ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
Break Down! ภารกิจพิชิตรักร้ายนายจอมหยิ่ง

ลำดับตอนที่ #4 : Break 3: You Got Me [Re]

  • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 56




3

You Got Me

 

ก็เพราะฉันรักนายไงล่ะ

มะ...เมื่อกี้...เมื่อกี้ฉันพูดอะไรออกไป!? ไม่จริง รับตัวเองไม่ได้ บ้าไปแล้ว! ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ TOT

ฉันนั่งก้มหน้าด่าตัวเองในใจ อยากจะยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็อายคนตรงหน้าจนเกินกว่า จะทำได้ ยิ่งตอนนี้เราสองคนต่างก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จากัน ฉันก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น...โอ๊ย! ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนแล้วนะคะคุณขา จะมุดดินหนีตอนนี้ ห้องของหมอนี่ก็อยู่ตั้งชั้น 31 คำนวณดูแล้วกว่าจะมุดลงไปเจอดิน มีหวังฉันได้หัวแตกกระแทกปูนตายกลางทางก่อนแหงๆ

เอ...แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ ตายไปซะเลย ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องรับรู้อะไร จะได้ไม่ต้องอายผู้ชายที่กำลังนั่งจ้องหน้าฉันอยู่ตรงนี้ด้วย แงๆ พ่อจ๋าแม่จ๋ามาเดอลีนอยากตาย TOT

หึ!” ฮีวอนแค่นหัวเราะ ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็พบว่าเขากำลังอ้าปากจ้องหน้าฉันอยู่

คือไอ้ที่จ้องหน้าน่ะพอเข้าใจ แต่ทำไมต้องอ้าปาก...

โจ๊กไง ฉันป่วยอยู่ ไม่มีแรงกินเองหรอก –O–” เขาบอกเมื่อเห็นฉันทำหน้างง

...และมันก็ยิ่งทำให้ฉันงงเข้าไปใหญ่

นี่! เร็วๆ สิ ฉันหิว!

ฉันสะดุ้งรีบคว้าถ้วยโจ๊กที่วางอยู่ในถาดอาหารมาถือไว้ก่อนจะตักใส่ปากเขา ถึงแม้น้ำเสียงหรือคำพูดเขาจะไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อกี้แต่สีหน้าและแววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เขาเค้นจะเอาความจริงจากฉัน แววตาของเขาเย็นชาราวกับคนไร้ความรู้สึก...เย็นชาจนน่ากลัวว่าจะลุกขึ้นมา บีบคอฉันตายคามือได้ถ้าตอบไม่ถูกใจยังไงยังงั้น

ก็เห็นว่านั่งอยู่บนเตียงดีๆ ไม่ได้มีอะไรตกใส่หัวซะหน่อยนี่น่า ทำไมเปลี่ยนไปได้ภายในห้าวินาทีแบบนี้

หรือว่า...หมอนี่จะเชื่อที่ฉันบอกว่าแอบรักเขาจริงๆ น่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง หลอกมาตั้งหลายอย่างดันจับได้หมด ทีโกหกเรื่องโง่ๆ แบบนี้ดันเชื่อก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว –*–

เช็ดตัวให้หน่อยฮีวอนพูดขึ้นทันทีที่ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากเอาถาดอาหารออกไปเก็บ

ว่าไงนะ!?

บอกว่าเช็ดตัวให้หน่อย หูตึงหรือไงเขาพูดซ้ำ

นายจะบ้าเหรอ! อยู่ดีๆ มาบอกให้ฉันเช็ดตัวให้เนี่ยนะฉันโวย

ทำไมล่ะ นี่ฉันกำลังสนองความต้องการให้เธออยู่นะ อย่าเรื่องมากน่า

ฉันยืนอ้าปากค้างจุกกับคำพูดที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะหลุดออกมาจากปากผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสคนนี้ สะ...สนองความต้องการงั้นเหรอ –O–

 

 

