คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 9
เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างครบถ้วน ความทรงจำของใครคนหนึ่งจึงไหลเข้าสู่การรับรู้ราวกับสายน้ำ
คัตสึกิได้ยินเรื่องราวของตระกูลแวมไพร์มาตั้งแต่จำความได้ ครั้งแรกที่เขาได้พบกับครอบครัวมิโดริยะคือเมื่อตอนที่พวกเขาย้ายมาอยู่บ้านหลังข้างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทั้งสองเป็นเหมือนเพื่อนกัน แต่กลับมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น
ท่าทางดูบอบบาง อ่อนแอ แถมยังขี้กลัว…
นั่นคือความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดเมื่อเด็กน้อยได้พบกับอิซุคุครั้งแรก
ถ้าใครไม่ได้รู้จักมาก่อน คงไม่มีทางคิดว่าเจ้าตัวจะมีสายเลือดแวมไพร์ไหลเวียนอยู่ คัตสึกิที่มีนิสัยใจกล้า เป็นผู้นำมาตั้งแต่เด็กจึงเป็นเหมือนหัวหน้าแก๊งเด็กน้อยที่อยู่ในระแวกเดียวกัน รวมถึงเป็นหัวหน้าของอิซุคุด้วย
ฝ่ายนั้นเป็นคนที่เขาจะต้องปกป้องให้พ้นภัย ส่วนเขาเองก็เป็นเหมือนโล่กำบังที่แข็งแกร่งเช่นกัน
ด้วยท่าทางอ่อนแอ และร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็ก ทำให้อิซุคุเป็นเป้าหมายที่ถูกรังแกได้ง่าย เขาเหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ขี้กลัวขี้ตกใจ แหย่เล่นนิดหน่อยก็สะดุ้งน้ำตาคลอเบ้าแล้ว
หน้าตาตอนตกใจและดวงตากลมโตที่ฉ่ำวาวด้วยน้ำตามันตลกดี ทำให้เผลอแกล้งอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
เขาเป็นหมาป่าที่ต้องปกป้องกระต่ายให้ปลอดภัย พอมาคิดแบบนี้ก็อดทำให้ขำไม่ได้
แต่พอได้แกล้งเพื่อนสมัยเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ใครๆ เข้าใจว่าจะรังแกคนอ่อนแอแบบนี้เมื่อไรก็ได้ สถานการณ์ของคนตัวเล็กเริ่มย่ำแย่ลง บวกกับตัวเขาเองที่ไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายได้เลย
ตอนนั้นเองที่เริ่มฉุกคิดขึ้นมาว่าจะต้องทำอย่างไร คัตสึกิรู้สึกแย่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายกำลังตกที่นั่งลำบากโดยที่เขาทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกลๆ เท่านั้น
จุดแตกหักเริ่มขึ้นเมื่อวันนั้น ช่วงเวลาที่การทำหน้าที่โล่กำบังของเขาบกพร่องจนไม่น่าให้อภัย อิซุคุหายตัวไปจากห้องเรียนตั้งแต่เช้า ซึ่งผิดวิสัยของคนตั้งใจเรียนนัก ตอนแรกชายหนุ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงทนการกลั่นแกล้งไม่ไหวจนกลับบ้านไปแล้ว จนพลบค่ำวันเดียวกัน คุณน้าอิงโกะมาแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเองได้
เขารู้ดีว่าแวมไพร์ โดยเฉพาะสายเลือดแท้ตกเป็นเป้าหมายของอมนุษย์ด้วยกันได้ง่าย แม้ตอนนี้พลังที่ว่าของเจ้าตัวจะยังไม่ตื่น แต่หากใครได้รู้ความจริงข้อนั้นคงมีอมนุษย์อีกมากมายต้องการตัว
ตอนนั้นเองที่คัตสึกิเลือกใช้ความสามารถของตัวเองในการค้นหาเพื่อนตัวเล็ก ในโกดังเก็บของเก่าหลังโรงเรียนที่ไม่มีใครสนใจ นอกจากจะโดนขังอยู่ในที่ที่ทั้งมืด แคบและน่ากลัวเช่นนั้น เจ้าตัวยังถูกมัดมือมัดเท้า ปิดปากเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก
