ลำดับตอนที่ #4
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ศึกประลองช่วงชิงสิ่งของ
ตอนที่ 4 ศึกประลองช่วงชิงสิ่งของ
พอรุ่งเช้าจิวอวงยี้พยายามรื้อค้นเสื้อผ้าสตรีที่ชายชรานำมาให้เมื่อสองวันก่อนมาสวมใส่ จัดแจงแต่งตัวให้เหมือนหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ ตามลักษณะคงซิมไช้ที่เฒ่าชราบอกกล่าว เฒ่าแซ่เต็กพอพบเห็นต้องตระลึงงันชั่วครู่เหมือนตกอยู่ในห้วงความฝัน คล้ายพบบุตรสาวตนอีกครั้งก็ปาน จิวอวงยี้กุลีกุจอปรนนิบัติเฒ่าชราดุจบิดา จัดแจงอาหาร ต้มน้ำล้างเท้า เย็บประชุนเสื้อที่ขาดให้ เฒ่าแซ่เต็กที่แรกยังเขอะเขินขัดขืน แต่พอถูกนางคะยั้นคะยอก็ไม่อาจแข็งขืนได้ ทั้งสองมีความสนิทชิดเชื้อมากขึ้นกว่าเดิม จิวอวงยี้ต้องครุ่นคิดอย่างปิติ ‘ยามนี้ต่อให้วางยาในอาหาร ท่านรับประทานถึงตายก็ไม่สงสัยเรา’
จิวอวงยี้ขณะทำความสะอาดตู้ใบหนึ่ง พบเห็นกล่องไม้ฝุ่นจับเกรอะกรังจึงนำมาปัดกวาด พอเปิดออกต้องตื่นเต้นสงสัย
ภายในบรรจุตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่คุ้นตานางที่สุดเป็นตุ๊กตารูปกระต่าย นางต้องหยิบฉวยขึ้นมาเพ่งพินิจดู คล้ายตุ๊กตากระต่ายของนางอย่างยิ่ง พลันได้ยินเสียงเฒ่าแซ่เต็ก กล่าวถาม
“เป็นไร ชอบตุ๊กตาไม้เหล่านั้นรึ”
จิวอวงยี้คล้ายได้สติ ถือตุ๊กตากระต่ายไปให้ชายชราชมดูกล่าวถาม
“เต็กเอี่ยเอี้ย ท่านเป็นผู้สลักตุ๊กตาเหล่านี้หรือ”
ยามนี้นางเรียกมันเป็นเอี่ยเอี้ยผู้หนึ่ง ไม่ได้กล่าวเรียกเป็นเล่าเอี้ยจือให้เป็นที่เหินห่าง เฒ่าชราก็รู้สึกพอใจกลับการกล่าวเรียกเช่นนี้ของนางมากกว่าเล่าเอี้ยจือมากนัก เฒ่าแซ่เต็กกล่าวว่า
“เราไม่ได้เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่เป็นเด็กน้อยที่เราเคยช่วยไว้ผู้หนึ่งเป็นผู้แกะสลักไว้”
จิวอวงยี้ตื่นเต้นสงสัย คิดกล่าวถามว่าเด็กน้อยผู้นั้น มันมีแผลที่แก้มซ้ายหรือไม่ แต่พลันฉุกคิดได้หากกล่าวถาม อาจสะกิดความสงสัยต่อเฒ่าแซ่เต็ก เปิดเผยพิรุธของตน จึงกร่ำกลืนวาจาไว้ เปลี่ยนเป็นถามว่า
“เด็กผู้นี้ไฉนจึงสลักตุ๊กตาไม้ ไว้มากมาย”
“เราความจริงก็สงสัยเคยกล่าวถามมันเช่นนี้เหมือนกัน มันกล่าวตอบเราว่า มันมีม่วยม่วยผู้หนึ่งพลัดหลงกัน นางจะยินดียิ่งเมื่อมันทำตุ๊กตาให้นาง หากมันพบพานนางจะมอบตุ๊กตาเหล่านี้ให้”
จิวอวงยี้กุมตุ๊กตาไม้รูปกระต่ายมือสั่นระริก ใคร่ทราบว่าคนผู้นี้ใช่ตั่วกอที่เคยช่วยชีวิตรวมทุกข์ของนางหรือไม่ บังคับเสียงให้เป็นปกติกล่าวถามต่อ
“เด็กผู้นั้นไม่ทราบว่า ได้พบม่วยม่วยของมันหรือไม่”
เฒ่าแซ่เต็กส่ายศีรษะช้าๆ กล่าวตอบ
“ไม่พบ มันอยู่กับเราสามปี สามปีนี้ล้วนออกติดตามหานางในระแหวกหุบเขา บางคราถึงกับคิดขึ้นไปเบื้องบนหุบเขา โดนผู้คนบนนั้นทำร้ายบาดเจ็บมาหลายครั้ง ครั้งหลังสุดโดนผู้คนฟันเข้าหลายดาบได้รับบาดเจ็บสาหัส เราต้องไปเอาตัวลงมา มันนอนซมไม่ได้สติสิบกว่าวัน ดีที่พวกนั้นไม่เจตนาทำร้ายมันถึงชีวิต ทุกครั้งที่มันขึ้นไปล้วนทำร้ายขับไล่มันลงมา เฮอะ นับว่าพวกมันยังรักษาสัจจะอยู่บ้าง ยามนั้นเราพบพานมัน กลับไม่ทราบว่ามันมีม่วยม่วยอีกผู้หนึ่ง“
จิวอวงยี้รับฟังเรื่องราว เชื่อมั่นว่าเป็นตั่วกอที่ไม่ทราบชื่อของนางอย่างแน่แท้ ตุ๊กตากระต่ายนี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยัน นางเองก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าวันเวลาที่ผ่านมาเพ่งมองวันล่ะกี่รอบ ลวดรายที่สลักไว้ล้วนจดจำออก พอคิดถึงตั่วกอคิดขึ้นยอดหุบเขา ต้องใจหายหากไม่ใช่บรรดาซือแป๋รับปากไม่ฆ่าคนกับเฒ่าแซ่เต็ก สั่งบริวารอย่าได้ฆ่าโดยพละการ มันก็ไม่อาจรอดชีวิตแล้ว นางความจริงอยู่ในกลุ่มคนมิจฉาชีพไม่ค่อยเชื่อทางกฎแห่งกรรมของศาสนา แต่ยามนี้ไม่อาจไม่เชื่อได้ เฒ่าแซ่เต็กไม่ให้บรรดาซือแป๋ของนางฆ่าคนเพื่อสร้างกุศล กุศลนั้นกลับเพื่อแผ่มาถึงนาง หากตั่วกอนางตายใต้คบดาบคมกระบี่ของคนหุบเขาสิ้นชีพเพื่อติดตามหานาง ภายหลังเมื่อรับรู้ไม่ทราบจะมีความรู้สึกเช่นไร ครุ่นคิดแล้วต้องกล่าวขอบคุณสวรรค์ น้ำตาแทบหลั่งไหล แต่พยายามข่มกลั้นไว้ กล่าวถามต่อไปว่า
“ตอนนี้คนผู้นี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว”
“เราก็ไม่ทราบ มันหลังจากท้อแท้สิ้นหวังคาดว่าไม่อาจตามหาม่วยม่วยของมันพบ ก็อำลาเราไป เด็กผู้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ เรากลับถูกชะตามันไม่น้อย”
ยามมันกล่าวคำว่าสัตย์ซื่อ สายตาเพ่งมองไปยังจิวอวงยี้ราวกับค้นหาบางอย่าง จิวอวงยี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงหลบสายตาเฒ่าแซ่เต็ก พลางขอตัวไปทำงานต่อ