แล้วเธอทำไงต่อ

จะทำยังไงล่ะ จับเขาแก้ผ้าแล้วเช็ดตัวให้มั้ง ฉันคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาเลยน่ะสิถามได้ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เฮนรี่หัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจกับเรื่องที่ฉันเพิ่งเล่าให้เขาฟัง เออ ขำเข้าไป ขำให้ขาดใจตายไปเลยนะ เพราะแกนั่นแหละบอกให้ฉันไปบอกรักหมอนั่น อย่าถึงให้ถึงทีฉันมั่งก็แล้วกัน เคยได้ยินไหม...หัวเราะทีหลังดังกว่า!

แล้วจะรอดูเฮนรี่ยักคิ้วอย่างกวนประสาท

อีกไม่นานหรอกย่ะ ชิฉันเบ้ปาก ไปก่อนนะ ฉันว่าจะไปเอารถก่อน แล้วเจอกันที่มหาลัย

วันนี้ฮีวอนมีเรียนถึงเที่ยง ฉันต้องรีบไปรีบกลับก่อนที่เขาจะเลิกเรียน รู้สึกว่ายังไม่อยากเจอหน้าเขายังก็ไม่รู้ คือไอ้ความรู้สึกอายที่ไปบอกรักเขาน่ะหายไปหมดแล้ว แต่คำพูดของเขาเมื่อวานนี้ที่ยังติดค้างอยู่ในสมองฉันเนี่ยสิ ดังขึ้นซ้ำๆ ทั้งคืนทั้งวันจนน่าโมโห

โมโหตัวเองที่ทำเรื่องน่าอายนั่นลงไปจนเขาเข้าใจผิดคิดว่าทั้งหมดที่ฉันทำเพราะฉันรักและต้องการเขาจริงๆ

แล้วก็โมโหเขาด้วยที่พูดประโยคงี่เง่านั่นออกมา...

 

นี่ฉันกำลังสนองความต้องการให้เธออยู่นะ

 

ถ้าไม่นับรวมที่ฉันต้องการให้เขาไปทำงานที่ร้าน จำไม่ได้ว่าด้วยซ้ำว่าตัวเองไปต้องการเขาตอนไหน พูดแบบนี้นางเอกนิยายอย่างฉันเสียหายนะเฟ้ย

ถ้าพูดกันด้วยหลักเหตุและผล คนที่น่าโมโหที่สุดไม่ใช่ทั้งฉันแล้วก็ฮีวอนหรอก แต่เป็นอีตาเฮนรี่ที่ให้ฉันไปบอกรักหมอนั่นต่างหากล่ะ ถ้าฉันไม่หลุดประโยคนั้นออกไป เขาก็คงไม่เข้าใจผิดแบบนี้ ตอนนี้ฉันคงกลายเป็นผู้หญิงที่คอยจ้องแต่จะวิ่งไล่จับผู้ชายในสายตาของคังฮีวอนไปแล้วสินะ มาเดอลีนกรีดร้อง TT^TT

จะว่าไป เมื่อวานเขาไม่สบายหนักอยู่นี่น่า ไม่น่าจะลุกมาเรียนไหวหรอกมั้ง ฉันปลอบใจตัวเองแล้วรีบสาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่จอดรถทิ้งไว้พลางเหลียวซ้ายแลขวาภาวนาในใจให้สิ่งที่คิดเป็นจริง

ฮีวอนไม่สบายจนมาเรียนไม่ได้...

