ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Part 3 แผนการช่วยเหลือ
Part 3 แผนการช่วยเหลือ
นางพยาบาลสูงวัยจำต้องยื่นแฟ้มเอกสารของคนไข้ที่ชื่ออีซองมินให้ชายหนุ่มอย่างอิดเอื้อนไม่ได้แม้จะเคยปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับคนไข้คนนี้กับพยาบาลที่ย้ายมาใหม่ที่ชื่อปาร์คมินจองไปแล้ว แต่กับผู้ชายคนนี้กลับทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะคนที่ขอทราบข้อมูลคือลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ คนไข้คนนี้มีปัญหาอะไรกันนักหนาถึงได้มีแต่คนอยากรู้รายละเอียดนัก
“ขอบคุณนะครับ” คยูฮยอนพูดพลางส่งยิ้มจางๆ ให้ ก่อนจะหยิบแฟ้มมาเปิดดูคร่าวๆ และพบว่าคนไข้หนุ่มหน้าหวานที่ชื่ออีซองมินนั้นเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกเมื่อประมาณ 1 ปีก่อนด้วยอาการคลุ้มคลั่งเพราะสาร LSD ซึ่งไม่ต้องบอกจิตแพทย์หนุ่มก็ทราบว่ามันคือสารเสพติด
ไม่น่าเชื่อเลย หน้าตาก็น่ารักใสซื่อแต่กลับเล่นยาอย่างนั้นเหรอ…
“ขอโทษนะครับคุณจาง คนไข้ที่ชื่ออีซองมินได้รับการบำบัดจากอาการติดยาเสพติด แต่นี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว เขายังมีอาการทางจิตหรือยังเลิกยาไม่ได้อยู่อีกเหรอครับ”
“เอ่อ..ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ คุณอีไม่ได้มีอาการอยากยาหรือมีอาการสติฟั่นเฟือนคลุ้มคลั่งอาละวาดอะไรแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าตัวยังมองเห็นภาพหลอนอยู่น่ะค่ะ”
“มองเห็นภาพหลอน…” คยูฮยอนทวนคำนั้นก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ค่ะ คุณอีน่ะชอบพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ คุณหมอชินเลยให้อยู่ดูอาการต่อ” เมื่อเห็นท่าทีสงสัยของชายหนุ่มตรงหน้า นางพยาบาลจึงพูดตอบ
“แต่หมอคนแรกที่ดูแลคนไข้คนนี้คือคุณหมอคังจินโฮไม่ใช่เหรอครับ” คยูฮยอนถามด้วยความแปลกใจ ตาก็ไล่อ่านรายละเอียดการเข้ารักษาตัวครั้งแรกของอีซองมิน
“ใช่ค่ะ แต่เพราะคุณหมอชินบยองชอลมีชื่อเสียงและมีประสบการณ์ในการทำงานมาก ทางญาติคนไข้เลยขอเปลี่ยนหมอเพื่อให้การดูแลคนไข้เป็นไปอย่างดีที่สุดค่ะ” พยาบาลที่คร่ำหวอดและคุ้นเคยกับที่โรงพยาบาลแห่งนี้มานานอธิบาย
คยูฮยอนพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาแสดงความอยากรู้อยากเห็นของนางพยาบาลคนนั้นที่คงจะสงสัยว่าเขาสนใจอะไรในตัวคนไข้คนนี้นัก ชายหนุ่มจึงยื่นแฟ้มส่งคืนให้โดยไม่ทันได้อ่านรายละเอียดอะไรไปมากกว่าประวัติการรักษาในหน้าแรก ก่อนจะแกล้งเดินหนีไปอีกทาง
โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า…บางสิ่งที่กำลังเกาะติดอยู่ที่ตัวเขาตวัดมองแฟ้มเล่มนั้นที่นางพยาบาลกำลังเก็บใส่ตู้ด้วยสายตามาดร้าย….
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!”
เพล้ง!!!