พอหัวค่ำทั้งคู่กำลังนั่งรับประทานอาหาร พลันได้ยินเสียงวัตถุฝ่าอากาศเร่งเร้า ผ่านเข้าช่องหน้าต่างพุ่งเข้าหาจิวอวงยี้ วัตถุชิ้นนั้นก่อนจะถึงร่างของนางเพียงเซียะเศษ เฒ่าแซ่เต็กพลันยื่นตะเกียบออกคีบหยุดไว้วางลงข้างตัว การคีบครั้งนี้นุ่มนวลแผ่วเบารวดเร็ว ประดุจคีบอาหาร จิวอวงยี้ต้องอุทานอย่างแตกตื่นตกใจ เห็นสิ่งที่มันคีบไว้วางข้างตัวเป็นเทียบฉบับหนึ่ง มีตัวหนังสือเขียนด้านหน้าว่า ถึงท่านอาวุโส เต็กอุ้น จิวอวงยี้ย่อมทราบว่าเป็นผู้ใดส่งเทียบมา แต่แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีสีหน้าแตกตื่นสงสัย เฒ่าแซ่เต็กพลันกล่าวว่า
“ไม่มีอันใด อย่าได้ตกใจ รับประทานต่อเถอะ”
เฒ่าแซ่เต็กหลังจากรับประทานเสร็จ ก็เปิดเทียบออกดู ในเทียบเขียนไว้ว่า
‘ครบกำหนดนัดสิบปี เราทั้งสามพร้อมรับการชี้แนะอีกครา ยามนี้คิดเพิ่มผู้ช่วยอีกผู้คนเป็นศิษย์ของพวกเรา จึงบอกกล่าวล่วงหน้า อาวุโสเต็กระวังสิ่งของให้มากไว้ จากสามภูติกวนตั๋ง’
เฒ่าแซ่เต็กพออ่าน ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยในใจครุ่นคิด ‘ทารกทั้งสามยังไม่ยอมลามือจริงๆ’ จัดวางเทียบลงบนโต๊ะ จิวอวงยี้หยิบขึ้นมาชมดูกล่าวถามว่า
“เต็กเอี่ยเอี้ย มีเรื่องราวใด”
เฒ่าแซ่เต็กยิ้มขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า
“ไม่มีอันใด สหายเก่าคิดมาเยี่ยมเยือนหยิบยืมของเท่านั้น”
จากนั้นก็เข้าไปในห้อง ยกหีบเหล็กออกมาวางไว้ข้างแคร่ เห็นมันจัดแจงที่นอนล้มตัวพักผ่อน เพียงครู่ก็หลับไหล จิวอวงยี้อดไม่ได้ ต้องครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ ‘ค่ำคืนนี้ครบกำหนดแล้ว อีกทั้งท่านยังได้รับเทียบบอกกล่าว ไฉนยังกล้าหลับนอน” แต่แล้วพลันฉุกคิดได้ ต้องกล่าวชมเชยเฒ่าชราในใจ ‘ท่านกลับเข้าใจอุบายซือแป๋เรา นับว่าชาญฉลาดยิ่ง แต่หาทราบไม่ข้าพเจ้าจึงเป็นหมากสำคัญ’ นางเก็บจานชามทำความสะอาดก่อนเข้าห้องไป
ที่แท้สามภูติกวนตั๋งส่งเทียบบอกกล่าวตักเตือน เพื่อให้เฒ่าแซ่เต็กตื่นตัวจัดเตรียมการป้องกัน คาดเดาว่าเฒ่าแซ่เต็กต้องเฝ้าของอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน รอจนมันไม่ได้พักผ่อน ร่างกายชราของมันไหนเลยทนทานได้ พอเรี่ยวแรงอ่อนล้า ค่อยลงมือช่วงชิง แต่ไม่คาดเฒ่าแซ่เต็กอ่านอุบายนี้ออก พักผ่อนอย่างสบายทราบว่าสามภูติกวนตั๋งยังไม่ลงมือคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้โดยเด็ดขาด จึงหลับลงเอาแรง
พอคืนวันที่สามเฒ่าแซ่เต็กนำหีบเหล็กมาวางบนโต๊ะกลางบ้าน หีบเหล็กนี้แม้ใบใหญ่แต่มีความหนาไม่มาก มีลักษณะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าตามตัวดาบ แต่บรรจุเพิ่มเสื้อไหมดำอีกตัวหนึ่งจึงใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย คนเดียวสามารถสะพายแบกได้ไม่เกะกะ
ให้จิวอวงยี้จัดเตรียมน้ำชากาใหญ่ ตนเองนั่งจิบน้ำชาคล้ายรอคอยผู้คน จิวอวงยี้เมื่อเพ่งมองดูมัน เห็นมันมีท่าทีคึกคักแจ่มใสประดุจหนุ่มฉกรรจ์ขึ้นมาผิดกับกาลก่อนต้องจ่องมองด้วยความฉงน เฒ่าแซ่เต็กจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนกล่าวบอกให้จิวอวงยี้เข้าไปในห้องไม่ว่าได้ยินเสียงใดห้ามไม่ให้ออกมา
เวลายามสามได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามสายลม เฒ่าแซ่เต็กทราบว่าสามภูติกวนตั๋งมากันแล้ว ประตูบ้านพลันเปิดออก ร่างทั้งสามยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เบื้องหน้าผู้เฒ่า เจี่ยซิงเห๋อก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมาประสานคาราวะยิ้มแย้มกล่าวขึ้น
“ไม่พบกันนาน ท่านผู้เฒ่าสบาย?”
เฒ่าแซ่เต็กหัวเราะ ฮ่า ฮ่า เอามือลูบเคราขาวโพลน ก่อนตอบ
“เรายังสบาย แต่ก็ไม่ใคร่สุขสำราญนัก”
พลางสอดส่ายสายตาสำรวจพบเห็นมีเพียงสามคนจึงกล่าวถามขึ้น
“ศิษย์พวกท่านเล่า ไม่ได้มาด้วยกันหรอกรึ”
งุ้ยเลี่ยงแชยิ้มขึ้นกล่าวเสียงแหลมเล็ก
“ศิษย์ของเราย่อมมาด้วยแต่จะติดตามมาในภายหลัง”
คังหมิ่นย่อกายคาราวะอย่างชดช้อยกล่าวว่า
“เล่าเอี้ยจือ ยังสุขภาพแข็งแรง เป็นที่นับถือยิ่งนัก ผู้เยาว์รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”
นางพอกล่าวน้ำเสียงก็หยาดเยิ้มหยดย้อย ชม้ายชายตายั่วยวน นางไม่ได้ดัดจริตเสแสร้งแต่ประการใด การกล่าวน้ำเสียงกับกิริยาเช่นนี้เป็นนิสัยติดตัวนางมาเนิ่นนาน งุ้ยเลี่ยงแชล้วนทราบดีแต่ก็อดบังเกิดอารมณ์ขุ่นมัวไม่ได้ ดีที่จิวอวงยี้รับส่วนนี้ของนางไปไม่มาก บางครานึกสนุกจึงลอกเรียนแบบเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นงุ้ยเลี่ยงแชคงอัดอั้นใจตาย
เฒ่าแซ่เต็กหัวเราะกึกก้อง กล่าวเสียงกังวาน
