NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #40 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 5

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 67


     แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)




















    ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่คัตสึกิรู้สึกว่าชีวิตของเขามีบางอย่างขาดหายไป

     

            ในขณะที่เวลากำลังไหลผ่านไปสู่ช่วงเวลาที่ต่างคนก็ต่างเติบโต มีสังคมใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะหลุดออกจากวงโคจรของเพื่อนสมัยเด็กทีละนิด

     

    อิซุคุเริ่มเคยชินกับชีวิตที่ไม่มีเขา กลับกันกับคัตสึกิที่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านทุกครั้งที่ไม่เห็นคนๆ นั้นอยู่ในสายตา

     

    เขาทนไม่ได้แน่ถ้าไม่คว้าเอาไว้ อิซุคุก็จะหลุดมือไปซักวันหนึ่ง

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันแน่

     

            ชายหนุ่มหัวเสียตั้งแต่เช้าที่เฝ้ารอเพื่อนสมัยเด็กอยู่นานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะออกไปเรียนพร้อมกัน หลายครั้งที่มักจะปรากฏตัวที่หอสมุดโดยมีคนหัวสองสีตามติดอยู่ไม่ห่าง แต่วันนี้กลับไร้วี่แวว ไม่แม้แต่จะอ่านข้อความของเขาเลยด้วยซ้ำ

     

    จะว่าแปลกก็แปลกเดกุไม่ใช่คนที่จะหายไปโดยไม่บอกเขาก่อน

     

    อย่างน้อยต่อให้เขาจะค่อยๆ หลุดจากวงโคจรของอีกฝ่าย แต่มันคงไม่แย่ขนาดตัดขาดกันไปเฉยๆ

     

    พลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดที่ช่วงนี้เจ้าตัวมักจะรายล้อมไปด้วยสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็รีบละเลงนิ้วไปบนหน้าจอสมาร์ทโฟน ต่อสายตรงถึงเพื่อนสมัยเด็กโดยไม่ได้สนใจว่าตอนนี้จะเป็นคาบเรียนของเจ้าตัว

     

    ไม่มีแม้แต่สัญญาณตอบรับ ถ้าไม่บล็อกเบอร์เขา นั่นหมายความว่าโทรศัพท์ของเดกุโดนปิดเครื่องเอาไว้

     


     

     

     

     

     

    เสียรู้เข้าแล้วใครมันจะไปคิดว่าเหตุการณ์มันจะมาลงเอยแบบนี้

     

    อิซุคุกำลังติดอยู่ในพื้นที่ปิดตาย ไม่มีทางออก โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ลมหายใจเริ่มจะแผ่วลงทุกที

     

            เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน คนที่แทนชื่อตัวเองว่าดาบิเป็นคนเรียกเขาออกมาตั้งแต่เช้า ตอนนั้นไม่ทันฉุกคิดว่าควรจะทิ้งข้อความบอกให้คัตจังรู้เอาไว้ก่อน จุดหมายคือโกดังร้างเก่าๆ ที่อีกฝ่ายส่งโลเคชันมาให้

     

    มองอย่างไรนี่มันก็กับดักชัดๆ แต่อีกฝ่ายอ้างว่าถ้าเขาไม่ไปพบ โทโดโรกิก็จะโดนกินวันนี้

     

    จะเล่นเป็นฮีโร่ไปทำไมกันนะ ต่อให้ไปถึงเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่มันจะปล่อยไว้ก็ไม่ได้เหมือนกันนี่

     

    มาจริงอย่างที่แกว่าไว้จริงๆ ด้วย” แม้จะยืนอยู่ข้างนอกแต่ก็ได้ยินเสียงของเจ้าตัวดังแว่วออกมา ประโยคสนทนาที่เหมือนไม่ได้พูดกับเขาแต่กำลังพูดกับใครอีกคน

     

    รอบข้างเปลี่ยวจนอยากจะร้องไห้ ถ้าโดนจับทรมานอย่าหวังเลยว่าใครจะหาเจอ

     