เสียงสองเสียงที่ดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกันเรียกความสนใจจากผู้ที่อยู่บริเวณนั้นรวมถึงชายหนุ่มร่างเล็กที่กำลังจะกลับเข้าห้องพักของตนเองแต่ต้องผ่านที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่เป็นต้นเสียงนั้นก่อน
เป็นพยาบาลสาวหน้าตาสวยที่เขาเจอเมื่อครู่นั่นเองที่เป็นเจ้าของเสียงกรีดร้องดังสนั่นเมื่อครู่ แจกันใส่ดอกไม้ใบโตที่เคยตั้งไว้บนเคาน์เตอร์หายไปแล้ว และนั่นคงเป็นสาเหตุของเสียงที่สองที่ดังตามมา
“คุณอิม!! ทำไมถึงซุ่มซ่ามแบบนี้นะ!! ดีแค่ไหนแล้วที่คุณหมอโจวไม่ได้อยู่แถวนี้ ไม่อย่างงั้นได้ลำบากกันยกแผนก” พยาบาลอาวุโสผู้เป็นหัวหน้าแผนกหันมาเอ็ดพยาบาลสาวที่หน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก
“ฉันไม่ได้ทำตกนะคะ เมื่อกี๊อยู่ๆ แจกันมันก็เลื่อนตกลงไปเอง” อิมยุนอาพูดเสียงสั่น ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้มิร้องไห้แหล่ เธอไม่ได้โกหก และก็ไม่ได้ตาฝาดไปด้วย ที่ส่งเสียงร้องออกไปเมื่อครู่นี้ก็เพราะความตกใจที่เห็นแจกันที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะดีๆ อยู่ๆ ก็ขยับตกลงไปได้อย่างไรก็ไม่รู้
“อย่ามาเหลวไหลน่าคุณอิม!! กลับไปทำงานต่อได้แล้ว” คำสั่งเสียงเฉียบขาดนั้นทำให้อิมยุนอาต้องก้มลงเก็บเศษกระเบื้องที่เกลื่อนกระจายอยู่ที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมิวายหันซ้ายแลขวาด้วยความหวาดกลัว
คนไข้หนุ่มที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่แจกันจะตกลงมารู้ดีว่าพยาบาลสาวคนนั้นไม่ได้พูดโกหก เพราะเขาเองก็เห็นเต็มสองตาแต่ต่างกันที่ตรงว่าเขาเห็นถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ด้วย
“บารอม!!” ซองมินร้องออกมาดังลั่นด้วยความโกรธขึ้ง ทั้งที่อุตส่าห์บอกไว้แล้วว่าอย่าสร้างความวุ่นวายแต่เด็กแสบคนนั้นก็ไม่ยอมฟังเลยซักนิด
วิญญาณเด็กน้อยไม่สนใจว่าตอนนี้อีซองมินจะรู้สึกอย่างไร กลับลอยฉวัดเฉวียนเฉียดหัวพยาบาลสาวที่ก้มๆ เงยอยู่ล่างเคาน์เตอร์จนเจ้าตัวร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจที่อยู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวูบเหมือนมีลมพัดผ่านหัวทั้งที่ตรงจุดนี้ไม่ใช่จุดที่ลมจากเครื่องปรับอากาศจะลง สาวน้อยผู้น่าสงสารจึงโดนพยาบาลหัวหน้าเอ็ดเป็นคำรบที่สองแม้จะพยายามอธิบายแล้วว่าเธอคิดว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น
ซองมินไม่รอช้ารีบวิ่งตามวิญญาณเด็กตัวแสบไปก่อนที่เจ้าตัวจะก่อเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้ แต่ก่อนจะไปก็ยังมิวายหันมาขอโทษขอโพยพยาบาสาวอิมจนเจ้าตัวได้แต่มองตามงงๆ ด้วยไม่เข้าใจว่าคนไข้หนุ่มคนนั้นทำอะไรผิด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะบารอม!!” ซองมินตะโกนดังลั่นสลับกับหอบแฮ่กด้วยความเหนื่อยอ่อนขณะไล่กวดวิญญาณเด็กชายที่ลอยว่อนไปมาอย่างยั่วโมโห
“แน่จริงก็จับให้ได้ดิ!” เด็กหนุ่มว่าพลางหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
“พี่ไม่สนุกนะบารอม! ถ้านายยังทำแบบนี้พี่จะโกรธจริงๆ แล้วนะ” ซองมินเปลี่ยนจากวิ่งมาหยุดจ้องไปที่บารอมที่ลอยกลางอากาศห่างออกไป 2 ช่วงเสา
“เจ๊ไม่สนุกแต่ผมสนุกนี่ ฮ่าๆๆๆ”
“เอ๊!! ก็บอกว่าอย่าเรียกเจ๊ไงเล่า!” ซองมินตวาดเสียงดังลั่นด้วยความเดือดดาล “ก็ได้! งั้นอยากจะไปทำอะไรที่ไหนก็ไปเลย พี่จะไม่สนใจนายแล้ว” ซองมินพูดอย่างเหลืออด ก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง ให้ตายเถอะ! ทั้งที่บารอมก็สงบมาได้ตั้งนานแล้ว ถึงแม้จะกวนประสาท ชอบแย่งเขาดูทีวีแต่ก็ไม่เคยก่อความเดือดร้อนหรือสร้างความวุ่นวายให้กับใครแต่ทำไมวันนี้ถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แถมยังหลอกล่อให้เขาวิ่งตามจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าครึ่งชั่วโมง ก็เอาสิ! ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหวังว่าเขาจะยกโทษให้ ต่างคนต่างอยู่ไปก็แล้วกัน!
