คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 10 [END]
นานแค่ไหนแล้วนะที่การมาโรงพยาบาลทุกวันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว…
ใบหน้าน่ารักฟุบหลับลงไปกับเตียงของเพื่อนสมัยเด็ก โดยที่มือของเขายังกอบกุมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของคนป่วยเอาไว้ อาจเพราะการนั่งหลับแบบนี้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนัก แรงสะกิดเพียงเล็กน้อยจึงปลุกให้เจ้าตัวตื่นมาด้วยความงัวเงีย
ดวงตากลมโตค่อยๆ เบิกขึ้นอย่างเชื่องช้าพลางประมวลผลตาม
คิดไปเองไหมนะว่าเมื่อครู่คัตจังขยับตัวแล้ว…
พลันเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง มองใบหน้าคมของคนตรงหน้าที่ยังหลับตานิ่งสนิทอย่างเคยแล้วย่นคิ้วเล็กน้อย นานจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ไหวติงจึงถอนใจด้วยความเสียดาย อีกซักพักจะได้เวลาพลิกตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับจากการนอนท่าเดิมนานๆ แล้ว ต้องไปตามพยาบาลมาเพื่อทำแบบนั้น
แต่แล้วแรงกระตุกจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้หัวใจดวงน้อยกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
เขาไม่ได้คิดไปเอง คัตจังเริ่มขยับตัวทีละนิด นั่นหมายความว่าอีกไม่นานเจ้าตัวก็จะได้สติ
เร็วเท่าที่จะทำได้ อิซุคุดีดตัวเองจากเก้าอี้ พุ่งตรงไปยังประตูเพื่อตามหมอเข้ามา แต่แรงคว้าแม้จะไม่ได้มากนักก็ฉุดรั้งปลายเท้าทั้งคู่ไว้ ดวงตาสีแดงที่คุ้นเคยกำลังจับจ้องใบหน้าของเขาด้วยความงุนงง
“…คัตจัง”
“ทำหน้าน่าเกลียดว่ะ ร้องไห้ทำไมวะ”
เปิดปากมาประโยคแรกก็ไม่เว้นโดนบ่นตามเคย อิซุคุทั้งดีใจและขบขันเสียงของคนตรงหน้าที่แหบแห้งจนน่าสงสาร น้ำตามันก็พลันพรั่งพรูออกมาจากดวงตาเหมือนก๊อกแตก
“ผมดีใจ… ฮึก… ดีใจมากจริงๆ นะ”
หัวคิ้วที่ขมวดพันกัน และดวงตาคู่คมที่ชี้ขึ้นราวกับจะบอกทั้งโลกว่าเจ้าตัวกำลังหงุดหงิด สีหน้าแบบนั้นที่แสนจะคุ้นเคย สีหน้าที่เขาไม่ได้เห็นมาร่วมสองเดือน ทั้งเป็นห่วงและคิดถึงมากจนอึดอัดไปทั้งอก แต่ไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดออกไปได้
กลัวเหลือเกินว่าเจ้าตัวจะหลับไปตลอดกาล กลัวว่าจะเสียคนสำคัญในชีวิตไป ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เป็นคนๆ นี้ที่ปรากฏตัวในเวลาที่ต้องการ เขานึกภาพชีวิตประจำวันที่ไม่มีคัตสึกิอยู่ด้วยไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
น้ำตาดูเหมือนจะไม่หยุดไหลง่ายๆ ราวกับความอัดอั้นที่สั่งสมมาทั้งหมดกำลังถูกระบายออกมา คนป่วยไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั่งมองคนตัวเล็กสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อย มากจนใต้ตาบวมเป่ง นานจนฝ่ายนั้นพอใจก่อนค่อยๆ ใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตา อดไม่ได้ที่จะยื่นกระดาษชำระไปให้ทั้งที่หัวคิ้วยังไม่คลายออกจากกัน
เขาคงหลับไปนานพอสมควร ไม่เช่นนั้นเดกุคงไม่ร้องไห้มากมายขนาดนี้
จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังเป็นเด็กขี้แยไม่เคยเปลี่ยน