“ยากนักพวกท่านมาอย่างเปิดเผย ครานี้ไม่ทราบมีวิธีแปลกใหม่อันใด เวลาไม่เช้าแล้ว จะลงมือเลยหรือไม่”
บัณฑิตมือวิเศษ กล่าวว่า
“สิบปีมานี้ผู้เยาว์ฝึกฝนฝีมือเพิ่มเติมขึ้นมากหลาย คิดแก้หน้าประลองช่วงชิงสิ่งของจากมือท่านผู้เฒ่าอย่างเปิดเผยดูซักครา โปรดชีแนะสั่งสอน”
เฒ่าแซ่เต็กตบตะวัดหีบเหล็กด้วยมือเดียวขึ้นถือในมือ ยื่นออกเบื้องหน้ากล่าวว่า
“ของอยู่นี้แล้วเชิญลงมือ”
บัณฑิตมือวิเศษ คิดแก้หน้าคราครั้งก่อนถูกเฒ่าแซ่เต็กฉกชิงเสื้อไหมดำไปจากมือต่อหน้าต่อตา เสื่อมเสียเกียรติภูมิฉายามือวิเศษอย่างยิ่ง ครานี้ซุ่มฝึกฝนฝ่ามือยมทูตจนแตกฉานทั้งยังบัญญัติเพิ่มเติม มีความรุดหน้ากว่ากาลก่อน แม้คิดว่าไม่อาจเอาชนะเฒ่าแซ่เต็กได้แต่ช่วงชิงของจากมือมันนั้นอาจพอกระทำได้ ฝ่ามือยมทูตประกอบด้วย หลักคว้าจับสิบแปดหลัก ผ่ามือฟาดฟันสิบสองหลัก หมัด ดรรชนีอีกสิบหลัก ความจริงหนักไปทางคว้าจับ แต่ชื่อคว้าจับยมทูตไม่น่าฟัง จึงเรียกเป็นฝ่ามือยมทูตแทน (ส่วนใหญ่ชนชาวมิจชาชีพที่ถนัดการช่วงชิงย่อมต้องให้ความสนใจวิชาคว้าจับเป็นพิเศษ)
พอเห็นเฒ่าแซ่เต็กยื่นหีบเหล็กออกถึงเบื้องหน้า เป็นเชิงให้ลงมือ จึงเอื้อมมือซ้ายออกกางนิ้วทั้งห้า คว้าปลายหีบข้างหนึ่ง มืออีกข้างงัดขึ้นตีข้อสอกฝ่ายตรงข้าม ใช้หลักคว้าหนึ่งในสิบแปดหลักของฝ่ามือยมทูต มือทั้งสองของมันใช้ออกรวดเร็วโดยพร้อมเพียง เฒ่าแซ่เต็กเพียงพลิกข้อมือวูบหนึ่งใช้หลังมือกระแทกหีบเหล็กลอยระลิ่วขึ้น โดยที่นิ้วทั้งห้าของมันยังไม่ทันกระทบถูกปลายหีบ หมุนแขนข้างที่กระแทกหีบเหล็กวกลงต้านท่อนแขนที่จู่โจมข้อสอก ก็สามารถคลี่คล้ายการคว้าจู่โจมทั้งสองของบัณฑิตมือวิเศษได้โดยใช้แขนเพียงข้างเดียว บัณฑิตมือวิเศษต้องร้องชมเชย
“ประเสริฐ เช่นนั้นรับกระบวนท่า”
พลันวกกรงเล็บทั้งห้าเข้าคว้าข้อมือฝ่ายตรงข้ามหนุนเสริมแขนที่ต้านประทะ เป็นสองมือครากุมมือเดียวของเฒ่าแซ่เต็กในหลักเกาะเกี่ยวฉุดดึง เอี้ยวตัวออกด้านข้างฉุดดึงโดยแรง เฒ่าแซ่เต็กกล่าวอย่างราบเรียบ
“ท่านคิดฉุดดึงเรา เรากลับไม่ไป”
สืบเท้าไปเบื้องหน้าก้าวหนึ่งยืนหยัดมั่นออกแรงโถมน้ำหนักลงสู่พื้น ร่างกายคล้ายบรรพตไม่โยกคลอนฝืนการฉุดดึง ใช้มือข้างที่เหลือตีขึ้นเป็นวงกว้างใส่สองแขนบัณฑิตมือวิเศษทำลายการยึดกุมข้อมือมัน
บัณฑิตมือวิเศษรีบหดแขนกลับทั้งสองข้าง หดถึงกลางคันมือข้างหนึ่งพลันเปลี่ยนเป็นนิ้วงองุ้มสองนิ้วพุ่งเข้าหาดวงตา ในท่ามังกรชิงมุกท่านี้กลับเป็นท่าหลอก อาศัยจังหวะที่เฒ่าแซ่เต็กยกมือซ้ายคุ้มครองดวงตา คิดดีดตัวทะยานขึ้นคว้าหีบเหล็กที่กำลังล่วงหล่นลงมา ร่างลอยขึ้นจากพื้นเพียงเซียะเศษก็ไม่อาจทะยานขึ้นอีกได้ ที่แท้มือขวาของเฒ่าแซ่เต็กที่มีนิ้วสามนิ้วกดทับหัวไหล่มันไว้
เฒ่าแซ่เต็กค้ำยันหัวไหล่บัณฑิตมือวิเศษอาศัยช่วงที่มันทะยานตัวขึ้นดันร่างมันลงดึงตัวเองขึ้นไปแทน กลับเป็นฝ่ายคว้าหีบเหล็กกลางอากาศได้ก่อน บัณฑิตมือวิเศษไหนเลยยินยอม พุ่งตัวตามติด มือหนึ่งใช้หลักคว้าจับ อีกมือหนึ่งใช้หลักฝ่ามือฟาดฟันสองมือแยกย้ายจู่โจม ความรวดเร็วกลับมากขึ้นกว่ากาลก่อนบัณฑิตมือวิเศษมีความสามารถเฉพาะตัว มือซ้ายขวาเป็นอิสระต่อกัน สามารถแยกประสาทซ้ายขวาได้ ฉายาบัณฑิตมือวิเศษนี้ไม่ได้หมายถึงความรวดเร็วของมือเพียงอย่างเดียว งุ้ยเลี่ยงแชกับคังหมิ่นพอเห็นต้องโห่ร้องชมเชย ครุ่นคิด ‘ที่แท้ตั่วเฮียฝึกฝ่ามือยมทูตถึงขั้นสูงสุดแล้วกลับไม่ยอมบอกกล่าว’
เฒ่าแซ่เต็ก เห็นมันใช้มือซ้ายขวาแบ่งแยกจู่โจม ดุจคนสองคนกรุ่มรุมมีความรวดเร็วพิสดาร ต้องลอบชมเชยไม่ได้ คาดคิดว่าไม่อาจใช้มือเดียวต้านทาน เหวี่ยงหีบเหล็กลงพื้นเสียงดังสนั่น ปักตรึงกับพื้นเป็นแนวตั้ง แบฝ่ามือทั้งสองตั้งเป็นแนวสันฟาดฟันคล้ายดาบฟาดฟันต้านรับ ทุกครั้งที่ฟาดฟันออกปรากฏเป็นกระแสลมพวยพุ่งหนักหนวงรุนแรง
ทั้งคู่ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนลงสู่พื้นหักหาญกันกว่ายี่สิบกระบวนท่า พอลงสู่พื้นหีบเหล็กตั้งอยู่หว่างกลางคนทั้งสอง ต่างฟาดฟันฝ่ามือช่วงชิงกันอย่างดุดัน จนคนรอบข้างตาลายพร่าพราย เห็นแต่เงาฝ่ามือครอบคลุมกับดูไม่ออกว่าคนทั้งสองใช้กระบวนท่าเช่นไรบ้าง จิวอวงยี้แง้มผ้าม่านชมดูอยู่อย่างระทึกตื่นเต้น นางยังไม่เคยเห็นตั่วซือแป๋ ใช้ฝีมือมากมายเช่นนี้มาก่อน ร้อยกระบวนท่าให้หลังความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเริ่มมีให้เห็น เงาฝ่ามือของบัณฑิตมือวิเศษเริ่มถูกคุกคามที่ละน้อย ภายหลังเห็นเป็นเส้นฝ่ามือฟาดฟันของเฒ่าแซ่เต็กครอบคลุมแทน