กว่าจะมีคนมาเปิดโกดังนี้อีกครั้งอาจจะหลายวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ…
ใครบางคนต้องการพิสูจน์สันนิษฐานว่าเขาจะช่วยเหลืออิซุคุเสมอไม่ว่าจะสถานการณ์ใด
หลังจากเจอตัวและแก้มัดให้แล้ว เพื่อนตัวเล็กนั่งกอดร่างที่สั่นเครือของตัวเองแน่น ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาหรือแสดงความตั้งใจว่าอยากออกไปจากที่แห่งนี้ มือที่ยื่นเข้าไปหมายจะจับตัวถูกปัดออกอย่างแรงพร้อมใบหน้าคลอไปด้วยน้ำตาที่คุ้นเคย
“พอหรือยังคัตจัง… พอใจนายหรือยัง”
คัตสึกิมักเป็นศูนย์กลางของเพื่อนๆ เสมอ แม้แต่ในสถานการณ์แบบนี้ที่เจ้าตัวเป็นสาเหตุให้เพื่อนสมัยเด็กต้องมาลงเอยแบบนี้
นั่นคงเป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรไม่ถูก ชาไปทั้งร่างกายก่อนความรู้สึกโกรธจะเล่นไปทั่วทั้งความคิด ไม่ใช่ความโกรธที่มอบให้คนตรงหน้า แต่โกรธตัวเองที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำพลาดไปเสียแล้ว
ทุกคำสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะปกป้อง เขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
เห็นร่างที่สั่นเทาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคว้าเข้ามาในอ้อมกอด ฝ่ายคนหวาดกลัวพยายามดิ้นต่อต้าน แต่ก็ไม่อาจสู้แรงที่มากกว่าได้ ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะของเขาแนบลงไปกับแผ่นอก ส่วนมืออีกข้างกุมไหล่บางเอาไว้แน่นราวกับกลัวจะแตกสลายไป
“ขอโทษ ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แบบนี้อีก”
ตอนนั้นอิซุคุร้องไห้ออกมาเยอะมากจนเสื้อของคัตสึกิเปียกชื้นไปหมด เขาทั้งโกรธเพื่อนคนนี้ และกลัวในสิ่งที่จะต้องเผชิญในแต่ละวันเหลือเกิน ทั้งยังไม่คาดคิดมาก่อนว่าคัตจังจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษออกมาเอง
ความสัมพันธ์ของพวกเขามันแปลกประหลาด… สภาวะพึ่งพาของคนทั้งคู่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนั้น
ให้มันรู้ไปเลยว่าหลังจากนี้เขาจะปกป้องเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…
เรื่องราวในวันนั้นผ่านมาหลายปี จนความผูกพันระหว่างคนทั้งคู่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เพราะแสดงออกไม่เก่ง พฤติกรรมของคัตสึกิจึงดูหุนหันและหยาบกระด้างในบางครั้ง แต่เพราะไม่ได้ประสงค์ร้าย อิซุคุจึงสามารถเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายได้ แม้ตัวเองจะยังหวาดกลัวเหมือนเดิมก็ตาม
ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีสิทธิ์มาทำให้เดกุร้องไห้นอกจากเขา เหตุการณ์แบบวันนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
แม้จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่หมาป่าหนุ่มจะไม่ปล่อยให้เพื่อนของเขาไปกลับบ้านและโรงเรียนตามลำพัง ไม่อยากให้ใครก็ตามมาตีสนิทด้วยความไม่จริงใจ คนหัวอ่อนแบบนั้นจะมองเจตนาแอบแฝงของใครออกหากไม่มีเขา
ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เดกุไปสนิทกับใครมากเกินความจำเป็น อยากให้ข้างกายของคนๆ นี้เป็นเขาและพึ่งพาเขาให้มากกว่านี้