“ไม่เอาแล้วนะ …เลิกเอาตัวเองมาเสี่ยงเพราะผมซักที” เสียงเล็กพูดพลางสะอื้นเป็นจังหวะ คัตสึกิขมวดคิ้วยุ่ง ยื่นใบหน้าคมเข้าไปใกล้คนผมฟูมากขึ้น
“เคยบอกแล้วไง ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วมันจะเป็นใคร”
ประโยคนั้นราวกับสวิตช์ทำให้น้ำตากลับมาคลอเบ้าอีกครั้ง
คัตจังพูดแบบนี้อีกแล้ว… ทั้งที่เขาอยากให้อีกฝ่ายมีอิสระ ไม่ต้องถูกผูกไว้กับเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ตลอดเวลา
“คิดว่าคนแบบฉันจะโดนบังคับให้ปกป้องแกหรือไง”
อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปบีบแก้มทั้งสองข้างเข้าหากัน เจ้าของใบหน้าตกกระขมวดคิ้วงุนงงอย่างไม่เข้าใจนัก ใบหน้าของคัตจังอยู่ใกล้เสียจนน่าตกใจ
“ฉันทำเพราะอยากทำแค่นั้น เลิกโทษตัวเองซักที”
ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่ แต่ทุกครั้งเขาตั้งใจทำทั้งนั้น…
แค่คนๆ เดียวที่อยากปกป้อง คนๆ เดียวที่อยากให้อยู่ข้างกายเสมอไม่ว่าเวลาไหน
ความรู้สึกบางอย่างเข้าเกาะกุมหัวใจ และความร้อนแผ่กระจายไปทั่วใบหน้า ราวกับกำลังถูกสารภาพทั้งที่ไม่มีคำว่ารักเลยซักคำ แต่แรงสะอึกของอิซุคุก็เด้งขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
หมาป่าหนุ่มขมวดคิ้วหงุดหงิดอย่างไม่ปกปิด คนสะอึกอาศัยจังหวะนั้นผละตัวออกมาอย่างรีบร้อน
ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เอื้ออำนวยให้กับจังหวะเคลียร์ใจของคนทั้งคู่เอาเสียเลย ไม่นานนักครอบครัวบาคุโกก็ปรากฏตัวเข้ามาในห้องพร้อมหมอและพยาบาล เพื่อแจ้งข่าวว่าอีกไม่นานคนป่วยก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
แม้จะโชคดีที่อมนุษย์ฟื้นฟูร่างกายได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตามคัตจังก็ต้องใช้เวลากายภาพอยู่พักใหญ่
เวลาล่วงเลยผ่านไปสู่ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี อิซุคุหอบเครื่องกันหนาวมากมายมาจากบ้านของอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยชอบอากาศเย็นเท่าไรนัก ทั้งเสื้อแจ็คเกตตัวโปรดและผ้าพันคอไหมพรม เขารู้ดีว่าตัวไหนที่คัตสึกิชอบใส่เป็นประจำ
วันนี้คัตจังจะได้ออกจากโรงพยาบาลจริงๆ เสียที…
เขาอาสาเป็นคนรับคนป่วยกลับบ้านในวันนี้ เพื่อนตัวสูงเอาแต่บ่นว่ายังไม่อยากกลับ พวกเขาจึงเดินไปตามสวนสาธารณะในเมืองจนกว่าจะพอใจแล้วค่อยกลับบ้าน
ต้นไม้ที่เคยเขียวชอุ่มผลัดใบเป็นสีแดงตามอุณหภูมิของอากาศที่เย็นลง ขึ้นสลับกับต้นแปะก๊วยที่ออกดอกสีเหลืองละลานตา ใบไม้หลากสีพัดปลิวไปตามแรงลม บรรยากาศดีเสียจนแวมไพร์หนุ่มอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้
เขาเดินไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกินวันหนึ่ง
คัตสึกิได้แต่ทอดสายตามองคนข้างตัวที่ยิ้มหน้าบานด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ คว้าเอาผ้าพันคอที่เคยอยู่รอบคอตัวเองปาใส่หน้าเพื่อนตัวเล็กด้วยความหมั่นไส้
“เลิกยิ้มโง่ๆ ซักที”
ลมพัดกลุ่มผมนุ่มให้พลิ้วไหว อิซุคุคว้าผ้าพันคอผืนนั้นไว้ได้ทันก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เพื่อนสมัยเด็กด้วยอีกคน พวงแก้มทั้งสองข้างที่ตกกระขึ้นสีแดงจางๆ ดูน่ามอง