ความจริงหากวัดกันที่เพลงฝ่ามือ บัณฑิตมือวิเศษมีความพิสดารรวดเร็วกว่า เฒ่าแซ่เต็กทราบว่าวิชาฝ่ามือหมัดเท้าตนเองที่เคยร่ำเรียนไม่มีความลึกล้ำพิสดารเทียบเท่าเพลงฝ่ามือยมทูต ที่เลิศล้ำเป็นวิชาดาบกับกระบี่ คราก่อนอาศัยกำลังภายในกล้าแข็งจึงเอาชนะได้ ยามนี้บัณฑิตมือวิเศษแตกฉานกว่ากาลก่อนทั้งยังพลิกแพลงไม่สิ้นสุด มันย่อมไม่หักหาญโดยตรงกับเฒ่าแซ่เต็กที่มีกำลังภายในลึกล้ำ เพียงกระทบถูกก็เปลี่ยนแปลงกระบวนท่า เฒ่าแซ่เต็กจึงใช้สภาวะฝ่ามือแทนดาบ ที่ใช้ออกกลับเป็นวิชาดาบไม่ใช่เพลงฝ่ามือ
วิชาดาบของเฒ่าแซ่เต็กมีความลึกล้ำไพศาล เป็นวิชาดาบอสูรโลหิต เน้นลึกซึ้งไม่กว้างขวาง พอฟาดฟันออกบังเกิดลมปราณพวยพุ่ง รวดเร็วแม่นยำครอบคลุมบังคับให้บัณฑิตมือวิเศษไม่อาจหลบหลีก จำต้องต้านรับโดยตรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังภายในเฒ่าแซ่เต็กกล้าแข็งกว่า ย่อมเห็นผลในไม่ช้า บัณฑิตมือวิเศษกลับเป็นฝ่ายโดนมัดมือมัดเท้าแทน มันทุ่มเทสิบปีฝึกฝนยามนี้ไม่อาจใช้ออกรู้สึกขุ่นข้องหม่นหมองอย่างยิ่ง บังเกิดโทสะสูญเสียสมาธิวูบหนึ่งโดนสันมือเฒ่าแซ่เต็ก ฟันข้อมืออย่างถนัดถนี่ รู้สึกปวดแปลบสุดทนทานต้องล่าถอยออกไป ดีที่เฒ่าแซ่เต็กยั้งมือไว้ไมตรีไม่ได้ฟันข้อแขนมันหักลง
สามภูติกวนตั๋งสบตาโดยพร้อมเพียง แสดงอาวุธออกมา ในมือของงุ้ยเลี่ยงแชยามนี้เพิ่มกรงเล็บเหยี่ยวเหล็กขึ้นมาคู่หนึ่ง คราก่อนมันใช้กรงเล็บมือเปล่าทำร้ายเฒ่าแซ่เต็กไม่ได้ ยามนี้จึงใช้อาวุธเป็นกรงเล็บเหยี่ยวเหล็ก คังหมิ่นสะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ปลายฝ่ามือมีเข็มเล็กละเอียดอยู่ทั้งสองข้าง ท่วงท่าสะบัดแขนเสื้อชดช้อยแต่ไม่เชื่องช้ามีความงดงามอย่างประหลาด บัณฑิตมือวิเศษโบกพัดจีบออก พัดนี้ทำจากเหล็กกล้าตัวพัดเป็นแผ่นใยทอง ยามโบกสะบัดเปล่งประกาย ยามคลี่กางสามารถใช้ตัดสิ่งของต่างใบมีด ทั้งสามกระจายตัวออกห้อมล้อมมันโดยรอบ ยามนี้ทั้งสามไม่ใช้วิธีกรุ่มรุมไม่ได้แล้ว เฒ่าแซ่เต็กจับจ่องผู้คนรายล้อมอยู่ ยังไม่ขยับกายเคลื่อนไหว
บัณฑิตมือวิเศษกล่าวขึ้นว่า
“อภัยที่เสียมารยาท”
กล่าวจบทั้งสามชิงลงมือโดยพร้อมเพียง สามภูติกวนตั๋งทราบดีว่า วิชาดาบของเฒ่าแซ่เต็กร้ายกาจยากต่อกรจึงไม่รีรอให้มันมีโอกาสหยิบฉวยดาบในหีบเหล็ก พอแสดงอาวุธก็ลงมือจู่โจม เฒ่าแซ่เต็กหลบซ้ายเลี่ยงขวาจากอาวุธของคนทั้งสามอย่างไม่ประมาท แต่ไม่ถดถอยห่างจากหีบเหล็ก ต้องลอบครุ่นคิดชมเชยต่อคนทั้งสาม ‘พวกมันแก้ไขจุดบกพร่องที่พ่ายแพ้เมื่อคราก่อน ช่องว่างรอยโหว่แทบไม่มีให้เห็น สิบปีมานี้คงคร่ำเคร่งฝึกปรือไม่น้อย นับว่ามีความสามารถโดยแท้’
ยามนี้เฒ่าชราประดุจจงอางหวงไข่คอยปกป้องหีบเหล็กที่เบื้องหน้า ใช้มือเปล่าเลือดเนื้อคู่หนึ่งต้านทานอาวุธทั้งสามที่แยกซ้ายจู่โจมขวาโดยสอดคล้อง เป็นที่ตรึงมืออย่างยิ่ง พลันแลเห็นเหล็กเขี่ยฟืนในเต่าอยู่ด้านหลังสามารถใช้แทนกระบี่ได้ ถลันตัวถอยหลังไปคว้าหยิบขึ้น บัณฑิตมือวิเศษเห็นเฒ่าแซ่เต็กถอยห่างจากหีบเหล็กเป็นที่ปิติยินดีรีบเอื้อมมือคว้าไว้พอออกแรงจะดึงขึ้น พบวัตถุแหลมดำมะเลื่อมจี้ใส่ข้อมือ หัวไหล่ ชายโครงสามจุด ต้องหดมือกลับพลิ้วตัวหลบหลีก เฒ่าแซ่เต็กกลับมาคลุ้มครองหีบเหล็กอีกครา แต่ในมือเพิ่มที่เขี่ยฟืนเป็นแท่งเหล็กยาวต่างกระบี่ขึ้นมาด้ามหนึ่ง บัณฑิตมือวิเศษต้องหลังเหงื่อเย็นยะเยียบ ครุ่นคิด ‘เฒ่าผู้นี้ไม่เพียงวิชาดาบลึกล้ำ วิชากระบี่ก็พลิกแพลงรวดเร็วพิสดาร’
เฒ่าแซ่เต็กร่ายร่ำเพลงกระบี่เทียบนครคุ้มครองหีบเหล็ก เพลงกระบี่ชุดนี้มีแนวทางตรงกันข้ามกับเพลงดาบอสูรโลหิตโดยสิ้นเชิง เพลงดาบอสูรโลหิตเน้นลึกซึ้งไม่กว้างขวาง ไม่พลิกแพลงแต่หนักแน่น แต่เพลงกระบี่เทียบนครกว้างขวางพลิกแพลงไม่รู้จบ ประดุจมีกระบวนท่าไม่จบสิ้น แต่ที่เหมือนกันคือความรวดเร็ว พอใช้ออกก็ชิงเป็นฝ่ายรุกคนทั้งสามไม่อาจเข้าใกล้หีบเหล็ก ยามนี้สามภูติกวนตั๋งต้านรับมือไม้ปั่นป่วน ต้องครุ่นคิดเดือดดาล ‘หากเป็นเช่นนี้ไยไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้’
เวลานี้ไหนเลยมีเวลาให้คนทั้งสามครุ่นคิด บัณฑิตมือวิเศษถูกตีเข้าที่ข้อมือ งุ้ยเลี่ยงแชถูกที่ข้อเท้า คังหมิ่นถูกตีเข้าที่สะโพกคล้ายผู้ใหญ่โบยก้นทำโทษทารก คังหมิ่นทั้งอับอายทั้งเดือดดาลแต่แล้วต้องครุ่นคิด ‘หากนี่เป็นกระบี่จริงไยไม่ใช่ มือขาด ขาด้วน สะโพกแหว่งไปตามกัน’ เมื่อคิดแล้วต้องลอบหวาดเสียวหลั่งเหงื่อชโลมกาย
งุ้ยเลี่ยงแชพลันตวาดขึ้น
“ศิษย์เราไฉนยังไม่มา”
พอสิ้นเสียงภายในห้องบังเกิดเสียงกรีดร้องของจิวอวงยี้ขอความช่วยเหลือ คังหมิ่นยิ้มแย้มกล่าวว่า
“ศิษย์เรามาแล้ว”
เฒ่าแซ่เต็กพอได้ยินต้องร้อนรุ่มเค้นเสียงกล่าว
“นางไม่เกี่ยวข้องไฉนลงมือต่อนาง”
บัณฑิตมือวิเศษพลางกล่าวว่า