    ไง พบกันอีกแล้วนะ อิซุคุคุง

     

            เสียงแหบพร่ากับบรรยากาศเย็นยะเยือกที่สัมผัสได้จากด้านหลังทำให้กายบางสะดุ้งเฮือก ใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มน่ากลัว ชายหนุ่มหน้าซีด พยายามมองหาตัวต้นเรื่องที่ทำให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้

     

    “อย่าตกใจไปเลย ฉันแค่มายืนยันให้แน่ใจว่านายยังสบายดี” เจ้าของผมขาวกระเซอะกระเซิงกับใบหน้าซีดเซียว คนเดียวกันกับที่บังเอิญเจอที่หน้าตึกเรียนของคัตจัง ไปรู้จักกับจิ้งจอกนั่นได้อย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ หมอนี่มีเป้าหมายเป็นเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง

     

    “ปล่อยให้หมอนั่นเล่นกับนายไปก่อน แล้วฉันจะมาหานะ”

     

    สองคนนี้กำลังร่วมมือกันทำเรื่องบางอย่างที่อิซุคุสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก ชิการาคิขยับตัวเข้ามาใกล้เขามากขึ้น คล้ายว่าต้องการยื่นมือหยาบกร้านนั้นมาถึงตัว จังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มรีบสะบัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างแรง

     

    ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตให้คนตัวสูงผละออกไป ไม่รู้ว่าด้วยวิธีใดแต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าเกิดจากตัวเอง

     

    หยุดล้อเล่นซักที เรียกผมมาที่นี่เพราะอะไรกันแน่!”

     

            เสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นมาจากชายคนเดิม เขามองฝ่ามือของตนที่ชาร้าวไปถึงศอกด้วยดวงตาวาวโรจน์ สบจังหวะพอดีกับที่จิ้งจอกตัวปัญหาปรากฏกายออกมาให้เห็นจากมุมหนึ่งในโกดัง   

     

    “ทุกคนรู้หมดแล้วว่านายไม่ใช่มนุษย์ คิดว่าจะเก็บความลับไปได้อีกนานแค่ไหนกัน”

     

    “ที่เข้าหาเด็กนั่นเพราะมีจุดประสงค์เดียวกันไม่ใช่หรือไง ฉันก็แค่อยากให้นายมาร่วมมือกัน”

     

            คราวนี้จิ้งจอกหนุ่มไม่ได้สวมหน้ากากอีกต่อไปแล้ว บาดแผลไฟไหม้ไล่ตั้งแต่ริมฝีปากลงไปถึงลำคอปรากฏให้เห็น ดูเป็นภาพที่ไม่น่ามองเท่าไรนัก อิซุคุมั่นใจว่าเขาสามารถเก็บตัวตนของตัวเองเป็นความลับได้เก่ง แต่กับอมนุษย์ด้วยกันมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

     

    จุดประสงค์ของหมอนี่ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แถมยังมาชวนเขาเข้าร่วมด้วยอีก

     

    น่า มาสิ มีที่น่าสนใจอยากให้นายได้เห็นด้วยล่ะ

     

            รู้ตัวอีกทีบ่าทั้งสองข้างก็ถูกวางทับด้วยแขนหนักๆ ของปีศาจจิ้งจอกคนเดิม ออกแรงรั้งให้ทั้งร่างเดินตามไปยังอีกมุมหนึ่งของโกดังทั้งที่ไม่เต็มใจ ลำพังแค่แรงของคนโลหิตจางแบบเขาไม่มีทางสู้ไหว คนผมขาวไม่ได้เข้ามาห้าม ทำเพียงโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มอยู่ที่เดิมเท่านั้น

     

            แผ่นหลังถูกผลักเบาๆ ทั้งร่างก็เข้าไปยืนอยู่ในคอนเทนเนอร์ขนาดไม่ใหญ่นัก แม้สภาพจะกลางเก่ากลางใหม่แต่ก็มีเครื่องปรับอากาศหน้าตาแปลกประหลาดติดอยู่ภายใน มองไม่ผิดไปมันคงจะใช้งานได้อยู่ไม่ผิดแน่