“ฮี่ฮี่… ก็ผมดีใจมากเลยนี่นา”
รู้แล้วว่าดีใจ… แต่บางทีก็มากเกินคนเพิ่งหายป่วยไปหน่อย
คัตสึกิขมวดคิ้ว คว้าเอาสัมภาระที่แวมไพร์ตัวน้อยเคยแย่งไปถือมาไว้ในมือตัวเอง ก่อนสาวเท้าเดินนำไปก่อน พร้อมหางตาทั้งสองข้างที่ชี้ขึ้น
“น่าเกลียด”
ในอดีตเขาเคยเป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งและพูดจาทำร้ายจิตใจ ในขณะเดียวกันก็พยายามปกป้องอิซุคุด้วยวิธีของตัวเองแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ อาจเพราะมันเป็นการกระทำครึ่งๆ กลางๆ กลุ่มคนเหล่านั้นจึงทดสอบเขาด้วยการรังแกเพื่อนตัวเล็กด้วยวิธีการที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง
หลังเหตุการณ์โดนขังที่ห้องเก็บของหลังโรงเรียน เมื่อไรก็ตามที่เดกุเดือดร้อน เขามักจะเป็นคนที่ออกหน้ารับทุกอย่างแทนเสมอ เพราะตอนนั้นได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสำคัญมากขนาดไหน คัตสึกิเกือบโดนทัณฑ์บนเพราะมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน
ตามมาด้วยจดหมายเตือนอีกหลายครั้งตลอดการศึกษาก่อนเข้ามหาวิทยาลัย…
พวกเขานั่งรถไฟฟ้ามาด้วยกัน เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงบ้านตัวเอง เพราะพ่อและแม่ของคัตสึกิติดธุระด่วน แวมไพร์หนุ่มจึงตัดสินใจชวนเพื่อนของเขามาพักที่บ้านตัวเองก่อน โดยปกติคนทั้งคู่จะแวะเวียนมาที่บ้านของกันและกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม พร้อมอุณหภูมิของวันที่เริ่มลดลงเมื่อพลบค่ำ สายลมพัดโกรกให้คนร่างผอมยกไหล่ที่สั่นระริกขึ้นเพราะความหนาว ตามมาด้วยเสียงจามอีกสองสามครั้งจนปลายจมูกรั้นขึ้นสีแดง คนข้างตัวอดไม่ได้ที่จะคว้าผ้าพันคอผืนเดิมมาพันรอบใบหน้ากลมนั้นจนมองไม่เห็นทาง
เพราะเดกุโลหิตจาง ร่างกายของเขาจึงไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก
คัตจังรู้เรื่องนั้น ถึงได้พยายามช่วยเหลือมาตลอด…
อย่างไรก็ตามซักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองอยู่ดี
“นายรู้หรือเปล่าว่าตัวเองเท่มากนะ” อยู่ๆ เสียงเล็กก็เปิดบนสนทนาขึ้นมา ริมฝีปากบางอมยิ้มน้อยๆ
“ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงจะชอบนายไปแล้วแน่ๆ”
แม้ท่าทางจะดูแข็งกร้าน แต่เจ้าตัวกลับอ่อนโยนจนน่าประหลาดใจ
เจ้าของผมสีอ่อนขมวดคิ้วไม่เข้าใจพร้อมส่งเสียงในลำคอ
“พูดอะไรของแก ขนลุกว่ะ”
“ฮ่าฮ่า ผมคิดแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ แต่ไม่ได้บอกคัตจังซักที” มุดหน้าออกมาจากกองผ้าพันคอขณะก้าวเดินไปตามทางที่มีต้นไม้สีแดงประดับอยู่
“นายทั้งเท่ หน้าตาดี แถมยังเรียนเก่ง”
“ในอนาคตนายจะมีคนรักที่ดี ครอบครัวและลูกๆ หน้าตาน่ารัก”
ถ้าได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ตกหลุมรักชายคนนี้ได้ทั้งนั้น แถมเจ้าตัวยังทำอาหารอร่อยมากอีกต่างหาก
“ถ้าถึงวันนั้นผมจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งของคัตจังให้เองนะ”
แค่ได้เฝ้ามองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ แบบนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว…
“…..”