แต่คัตสึกิรู้ดีว่าจะทำแบบนั้นตลอดทั้งชีวิตไม่ได้ ซักวันหนึ่งเจ้าตัวจะเติบโตและมีครอบครัวของตัวเอง แม้ท่าทางจะดูอ่อนแอเหมือนเคย แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะก้าวสู่โลกกว้างได้แล้ว
ตอนนั้นเองที่ระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เริ่มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว พวกเขาต่างก็มีสังคมของตัวเองและแยกย้ายไปเรียนต่อคนละสาขา คัตสึกิไม่เคยบอกเพื่อนสมัยเด็ก แต่เขาตั้งใจเลือกมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเจ้าตัว เพื่อจะได้อยู่ใกล้ตัวและปกป้องได้ไม่ยาก
และพลังของอิซุคุก็ตื่นขึ้นจนได้ แม้จะช้ากว่าค่าเฉลี่ยปกตินัก
น่าเสียดายที่คนที่คอยอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนั้นในเวลาสำคัญกลับไม่ใช่เขา
เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกว่าตัวเองปกป้องอะไรไม่ได้เลยกลับมาอีกครั้ง…
“คัตจัง… คัตจัง”
วินาทีนั้นอิซุคุวิ่งเข้าไปยกร่างของเพื่อนสมัยเด็กมาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่สนใจสิ่งใดๆ ทั้งนั้น ทั้งน้ำเสียงและฝ่ามือมันสั่นเครือไปหมด ความทรงจำของคัตจังไหลผ่านโลหิตเข้ามาในระบบความคิดราวกับเครื่องฉายภาพ
เป็นเพราะเขา… คัตจังบาดเจ็บมาโดยตลอดก็เพราะเขา
ร่างกายนี้อ่อนแรงมากกว่าปกติ บาดแผลเหมือนรอยบาดกระจายทั่วร่าง หนักสุดคงเป็นแผลบริเวณหน้าท้องที่ปริซ้ำจนโลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมา หนำซ้ำยังมาโดนมีดเงินปักลงกลางหลังเพิ่มอีก
น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตากลมโตอย่างไม่อาจกลั้น สัญญาณชีพของคนในอ้อมแขนเบาบางเหลือเกิน
“ไม่ได้นะ…”
“ผมอยู่โดยไม่มีคัตจังไม่ได้…”
รู้ตัวแล้ว… สิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดคือการมีคนๆ นี้อยู่เคียงข้างกายเสมอ คนที่ไม่ว่าเมื่อไรก็หันมาเจอ
เป็นเพราะเขาอ่อนแอ คัตจังจึงต้องบาดเจ็บถึงชีวิต เจ็บหัวใจเหมือนถูกกรีดเป็นเสี่ยงๆ
“มากับฉันสิ ฉันให้ได้ทุกอย่างที่นายต้องการ”
ทุกอย่างผิดที่ผิดเวลาไปหมด เสียงที่เอ่ยสนทนากับเขากลับเป็นเสียงแหบพร่าจากคนผมขาว ใบหน้านั้นดูจริงจังกว่าทุกครั้งที่เคย อิซุคุเพียงหันกลับไปมองทั้งน้ำตา
ไม่ได้คาดคิดว่าแวมไพร์จะร้องไห้ออกมาเหมือนใจจะขาดขนาดนี้
และไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นแบบนี้เสียทีเดียว ไม่คิดว่าหมาป่านั่นจะสำคัญกับอิซุคุขนาดนั้น
“…นายคิดว่าทำแบบนี้ไปแล้วผมจะเลือกนายงั้นหรอ”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีวันเข้าใจ… เขาไม่มีทางเข้าใจคนๆ นี้ได้หรอก
“วิธีของนายที่อยากได้ตัวผมนัก จำเป็นต้องทำร้ายอมนุษย์คนอื่นด้วยงั้นหรอ”
เห็นว่าหลงใหลในอมนุษย์นัก สุดท้ายก็ใช้อำนาจควบคุมและทำร้ายพวกเขาอยู่ดี
ภาพความทรงจำที่เคยฉายให้เห็น สิ่งที่เด่นชัดกว่าอะไรคือการเติบโตมาโดยขาดความรักและความอบอุ่น แม้อายุอานามจะไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ชิการาคิเพียงต้องการให้ใครซักคนยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ตัวตนจริงๆ ที่ไม่เหมือนใครนั่นเท่านั้น