     

    “เป็นไงล่ะ ที่นี่คือฐานทัพของฉัน นายจะซ่องสุมกำลังและอาวุธไว้มากมายเท่าไรก็ได้”

     

    ท่าทางผายมือพูดอย่างภาคภูมิใจยิ่งทำให้เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วยุ่ง อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังทำตัวเป็นวายร้ายมอต้นไปได้ เจ้าตัวไม่รู้หรือไงว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าตำรวจอยู่ด้วย

     

    “ผมไปบอกตั้งแต่ตอนไหนว่าจะร่วมมือกับพวกนาย” เริ่มจะหมดความอดทน ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้เขาจะลงทุนกลัวตั้งแต่แรกไปทำไมกันนะ


    ดาบิฉีกยิ้มกว้างอย่างน่ากลัว ก่อนเสียงหัวเราะจะดังลั่นเพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้จนหมด

     

    “แล้วฉันบอกตอนไหนว่าจะให้นายมาร่วมมือด้วยล่ะ

     

    ไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงปังก็ดังขึ้นพร้อมประตูตู้คอนเทนเนอร์ที่ปิดลงจนเหลือเพียงความมืดมิด ปลายเท้าที่วิ่งตามไปแต่ไม่ทันทำได้เพียงหยุดชะงักอยู่ด้านหลังและเขย่าตัวล็อคอย่างหมดหนทาง ยังได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝั่งของผนังอยู่ไม่ห่าง

     

    โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีกเขากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่

     

    นายเป็นแวมไพร์แบบไหนถึงไม่รู้ว่าเด็กนั่นก็ไม่ใช่มนุษย์เหมือนฉัน”

     

    “ไม่อยากจะยอมรับเท่าไร แต่เจ้านั่นก็เป็นน้องชายฉันล่ะนะ”

     

    ไม่รู้เลยว่าควรต้องรู้สึกแบบไหน เรื่องน่าตกใจประเดประดังเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด จะว่าโทโดโรกิปิดบังตัวตนเก่งด้วยก็ใช่ แต่จะว่าเขาไม่ทันสังเกตว่ามีอมนุษย์อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ด้วยก็ส่วนหนึ่ง เพราะมัวแต่ลืมตัวว่าตนเองกำลังเริ่มมีสังคมใหม่ๆ เข้ามาแล้ว

     

    และนี่เป็นปัญหาครอบครัวระหว่างพี่น้องที่มีเขาเข้ามาเป็นตัวกลางตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

     

    อยากรู้จริงๆ ว่าถ้ามันได้สูญเสียของสำคัญไปจะเป็นยังไง จะมาช่วยนายทันหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”

     

    เพราะพื้นที่รอบข้างเปลี่ยวจนอยากจะร้องไห้ ถ้าโดนจับทรมานอย่าหวังเลยว่าใครจะหาเจอ

     

     

     

     


     

     

            เขาควรจะสังเกตตั้งแต่แรกว่าทำไมเลือดของโทโดโรกิจึงประทังชีวิตตัวเองมาเป็นสัปดาห์ได้ทั้งๆ ที่เป็นแค่เลือดมนุษย์ จริงอยู่ว่าอมนุษย์มีร่างกายเย็นเฉียบ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีอุณหภูมิอบอุ่นเช่นกันหากพลังที่ถือครองอยู่เป็นประเภทไฟ

     

    อิซุคุได้แต่ทึ้งศีรษะตัวเองซ้ำๆ คำพูดคัตจังมันย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

     

    รอบตัวเขาแทบไม่มีมนุษย์จริงๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ

     

            รีบคว้าสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง แบตเตอรี่ทุกอย่างยังอยู่ครบ ขาดก็เพียงสัญญาณมือถือที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่สามารถกดโทรออกหรือส่งข้อความหาใครได้เลย