“โอ๊ะ… แม่บอกว่าจะไปบ้านคุณยายสองสามวันนี่นา นายเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขกก่อนนะ”
ไม่นานนักคนทั้งคู่ก็เดินมาจนถึงหน้าบ้านมิโดริยะ หลังกดกริ่งแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงนึกได้ว่าแม่ของตัวเองบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เช้าแล้วแต่เขาดันลืม อิซุคุกุลีกุจอไขประตูให้เพื่อนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เขาถอดรองเท้านำไปก่อน พร้อมเอ่ยอย่างรีบร้อนว่าเดี๋ยวจะไปหาเครื่องดื่มมาให้
หลังถือชาเขียวพร้อมดื่มออกมาจากห้องครัวได้ แวมไพร์หนุ่มก็เห็นเพื่อนหมาป่านั่งหน้าบึ้งรออยู่ที่โซฟา ใบหน้าคมดูไม่สบอารมณ์ราวกับมีบรรยากาศดำมืดอยู่รอบตัว และคนมองไม่เข้าใจเหตุผลนั้นเท่าไรนัก ได้แต่ยื่นขวดน้ำให้ด้วยท่าทางแข็งเกร็ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ และกดเปิดโทรทัศน์เพราะทำอะไรไม่ถูก
ดวงตาสีแดงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของคนตัวเล็กที่กำลังนั่งมองหน้าจอทีวี แม้อิซุคุจะรู้ตัวแต่เขาก็แกล้งทำเป็นสนใจรายการตรงหน้าต่อไป
“เห้ย ที่พูดหน้าบ้านเมื่อกี๊น่ะ หมายความว่าไง”
“หน้าบ้านงั้นหรอ…”
คิ้วเรียวขมวดยุ่งเหมือนลืมว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเคยพูดอะไรออกไป
“อ๋อ เรื่องงานแต่งนายสินะ …ผมพูดจริงๆ นะ หรือนายไม่อยากให้ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรอ”
“เอาแต่พูดเรื่องแบบนี้… แล้วแกล่ะ”
คัตสึกิไม่ได้สนใจสีหน้าเศร้าของคนตรงหน้า เขาจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตากลมโตที่สั่นระริก อีกฝ่ายมีท่าทางคาดไม่ถึงกับคำถามของเขาเท่าไรนัก
“…แล้วอนาคตของแกล่ะ คิดไว้หรือยัง”
“เอ๊ะ… ผมหรอ” อิซุคุประหลาดใจ เขาพยายามนึกคำตอบนั้นอยู่ในหัว สุดท้ายก็ทำได้เพียงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนระบายยิ้มแห้ง
“เอาจริงๆ ผมยังไม่เคยวางแผนไปไกลขนาดนั้นเลย”
คิดเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว
“หา…”
“แล้วแกเป็นใครถึงมากำกับชีวิตฉัน เจ้าชีวิตหรือไง”
เสียงทุ้มที่ตะคอกออกมาดังลั่นส่งให้คนตัวเล็กห่อไหล่ด้วยความตกใจ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคัตจังโมโหขนาดนี้ แต่โมโหแต่ละทีก็น่ากลัวทุกครั้ง
ใบหน้าหวานฉายความงุนงงร่วมกับสับสน เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
มีประโยคใดไปโดนสวิตช์ตัวไหนเข้าถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
แต่อย่างไรเจ้าตัวก็พูดถูก… เขาไม่ใช่เจ้าชีวิตของคัตจังเสียหน่อย
สีหน้านั้นฉายความหวาดหวั่น ก่อนจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่เริ่มหลั่งออกมาคลอเบ้า เพราะรู้ว่าซักวันหนึ่งจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็หวังอยากให้อีกฝ่ายมีชีวิตที่ดี
ใครมันจะกล้าพูดออกไปว่าไม่อยากเสียคนๆ นี้ไปเลยซักนิด
ความคิดของเขามันเห็นแก่ตัวเกินไป…
อดไม่ได้ที่จะคว้าใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมามองเพราะหมดความอดทน เห็นดวงตาคู่โตที่ฉ่ำวาวและปลายจมูกที่ขึ้นสีแดงแล้วยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าแบบนี้ที่เขาเคยชอบมันนักหนา
“แกโกหก แค่พูดในสิ่งที่ต้องการมันยากขนาดนั้นเลยหรือไง”
