NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #45 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 10 [END]

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 67


    กดฟังเพลงเพื่ออรรถรสในการอ่านได้นะคะ :)





















    นานแค่ไหนแล้วนะที่การมาโรงพยาบาลทุกวันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

     

    ใบหน้าน่ารักฟุบหลับลงไปกับเตียงของเพื่อนสมัยเด็ก โดยที่มือของเขายังกอบกุมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของคนป่วยเอาไว้ อาจเพราะการนั่งหลับแบบนี้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนัก แรงสะกิดเพียงเล็กน้อยจึงปลุกให้เจ้าตัวตื่นมาด้วยความงัวเงีย

     

    ดวงตากลมโตค่อยๆ เบิกขึ้นอย่างเชื่องช้าพลางประมวลผลตาม

     

    คิดไปเองไหมนะว่าเมื่อครู่คัตจังขยับตัวแล้ว

     

           พลันเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง มองใบหน้าคมของคนตรงหน้าที่ยังหลับตานิ่งสนิทอย่างเคยแล้วย่นคิ้วเล็กน้อย นานจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ไหวติงจึงถอนใจด้วยความเสียดาย อีกซักพักจะได้เวลาพลิกตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับจากการนอนท่าเดิมนานๆ แล้ว ต้องไปตามพยาบาลมาเพื่อทำแบบนั้น

     

    แต่แล้วแรงกระตุกจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้หัวใจดวงน้อยกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง

     

    เขาไม่ได้คิดไปเอง คัตจังเริ่มขยับตัวทีละนิด นั่นหมายความว่าอีกไม่นานเจ้าตัวก็จะได้สติ

     

           เร็วเท่าที่จะทำได้ อิซุคุดีดตัวเองจากเก้าอี้ พุ่งตรงไปยังประตูเพื่อตามหมอเข้ามา แต่แรงคว้าแม้จะไม่ได้มากนักก็ฉุดรั้งปลายเท้าทั้งคู่ไว้ ดวงตาสีแดงที่คุ้นเคยกำลังจับจ้องใบหน้าของเขาด้วยความงุนงง

     

    คัตจัง”

     

    ทำหน้าน่าเกลียดว่ะ ร้องไห้ทำไมวะ

     

           เปิดปากมาประโยคแรกก็ไม่เว้นโดนบ่นตามเคย อิซุคุทั้งดีใจและขบขันเสียงของคนตรงหน้าที่แหบแห้งจนน่าสงสาร น้ำตามันก็พลันพรั่งพรูออกมาจากดวงตาเหมือนก๊อกแตก

     

    “ผมดีใจฮึก ดีใจมากจริงๆ นะ”

     

           หัวคิ้วที่ขมวดพันกัน และดวงตาคู่คมที่ชี้ขึ้นราวกับจะบอกทั้งโลกว่าเจ้าตัวกำลังหงุดหงิด สีหน้าแบบนั้นที่แสนจะคุ้นเคย สีหน้าที่เขาไม่ได้เห็นมาร่วมสองเดือน ทั้งเป็นห่วงและคิดถึงมากจนอึดอัดไปทั้งอก แต่ไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดออกไปได้

     

    กลัวเหลือเกินว่าเจ้าตัวจะหลับไปตลอดกาล กลัวว่าจะเสียคนสำคัญในชีวิตไป ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เป็นคนๆ นี้ที่ปรากฏตัวในเวลาที่ต้องการ เขานึกภาพชีวิตประจำวันที่ไม่มีคัตสึกิอยู่ด้วยไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

     

    น้ำตาดูเหมือนจะไม่หยุดไหลง่ายๆ ราวกับความอัดอั้นที่สั่งสมมาทั้งหมดกำลังถูกระบายออกมา คนป่วยไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั่งมองคนตัวเล็กสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อย มากจนใต้ตาบวมเป่ง นานจนฝ่ายนั้นพอใจก่อนค่อยๆ ใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตา อดไม่ได้ที่จะยื่นกระดาษชำระไปให้ทั้งที่หัวคิ้วยังไม่คลายออกจากกัน