“เพราะฉันควบคุมนายไม่ได้ เลยต้องใช้วิธีแบบนี้”
เขาเติบโตมาท่ามกลางสังคมที่ถูกกีดกัน และการโดนเหยียบย่ำความรู้สึก บางทีวิธีนี้อาจจะเป็นหนทางเดียวที่พิสูจน์การมีตัวตนอยู่ของเขาก็ได้
“เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ควบคุมสิ”
“นายรู้ไหมว่าทำไมผมถึงต้องเก็บความลับเรื่องตัวเองเป็นแวมไพร์จากทุกคน…”
“เพราะถ้ามนุษย์รู้ว่าผมเป็นใคร พวกเขาก็จะตามล่าและกำจัด เพราะว่าต้องคอยปกป้องตัวเองจากคนที่คิดแบบนายอยู่ซ้ำๆ”
นั่นเป็นความจำเป็นที่อิซุคุต้องทำมาตั้งแต่จำความได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่อมนุษย์ที่มีพละกำลังมากมาย หากแต่คือมนุษย์ที่พร้อมจะทำร้ายกันเองโดยไร้ความปราณีต่างหาก อิซุคุเติบโตมากับการโดนกลั่นแกล้งเพียงเพราะท่าทางไม่สู้คนและสุขภาพที่อ่อนแอของเขา
“เพราะแบบนั้นครอบครัวของคัตจังถึงต้องมารับภาระอยู่ตลอด …เพราะผมอ่อนแอ พอไร้เลือดผมก็เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง”
คนตัวเล็กปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาเรื่อยๆ โดยไม่ได้รู้สึกอาย เขาก็เป็นคนอ่อนแอคนหนึ่ง การเป็นแวมไพร์ไม่ได้ทำให้สถานะพิเศษไปกว่าใคร เขาสามารถบาดเจ็บและตายได้เหมือนคนทั่วไป
“นายควบคุมพวกเขาได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ พอเป้าหมายสำเร็จถึงจุดนั้น สุดท้ายนายก็จะว่างเปล่าเหมือนเดิมอยู่ดี”
บนเส้นทางของคนที่ควบคุมทุกอย่างไว้ในมือได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไร้คนเคียงข้างอยู่เช่นนั้น
“ผมจะไม่ทำตามวิธีของนายหรอกนะ ผมไม่ได้ต้องการควบคุมใคร”
อิซุคุรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายดี เพราะได้เห็นทุกอย่างผ่านความทรงจำจากเลือด เขากระชับร่างใหญ่ในอ้อมกอดในแน่นขึ้น ใบหน้าหวานยิ่งซีดเผือดเมื่อเห็นว่าโลหิตกำลังไหลออกจากปากแผลของเพื่อนสมัยเด็กอยู่เรื่อยๆ
เขาจะกัดชิการาคิเพื่อควบคุมฝ่ายนั้นให้อยู่ใต้อาณัติเหมือนที่ทำกับพี่ชายของโทโดโรกิก็ได้…
แต่เพราะมันไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องทำแบบนั้น
“ผมต้องการแค่ชีวิตธรรมดา ผมเป็นห่วงเขา ปล่อยผมไปใช้ชีวิตปกติไม่ได้หรอ” เจ้าของเสียงเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้น ยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างลวกๆ
“…..”
“…นายมันไม่ปกติตั้งแต่สายเลือดที่เกิดมาแล้ว”
ชิการาคิรู้ดีว่าคนที่แตกต่าง สุดท้ายก็ถูกกีดกันให้ออกจากสังคม ไม่มีที่ยืนที่มั่นคงสำหรับเขาเลยด้วยซ้ำ…
“แต่ชีวิตผม ผมต้องการเลือกเอง”
สิ่งที่ชายคนนี้มองเห็นมีแต่ความแค้นเคืองที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมมาตั้งแต่วัยเด็ก โดยที่เขาไม่เคยมองไปข้างหน้าและเรียนรู้ว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่และมีอีกหลายอย่างให้เรียนรู้
“นายก็เลิกผูกตัวเองไว้กับอดีตซักที แล้วใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้ว”