ทำไมต้องพูดเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้น้ำตาของแวมไพร์หนุ่มพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำป่าไหลหลาก เขาแกะมือหมาป่าหนุ่มออกจากหน้าตัวเอง ก่อนร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างไม่อาย
“ผมพูดจริงๆ นะ ไม่อยากให้นายต้องมาติดอยู่กับผมทั้งชีวิต”
“ผมอยากให้คัตจังมีอิสระ มีชีวิตเป็นของตัวเองซักที”
ช่วงนี้เดกุร้องไห้บ่อยแค่ไหนแล้วนะ ยิ่งโตยิ่งทำตัวเหมือนเด็กขึ้นทุกวัน คัตสึกิขมวดคิ้วตามประโยคที่พูดไปสะอึกไปด้วยความโมโห ความอดทนของเขามันไม่เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
“โว้ย อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกหรอวะ”
เขาบีบคางเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายหันกลับมาสบตาอีกครั้ง ตัดสินใจประกบปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกของอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า อิซุคุมีท่าทีต่อต้าน แต่มือหนาก็รั้งท้ายทอยของตนเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก
มันอาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้ค่อนข้างยาก อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยสื่อความในใจของคัตสึกิได้อย่างชัดเจน
แม้ไม่ต้องอาศัยพลังจากการโดนกัดของแวมไพร์ อิซุคุก็มีแรงดึงดูดอยู่รอบตัวให้เขาอยากเข้าใกล้อยู่เสมอ
อยากจะครอบครองคนๆ นี้ไม่ให้ไปข้องเกี่ยวกับใครอีกทั้งนั้น
มือของแวมไพร์หนุ่มตบไปที่บ่าของคนตัวสูงเป็นการประท้วงว่าขาดอากาศหายใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อีกฝ่ายเปิดปากเขาด้วยลิ้นร้อนเพียงนิดเดียว สติที่มีมันก็พาลถูกดูดหายไปจนกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยไปหมด
นานจนพอใจ คนเริ่มก็เกมค่อยๆ ผละออกอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเขาเองก็ฉาบไปด้วยสีแดงเรื่อไม่ต่างกัน
“นอกจากแกแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้น”
คัตสึกิแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ตรงกันมาโดยตลอด เหลือก็เพียงแค่ให้อีกฝ่ายยอมรับหัวใจตัวเองก็เท่านั้น จะมาหวังให้เขามีชีวิตแต่งงานที่จืดชืด มีครอบครัวมีลูกตามค่านิยมแสนเกร่อเหล่านั้น ใครมันจะไปอยากได้ชีวิตแบบนั้นกัน
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้คิดเหมือนกัน ทุกครั้งเจ้าตัวคงไม่ตอบสนองการกระทำของเขาเช่นนี้
“พูดสิวะว่าต้องการฉัน อยากอยู่กับฉันคนเดียว”
อิซุคุเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานหนักจนมีควันไหม้ลอยขึ้นมา สติของเขาล่องลอยไปพักหนึ่งพร้อมใบหน้าที่ฉาบสีแดงกล่ำ ก่อนจะทำได้เพียงซุกหน้าตัวเองลงไปกับฝ่ามืออย่างหมดทางเลือก เขาโดนรู้ทันทุกอย่างเสียจนน่าอายเหลือเกิน
“นายรู้ได้ยังไง”
และท่าทางเหล่านั้นมันก็น่าเอ็นดูจนคนมองอดไม่ได้ที่จะคว้าร่างที่เล็กกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแน่น
“คิดว่าก่อเรื่องทุกอย่างไว้แล้วฉันจะปล่อยไปอีกหรือไง”
ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตลอดไปทั้งชีวิต เขาจะไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าหายไปอีกแล้ว
“ทั้งเจ้าหน้าซีด ทั้งพี่น้องจิ้งจอกนั่น… แกคิดว่าฉันอยากเห็นหน้ามันนักหรอวะ”
“…..”