     

    เขาคงหลับไปนานพอสมควร ไม่เช่นนั้นเดกุคงไม่ร้องไห้มากมายขนาดนี้

     

    จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังเป็นเด็กขี้แยไม่เคยเปลี่ยน

     

    “ไม่เอาแล้วนะ เลิกเอาตัวเองมาเสี่ยงเพราะผมซักที” เสียงเล็กพูดพลางสะอื้นเป็นจังหวะ คัตสึกิขมวดคิ้วยุ่ง ยื่นใบหน้าคมเข้าไปใกล้คนผมฟูมากขึ้น

     

    เคยบอกแล้วไง ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วมันจะเป็นใคร

     

    ประโยคนั้นราวกับสวิตช์ทำให้น้ำตากลับมาคลอเบ้าอีกครั้ง

     

    คัตจังพูดแบบนี้อีกแล้ว ทั้งที่เขาอยากให้อีกฝ่ายมีอิสระ ไม่ต้องถูกผูกไว้กับเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ตลอดเวลา

     

    “คิดว่าคนแบบฉันจะโดนบังคับให้ปกป้องแกหรือไง”

     

    อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปบีบแก้มทั้งสองข้างเข้าหากัน เจ้าของใบหน้าตกกระขมวดคิ้วงุนงงอย่างไม่เข้าใจนัก ใบหน้าของคัตจังอยู่ใกล้เสียจนน่าตกใจ

     

    “ฉันทำเพราะอยากทำแค่นั้น เลิกโทษตัวเองซักที”

     

    ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่ แต่ทุกครั้งเขาตั้งใจทำทั้งนั้น

     

    แค่คนๆ เดียวที่อยากปกป้อง คนๆ เดียวที่อยากให้อยู่ข้างกายเสมอไม่ว่าเวลาไหน

     

           ความรู้สึกบางอย่างเข้าเกาะกุมหัวใจ และความร้อนแผ่กระจายไปทั่วใบหน้า ราวกับกำลังถูกสารภาพทั้งที่ไม่มีคำว่ารักเลยซักคำ แต่แรงสะอึกของอิซุคุก็เด้งขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

     

    หมาป่าหนุ่มขมวดคิ้วหงุดหงิดอย่างไม่ปกปิด คนสะอึกอาศัยจังหวะนั้นผละตัวออกมาอย่างรีบร้อน

     

           ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เอื้ออำนวยให้กับจังหวะเคลียร์ใจของคนทั้งคู่เอาเสียเลย ไม่นานนักครอบครัวบาคุโกก็ปรากฏตัวเข้ามาในห้องพร้อมหมอและพยาบาล เพื่อแจ้งข่าวว่าอีกไม่นานคนป่วยก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

    แม้จะโชคดีที่อมนุษย์ฟื้นฟูร่างกายได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตามคัตจังก็ต้องใช้เวลากายภาพอยู่พักใหญ่

     

    เวลาล่วงเลยผ่านไปสู่ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี อิซุคุหอบเครื่องกันหนาวมากมายมาจากบ้านของอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยชอบอากาศเย็นเท่าไรนัก ทั้งเสื้อแจ็คเกตตัวโปรดและผ้าพันคอไหมพรม เขารู้ดีว่าตัวไหนที่คัตสึกิชอบใส่เป็นประจำ

     

    วันนี้คัตจังจะได้ออกจากโรงพยาบาลจริงๆ เสียที

     

           เขาอาสาเป็นคนรับคนป่วยกลับบ้านในวันนี้ เพื่อนตัวสูงเอาแต่บ่นว่ายังไม่อยากกลับ พวกเขาจึงเดินไปตามสวนสาธารณะในเมืองจนกว่าจะพอใจแล้วค่อยกลับบ้าน