     

    ทำไมเขาถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้คัตสึกิฟังกันนะทำไมไม่ส่งข้อความบอกอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อวาน

     

            เสียงเครื่องยนต์บางอย่างที่เริ่มทำงานทำให้กายบางที่นั่งอยู่ในความมืดสะดุ้งโหยง ในคอนเทนเนอร์มืดๆ แห่งนี้มีชั้นวางของอยู่ตรงหน้ากับสมุดบันทึกอุณหภูมิที่ผูกติดไว้กับเสา ใช้ไฟฉายมือถือส่องไปยังพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยไปได้ซักพักอิซุคุก็เริ่มใจไม่ดีเท่าไรนัก

     

            ลมเย็นๆ ที่พ่นออกมาจากเครื่องปรับอากาศที่มองเห็นในครั้งแรกทำให้ก้อนเนื้อที่อยู่ใต้อกเริ่มบีบรัดอย่างรุนแรง ประตูถูกปิดตายจากด้านนอก เครื่องปรับอากาศที่เขาเห็นตั้งแต่ตอนแรกไม่ได้มีไว้ระบายความร้อน แต่เพื่อแช่แข็งสิ่งที่อยู่ด้านในต่างหาก

     

    ที่นี่คือห้องเย็นถึงได้มีชั้นวางของสำหรับแช่แข็งมากมายขนาดนั้น

     

            ต่อให้แวมไพร์ไม่ได้มีอุณหภูมิร่างกายอบอุ่นเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็นไม่ได้ แม้จะทนทานความเย็นได้ดี แต่ก็สามารถเสียชีวิตจากความเย็นได้เช่นเดียวกัน

     

    ตอนนั้นเขาเผลอปล่อยพลังบางอย่างที่ทำให้ชิการาคิผละออกไปได้อิซุคุไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

     

    เขาจับประตูตู้ที่เย็นเฉียบ ออกแรงส่งให้มันเปิดออก เกิดแรงสั่นสะเทือนและแสงวาบสีเขียวจางๆ ไปทั่วทั้งคอนเทนเนอร์

     

    แต่มันก็ยังไม่มากพอจะทำให้กลอนที่ล็อคจากด้านนอกถูกทำลายลงได้

     

    ไม่ว่าจะลองซ้ำอีกกี่ครั้งผลมันก็ยังเป็นเช่นเดิมจนเรี่ยวแรงที่มีเริ่มหายไป กายบางหอบเหนื่อย ความเย็นเข้าปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ อุณหภูมิค่อยๆ ลดลงจากเลขสองหลักเป็นหลักเดียว

     

    เจ้านั่นกะจะปล่อยให้เขาตายอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่มีวิธีอื่นนอกจากนั่งรอความช่วยเหลือเลยหรือไง

     

    รู้สึกผิดกับคัตจังชะมัดที่เจ้าตัวเป็นคนสุดท้ายที่เขานึกถึง

     

            นิ้วเรียวได้แต่กดโทรออกหมายเลขของเพื่อนสมัยเด็กซ้ำๆ อย่างไม่มีทางเลือก มีเพียงเสียงตัดสายอย่างไร้เยื่อใยเพราะสัญญาณที่แทบเป็นศูนย์ ปลายนิ้วเริ่มเย็นเฉียบจนชาไปหมด ได้แต่เป่าลมหายใจให้ความอบอุ่นหวังว่าจะช่วยบรรเทาความหนาวลงได้

     

            โดยที่ไม่รู้ตัว เขาเองก็เคยชินกับการมีอีกฝ่ายอยู่ข้างกายจนเผลอลดความสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่จำความได้ แม้คัตสึกิจะเสียงดังใส่เขาอยู่เสมอ แต่ก็เป็นคนแรกที่ไว้ใจจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง เป็นคนแรกที่จะวิ่งเข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยที่ไม่ต้องร้องขอ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ความรู้สึกเป็นภาระเข้ามาแทนที่จนไม่กล้าแบ่งปันเรื่องราวให้อีกฝ่ายฟังอีกต่อไป