มาดักรอฉันเหรอไงที่รัก

ฉันหันขวับไปตามเสียงเรียกจนพบกับเจ้าของเสียงที่ไม่อยากเจอกำลังยืนกอดอกแสยะยิ้มมองหน้าฉันอยู่ ไหนเมื่อวานป่วยหนักเจียนตาย ทำไมตอนนี้มายืนทำหน้าหล่ออยู่ตรงไหนนี้ได้วะ TOT

เปล่าซะหน่อย ฉันมาเอารถต่างหาก

หึ! จะเชื่อดีไหมน้า~” เขาลากเสียงยาว ไอ้น่ารักมันก็น่ารักอยู่หรอกนะ แต่เขาทำเพราะจงใจกวนประสาทฉันเนี่ยสิ ถ้าไม่ติดว่าใส่กระโปรงนักศึกษาทรงเอมา ฉันจะกระโดดเตะแสกหน้าอีตานี่จริงๆ ด้วย

เรื่องของนาย ฉันไม่ได้ขอให้ใครมาเชื่อ

งั้นฉันก็ไม่เชื่อ

ฮีวอนพูดจบก็คว้าข้อมือฉันเดินดุ่มๆ ไปที่รถตัวเองก่อนจะเปิดประตูฝั่ง Passenger แล้วผลักฉันเข้าไปแถมยังคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ

นายจะพาฉันไปไหนฉันถามขึ้นทันทีที่เขาเดินอ้อมมาขึ้นอีกฝั่ง ฮีวอนสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งทันทีโดยไม่สนใจจะตอบคำถามหรือเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของฉันเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาตอนนี้ดูปกติดีไม่มีเค้าโครงของความป่วยหลงเหลือจากเมื่อวานสักนิด

คิดๆ แล้วอยากจับหัวตัวเองโขกคอนโซลรถซะจริงๆ ไม่น่าซื้อยาให้เขากินเลยให้ตายสิ T^T

จะบอกได้หรือยังว่าจะพาฉันไปไหนฉันถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบมานาน

ไม่ได้พาไปขายหรอกน่า

เขาตอบสั้นๆ ง่ายๆ นี่ฉันถามจริงจังนะ แต่เขาดันตอบเหมือนกำลังพูดหลอกล่อจะลักพาตัวเด็กห้าขวบอยู่อย่างงั้นแหละ ฮีวอนเลี้ยวรถแล่นเข้าสู่ถนนแถบชานเมืองเส้นที่ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ป้ายข้างทางที่ผ่านมาเมื่อกี้ต้อนรับเราเข้าสู่เขตจังหวัดปริมณฑลจังหวัดหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมหานคร ดูลาดเลาแล้วฉันคงกลับไปเรียนตอนสิบเอ็ดโมงไม่ทันแน่ๆ นี่ก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่าแล้วด้วย เฮ้อ –*–

ฉันนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ฮีวอนก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถจนลืมไปแล้วมั้งว่ามีฉันนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย กว่าสี่สิบนาที ในที่สุดฮีวอนก็เลี้ยวรถเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง

หมอนี่ต้องไม่สบายจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ อยู่ดีๆ พาฉันโดดเรียนมาที่นี่เนี่ยนะ!?

นายพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย

กินก๋วยเตี๋ยวเรือ

ร้านเด็ดเหรอ

ประชด –*–

–___–

เดินตามมาเหอะน่า อย่าถามมากฮีวอนพูดจบก็เดินนำไปทันทีและฉันก็ได้แต่ทำตามที่เขาสั่งอย่างว่านอนสอนง่าย บอกตรงๆ ว่าช็อกมากตอนที่เขาเลี้ยวรถเข้ามา ไม่ใช่ว่าที่ที่เขาพาฉันมามันไม่ดีนะ แต่ฉันแค่แปลกใจ มึน งง สงสัย อะไรดลจิตดลใจหรือเข้าฝันให้จู่ๆ เขาก็พาฉันมาที่นี่เนี่ย

ฮีวอนหย่อนแบงก์ร้อยสองใบลงในกล่องรับบริจาคแล้วหยิบดอกไม้ธูปเทียนมาสองชุดก่อนจะยื่นให้ฉันชุดนึง