สิ่งที่จะทดแทนพลังอำนาจในการควบคุมคนอื่นได้คือการยอมรับและมองเห็นการมีตัวตน
แค่มีใครซักคนรักในสิ่งที่เขาเป็น โดยเฉพาะตัวเขาเองที่ต้องเปลี่ยนความคิดมายอมรับและเลิกโทษตัวเองเสียก่อน…
ไม่ว่าอย่างไรคนตัวเล็กก็คงไม่ยอมทำตามความต้องการของเขา ความห่วงใยที่ส่งให้หมาป่าหนุ่มที่นอนไม่ได้สติก็ชัดเจนกว่าสิ่งใด คนทั้งคู่มีความรู้สึกที่ตรงกันมาโดยตลอด พวกเขามีทั้งความผูกพันที่สั่งสมมาหลายปีและความรัก
จังหวะนั้นเองที่จิ้งจอกผมสองสีสบโอกาสเข้ามายืนคั่นกลางและหว่างคนทั้งคู่ ประกายไฟลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือ
“ถ้านายล้ำเส้นมาทำอะไรมิโดริยะอีก ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
แม้ไม่ต้องอาศัยพลังที่สามารถควบคุมผู้คน แต่โทโดโรกิก็พร้อมจะกระโจนเข้ามาให้ความช่วยเหลือเสมอ
แม้จะยังไม่ใช่ตอนนี้ในทันที แต่อิซุคุเชื่อว่าซักวันหนึ่งจะต้องมีคนยอมรับในสิ่งที่คนผมขาวเป็นอย่างแน่นอน
อีกฟากของความวุ่นวายที่กำลังดำเนินต่อไป โทยะที่มีรอยเขี้ยวของคนตัวเล็กฝังอยู่บริเวณหลังมือทำได้เพียงกำอกเสื้อของตัวเองที่กำลังร้อนระอุด้วยความสับสน
เขาไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงรู้สึกอยากปกป้องอิซุคุขึ้นมา
…เห็นน้ำตาแล้วทนไม่ได้ราวกับอยากเข้าไปปลอบใจให้ได้เสียเดี๋ยวนี้
เหตุการณ์ทุกอย่างจบลงเพราะการเจรจาเพียงไม่กี่ประโยคของอิซุคุอย่างง่ายดายจนชวนประหลาดใจ อาจเพราะ ณ เวลานั้นอีกฝ่ายไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเจอปีศาจจิ้งจอกถึงสองคน แผนการที่เตรียมมาจึงเป็นอันล่มลงอย่างไม่เป็นท่า
ชิการาคิไม่ได้มีท่าทีอยากเข้ามาคุกคามแวมไพร์หนุ่มอีกแล้ว แต่โทโดโรกิก็ยังไม่วางใจให้ฝ่ายนั้นเข้ามาป้วนเปี้ยนรอบๆ ตัว
น้องชายคนเล็กของบ้านโทโดโรกิเป็นคนแนะนำหมอที่มารักษาคัตสึกิให้ เพราะครอบครัวของเขาก็เป็นอมนุษย์เช่นกัน ตระกูลเก่าแก่ที่อยู่คู่กับประเทศแห่งนี้มานาน จึงไม่แปลกที่จะรู้จักหมอฝีมือดีที่สามารถรักษาอมนุษย์ที่มีกายวิภาคแตกต่างกันออกไปได้
เรื่องราวการบาดเจ็บสาหัสของคัตจังไปถึงหูของคุณลุงออลไมต์ที่มีศักดิ์เป็นเจ้าของสถานพยาบาล และเป็นมนุษย์ที่รู้จักกับตระกูลมิโดริยะมาอย่างยาวนาน จนชายคนนั้นเป็นฝ่ายจัดเตรียมเครื่องมือ และบินตรงมาจากอเมริกาเพื่อมารักษาเขา
ระยะเวลาผ่านไปนานหลายวัน หลายสัปดาห์ จวบจนเป็นเดือนแล้วเพื่อนสมัยเด็กก็ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น
อิซุคุเพียงวนเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือนและเปลี่ยนดอกไม้ที่แจกันให้ในทุกวัน เขานำดอกทานตะวันที่สดใสเหมือนกับอีกฝ่ายมาให้วันละดอก ได้แต่หวังว่ามันจะช่วยเรียกคืนสติสัมปชัญญะให้คนตรงหน้าได้บ้าง
มือเล็กคว้าฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของคนป่วยมาไว้ข้างแก้มพร้อมดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา นานจนบาดแผลจากมีดเงินเริ่มรักษาตัวเองและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้แล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าดวงตาสีแดงคู่นั้นจะเปิดขึ้นมามองเขาอีกครั้ง คัตจังเพียงแค่นอนหลับตาเหมือนกับคนที่จมสู่ความฝันอันยาวนานเท่านั้น