     

    เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวต้องมาลำบากเพราะเขาอีก

     

            อาจเพราะครั้งนี้เผลอวางใจไปเองว่าอย่างไรคัตจังก็คงจะตามตัวเจอเหมือนทุกครั้ง โดยที่ลืมคิดไปว่าตัวเองไม่แม้แต่จะเล่ารายละเอียดใดๆ ให้อีกฝ่ายฟัง ผลสุดท้ายเลยต้องจบที่เขาต้องมาแข็งตายอย่างโดดเดี่ยวในโกดังร้างแบบนี้หรือไงนะ

     

    หนาวจนปลายมือปลายเท้าเริ่มไม่มีความรู้สึก ทำได้เพียงกอดตัวเองอย่างสิ้นหวัง สมาร์ทโฟนล้ำสมัยกลายเป็นเพียงเศษเหล็กที่ใช้งานไม่ได้ ตาที่พร่าเลือนพอมองเห็นอุณหภูมิจากเทอร์โมมิเตอร์บนผนังที่ใกล้เข้าสู่ศูนย์มากขึ้นทุกที

     

    ไม่อยากมาตายที่นี่เลย ชีวิตของเขาเกิดมาก็เป็นเพียงไอ้ขี้แพ้มาตลอด ขนาดวาระสุดท้ายยังต้องจากไปอย่างโดดเดี่ยว ถ้าแม่รู้จะเสียใจแค่ไหนนะ ลมหายใจที่พ่นออกไปเป็นควันสีขาวๆ เริ่มแผ่วลงทุกที ความง่วงงันปกคลุมสติสัมปชัญญะไปเสียแล้ว

     

    อยากนอนชะมัด ถ้าหลับไปตอนนี้เลยจะตื่นขึ้นมาอีกได้หรือเปล่านะ

     

    ขอโทษนะคัตจังที่ไม่ได้เล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังเลย

     

    ปัง!

     

    สติที่ใกล้จะหมดถูกกระชากกลับมาเพราะเสียงดังลั่นจากประตู ถ้าสายตาที่พร่าเลือนไม่ได้ฝาดไป อิซุคุคิดว่าเขากำลังเห็นบานข้างหนึ่งกระเด็นออกไปด้านนอก อุณหภูมิที่อบอุ่นจากภายนอกระบายเข้ามาพอให้รู้สึกดีขึ้น พร้อมเงาตะคุ่มของใครบางคนที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

     

    “ห้ามหลับนะเจ้าโง่ ลืมตาเดี๋ยวนี้!

     

            ให้ตายเถอะ เขานิสัยเสียคิดว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องมาช่วยแน่ๆ แรงที่ตบลงมาบนแก้มก็ใช่ว่าจะเบานัก เรียกให้เปลือกตาที่จวนจะปิดอยู่รอมร่อเปิดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำหนักของเสื้อคลุมและกลิ่นที่คุ้นเคยวางลงบนบ่าทั้งสองข้าง ก่อนวงแขนแกร่งจะกอดมาเต็มแรง

     

    อุ่นชะมัดเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายตัวอุ่นขนาดนี้เลย

     

    “ขอโทษนะ ไม่ได้บอกคัตจังก่อน”

     

    “รู้แล้วคราวหลังก็อย่าทำอีก” อีกฝ่ายคงจะตามกลิ่นเขามาจนเจอเหมือนเคย ใบหน้าคมดูดุเสียจนคนมองอยากจะร้องไห้ ยอมรับว่าคราวนี้เขาคิดน้อยไปเองว่าจะจัดการปัญหาทุกอย่างได้

     

    ขึ้นชื่อว่าปีศาจแล้ว จะให้ไว้ใจง่ายๆ ได้ที่ไหนกัน

     

    “ไอ้โง่ที่ไหนหลอกแกมา”

     