     

    ต้นไม้ที่เคยเขียวชอุ่มผลัดใบเป็นสีแดงตามอุณหภูมิของอากาศที่เย็นลง ขึ้นสลับกับต้นแปะก๊วยที่ออกดอกสีเหลืองละลานตา ใบไม้หลากสีพัดปลิวไปตามแรงลม บรรยากาศดีเสียจนแวมไพร์หนุ่มอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้

     

    เขาเดินไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกินวันหนึ่ง

     

           คัตสึกิได้แต่ทอดสายตามองคนข้างตัวที่ยิ้มหน้าบานด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ คว้าเอาผ้าพันคอที่เคยอยู่รอบคอตัวเองปาใส่หน้าเพื่อนตัวเล็กด้วยความหมั่นไส้

     

    “เลิกยิ้มโง่ๆ ซักที”

     

    ลมพัดกลุ่มผมนุ่มให้พลิ้วไหว อิซุคุคว้าผ้าพันคอผืนนั้นไว้ได้ทันก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เพื่อนสมัยเด็กด้วยอีกคน พวงแก้มทั้งสองข้างที่ตกกระขึ้นสีแดงจางๆ ดูน่ามอง

     

    “ฮี่ฮี่ก็ผมดีใจมากเลยนี่นา”

     

    รู้แล้วว่าดีใจ แต่บางทีก็มากเกินคนเพิ่งหายป่วยไปหน่อย

     

    คัตสึกิขมวดคิ้ว คว้าเอาสัมภาระที่แวมไพร์ตัวน้อยเคยแย่งไปถือมาไว้ในมือตัวเอง ก่อนสาวเท้าเดินนำไปก่อน พร้อมหางตาทั้งสองข้างที่ชี้ขึ้น

     

    “น่าเกลียด”

     

           ในอดีตเขาเคยเป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งและพูดจาทำร้ายจิตใจ ในขณะเดียวกันก็พยายามปกป้องอิซุคุด้วยวิธีของตัวเองแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ อาจเพราะมันเป็นการกระทำครึ่งๆ กลางๆ กลุ่มคนเหล่านั้นจึงทดสอบเขาด้วยการรังแกเพื่อนตัวเล็กด้วยวิธีการที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง

     

    หลังเหตุการณ์โดนขังที่ห้องเก็บของหลังโรงเรียน เมื่อไรก็ตามที่เดกุเดือดร้อน เขามักจะเป็นคนที่ออกหน้ารับทุกอย่างแทนเสมอ เพราะตอนนั้นได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสำคัญมากขนาดไหน คัตสึกิเกือบโดนทัณฑ์บนเพราะมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน

     

    ตามมาด้วยจดหมายเตือนอีกหลายครั้งตลอดการศึกษาก่อนเข้ามหาวิทยาลัย

     

           พวกเขานั่งรถไฟฟ้ามาด้วยกัน เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงบ้านตัวเอง เพราะพ่อและแม่ของคัตสึกิติดธุระด่วน แวมไพร์หนุ่มจึงตัดสินใจชวนเพื่อนของเขามาพักที่บ้านตัวเองก่อน โดยปกติคนทั้งคู่จะแวะเวียนมาที่บ้านของกันและกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

     

           ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม พร้อมอุณหภูมิของวันที่เริ่มลดลงเมื่อพลบค่ำ สายลมพัดโกรกให้คนร่างผอมยกไหล่ที่สั่นระริกขึ้นเพราะความหนาว ตามมาด้วยเสียงจามอีกสองสามครั้งจนปลายจมูกรั้นขึ้นสีแดง คนข้างตัวอดไม่ได้ที่จะคว้าผ้าพันคอผืนเดิมมาพันรอบใบหน้ากลมนั้นจนมองไม่เห็นทาง

     

    เพราะเดกุโลหิตจาง ร่างกายของเขาจึงไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก

     