“นี้กลับเป็นกลยุทธหนึ่ง ท่านคิดช่วยเหลือนางต้องรีบแล้วศิษย์เรากลับเป็นปีศาจราคะ”
เฒ่าแซ่เต็กเค้นเสียงเฮอะ รีบคว้าหีบเหล็ก ถลันตัวคิดเข้าไปช่วยเหลือ งุ้ยเลี่ยงแชพอเห็นรีบเข้าขวางหน้า มันมีฝีเท้ารวดเร็วย่อมชิงเป็นฝ่ายถึงหน้าประตูก่อน พอถึงก็จู่โจมกรงเล็บเหยี่ยวออกเหนี่ยวรั้งเฒ่าแซ่เต็กไว้ ตวาดว่า
“คิดช่วยคนทิ้งของไว้”
บัณฑิตมือวิเศษกับคังหมิ่นรีบลงมือเข้าช่วยเหลืองุ้ยเลี่ยงแช เฒ่าแซ่เต็กร้อนรุ่มคิดช่วยเหลือคน ไม่อยากพัวพันกับสามภูติกวนตั๋ง แต่เห็นพวกมันดุจภูติพรายเหนี่ยวรั้งไม่เลิกราต้องหงุดหงิดพลุพล่านตวาดลั้นกึกก้อง พลันดีดเท้าเตะโต๊ะลอยขึ้น เหวี่ยงเหล็กเขี่ยฟืนทิ้ง เร่งเร้าพลังเทพสาดส่องใส่ฝ่ามือฟาดใส่โต๊ะโดยแรง ฝ่ามือยังไม่บรรลุถึง พลังก็ซาดซัดใส่ตัวโต๊ะแตกแยกพุ่งกระจายเข้าหาคนทั้งสาม สามภูติกวนตั๋งต้องตื่นตระหนก ทราบว่าเศษซากโต๊ะที่พุ่งเข้าหาพวกตนมีกำลังแฝงมามหาศาล ยากปัดป้องต้านประทะ รีบทะยานกายหลบหลีกขึ้นด้านบนไปคนล่ะทิศล่ะทาง คังหมิ่นมีฝีเท้าเชื่องช้ากว่า งุ้ยเลี่ยงแชทราบว่านางไม่อาจหลบรอด รีบคว้าร่างนางลอยตัวขึ้นขื่อหลังคาอย่างรวดเร็ว กระนั้นมันยังโดนเศษขาโต๊ะถากแผ่นหลังเสื้อผ้าขาดเป็นวงกว้าง กำลังที่แฝงมาทำร้ายแผ่นหลังมันแดงเถือกปานถูกผู้คนนำท่อนไม้ฟาดใส่ รู้สึกปวดแปลบแทบไม่อาจทรงกายอยู่บนขื่อได้ เศษไม้ที่ปลิวว่อนกระจัดกระจาย บ้างปักตรึงทะลุผนัง บ้างทลายหน้าต่างออกไปภายนอก แม้แต่ประตูยังถูกเศษไม้กระแทกหลุดไปทั้งบาน
สามภูติกวนตั๋งรับรู้ความร้ายกาจของเฒ่าแซ่เต็กแล้ว ไม่ทราบว่ามันฝึกวิชาเทวดาอันใด ถึงได้มีกำลังภายในมหาศาลเช่นนี้ พอครุ่นคิดแล้วรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อเฒ่าแซ่เต็กอย่างยิ่ง มันทั้งสามไหนเลยเคยเห็นพลังเทพสาดส่องที่เลื่องลือในอดีต
เบื้องล่างยังคละคลุ้งไปด้วยเศษฝุ่นที่เกิดจากเศษไม้โดนกำลังภายในของเฒ่าแซ่เต็กบดกระจาย เห็นเฒ่าแซ่เต็กหนีบหีบเหล็กถลันเข้าห้อง สามภูติกวนตั๋งยังตระหนกต่อเหตุการณ์ไม่ทราบว่าจะเหนี่ยวรั้งมันอีกดีหรือไม่ ยามกระทันหันกลับไม่กล้าตัดสินใจ
ภายในห้องเห็นจิวอวงยี้นอนฟุบอยู่กับพื้น สำรวจภายในห้องกลับไม่เห็นผู้อื่นผู้ใด เพียงแต่หน้าต่างพังออกคล้ายมีคนทะลวงฝ่า เฒ่าแซ่เต็กรีบเข้าไปยังร่างของจิวอวงยี้ พลิกร่างนางขึ้นกลับพบฝุ่นลมหอมหวลปะทะใบหน้า ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ต้องทรุดลงนั่ง จิวอวงยี้ทราบดีว่าเฒ่าแซ่เต็กมีฝีมือสูงเยี่ยมอีกทั้งเจนจัดคร่ำโลก หากวางยาพิษในอาหารน้ำดื่ม เฒ่าแซ่เต็กอาจจำแนกออก จึงอาศัยยามมันร้อนรนไม่ทันระวังตัว พ่นผงหอมมอมเมาเซียนลอบทำร้าย เฒ่าแซ่เต็กแววตาถ่อประกายเพลิงโทสะวูบหนึ่ง แต่แล้วก็ครุ่นคิดเข้าใจ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้กล่าววาจา จิวอวงยี้พอถูกมันเพ่งมองกลับไม่กล้าสบตามัน เบืองหน้าไปทางผ้าม่านกล่าวขึ้น
“ซือแป๋ทั้งหลาย ท่านเข้ามาเถอะ”
สามภูติกวนตั๋งหัวเราะกึกก้องเลิกผ้าม่านเข้ามา บัณฑิตมือวิเศษโบกพัดยิ้มแย้มกล่าวชม
“อวงยี้ เจ้าทำงานได้ดียิ่ง”
จิวอวงยี้ก่อนหน้านี้กระตือรือร้นทำงานนี้ด้วยความปิติ แต่ตอนนี้ทำงานสำเร็จทั้งยังได้รับการกล่าวชมกลับรู้สึกไม่ใคร่ยินดี ในใจกลับไม่ทราบเป็นรสชาติใด กล่าวรับคำอย่างแผ่วเบา
บัณฑิตมือวิเศษก้มลงไปคว้าหีบเหล็กที่ตอนนี้กองอยู่กับพื้นขึ้นมา หันไปกล่าวกับเฒ่าแซ่เต็กว่า
“อาวุโส ของสิ่งนี้เราช่วงชิงมาได้แล้ว ท่านมีวาจาใดจะกล่าว”
เฒ่าแซ่เต็กสูดลมหายใจหนักหนวงขึ้นคราหนึ่งก่อนถอนใจยาวออกมา น้ำเสียงแฝงแววรันทดหดหู่อยู่สามส่วน
“เราเมื่อพ่ายแพ้ก็คือ พ่ายแพ้ ยังสามารถกล่าววาจาใด พวกท่านอบรมศิษย์ได้ประเสริฐยิ่ง เฮ้อ... คงซิมไช้ก็คือคงซิมไช้ไหนเลยเป็นเจ้าไปได้ เรากลับเลอะเลือนยิ่ง”
พลางลุกขึ้นอย่างแช่มช้า
ทั้งหมดต้องงงงันวูบเห็นมันลุกคล้ายไม่ได้โดนพิษ ไม่ทราบว่ามันกล่าวถึงคงซิมไช้อันใด แต่ไฉนมันถึงลุกขึ้นได้ สีหน้าพลันตื่นตระหนก ต้องถดถอยกายอย่างลืมตัว
“เต็กเอี่ยเอี้ย ท่านไม่ได้โดนพิษ”
จิวอวงยี้อุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ เฒ่าแซ่เต็กยิ้มอย่างหดหู่ ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เรากลับคาดไม่ถึงว่าเจ้าเป็นศิษย์พวกมัน”
สามภูติกวนตั๋งกับจิวอวงยี้ย่อมไม่ทราบว่าในอดีต เฒ่าแซ่เต็กผ่านวิบากกรรมความเจ้าเล่ห์เพทุบายของยุทธภพมามากมาย ถึงกับโดนใส่ร้ายจับมันขังคุกร้อยโซ่เหล็กทะลวงกระดูกไหปลาร้าทำลายพลังฝีมือ ซือแป๋ที่เคารพรักก็ทรยศหักหลัง หากไม่ได้ผู้พี่ที่ประเสริฐถ่ายทอดวิชาเลิศล้ำ บอกกล่าวเล่ห์เลี่ยมภายในยุทธภพ มันไม่ทราบว่าจะมีชีวิตถึงตอนนี้หรือไม่ ตั้งแต่นั้นมาเฒ่าแซ่เต็กผู้นี้ก็ไม่เคยไว้วางใจผู้ใด