“ข่าวร้ายก็คือเขาอาจจะใช้เวลาพักฟื้นนานเสียหน่อย บางทีอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้”
นั่นคือสิ่งที่คุณลุงออลไมต์กล่าวไว้หลังเจ้าตัวเพิ่งเดินออกมาจากห้องผ่าตัด
บาดแผลของคัตสึกิรุนแรงเกินไป ยิ่งเพราะเป็นบาดแผลจากอาวุธเงินที่เป็นจุดอ่อนของหมาป่า สิ่งนั้นเหมือนกับยาพิษที่ส่งผลเสียระดับเซลล์ของผู้ป่วยที่จะค่อยๆ ทำลายตัวเองอย่างช้าๆ มีแค่ต้องอาศัยความเชื่อใจว่าอีกฝ่ายจะเข้มแข็งและสามารถต่อสู้กับพิษที่กัดกินหัวใจของตนได้
แต่เมื่อดูจากบาดแผลภายนอกที่หายเองได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรร่างกายของหมาป่าหนุ่มก็ตอบสนองการรักษาอย่างดี
มีเพียงสติของเจ้าของร่างเท่านั้นที่ไม่คืนกลับมา ราวกับจะหลับไหลไปตลอดกาล…
ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ครอบครัวของอิซุคุและบาคุโกเข้ามาเยี่ยมเยือนบุตรชายของตัวเอง เห็นใบหน้าซีดเซียวและดวงตาแดงกล่ำของลูกชายแล้ว อิงโกะก็อดไม่ได้ที่จะกอดปลอบใจลูกชายเพียงคนเดียวที่ยังเอาแต่โทษว่าตัวเองเป็นสาเหตุทุกอย่างไม่เลิก
อิซุคุตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายฟัง เขาไม่ลืมที่จะขอโทษแม่ของคัตจังที่ความอ่อนแอเป็นสาเหตุให้เจ้าตัวต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อปกป้องอยู่หลายครั้ง กับบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูล ไม่ว่าอย่างไรคุณน้ามิตซึกิก็คงจะไม่พอใจพอสมควร
“แม่รู้ว่าคัตสึกิเขาจะต้องไม่เป็นอะไร อย่างน้อยเป็นความตั้งใจของเขาเองที่จะปกป้องเธอนะ”
เพราะประโยคนั้นเลยยิ่งส่งให้คนบ่อน้ำตาตื้นร้องไห้หนักกว่าเดิม จนมิตซึกิต้องเป็นฝ่ายมาช่วยปลอบลูกชายของคนสนิทอีกคน
ไม่นานนักก็มีโทโดโรกิ โอชาโกะ อาซุยและเพื่อนๆ ของคัตสึกิทยอยกันเข้ามาเยี่ยมเยือนและสนทนากันอีกเล็กน้อย ตกเย็นของวันเดียวกัน อิซุคุตัดสินใจว่าจะอยู่เฝ้าคัตจังทั้งคืนจนกว่าจะเช้าแล้วเขาค่อยตื่นไปเรียนวันพรุ่งนี้
ดวงตากลมโตมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เคยหม่นหมองเพราะฤดูฝนผลัดเปลี่ยนเป็นเมฆโปร่งและสีส้มอ่อนๆ ช่วงพระอาทิตย์ตกของวัน ต้นไม้ที่เคยเขียวชอุ่มกำลังผลิบานดอกไม้สีสวย บ้างก็ผลัดใบเป็นสีใหม่ที่มองดูสวยงามราวกับอยู่ในความฝัน
เขาจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเศร้า
“ซากุระออกดอกแล้วนะคัตจัง ผมอยากให้นายตื่นมาเห็นด้วยกันจัง”
ไรเตอร์ว่าชีวิตของชิการาคิเขาน่าสงสารนะคะ
ในมังงะก็ด้วย ถ้ามีโอกาสได้เข้าไปช่วยก่อนจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ก็คงดี;-;
ฟิคนี้เลยแต่งให้เขาคิดได้ไว้ก่อน55555 คนบางคนเขาไม่ได้อยากเป็นวายร้าย
แต่อาจจะแค่ต้องการการยอมรับ การให้คุณค่ากับตัวเองเท่านั้นเองค่ะ
พาร์ทหน้าจะเป็นตอนจบแล้วค่ะทุกคน กรี๊ดๆๆ
ในขณะที่พระเอกเรานอนหลับปุ๋ยอยู่ จะจบยังไงทีนี้
มาลุ้นกันดีกว่าค่ะ อิอิ
ความคิดเห็น