บารอมได้แต่มองตามหลังร่างเล็กๆ ที่เดินฮึดฮัดออกไปด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะยิ้มร้ายออกมาเมื่อคิดถึงแผนการบางอย่างออกมาได้
“คอยดูเถอะเจ๊! ถึงเจ๊จะไม่อยากยุ่ง ยังไงก็ต้องยุ่งอยู่ดีนั่นแหละ!!” ตะโกนไล่หลังส่งท้ายจนซองมินหันมาตีหน้ายักษ์ใส่ก่อนจะสะบัดหน้าหนีเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก
“อึนจู ที่จะบอกพี่นี่คือเรื่องของบารอมใช่มั้ย” ซองมินหันมาคาดคั้นเอากับเด็กหญิงที่ทำท่าทางน่าสงสัยมาตั้งแต่เมื่อก่อนหน้านี้ พอเธอปรากฏตัวให้เห็นในห้องพักจึงถูกชายหนุ่มซักฟอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ค่ะ แต่พี่บารอมเขาสั่งไม่ให้หนูบอกพี่ชาย” อึนจูพูด ก้มหน้างุดมองรองเท้าสีขาวที่ตนเองสวมใส่อยู่ มือก็บิดอยู่ที่ชายกระโปรง
“บอกพี่มาเถอะอึนจู ยิ่งเราไม่บอกบารอมก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายมากขึ้นนะ” ซองมินพูดเสียงเข้มจนอึนจูลำบากใจ ใจหนึ่งก็กลัวบารอมจะโกรธ แต่อีกใจก็กลัวซองมินเหมือนกัน
“พี่บารอมบอกว่าวันนี้จะแกล้งให้โรงพยาบาลป่วนไปเลย ผู้ชายคนนั้นจะได้ไม่กล้ามาที่นี่อีก” สุดท้ายสาวน้อยก็ยอมเปิดปากพูด
“ผู้ชายคนนั้นเหรอ”
“ค่ะ ผู้ชายคนนั้นที่มากับผู้หญิงน่ากลัวๆ” คำตอบของอึนจูไม่ต้องทำให้ซองมินนึกนาน จะมีใครอีกถ้าไม่ใช่ชายหนุ่มร่างสูง นัยน์ตาสีดำลึกล้ำคนนั้น แม้แต่วิญญาณด้วยกันคงจะสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตและความร้ายกาจของวิญญาณสาวชุดดำที่เกาะติดชายหนุ่มคนนั้นอยู่ บารอมคงไม่อยากอยู่ใกล้หญิงสาวคนนั้นมากนัก
จะว่าไป…เขาเองก็เช่นเดียวกัน
“แต่ยังไงบารอมก็ไม่ควรจะทำแบบนี้ มันทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย” ซองมินพูดเสียงขุ่น
“ที่จริงแล้ว…พี่บารอมเขาเป็นห่วง..” พูดได้แค่นั้น อึนจูก็ยกมือขึ้นปิดปากตนเองแน่น
“อะไรอึนจู พูดมาให้จบสิ” ซองมินถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่เด็กน้อยก็เอาแต่ปิดปากแน่น ส่ายหน้าแรงๆจนผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากกระจาย
“อึนจูบอกไม่ได้แล้วค่ะ พี่บารอมห้ามบอก” พูดได้แค่นั้น วิญญาณเด็กหญิงก็หายวับไปเพื่อตัดปัญหาไม่ให้ซองมินได้ซักไซ้ต่อ
ซองมินได้แต่สบถออกมาเบาๆ อย่างหัวเสีย ให้มันได้อย่างนี้สิ เข้ากันได้ดีจริงๆ เลยผีคู่นี้ ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็จำเป็นต้องหาทางหยุดยั้งไม่ให้บารอมก่อเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้