แม้จิวอวงยี้จะเสแสร้งเป็นหญิงธรรมดาไร้ฝีมือ แต่ในสายตามันยังสามารถจับพิรุธได้บางอย่างคาดว่าการมาของนางย่อมมีส่วนเหนือธรรมดา ติดที่ว่าจิวอวงยี้ทำตัวคล้ายบุตรสาวมัน ทำให้หวนคิดถึงคงซิมไช้ขึ้นมาจึงไม่ได้เอ่ยปากไล่นาง ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมันคล้ายมีความสุขยิ่ง
เฒ่าแซ่เต็กเมื่อคิดว่าความสุขที่ตนได้รับกำลังจางหายจึงรู้สึกหดหู่ยิ่ง กล่าวอย่างแช่มช้า
“พวกเจ้าเมื่อช่วงชิงสิ่งของไปได้ เราย่อมทำตามสัญญาไม่ทวงถาม พวกเจ้าควรไปได้แล้ว”
โบกมือเบาๆเป็นเชิงขับไล่
สามภูติกวนตั๋งไหนเลยกล้ารั้งอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม หากมันเปลี่ยนใจไยไม่ใช่ย่ำแย่ยิ่ง ประสานมือคาราวะกล่าวคำอำลา
จิวอวงยี้ยังไม่ได้ติดตามบรรดาซือแป๋ของนางไป เดินถึงข้างกายเฒ่าแซ่เต็กกล่าวน้ำเสียงอ่อมแอ้ม
“เต็กเอี่ยเอี้ย อภัย.. ที่ข้า..พเจ้าหลอกลวงท่าน โปรดถนอมตัวด้วย”
พลางย่อกายคำนับอย่างชดช้อย ถอยกายออกมา ขณะจะก้าวเดินติดตามบรรดาซือแป๋ ได้ยินเสียงเฒ่าแซ่เต็กกล่าวแผ่วเบาไล่หลังมา
“ภายภาคหน้าอย่าได้ฆ่าคน มากมายเช่นซือแป๋เจ้า หากมีโอกาสก็ตักเตือนพวกมัน”
จิวอวงยี้ชะงักเท้าหันกายกลับมา เห็นมันยืนหันหลังให้ ไม่ได้หันมามองนาง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าววาจาใด จิวอวงยี้รับคำแผ่วเบา ในใจรู้สึกสำนึกตื้นตันยิ่ง กล่าวคำว่า รักษาตัวด้วย ก็จากไป
ทั้งสี่ขึ้นสู่หุบ เขาสู่ที่พัก งุ้ยเลี่ยงแชมีสีหน้าเบิกบานใจ กล่าวว่า
“แม้คราวนี้เราเอาชัยได้แบบไม่ค่อยสวยสดงดงาม แต่ก็นับว่าสามารถรักษาเกียรติภูมิของสามภูติกวนตั๋งเอาไว้ได้”
คังหมิ่นก็พลอยยิ้มแย้มปิติ พลันแลเห็นจิวอวงยี้มีสีหน้าเศร้าหมอง คาดว่านางเสียใจที่ลงมือแผ่พิษไม่สำเร็จ ต้องหันมากล่าวปลอบ
“อวงยี้ เจ้าทำได้ดีแล้ว การลอบแผ่พิษของเจ้าไม่ใช้ว่าใช้การไม่ได้แต่เฒ่าประหลาดนั่นเก่งกล้าเกินไป หากเป็นผู้อื่นคงไม่สามารถหลุดรอดได้ จะอย่างไรเจ้าก็มีส่วนช่วยให้เราทำงานสำเร็จ”
จิวอวงยี้เพียงยิ้มเจือๆ รับคำ
บัณฑิตมือวิเศษกลับมีสีหน้าครุ่นคิด กล่าวว่า
“นี่นับว่าไม่ถูกต้อง เฒ่าแซ่เต็ก นั่นเมื่อไม่ถูกพิษ ไฉนให้เราหยิบฉวยหีบเหล็กโดยไม่ขัดขวาง”
ทั้งหมดคล้ายฉุกคิดได้ งุ้ยเลี่ยงแชรีบกล่าว
“ตั่วเฮีย รีบนำหีบมาเปิดชมดู”
บัณฑิตมือวิเศษวางหีบไว้บนโต๊ะ ใช้พัดเหล็กกล้าเลื่อนสวนปลายออกเป็น ลวดเส้นเล็กแข็งยื่นออกมาส่วนปลายงอเล็กน้อย จัดการสอดเข้าไปในรูกุนแจ ขยับมือวูบหนึ่ง กุนแจก็คลายออกอย่างง่ายดาย นี้ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของฉายามือวิเศษของมัน ทั้งหมดตกตะลึงเล็กน้อย ภายในบรรจุเพียงเสื้อไหมดำเพียงตัวเดียว ไม่มีดาบวิเศษสีทองรวมอยู่ด้วย
บัณฑิตมือวิเศษถอนหายใจยิ้มออกมา กล่าวว่า
“อย่างน้อยเราก็ได้ในสิ่งที่เราต้องการ แต่ครั้งนี้อาจนับว่าเสมอกันเราพนันช่วงชิงของสองสิ่งแต่กลับได้เพียงสิ่งเดียว”
พลางหยิบเสื้อขึ้นมาชมดู สายตาพลันเห็นซองจดหมายซุกอยู่ใต้เสื้อ ทั้งหมดรู้สึกฉงนสงสัย คังหมิ่นจึงหยิบขึ้นมาแกะออก ภายในเขียนไว้ว่า ของขวัญแด่ บุตรตรีบุญธรรม อวงยี้
คังหมิ่นพออ่านออกมา ทั้งสามต้องตะลึงงันชั่วขณะ เพ่งมองมาที่นาง สีหน้าสงสัยคล้ายมีคำถาม จิวอวงยี้นิ่งงันลงครู่หนึ่งเพ่งมองจดหมาย ก่อนกล่าวเล่าเรื่อง บุตรสาวและภรรยาของเฒ่าแซ่เค็กให้ฟัง ทั้งยังเล่าเรื่องที่ตนเองทำตัวลอกเลียนบุตรสาวมัน ทั้งหมดพอฟังจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้เฒ่าแซ่เต็กบังเกิดความคิดถึงลูกจึงคิดรับจิวอวงยี้เป็นบุตรบุญธรรม งุ้ยเลี่ยงแชพลันตบโต๊ะ คล้ายมีโทสะ กล่าวว่า
“มันเขียนจดหมาย บอกกล่าวมอบของล่วงหน้า ทั้งที่ทราบว่าเราจะไปช่วงชิง เฮอะไยไม่ใช่ มันหมายความว่าเราไม่มีปัญญาช่วงชิงมาได้”
บัณฑิตมือวิเศษพลันทอดถอนใจส่ายศีรษะช้าๆ กล่าวว่า
“เรานับว่าไม่มีปัญญาช่วงชิงจริงๆ ตอนนี้เรากลับทราบแล้วว่า มันเมื่อไม่ถูกพิษทำไมไม่ลงมือขัดขวาง”
“เพราะเหตุใดรึ”
งุ้ยเลี่ยงแชกับคังหมิ่นแทบถามเป็นเสียงเดียว บัณฑิตมือวิเศษกล่าวตอบว่า
“มันพอทราบว่าอวงยี้เป็นศิษย์ของพวกเรา ของสิ่งนี้เมื่อคิดมอบให้ก็ไม่เอาคืน จึงไม่ขัดขวางแต่ประการใด จะอย่างไรเสื้อไหมดำตัวนี้ก็ต้องตกถึงมือนาง”
ทั้งหมดพอฟังจึงเข้าใจในบัดดล บัณฑิตมือวิเศษพลันครุ่นคิดสืบต่อ กล่าวเปรยออกมา
“หากมันคิดว่าสามารถป้องกันการช่วงชิงของเราได้ และคิดมอบต่ออวงยี้ไฉนไม่มอบด้วยมือ กลับเขียนจดหมายบอกกล่าว”
จิวอวงยี้กลับคิดขึ้นได้ในทันทีแทบพร้อมกลับบัณฑิตมือวิเศษ รีบกล่าวขึ้น