            สีหน้าหมาป่าหนุ่มดูนิ่งขรึมกว่าทุกครั้ง ไม่เหมือนเวลาที่โวยวายใส่เขา อิซุคุมองออกว่าเจ้าตัวโกรธมาก เพิ่งสังเกตเห็นทั้งหูและหางที่ปรากฏออกมาให้เห็น นานแค่ไหนแล้วที่คัตจังไม่ได้ใช้ร่างนี้ เขาไม่ชอบแสดงร่างที่แท้จริงให้ใครเห็นนัก แต่คราวนี้เพราะเหตุสุดวิสัยเลยช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าระหว่างทางมีใครเห็นไปบ้างแล้ว

     

    “มองอะไร ฉันมีทางเลือกด้วยหรือไง” ยังไม่ทันพูดอะไรก็โดนว่าเอาเสียแล้ว อิซุคุยกมือขึ้นมาจับหน้าผากที่โดนดีดไปเมื่อครู่ สายตาเขามันอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรอ

     

    จะว่าอีกฝ่ายโง่ก็ไม่ได้ เขาต่างหากที่โง่โดนจิ้งจอกหลอกมาง่ายๆ

     

    ไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่รีบสาวมาหยุดหน้าคอนเทนเนอร์ก็ดึงความสนใจของคนทั้งคู่ไปเสียก่อน เสียงที่คุ้นหูตะโกนเรียกชื่อแวมไพร์หนุ่ม แต่ก็พลันต้องชะงักกับภาพตรงหน้า

     

    คัตจังห่อตัวเพื่อนสมัยเด็กจนกลมเหมือนดักแด้ก่อนยกทั้งร่างขึ้นอย่างง่ายดาย ดวงตาสีแดงจ้องเขม็งไปยังผู้มาใหม่อย่างคาดโทษ พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงกระชับร่างในอ้อมแขนของตนมาให้แน่นขึ้น

     

    “พวกแกนี่เอง”

     

    “อ้าวๆ มีหมาป่าที่ไหนก็ไม่รู้มาชิงตัวเจ้าหญิงไปแล้วสิ”

     

            เหตุการณ์ยิ่งชุลมุนไปใหญ่เมื่อบุคคลที่สามสี่เริ่มปรากฏตัวมาเพิ่ม ตอนนี้อิซุคุเห็นภาพชายสามคนที่มีหูและหางปุกปุยยืนห้อมล้อมอยู่รอบตัว คนหนึ่งคัตจัง อีกคนมีผมสองสี และอีกคนมีรอยแผลไฟไหม้ถึงลำคอ

     

    นี่มันงานรวมตัวสายพันธุ์สุนัขหรือไงกัน

     

    ไม่คุ้นชินภาพโทโดโรกิมีหูและหางแบบนี้เอาเสียเลย เจ้าตัวไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คนชื่อดาบิพูดจริงๆ ใบหน้าคมคายแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพียงครู่หนึ่งก็หันไปตอบโต้คนหัวฟูที่ทำท่าจะยิงลูกไฟหมายจะโจมตีจากด้านหลัง

     

    ด้วยลูกไฟที่เหมือนกันจนหักล้างพลังอีกฝ่ายเป็นศูนย์

     

    “ขอโทษด้วยนะมิโดริยะ ฉันไม่รู้จะเริ่มเล่านายจากตรงไหน”

     

    เพราะไม่เคยถาม อีกฝ่ายก็เลยไม่ได้เล่าให้ชายหนุ่มฟัง แถมเจ้าตัวก็แสดงตนเป็นมนุษย์ได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน

     

    เห้ย พวกแกน่ะพอได้แล้ว

     

            กลายเป็นหมาป่าหนุ่มที่เอ่ยเสียงดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศ ดวงตาสีแดงที่แข็งกร้าวกวาดมองใบหน้าของสุนัขจิ้งจอกทีละคน เขาไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวพลังที่ไม่คุ้นเคย แต่กำลังแสดงสีหน้าและบรรยากาศชวนขนลุกที่แม้แต่อิซุคุยังทำได้เพียงเงียบไปเฉยๆ