    คัตจังรู้เรื่องนั้น ถึงได้พยายามช่วยเหลือมาตลอด

     

    อย่างไรก็ตามซักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองอยู่ดี

     

    “นายรู้หรือเปล่าว่าตัวเองเท่มากนะ” อยู่ๆ เสียงเล็กก็เปิดบนสนทนาขึ้นมา ริมฝีปากบางอมยิ้มน้อยๆ

     

    “ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงจะชอบนายไปแล้วแน่ๆ”

     

    แม้ท่าทางจะดูแข็งกร้าน แต่เจ้าตัวกลับอ่อนโยนจนน่าประหลาดใจ

     

    เจ้าของผมสีอ่อนขมวดคิ้วไม่เข้าใจพร้อมส่งเสียงในลำคอ

     

    “พูดอะไรของแก ขนลุกว่ะ”

     

    “ฮ่าฮ่า ผมคิดแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ แต่ไม่ได้บอกคัตจังซักที” มุดหน้าออกมาจากกองผ้าพันคอขณะก้าวเดินไปตามทางที่มีต้นไม้สีแดงประดับอยู่

     

    “นายทั้งเท่ หน้าตาดี แถมยังเรียนเก่ง”

     

    “ในอนาคตนายจะมีคนรักที่ดี ครอบครัวและลูกๆ หน้าตาน่ารัก”

     

    ถ้าได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ตกหลุมรักชายคนนี้ได้ทั้งนั้น แถมเจ้าตัวยังทำอาหารอร่อยมากอีกต่างหาก

     

    “ถ้าถึงวันนั้นผมจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งของคัตจังให้เองนะ”

     

    แค่ได้เฝ้ามองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ แบบนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว

     

    …..

     

    “โอ๊ะแม่บอกว่าจะไปบ้านคุณยายสองสามวันนี่นา นายเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขกก่อนนะ”

     

           ไม่นานนักคนทั้งคู่ก็เดินมาจนถึงหน้าบ้านมิโดริยะ หลังกดกริ่งแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงนึกได้ว่าแม่ของตัวเองบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เช้าแล้วแต่เขาดันลืม อิซุคุกุลีกุจอไขประตูให้เพื่อนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เขาถอดรองเท้านำไปก่อน พร้อมเอ่ยอย่างรีบร้อนว่าเดี๋ยวจะไปหาเครื่องดื่มมาให้

     

           หลังถือชาเขียวพร้อมดื่มออกมาจากห้องครัวได้ แวมไพร์หนุ่มก็เห็นเพื่อนหมาป่านั่งหน้าบึ้งรออยู่ที่โซฟา ใบหน้าคมดูไม่สบอารมณ์ราวกับมีบรรยากาศดำมืดอยู่รอบตัว และคนมองไม่เข้าใจเหตุผลนั้นเท่าไรนัก ได้แต่ยื่นขวดน้ำให้ด้วยท่าทางแข็งเกร็ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ และกดเปิดโทรทัศน์เพราะทำอะไรไม่ถูก

     

    ดวงตาสีแดงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของคนตัวเล็กที่กำลังนั่งมองหน้าจอทีวี แม้อิซุคุจะรู้ตัวแต่เขาก็แกล้งทำเป็นสนใจรายการตรงหน้าต่อไป

     

    “เห้ย ที่พูดหน้าบ้านเมื่อกี๊น่ะ หมายความว่าไง”

     

    “หน้าบ้านงั้นหรอ

     

    คิ้วเรียวขมวดยุ่งเหมือนลืมว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเคยพูดอะไรออกไป


    “อ๋อ เรื่องงานแต่งนายสินะ ผมพูดจริงๆ นะ หรือนายไม่อยากให้ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรอ”

     

    “เอาแต่พูดเรื่องแบบนี้ แล้วแกล่ะ”

     

           คัตสึกิไม่ได้สนใจสีหน้าเศร้าของคนตรงหน้า เขาจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตากลมโตที่สั่นระริก อีกฝ่ายมีท่าทางคาดไม่ถึงกับคำถามของเขาเท่าไรนัก