“ตั่วซือแป๋ ยี่ซือแป๋ ซาซือแป๋ ข้าพเจ้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบก็พลิ้วกายออกไปอย่างรีบเร่ง งุ้ยเลี่ยงแช กับคังหมิ่นคิดจะกล่าวถามก็ไม่ทันแล้ว นางกลับโลดลิ่วทะยานไปอย่างสุดฝีเท้า คังหมิ่นต้องกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด
“เอี้ยเท้าผู้นี้ คิดจะไปก็ไปในทันที ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอันใด ถึงได้รีบเร่งปานนี้”
บัณฑิตมือวิเศษนั่งลงรินน้ำชายกขึ้นจิบคราหนึ่ง ค่อยยิ้มแย้มกล่าวตอบออกมา
“นางไปหาบิดาบุญธรรม แต่คาดว่าไม่อาจหาพบแล้ว”
คังหมิ่นกับงุ้ยเลี่ยงแชต้องสบตากันอย่างมึนงงสงสัย
จิวอวงยี้เร่งฝีเท้าสุดกำลังผ่านหุบเขาลาดชันลงสู่แนวทิวไม้ เพียงไม่นานก็บรรลุถึงเชิงเขาบริเวณบ้านของเฒ่าแซ่เต็ก ยามนี้อาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้าแล้ว จิวอวงยี้เข้าไปในบ้านของเฒ่าแซ่เต็ก พบว่าเสื้อผ้าบางส่วน ข้าวของบางชิ้นถูกรื้อค้นเอาไป เข้าไปดูในห้องนอนก็ไร้วี่แววผู้คน เฝ้ารออยู่ครึ่งคอนวันเฒ่าแซ่เต็กก็ไม่กลับมา ต้องหลังน้ำตากล่าวกับตัวเองเบาๆ
“เต็กเอี่ยเอี้ย อภัยที่อวงยี้คิดร้ายต่อท่าน ข้าพเจ้ากลับไร้วาสนากราบท่านเป็นบิดาแล้ว”
ที่แท้เฒ่าแซ่เต็กได้จากไปแล้ว เฒ่าแซ่เต็กคร่ำโลกเพียงใด แม้จิวอวงยี้รับประทานยาสลายพลังไร้พลังฝีมือ มันก็ดูออกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ เพียงแต่ไม่ทราบจุดประสงค์การมาของนาง ระยะเวลาที่อยู่รวมกันมันมีควาสุขไม่น้อย คาดคิดไว้ว่าหลังจากประลองเสร็จสิ้นมันเองจะจากไป คิดทิ้งเสื้อไหมดำไว้ให้จิวอวงยี้ ไว้ให้คุ้มครองกาย หลังจากที่มันจากไป จึงเขียนจดหมายบอกกล่าวไว้ในหีบเหล็ก แต่ไม่คาดว่าจิวอวงยี้เป็นศิษย์ของสามภูติกวนตั๋ง ทั้งยังลงมือลอบประทุษต่อมัน แม้รู้สึกเสียใจ แต่ของที่คิดจะมอบให้แล้วก็ไม่คิดเอาคืน จึงไม่ได้ขัดขวางบัณฑิตมือวิเศษ จิวอวงยี้เมื่อรับรู้จึงต้องหลังน้ำตาออกมา
พอรุ่งเช้าจิวอวงยี้พยายามรื้อค้นเสื้อผ้าสตรีที่ชายชรานำมาให้เมื่อสองวันก่อนมาสวมใส่ จัดแจงแต่งตัวให้เหมือนหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ ตามลักษณะคงซิมไช้ที่เฒ่าชราบอกกล่าว เฒ่าแซ่เต็กพอพบเห็นต้องตระลึงงันชั่วครู่เหมือนตกอยู่ในห้วงความฝัน คล้ายพบบุตรสาวตนอีกครั้งก็ปาน จิวอวงยี้กุลีกุจอปรนนิบัติเฒ่าชราดุจบิดา จัดแจงอาหาร ต้มน้ำล้างเท้า เย็บประชุนเสื้อที่ขาดให้ เฒ่าแซ่เต็กที่แรกยังเขอะเขินขัดขืน แต่พอถูกนางคะยั้นคะยอก็ไม่อาจแข็งขืนได้ ทั้งสองมีความสนิทชิดเชื้อมากขึ้นกว่าเดิม จิวอวงยี้ต้องครุ่นคิดอย่างปิติ ‘ยามนี้ต่อให้วางยาในอาหาร ท่านรับประทานถึงตายก็ไม่สงสัยเรา’
จิวอวงยี้ขณะทำความสะอาดตู้ใบหนึ่ง พบเห็นกล่องไม้ฝุ่นจับเกรอะกรังจึงนำมาปัดกวาด พอเปิดออกต้องตื่นเต้นสงสัย
ภายในบรรจุตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่คุ้นตานางที่สุดเป็นตุ๊กตารูปกระต่าย นางต้องหยิบฉวยขึ้นมาเพ่งพินิจดู คล้ายตุ๊กตากระต่ายของนางอย่างยิ่ง พลันได้ยินเสียงเฒ่าแซ่เต็ก กล่าวถาม
“เป็นไร ชอบตุ๊กตาไม้เหล่านั้นรึ”
จิวอวงยี้คล้ายได้สติ ถือตุ๊กตากระต่ายไปให้ชายชราชมดูกล่าวถาม
“เต็กเอี่ยเอี้ย ท่านเป็นผู้สลักตุ๊กตาเหล่านี้หรือ”
ยามนี้นางเรียกมันเป็นเอี่ยเอี้ยผู้หนึ่ง ไม่ได้กล่าวเรียกเป็นเล่าเอี้ยจือให้เป็นที่เหินห่าง เฒ่าชราก็รู้สึกพอใจกลับการกล่าวเรียกเช่นนี้ของนางมากกว่าเล่าเอี้ยจือมากนัก เฒ่าแซ่เต็กกล่าวว่า
“เราไม่ได้เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่เป็นเด็กน้อยที่เราเคยช่วยไว้ผู้หนึ่งเป็นผู้แกะสลักไว้”
จิวอวงยี้ตื่นเต้นสงสัย คิดกล่าวถามว่าเด็กน้อยผู้นั้น มันมีแผลที่แก้มซ้ายหรือไม่ แต่พลันฉุกคิดได้หากกล่าวถาม อาจสะกิดความสงสัยต่อเฒ่าแซ่เต็ก เปิดเผยพิรุธของตน จึงกร่ำกลืนวาจาไว้ เปลี่ยนเป็นถามว่า
“เด็กผู้นี้ไฉนจึงสลักตุ๊กตาไม้ ไว้มากมาย”
“เราความจริงก็สงสัยเคยกล่าวถามมันเช่นนี้เหมือนกัน มันกล่าวตอบเราว่า มันมีม่วยม่วยผู้หนึ่งพลัดหลงกัน นางจะยินดียิ่งเมื่อมันทำตุ๊กตาให้นาง หากมันพบพานนางจะมอบตุ๊กตาเหล่านี้ให้”
จิวอวงยี้กุมตุ๊กตาไม้รูปกระต่ายมือสั่นระริก ใคร่ทราบว่าคนผู้นี้ใช่ตั่วกอที่เคยช่วยชีวิตรวมทุกข์ของนางหรือไม่ บังคับเสียงให้เป็นปกติกล่าวถามต่อ
“เด็กผู้นั้นไม่ทราบว่า ได้พบม่วยม่วยของมันหรือไม่”
เฒ่าแซ่เต็กส่ายศีรษะช้าๆ กล่าวตอบ