“จะดีเหรอพี่บารอม ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ” เสียงเล็กๆ เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ ตอนนี้เธอกับวิญญาณเด็กชายที่ชื่อบารอมกำลังนั่งอยู่บนหลังตู้เก็บของในห้องของจิตแพทย์หนุ่มที่ชื่อคยูฮยอน จากมุมนี้เห็นหลังชายหนุ่มเจ้าของห้องที่กำลังสวมเสื้อกาวน์สีขาวเพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติงานเป็นวันแรก หลังจากที่เมื่อวานมาเยี่ยมชมโรงพยาบาลและก็ไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากกลับบ้านไปพูดคุยกับผู้เป็นบิดาถึงการเข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาลอย่างจริงจัง วันนี้คยูฮยอนจึงมาที่โรงพยาบาลแต่เช้าเพื่อเริ่มต้นทำงานที่ตัวเองคิดอยากจะทำเสียที
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราแค่ขู่ให้เขากลัวเองนะ คงไม่ถึงกับทำให้ตายหรอก” บารอมพูดตอบแม้น้ำเสียงจะฟังดูไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน แต่ก็เอาเถอะ ชั้นวางของอันเล็กแค่นี้คงไม่ถึงกับทำผู้ชายตัวใหญ่อย่างคยูฮยอนเป็นอะไรหรอกมั้ง อย่างมากก็คงแค่กระดูกเคลื่อน
“แต่พี่ซองมิน….”
“ที่เราทำก็เพื่อช่วยพี่ซองมินนะ อย่าลืมสิอึนจู”
เมื่อเอ่ยถึงชายหนุ่มอีกคน อึนจูจึงจำต้องพยักหน้ารับเพื่อร่วมมือด้วย เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำแบบนี้ มันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยอีซองมินได้ แม้ว่าจะไม่อยากทำแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าบารอมก็อยากทำ ทั้งเธอและเขาต่างก็ไม่ได้มีความแค้นกับคุณหมอหนุ่มผู้ย้ายมาใหม่คนนี้
“แต่พี่บารอม พี่ชายคนนี้เขาไม่ได้มีผีตัวนั้นตามแล้วนี่” ก่อนที่จะทันได้ทำอะไรอึนจูก็พูดทักท้วงขึ้นมาก่อน บางทีผีผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความแค้นคนนั้นอาจจะเลิกติดตามชายหนุ่มคนนี้ไปแล้วก็ได้
“ไม่จริงหรอก ไม่รู้สึกเหรอ กลิ่นมันยังอยู่ ผีตัวนั้นคงมีเหตุผลอะไรบางอย่างถึงได้เลิกตามผู้ชายคนนี้ชั่วคราว แต่มันยังไม่รามือง่ายๆ หรอก” บารอมพูดอย่างมั่นใจ เขายังได้กลิ่นความอาฆาตแค้นที่ลอยวนรอบตัวผู้ชายคนนี้อยู่ แม้จะจะเจือจางมากเพราะผีสาวตนนั้นไม่ได้วนเวียนอยู่แถวนี้ แต่กลิ่นนั้นมันก็ยังไม่หายไป
“นั่นน่ะสิ ถ้าอย่างนั้น…ขอโทษด้วยนะคะพี่ชาย แต่พวกหนูจำเป็นต้องทำ” เด็กสาวพูดเสียงเศร้าก่อนจะหันไปสบตาวิญญาณเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ
วิญญาณทั้งสองลอยขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะออกแรงผลักชั้นวางของขนาดเล็กที่นั่งอยู่เมื่อครู่ โดยคุณหมอหนุ่มผู้ยืนหันหลังตรงกับชั้นวางของที่กำลังค่อยๆ เอนมานั้นไม่รู้ตัวเลย
“ระวัง!!” เสียงร้องดังขึ้นมาจากประตูทางเข้าห้องพักส่วนใน คยูฮยอนหันไปมองเจ้าของเสียง แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกกระชากล้มลงไปบนพื้น ก่อนที่ชั้นวางของที่เคยอยู่ข้างหลังจะล้มลงมาตรงที่ๆ เพิ่งยืนเมื่อครู่ชนิดที่ว่าหากช้าไปกว่านี้แค่ชั่ววินาทีเขาคงอยู่ใต้ชั้นวางนั่นไปแล้ว
