที่ท่านเสียไปแล้ว เป็นคุณจ้าวลี่หยางที่รับเขาเป็นน้องชาย พวกเราเพิ่งนับญาติกับคนบ้านรองในยุคของพ่อเฟยหรง”

    “อ้อ” อย่างนี้ถึงจะอธิบายถึงความห่างเหินระหว่างสองครอบครัวมีต่อกันได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณโจวเหวินถึงทำตัวเช่นนั้นกับจ้าวเฟยหรงและจ้าวซ่งเหยี่ยน ที่แท้พวกเขาก็ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน “อย่างนั้นคุณโจวเหวินก็คงยิ่งเกลียดหนู แหวนที่แม่ของเขาต้องการนอกจากจะไม่อยู่กับคนตระกูลจ้าวแล้ว ยังตกมาอยู่กับผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้า”

    “แม่ของคุณลี่หยางท่านเหมือนหนู ใครๆ ก็เล่าลือกันว่าท่านเป็นพวกแม่มดหมอผี” อู่เมิ่งหลิ่วเล่าถึงคำเล่าลือที่เกี่ยวข้องกับอดีตคุณนายตระกูลจ้าวให้มาสฟ้าฟังอีกข้อ เพราะเขาเองก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วหากไม่ได้พูดกับมาสฟ้าเรื่องท่านขึ้นมา “ไม่แปลกหรอกที่พ่อของเฟยหรงท่านจะชอบหนูเป็นพิเศษ ที่ท่านงมงายเชื่อพวกหมอดูมันมีเหตุผลนะ รู้ไหม”

    “เพราะแม่ของคุณลี่หยางเองก็เป็นหมอดูหรือคะ บังเอิญจริง”

    “ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าท่านเป็นหมอดูไหม แต่คนที่เคยเจอท่านตอนนั้นลือกันว่าท่านเห็นมองอนาคตได้” คำพูดสุดท้ายของอู่เมิ่งหลิ่วทำให้ท้องไส้ของมาสฟ้าปั่นป่วน แข้งขาพลันออกแรงจนเธอต้องคว้าขอบระเบียงทางเดินเพื่อพยุงตัว “แล้วก็เพราะว่าอย่างนั้นแหละพ่อของคุณลี่หยางแต่งท่านมาเป็นภรรยาเอก แล้วก็เพราะอย่างนั้นอีกเหมือนกันแม่ของคุณโจวเหวินถึงเกลียดพวกหมอดูเข้ากระดูก แล้วก็น่าจะส่งต่อความเกลียดนั้นมาถึงลูกชายด้วย เพราะฉะนั้นฉันถึงบอกให้หนูระวังตัว”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×