ทำหน้าเหมือนฉันพาเธอมาทรมานงั้นแหละ

ฉันไม่ใช่ผีนะที่จะได้เข้าวัดแล้วทรมาน

ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ

เออ ฉันผิดเอง ขอโทษ =_=

ฮีวอนถอดรองเท้าวางไว้ข้างๆ บันไดแล้วเดินขึ้นไปบนพระวิหาร จะบาปไหมถ้าฉันแอบกลัวรองเท้าหาย คือมันเยอะมาก สังเกตจากสายตานี่เป็นร้อยคู่ได้เลยมั้ง ฉันเคยได้ยินชื่อวัดนี้มาก่อนเหมือนกันนะแต่ไม่เคยมา และไม่คิดว่าผู้ชายที่กำลังนั่งคุกเข้าพนมมืออยู่ข้างๆ ฉันจะรู้จักที่นี่ด้วย

หลังจากไหว้พระเสร็จ ฮีวอนก็พาฉันเดินไปด้านหลังของวัด ถึงวัดนี้จะเป็นวัดที่ใหญ่มากและมีชื่อเสียงพอสมควร มีทั้งภิกษุสงฆ์สามเณรและแม่ชี มีพุทธศาสนิกชนแวะเวียนมาทำบุญและปฏิบัติธรรมเยอะแยะมากมาย แต่น่าแปลกที่วัดกลับดูสะอาดสะอ้าน ร่มเย็น และเงียบสงบมาก

เธอรู้ไหมถ้าเราเดินออกไปทางนี้จนสุด เราจะเจอทะเลอยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมา

ทะเล? นายหมายถึงอ่าวไทยน่ะเหรอ

อืม

ฮีวอนพาฉันเดินบนสะพานไม้ที่ข้างทางเรียงรายไปด้วยกุฏิของพระภิกษุ ด้านล่างเป็นดินโคลน มีต้นไม้และสัตว์ทะเลเล็กอาศัยอยู่ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยก็คือฉันกับเขากำลังเดินข้ามป่าชายเลนออกไปหาทะเลนั่นเอง

และ...พระเจ้!

ถึงน้ำทะเลตรงนี้จะไม่ใสเพราะเป็นเขตป่าชายเลน แต่ลมทะเลเย็นๆ ที่กำลังพัดเข้าฝั่งบวกกับเสียงคลื่นที่กำลังโหมซัดสาดกับโขดหินจนกระเซ็นเป็นละอองลอยในอากาศ มองออกไปบนพื้นน้ำไกลสุดลูกหูลูกตาจรดขอบฟ้าก็ยังไม่เห็นฝั่ง ถึงจะลงเล่นน้ำหรือนอนอาบแดดตรงนี้ไม่ได้ แต่แค่ได้มายืนกินลมชมวิว ฉันว่ามันก็คุ้มสุดๆ แล้วล่ะ สดชื่นเป็นบ้าเลย!

นายรู้จักที่นี่ได้ยังไง มาบ่อยเหรอฉันหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮีวอนยืนกอดอกมองเหม่อออกไปในทะเล

เมื่อก่อนยายเคยพาฉันมาบ่อยๆ น่ะ

แล้วทำไมวันนี้อยู่ดีๆ ถึงพาฉันมาล่ะ

ไม่รู้สิ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันพาคนอื่นมา

ครั้งแรก?

อืม ทำไมเหรอเขาเอียงหน้ามาทางฉัน ถึงปากจะถาม แต่นัยน์ตาคู่สวยของเขากลับดูไม่ได้ต้องการคำตอบเลย ให้ตายสิ! ขนาดอยู่กลางแดดเจิดจ้าแบบนี้ เขาก็ยังดูดี

เปล่าฉันตอบเสียงแผ่ว

“ไปกันเถอะ” ฮีวอนบอกก่อนหันหลังแล้วเดินกลับไปทางที่เราเดินมาเมื่อกี้ ถึงจะเสียดายวิวที่อยู่ตรงหน้าแต่ฉันก็ต้องจำใจวิ่งตามเขากลับมา

“นายจะไปไหนน่ะ” ฉันร้องถามเพราะเห็นว่าเขากำลังเดินนำฉันไปอีกทาง แต่ฮีวอนกลับไม่ได้ตอบอะไรและยังคงเดินต่อไป

นี่ไม่ใช่ทางที่เราเดินมาตอนแรก...