คยูฮยอนหันไปมองที่ชั้นวางของที่ล้มลงมาด้วยสายตาตื่นตะลึงก่อนจะหันกลับมามองคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ที่กำลังนอนอยู่ใต้ร่างเขาพลางร้องเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“คุณ….คุณอีซองมิน!” คยูฮยอนอุทานชื่อชายหนุ่มร่างเล็กหน้าหวานที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ซองมินไม่ทันได้คิดว่าเหตุใดคุณหมอที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรกถึงได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามเต็มยศของเขาได้
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ซองมินพูดด้วยสีหน้าโล่งใจก่อนจะหันไปมองที่วิญญาณสองเด็กน้อยที่มีสีหน้าตื่นตะลึงทั้งคู่ด้วยสายตาคาดโทษ ทันทีที่เห็นท่าไม่ดีทั้งสองก็รีบหายตัวไป “บารอม อึนจู! คิดไว้แล้วไม่ผิด” คำพูดพึมพำเบาๆ นั้นทำให้คยูฮยอนงงเป็นไก่ตาแตกแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร ค่อยๆ พยุงร่างที่เล็กกว่านั้นให้ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
“ขอบคุณมากนะครับ” คยูฮยอนพูดพลางส่งยิ้มบางๆ ให้ ซองมินเพียงแต่พยักหน้ารับ ยังไม่ทันที่คยูฮยอนจะถามว่าชายหนุ่มหน้าหวานคนนี้เข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงรู้ว่าเขากำลังจะเกิดอันตราย ซองมินก็กระชากคอเสื้อคยูฮยอนเข้ามาใกล้จนใบหน้าห่างกันเพียงลมหายใจกั้น สร้างความตกใจให้คุณหมอหนุ่มไม่น้อย
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง….” ซองมินพูดเสียงเบาด้วยความเข้าใจหลังจากที่ดึงเอาสร้อยคอที่สอดอยู่ภายในเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่มออกมา ตอนเมื่อครู่ที่คยูฮยอนล้มทับบนตัวเขา เขาเห็นสายสร้อยคอที่คอขาวๆ ของคยูฮยอน พอดึงออกมาถึงได้รู้ว่ามันคือสร้อยที่ร้อยจี้รูปไม้กางเขนสีเงิน มิน่าล่ะผีสาวตนนั้นถึงได้ไม่ติดตามชายหนุ่มคนนี้เหมือนเมื่อวาน
“น…นี่คุณ” คยูฮยอนร้องเตือนสติเมื่อซองมินยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากคอเขา ไม่ใช่อะไรหรอกก็ตอนนี้หน้าซองมินแทบจะติดกับหน้าเขาอยู่แล้ว คนตัวเล็กคนนี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยรึไงนะ
“คุณได้มันมาจากไหน” ซองมินไม่สนใจ ยังคงถามชายหนุ่มต่อ
“มีคนให้ผมมา คุณชอบเหรอ ผมยกให้” คยูฮยอนดันตัวออกทำท่าว่าจะถอดสร้อยให้คนไข้แผนกจิตเวชคนนี้ อย่างน้อยก็ถือเป็นสิ่งตอบแทนที่อุตส่าห์มาช่วยเขาไว้ แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ได้ต้องการสร้อยเส้นนี้เท่าใดนัก
เขาได้สร้อยเส้นนี้จากหมอดูชราขอทานคนหนึ่งที่เดินเร่ร่อนอยู่แถวหน้าโรงพยาบาล ด้วยความสงสารเลยให้เงินจำนวนหนึ่งแก่ชายชราคนนั้นและปฏิเสธไม่ให้หมอดูช่วยดูดวงให้เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ชายคนนั้นเลยมอบสร้อยเส้นนี้ให้แทนพร้อมกำชับกำชาให้เขาสวมเอาไว้ตลอดเวลา เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องรับเอาไว้ไม่อย่างนั้นชายแก่คนนั้นคงไม่ยอมปล่อยเขาออกมาง่ายๆ