     

    แล้วอนาคตของแกล่ะ คิดไว้หรือยัง”

     

    “เอ๊ะ ผมหรอ” อิซุคุประหลาดใจ เขาพยายามนึกคำตอบนั้นอยู่ในหัว สุดท้ายก็ทำได้เพียงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนระบายยิ้มแห้ง

     

    “เอาจริงๆ ผมยังไม่เคยวางแผนไปไกลขนาดนั้นเลย”

     

    คิดเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว

     

    หา

     

    แล้วแกเป็นใครถึงมากำกับชีวิตฉัน เจ้าชีวิตหรือไง

     

           เสียงทุ้มที่ตะคอกออกมาดังลั่นส่งให้คนตัวเล็กห่อไหล่ด้วยความตกใจ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคัตจังโมโหขนาดนี้ แต่โมโหแต่ละทีก็น่ากลัวทุกครั้ง


    ใบหน้าหวานฉายความงุนงงร่วมกับสับสน เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป

     

    มีประโยคใดไปโดนสวิตช์ตัวไหนเข้าถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้

     

    แต่อย่างไรเจ้าตัวก็พูดถูก เขาไม่ใช่เจ้าชีวิตของคัตจังเสียหน่อย

     

           สีหน้านั้นฉายความหวาดหวั่น ก่อนจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่เริ่มหลั่งออกมาคลอเบ้า เพราะรู้ว่าซักวันหนึ่งจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็หวังอยากให้อีกฝ่ายมีชีวิตที่ดี

     

    ใครมันจะกล้าพูดออกไปว่าไม่อยากเสียคนๆ นี้ไปเลยซักนิด

     

    ความคิดของเขามันเห็นแก่ตัวเกินไป

     

           อดไม่ได้ที่จะคว้าใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมามองเพราะหมดความอดทน เห็นดวงตาคู่โตที่ฉ่ำวาวและปลายจมูกที่ขึ้นสีแดงแล้วยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าแบบนี้ที่เขาเคยชอบมันนักหนา

     

    แกโกหก แค่พูดในสิ่งที่ต้องการมันยากขนาดนั้นเลยหรือไง

     

    ทำไมต้องพูดเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้น้ำตาของแวมไพร์หนุ่มพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำป่าไหลหลาก เขาแกะมือหมาป่าหนุ่มออกจากหน้าตัวเอง ก่อนร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างไม่อาย

     

    “ผมพูดจริงๆ นะ ไม่อยากให้นายต้องมาติดอยู่กับผมทั้งชีวิต”

     

    “ผมอยากให้คัตจังมีอิสระ มีชีวิตเป็นของตัวเองซักที”

     

           ช่วงนี้เดกุร้องไห้บ่อยแค่ไหนแล้วนะ ยิ่งโตยิ่งทำตัวเหมือนเด็กขึ้นทุกวัน คัตสึกิขมวดคิ้วตามประโยคที่พูดไปสะอึกไปด้วยความโมโห ความอดทนของเขามันไม่เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

     

    โว้ย อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกหรอวะ

     

           เขาบีบคางเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายหันกลับมาสบตาอีกครั้ง ตัดสินใจประกบปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกของอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า อิซุคุมีท่าทีต่อต้าน แต่มือหนาก็รั้งท้ายทอยของตนเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก

     

    มันอาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ค่อนข้างยาก อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยสื่อความในใจของคัตสึกิได้อย่างชัดเจน

     

    แม้ไม่ต้องอาศัยพลังจากการโดนกัดของแวมไพร์ อิซุคุก็มีแรงดึงดูดอยู่รอบตัวให้เขาอยากเข้าใกล้อยู่เสมอ

     

    อยากจะครอบครองคนๆ นี้ไม่ให้ไปข้องเกี่ยวกับใครอีกทั้งนั้น

     