“ฉันโคตรโกรธ โคตรโมโห ไม่ชอบให้แกไปอยู่ใกล้ใคร ไปยิ้มโง่ๆ ให้ใครทั้งนั้น”
“ฉันจะขังแกเอาไว้ ปิดหูปิดตา ให้อยู่กับฉันไปทั้งชีวิตเลยดีมั้ย”
คัตสึกิที่พูดความรู้สึกทุกอย่างออกมาเสียยืดยาวทำเอาแวมไพร์หนุ่มไปไม่เป็น ทำได้เพียงซุกหน้าอยู่กับอกเสื้อของอีกฝ่ายเพราะไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน
น่าอาย… นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว
เขินจนเหมือนตัวจะระเบิดออกมาให้ได้…
แต่พลันรู้สึกได้ว่าปลายเท้าของตัวเองลอยขึ้นจากพื้น พร้อมน้ำหนักทั้งร่างที่ทิ้งลงไปบนแขนแกร่งของคัตจัง
“…เดี๋ยวคัตจัง นายจะทำอะไร”
เพราะพวกเขาทั้งคู่แวะเวียนมาที่บ้านของอีกฝ่ายเป็นประจำ คัตสึกิจึงรู้ได้ในทันทีว่าห้องของเพื่อนสมัยเด็กอยู่ที่ใด เขาไม่รีรอที่จะเปิดประตูเข้าไป และโยนร่างผอมบางลงไปอย่างไม่เบานัก
ไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งร่างที่ได้สัดส่วนก็ทาบทับอยู่ด้านบนเสียแล้ว…
“ถามโง่ๆ แกเพิ่งบอกว่าแม่ไม่อยู่บ้านไม่ใช่หรือไง”
ราวกับได้ยินเสียงระฆังดังลั่นในหัว อิซุคุหน้าร้อนจัด เขาพยายามผลักอีกฝ่ายออกไป แต่แรงของคนโลหิตจางก็สู้แรงที่มหาศาลของหมาป่าไม่ได้อยู่ดี
ยังไม่ทันได้เตรียมใจ พอยอมรับความจริงเข้าหน่อยก็ทำแบบนี้เลยหรอ
มือเล็กเปลี่ยนเป้าหมายไปดันใบหน้าคมจนหงายขึ้นด้านบน ดวงหน้าน่ารักฉายความหวั่นไหวจนดูน่ารังแกยิ่งกว่าเดิม
“ผมกับนายคนละสายพันธุ์กันนะ จะมาทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”
พอสู้ไม่ได้ก็ใช้เสียงดังเข้าข่ม คิดว่าน่ากลัวนักหรือไง
“ร่างกายแกกับฉันต่างกันตรงไหน”
“แค่ใส่ไปได้ก็พอแล้ว”
เสียงเพียะดังขึ้นทันทีที่หมาป่าหนุ่มเผยรอยยิ้มร้าย ขณะที่คนอยู่เบื้องล่างแสดงสีหน้าสับสน ใบหน้าด้านข้างของคัตสึกิขึ้นสีแดงเถือกเป็นรอยนิ้วมือ
“คนลามก”
อะไรก็ไม่อาจห้ามสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปได้ ดวงตาสีแดงคู่คมชี้ขึ้นด้วยความหงุดหงิด แต่ริมฝีปากได้รูปก็ยังไม่วายคงรอยยิ้มน่ากลัวเอาไว้แบบนั้น เขากดข้อมือที่เล็กกว่าลงกับเตียงนุ่ม กะว่าจะไม่ให้อีกฝ่ายวิ่งหนีไปที่ไหนได้อีกแล้ว
“อย่าหลับไปจนกว่าจะเช้าล่ะเดกุ”
ไม่มีทางรู้ตัวได้เลยว่าอีกฝ่ายสำคัญกับตัวเองขนาดไหน
จนกระทั่งเกือบเสียเขาไป… ถึงได้รู้ว่ารักเขามากจริงๆ
เจ้าของอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ จะไม่มีวันปล่อยมือไปไหนอีกแล้ว
…จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ตบเข่าฉาดด้วยความเซ็ง ทำไมจบดื้อๆ ไม่มีต่อกันเนี่ย5555555
เขินค่ะทุกคน ไรเตอร์แต่งตอนนี้ไปยิ้มไปเหมือนคนหลอนกาวเลยค่ะ
ความสัมพันธ์ระหว่างเดกุกับคัตจังมันเกินเพื่อนธรรมดาทั่วไปตั้งแต่แรกแล้ว
แม้ไม่ต้องมีคำบอกรักพวกเขาก็สามารถเข้าใจกันได้ง่ายๆ แบบนี้แหละ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนจบมากๆ เลยนะคะ
แค่มีคนกดหัวใจให้ไรเตอร์ก็ตื้นตันแล้วค่ะT^T
สำหรับฟิคเรื่องต่อไปที่จะอัพ จะมาสปอล์ยว่าเป็นฟิคสั้นตอนเดียวจบ
จากเรื่อง Wind breaker นั่นเองค่ะ //ทนความน่ารักของน้องแมวไม่ไหวจริงๆ ;-;
ฝากติดตามกันหน่อยนะคะ:)
ความคิดเห็น