“คุณเก็บเอาไว้เถอะ คุณจำเป็นต้องใช้ ระวังตัวเอาไว้ให้ดี ยังมีบางอย่างที่น่ากลัวกว่านี้” ซองมินพูดเตือนพลางจับมือห้ามชายหนุ่มไม่ให้ถอดสร้อยออก
คยูฮยอนอดสำรวจเครื่องหน้าที่อยู่ชิดใกล้เขามาได้ ตากลมโตใสสีน้ำตาลเข้มดูโดดเด่น จมูกโด่งปลายแหลมรั้นขึ้น ริมฝีปากอิ่มได้รูปทรงกระจับสีอ่อนหวาน ใบหน้าขาวนวลเนียน พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าชายหนุ่มคนนี้น่ารัก และสวยเสียผู้หญิงแท้ๆ หลายคนยังอาย
ซองมินที่รู้ตัวว่าโดนจ้องอยู่รีบเบือนหน้าหลบ ใบหน้าร้อนผะผ่าวด้วยความอาย
ไอ้หมอโรคจิต มองอย่างกับจะกินเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้นแหละ รู้งี้ปล่อยให้นอนหลังหักอยู่ใต้ชั้นวางของเสียได้ก็ดี
มือเล็กออกแรงผลักอกแกร่งที่คราแรกอยู่แนบชิดให้ขยับออก คยูฮยอนจึงได้สติรีบดึงกายออกห่างจากตัวซองมิน
“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณมากนะครับ” คยูฮยอนพูดพลางกระตุกริมฝีปากยิ้มอีกครั้ง ซองมินพยักหน้ารับโดยไม่มองหน้า ก่อนจะยันกายลุกขึ้น ใบหน้าหวานนิ่วน้อยๆ ด้วยความเจ็บหลังเพราะถูกกระแทกตอนล้มลงไปเมื่อครู่
“เจ็บเหรอ คุณเดินไหวมั้ย ให้ผมไปส่งที่ห้องดีกว่า” คยูฮยอนรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร” ซองมินรีบปัดความหวังดีนั้นทิ้งทันที เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพียงแต่รู้สึกไม่ปลอดภัยที่ต้องอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ จะว่ากลัวสิ่งลี้ลับที่ทำตัวเป็นเจ้าของชายหนุ่มคนนี้หรือ มันก็ใช่ อีกเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะอคติที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา คนดีๆ ที่ไหนเขาจะมีวิญญาณร้ายตามอาฆาตจองล้างจองผลาญแบบนี้
“นี่คุณ ให้ผมไปส่งเถอะ” คยูฮยอนยังคงยืนยันคำเดิม เดินตามมาดักหน้าซองมินที่กำลังจะออกจากห้องเพราะเป็นห่วงร่างเล็กที่ยังคงลูบหลังตัวเองอยู่อย่างนั้น คงจะเจ็บอยู่ไม่น้อย
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง คุณนั่นแหละ ดูแลตัวเองให้ดีๆ เถอะ แล้วห้ามถอดสร้อยนั่นเด็ดขาด” ซองมินกล่าวเตือนซ้ำสอง ก่อนจะสะบัดแขนที่จับเขาเอาไว้ออก แล้วเดินออกจากห้องไป
คยูฮยอนไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของชายหนุ่มหน้าหวานคนนี้เท่าไดนัก ตอนแรกก็มาช่วยเขา มาจากไหนก็ไม่รู้ ปุบปับจะไปก็ไป ซ้ำยังส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้อีก ไหนยังจะคำเตือนแปลกๆ ที่ฟังดูคล้ายกับขอทานชราที่เพิ่งพบเจอ
มันคงจะเป็นอาการปกติของคนไข้ที่ชื่ออีซองมินล่ะกระมัง
คยูฮยอนออกมาจากห้องตรวจหลังจากที่หมดเวรรักษาของเขาแล้ว ทันทีที่ออกมาสายตาคมก็เหลือบมองเงาไวๆ ที่หลบแวบหายไปหลังโซฟาที่ให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยนั่งรอคิวก่อนจะถูกเรียกเข้าไปตรวจข้างใน
รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า แต่เพียงแค่ชั่วครู่ ชายหนุ่มก็กลับมาตีหน้าขรึมก่อนจะเดินออกจากบริเวณตรวจคนไข้เพื่อไปเยี่ยมผู้ป่วยในต่อ
อยากจะตามก็ตามไปสิคุณอีซองมิน ผมก็อยากจะรู้ว่าคุณจะทำอะไรต่อ
ซองมินถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าคยูฮยอนหันกลับไปแล้วโดยไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร ตั้งแต่เมื่อเช้าที่สังหรณ์ใจไม่ดีว่าต้องเกิดเรื่องอะไรกับคยูฮยอนแน่ๆ แล้วก็คิดไม่ผิดเมื่อวิญญาณเด็กน้อยที่เขารู้จักดีเกือบทำร้ายผู้ชายคนนี้ไปเสียแล้ว ซองมินจึงถือเอาเองว่าตัวเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กสองคนนั่นต้องรับผิดชอบด้วยการดูแลปกป้องคยูฮยอนให้มีชีวิตรอดปลอดภัยในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ก็แค่รอดจากเงื้อมมือของเด็กสองคนที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น แต่กับวิญญาณอีกตนเขาไม่ขอยุ่งเกี่ยว
และอีกเหตุผลที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งบารอมและอึนจูทำเรื่องร้ายแรงเกินเยียวยาให้เป็นผิดบาปติดตัวจนเสียมลทิน เพราะเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าวิญญาณที่ทำผิดมหันต์อย่างเช่นการทำร้ายมนุษย์นั้นจะต้องเจอกับอะไรต่อไปเมื่อถึงคราวต้องก้าวข้ามไปอีกโลกหนึ่ง
ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าเขาไม่ชอบหน้าอีตาหมอขี้เก๊กนี่ เห็นแล้วไม่ถูกชะตา ไม่ชอบลูกตาดำขลับที่มักส่งประกายวิบวับๆ แปลกๆ แต่เพราะหน้าที่ที่ตัวเองอนุมานขึ้นมาเองจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซองมินรีบลุกขึ้นก่อนจะแอบเดินตามไปเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนก้าวห่างออกไปได้พอสมควรแล้ว
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้การกระทำของตัวเองที่มาแอบตามเขาอย่างกับคนโรคจิตจำพวกสตอล์กเกอร์นั้นคยูฮยอนรู้เห็นหมดแล้ว
“ทำยังไงดีล่ะพี่บารอม พี่ซองมินตามติดพี่ชายคนนั้นแจเลย” อึนจูพูดด้วยความกลุ้มใจขณะนั่งหย่อนขาอยู่บนขื่อปูนบนเพดานในโรงพยาบาล มองซองมินที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เดี๋ยวก็ผลุบๆ โผล่ๆ ตามเสาข้างทางที่จิตแพทย์หนุ่มนามว่าคยูฮยอนเดินผ่าน
“ถ้าโจมตีกันตรงๆ ไม่ได้ก็คงต้องใช้วิธีการอื่น” บารอมพูดพลางทำท่าใช้ความคิด
“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ” อึนจูเอียงคอถามด้วยความสงสัย
รอยยิ้มทะเล้นยามคิดแผนการแปลกๆ ออกผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กชายบารอม ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มแจงแผนการให้สาวน้อยร่วมขบวนการฟัง
---------------------------------------------------------
ความคิดเห็น