           มือของแวมไพร์หนุ่มตบไปที่บ่าของคนตัวสูงเป็นการประท้วงว่าขาดอากาศหายใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อีกฝ่ายเปิดปากเขาด้วยลิ้นร้อนเพียงนิดเดียว สติที่มีมันก็พาลถูกดูดหายไปจนกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยไปหมด


    นานจนพอใจ คนเริ่มก็เกมค่อยๆ ผละออกอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเขาเองก็ฉาบไปด้วยสีแดงเรื่อไม่ต่างกัน

     

     “นอกจากแกแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้น

     

           คัตสึกิแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ตรงกันมาโดยตลอด เหลือก็เพียงแค่ให้อีกฝ่ายยอมรับหัวใจตัวเองก็เท่านั้น จะมาหวังให้เขามีชีวิตแต่งงานที่จืดชืด มีครอบครัวมีลูกตามค่านิยมแสนเกร่อเหล่านั้น ใครมันจะไปอยากได้ชีวิตแบบนั้นกัน

     

    ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้คิดเหมือนกัน ทุกครั้งเจ้าตัวคงไม่ตอบสนองการกระทำของเขาเช่นนี้

     

    พูดสิวะว่าต้องการฉัน อยากอยู่กับฉันคนเดียว

     

    อิซุคุเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานหนักจนมีควันไหม้ลอยขึ้นมา สติของเขาล่องลอยไปพักหนึ่งพร้อมใบหน้าที่ฉาบสีแดงกล่ำ ก่อนจะทำได้เพียงซุกหน้าตัวเองลงไปกับฝ่ามืออย่างหมดทางเลือก เขาโดนรู้ทันทุกอย่างเสียจนน่าอายเหลือเกิน

     

    “นายรู้ได้ยังไง”

     

    และท่าทางเหล่านั้นมันก็น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะคว้าร่างที่เล็กกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแน่น

     

    “คิดว่าก่อเรื่องทุกอย่างไว้แล้วฉันจะปล่อยไปอีกหรือไง”

     

    ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตลอดไปทั้งชีวิต เขาจะไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าหายไปอีกแล้ว

     

    “ทั้งเจ้าหน้าซีด ทั้งพี่น้องจิ้งจอกนั่นแกคิดว่าฉันอยากเห็นหน้ามันนักหรอวะ”

     

    …..

     

    “ฉันโคตรโกรธ โคตรโมโห ไม่ชอบให้แกไปอยู่ใกล้ใคร ไปยิ้มโง่ๆ ให้ใครทั้งนั้น”

     

    “ฉันจะขังแกเอาไว้ ปิดหูปิดตา ให้อยู่กับฉันไปทั้งชีวิตเลยดีมั้ย”

     

    คัตสึกิที่พูดความรู้สึกทุกอย่างออกมาเสียยืดยาวทำเอาแวมไพร์หนุ่มไปไม่เป็น ทำได้เพียงซุกหน้าอยู่กับอกเสื้อของอีกฝ่ายเพราะไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน

     

    น่าอาย นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว

     

    เขินจนเหมือนตัวจะระเบิดออกมาให้ได้

     

    แต่พลันรู้สึกได้ว่าปลายเท้าของตัวเองลอยขึ้นจากพื้น พร้อมน้ำหนักทั้งร่างที่ทิ้งลงไปบนแขนแกร่งของคัตจัง

     

    เดี๋ยวคัตจัง นายจะทำอะไร”

     

    เพราะพวกเขาทั้งคู่แวะเวียนมาที่บ้านของอีกฝ่ายเป็นประจำ คัตสึกิจึงรู้ได้ในทันทีว่าห้องของเพื่อนสมัยเด็กอยู่ที่ใด เขาไม่รีรอที่จะเปิดประตูเข้าไป และโยนร่างผอมบางลงไปอย่างไม่เบานัก

     

    ไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งร่างที่ได้สัดส่วนก็ทาบทับอยู่ด้านบนเสียแล้ว

     

    “ถามโง่ๆ แกเพิ่งบอกว่าแม่ไม่อยู่บ้านไม่ใช่หรือไง”

     

           ราวกับได้ยินเสียงระฆังดังลั่นในหัว อิซุคุหน้าร้อนจัด เขาพยายามผลักอีกฝ่ายออกไป แต่แรงของคนโลหิตจางก็สู้แรงที่มหาศาลของหมาป่าไม่ได้อยู่ดี

     

    ยังไม่ทันได้เตรียมใจ พอยอมรับความจริงเข้าหน่อยก็ทำแบบนี้เลยหรอ

     

    มือเล็กเปลี่ยนเป้าหมายไปดันใบหน้าคมจนหงายขึ้นด้านบน ดวงหน้าน่ารักฉายความหวั่นไหวจนดูน่ารังแกยิ่งกว่าเดิม

     

    “ผมกับนายคนละสายพันธุ์กันนะ จะมาทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”

     

    พอสู้ไม่ได้ก็ใช้เสียงดังเข้าข่ม คิดว่าน่ากลัวนักหรือไง

     

    “ร่างกายแกกับฉันต่างกันตรงไหน”

     

    “แค่ใส่ไปได้ก็พอแล้ว”

     

    เสียงเพียะดังขึ้นทันทีที่หมาป่าหนุ่มเผยรอยยิ้มร้าย ขณะที่คนอยู่เบื้องล่างแสดงสีหน้าสับสน ใบหน้าด้านข้างของคัตสึกิขึ้นสีแดงเถือกเป็นรอยนิ้วมือ

     

    คนลามก

     

           อะไรก็ไม่อาจห้ามสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปได้ ดวงตาสีแดงคู่คมชี้ขึ้นด้วยความหงุดหงิด แต่ริมฝีปากได้รูปก็ยังไม่วายคงรอยยิ้มน่ากลัวเอาไว้แบบนั้น เขากดข้อมือที่เล็กกว่าลงกับเตียงนุ่ม กะว่าจะไม่ให้อีกฝ่ายวิ่งหนีไปที่ไหนได้อีกแล้ว

     

    อย่าหลับไปจนกว่าจะเช้าล่ะเดกุ

     

     

     

     

    ไม่มีทางรู้ตัวได้เลยว่าอีกฝ่ายสำคัญกับตัวเองขนาดไหน

     

    จนกระทั่งเกือบเสียเขาไปถึงได้รู้ว่ารักเขามากจริงๆ

     

    เจ้าของอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ จะไม่มีวันปล่อยมือไปไหนอีกแล้ว

     

    จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

      








              

    ตบเข่าฉาดด้วยความเซ็ง ทำไมจบดื้อๆ ไม่มีต่อกันเนี่ย5555555
    เขินค่ะทุกคน ไรเตอร์แต่งตอนนี้ไปยิ้มไปเหมือนคนหลอนกาวเลยค่ะ
    ความสัมพันธ์ระหว่างเดกุกับคัตจังมันเกินเพื่อนธรรมดาทั่วไปตั้งแต่แรกแล้ว
    แม้ไม่ต้องมีคำบอกรักพวกเขาก็สามารถเข้าใจกันได้ง่ายๆ แบบนี้แหละ

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนจบมากๆ เลยนะคะ
    แค่มีคนกดหัวใจให้ไรเตอร์ก็ตื้นตันแล้วค่ะT^T

    สำหรับฟิคเรื่องต่อไปที่จะอัพ จะมาสปอล์ยว่าเป็นฟิคสั้นตอนเดียวจบ
    จากเรื่อง Wind breaker นั่นเองค่ะ //ทนความน่ารักของน้องแมวไม่ไหวจริงๆ ;-;

    ฝากติดตามกันหน่อยนะคะ:)


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)



     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×