ไม่ใช่ทางที่จะกลับไปที่รถ...

...แต่เป็นทางที่จะไปสุสานสำหรับเก็บกระดูกคนตาย =[]=

ฉันยืนแข็งทื่อกับภาพตรงหน้า ไม่รู้จะพูดหรือขยับตัวไปทางไหนดี ความรู้สึกกลัวในตอนแรกมลายหายไปทันทีที่เห็นฮีวอนคุกเข่าลงตรงหน้าเจดีย์เก็บอัฐิองค์หนึ่งและใช้มือลูบภาพถ่ายที่แปะติดอยู่แผ่นหินอ่อนหน้าเจดีย์อย่างทะนุถนอม สีหน้าไร้ความรู้สึกนั่นช่างขัดกับแววตา...

เธอรู้ไหม...

“...”

“...ว่าฉันฆ่าแม่ตัวเอง”

ฮะ?

ฉันพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด แต่ว่า...ฆ่าแม่ตัวเองเนี่ยนะ...

“นายหมายความว่ายังไง” ฉันถามเสียงแผ่ว

ฮีวอนแสยะยิ้ม...ยิ้มที่มองดูเหมือนต้องการจะสมเพชและเยาะเย้ยตัวเอง

“เพราะแม่คลอดฉันออกมา แม่ถึงตาย ถ้าไม่เรียกว่าเป็นฆาตกรฆ่าแม่ตัวเอง แล้วจะเรียกว่าอะไร”

ฮีวอน...

หมายความว่าเจดีย์เก็บอัฐินี่เป็นของแม่เขางั้นเหรอ...

ฉันจุกจนพูดอะไรไม่ออก ถึงตอนนี้ฉันจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่ว่าชีวิตทั้งชีวิตของฉันก็ไม่เคยต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ พ่อแม่ฉันรักกันดีและกำลังมีความสุขกับร้านเค้กที่เปิดใหม่อยู่ที่ฝรั่งเศส

ถึงจะต้องอยู่ไกลจากพ่อแม่ แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้โตพร้อมกับคิดว่าตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าแม่ตัวเองแบบเขา อย่างน้อยฉันก็ยังมีพี่มาร์ ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเขา...

ฮีวอน... ฉันนั่งคุกเข่าลงข้างๆ เขาพร้อมกับมองดูรูปผู้หญิงตรงหน้าชัดๆ เธอสวยมาก ผิวขาว หน้าตาอิ่มเอิบ แถมยังตาโตสวย ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ฮีวอนหน้าตาดีได้ขนาดนี้ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าการเกิดมาแล้วทำให้แม่ตัวเองต้องตายมันรู้สึกยังไง ฉันพูดไม่ได้หรอกว่าฉันเข้าใจนาย แต่ฉันเชื่อนะ ฉันเชื่อว่าแม่นายคงไม่ดีใจหรอกที่ท่านต้องทนเห็นลูกชายคนเดียวของท่านกำลังทรมานตัวเองด้วยการคิดว่าเขาเป็นฆาตกรแบบนี้ แล้วพ่อนาย...

อย่าพูดถึงผู้ชายคนนั้นฮีวอนขัดขึ้นเสียงเรียบ เธอพูดถูก เธอไม่เข้าใจหรอก และเธอก็คงไม่มีวันเข้าใจด้วยว่าการไม่เหลือใคร...

 

ฉันไง!

“...”

นายยังเหลือฉันไง ฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้กับนาย นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ซะหน่อย!

ฮีวอนนั่งเงียบจนฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังฟังฉันอยู่หรือเปล่า และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ฉันดึงมือเขามากุมไว้แบบนี้...

 







 

To be continued…

ติดตามเรื่องนี้ Click!
JoopaJoop©
ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×