     

    “อย่าดึงหมอนี่เข้ามาเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว

     

    “ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าพวกแกเอง”

     

     

     


     

     

     

    “คัตจัง นายน่ากลัวเกินไปแล้วนะ”

     

            ผลสุดท้ายจบลงที่แวมไพร์หนุ่มนอนจับไข้หมดสภาพอยู่ที่บ้าน แม่ของเขาวนเข้ามาเปลี่ยนน้ำสำหรับเช็ดตัวอยู่หลายหน ส่วนคัตจังที่ยังไม่ได้กลับไปไหนก็บอกเพียงแค่ว่าเขาติดไข้หวัดใหญ่มาจากเพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น

     

            อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงผิดกับวิสัยที่แวมไพร์ควรจะเป็น ใบหน้าหวานและแขนขาของอิซุคุขึ้นสีแดงจัด ยังรู้สึกชาปลายมือปลายเท้าไม่หายเพราะโดนความเย็นกัดกิน ทางเลือกของอมนุษย์มีไม่มากในการรักษาพยาบาล ประเมินตัวเองเบื้องต้นแล้วว่าไม่ได้ป่วยหนักมากขนาดนั้น จึงจบลงแค่นอนกินยาลดไข้อยู่ที่บ้านก็น่าจะเพียงพอ

     

            คัตสึกิเอาแต่เงียบอย่างเดียวตั้งแต่กลับมา แม้เขาจะชวนคุยด้วย แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งและกอดอกจ้องมองมาจนเหมือนจะทะลุลงไปถึงหมอนแล้ว ม่านตาสีเขียวเบนออกไปด้านข้างอย่างทำอะไรไม่ถูก

     

    อะไรของเขานะ ไม่คุยด้วย แต่ก็ไม่ยอมกลับไปซักที

     

    “นายกลับไปพักผ่อนก็ได้นะ ไม่ต้องอยู่เฝ้าผมก็ได้”

     

    ……

     

    เงียบกริบ แถมยังจ้องเขม็งมากกว่าเดิมอีก

     

    ขอโทษที่เป็นภาระนายทุกทีเลยนะ”

     

    ไม่รู้เลยว่าความเคยชินแบบนี้มันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า อาจเป็นเพราะคัตสึกิกำลังทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างตระกูล ไม่รู้เลยว่าเขาเต็มใจหรือกำลังฝืนตัวเองกันแน่

     

    ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วมันจะเป็นใครไปได้อีก"

     

    อย่างน้อยอิซุคุก็อยากให้เพื่อนสมัยเด็กคนนี้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมาคอยผูกติดกับเขาตลอดเวลา

     

    เจ้าของผมสีอ่อนเห็นสายตาแบบนั้นจากคนป่วยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาดึงผ้าขนหนูที่เคยวางอยู่บนหน้าผากมนของอีกฝ่ายลงมาปิดดวงตากลมโตจนมิด ซ้ำยังออกแรงดีดเบาๆ เป็นหนที่สองของวัน

     

     

    “นอนไปซะอย่าพูดมาก”

     








              

    จริงอย่างที่คัตจังว่านะคะ พี่น้องทะเลาะกันแต่เอาน้องไปเกี่ยวด้วยทำไม
    แต่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างเริ่มเป็นห่วงกันขึ้นมาแล้วค่ะ 
    แต่ตัวร้ายเรื่องนี้ก็มีหลายตัวเหลือเกิน เกลี่ยบทให้ครบยังไงก่อน;-;
    เนื้อเรื่องเลยลากยาวขึ้นเรื่อยๆ ซะงั้น แหะ

    ไม่มีใครรู้เลยว่าชิการาคิคิดจะทำอะไร และเจ้าตัวคือตัวอะไรกันแน่
    มาติดตามกันต่อดีกว่าค่ะว่าจะเกิดอะไรต่อไป


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)



     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×