“ไม่พบ มันอยู่กับเราสามปี สามปีนี้ล้วนออกติดตามหานางในระแหวกหุบเขา บางคราถึงกับคิดขึ้นไปเบื้องบนหุบเขา โดนผู้คนบนนั้นทำร้ายบาดเจ็บมาหลายครั้ง ครั้งหลังสุดโดนผู้คนฟันเข้าหลายดาบได้รับบาดเจ็บสาหัส เราต้องไปเอาตัวลงมา มันนอนซมไม่ได้สติสิบกว่าวัน ดีที่พวกนั้นไม่เจตนาทำร้ายมันถึงชีวิต ทุกครั้งที่มันขึ้นไปล้วนทำร้ายขับไล่มันลงมา เฮอะ นับว่าพวกมันยังรักษาสัจจะอยู่บ้าง ยามนั้นเราพบพานมัน กลับไม่ทราบว่ามันมีม่วยม่วยอีกผู้หนึ่ง“
จิวอวงยี้รับฟังเรื่องราว เชื่อมั่นว่าเป็นตั่วกอที่ไม่ทราบชื่อของนางอย่างแน่แท้ ตุ๊กตากระต่ายนี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยัน นางเองก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าวันเวลาที่ผ่านมาเพ่งมองวันล่ะกี่รอบ ลวดรายที่สลักไว้ล้วนจดจำออก พอคิดถึงตั่วกอคิดขึ้นยอดหุบเขา ต้องใจหายหากไม่ใช่บรรดาซือแป๋รับปากไม่ฆ่าคนกับเฒ่าแซ่เต็ก สั่งบริวารอย่าได้ฆ่าโดยพละการ มันก็ไม่อาจรอดชีวิตแล้ว นางความจริงอยู่ในกลุ่มคนมิจฉาชีพไม่ค่อยเชื่อทางกฎแห่งกรรมของศาสนา แต่ยามนี้ไม่อาจไม่เชื่อได้ เฒ่าแซ่เต็กไม่ให้บรรดาซือแป๋ของนางฆ่าคนเพื่อสร้างกุศล กุศลนั้นกลับเพื่อแผ่มาถึงนาง หากตั่วกอนางตายใต้คบดาบคมกระบี่ของคนหุบเขาสิ้นชีพเพื่อติดตามหานาง ภายหลังเมื่อรับรู้ไม่ทราบจะมีความรู้สึกเช่นไร ครุ่นคิดแล้วต้องกล่าวขอบคุณสวรรค์ น้ำตาแทบหลั่งไหล แต่พยายามข่มกลั้นไว้ กล่าวถามต่อไปว่า
“ตอนนี้คนผู้นี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว”
“เราก็ไม่ทราบ มันหลังจากท้อแท้สิ้นหวังคาดว่าไม่อาจตามหาม่วยม่วยของมันพบ ก็อำลาเราไป เด็กผู้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ เรากลับถูกชะตามันไม่น้อย”
ยามมันกล่าวคำว่าสัตย์ซื่อ สายตาเพ่งมองไปยังจิวอวงยี้ราวกับค้นหาบางอย่าง จิวอวงยี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงหลบสายตาเฒ่าแซ่เต็ก พลางขอตัวไปทำงานต่อ
พอหัวค่ำทั้งคู่กำลังนั่งรับประทานอาหาร พลันได้ยินเสียงวัตถุฝ่าอากาศเร่งเร้า ผ่านเข้าช่องหน้าต่างพุ่งเข้าหาจิวอวงยี้ วัตถุชิ้นนั้นก่อนจะถึงร่างของนางเพียงเซียะเศษ เฒ่าแซ่เต็กพลันยื่นตะเกียบออกคีบหยุดไว้วางลงข้างตัว การคีบครั้งนี้นุ่มนวลแผ่วเบารวดเร็ว ประดุจคีบอาหาร จิวอวงยี้ต้องอุทานอย่างแตกตื่นตกใจ เห็นสิ่งที่มันคีบไว้วางข้างตัวเป็นเทียบฉบับหนึ่ง มีตัวหนังสือเขียนด้านหน้าว่า ถึงท่านอาวุโส เต็กอุ้น จิวอวงยี้ย่อมทราบว่าเป็นผู้ใดส่งเทียบมา แต่แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีสีหน้าแตกตื่นสงสัย เฒ่าแซ่เต็กพลันกล่าวว่า
“ไม่มีอันใด อย่าได้ตกใจ รับประทานต่อเถอะ”
เฒ่าแซ่เต็กหลังจากรับประทานเสร็จ ก็เปิดเทียบออกดู ในเทียบเขียนไว้ว่า
‘ครบกำหนดนัดสิบปี เราทั้งสามพร้อมรับการชี้แนะอีกครา ยามนี้คิดเพิ่มผู้ช่วยอีกผู้คนเป็นศิษย์ของพวกเรา จึงบอกกล่าวล่วงหน้า อาวุโสเต็กระวังสิ่งของให้มากไว้ จากสามภูติกวนตั๋ง’
เฒ่าแซ่เต็กพออ่าน ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยในใจครุ่นคิด ‘ทารกทั้งสามยังไม่ยอมลามือจริงๆ’ จัดวางเทียบลงบนโต๊ะ จิวอวงยี้หยิบขึ้นมาชมดูกล่าวถามว่า
“เต็กเอี่ยเอี้ย มีเรื่องราวใด”
เฒ่าแซ่เต็กยิ้มขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า
“ไม่มีอันใด สหายเก่าคิดมาเยี่ยมเยือนหยิบยืมของเท่านั้น”
จากนั้นก็เข้าไปในห้อง ยกหีบเหล็กออกมาวางไว้ข้างแคร่ เห็นมันจัดแจงที่นอนล้มตัวพักผ่อน เพียงครู่ก็หลับไหล จิวอวงยี้อดไม่ได้ ต้องครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ ‘ค่ำคืนนี้ครบกำหนดแล้ว อีกทั้งท่านยังได้รับเทียบบอกกล่าว ไฉนยังกล้าหลับนอน” แต่แล้วพลันฉุกคิดได้ ต้องกล่าวชมเชยเฒ่าชราในใจ ‘ท่านกลับเข้าใจอุบายซือแป๋เรา นับว่าชาญฉลาดยิ่ง แต่หาทราบไม่ข้าพเจ้าจึงเป็นหมากสำคัญ’ นางเก็บจานชามทำความสะอาดก่อนเข้าห้องไป
ที่แท้สามภูติกวนตั๋งส่งเทียบบอกกล่าวตักเตือน เพื่อให้เฒ่าแซ่เต็กตื่นตัวจัดเตรียมการป้องกัน คาดเดาว่าเฒ่าแซ่เต็กต้องเฝ้าของอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน รอจนมันไม่ได้พักผ่อน ร่างกายชราของมันไหนเลยทนทานได้ พอเรี่ยวแรงอ่อนล้า ค่อยลงมือช่วงชิง แต่ไม่คาดเฒ่าแซ่เต็กอ่านอุบายนี้ออก พักผ่อนอย่างสบายทราบว่าสามภูติกวนตั๋งยังไม่ลงมือคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้โดยเด็ดขาด จึงหลับลงเอาแรง
พอคืนวันที่สามเฒ่าแซ่เต็กนำหีบเหล็กมาวางบนโต๊ะกลางบ้าน หีบเหล็กนี้แม้ใบใหญ่แต่มีความหนาไม่มาก มีลักษณะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าตามตัวดาบ แต่บรรจุเพิ่มเสื้อไหมดำอีกตัวหนึ่งจึงใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย คนเดียวสามารถสะพายแบกได้ไม่เกะกะ
ให้จิวอวงยี้จัดเตรียมน้ำชากาใหญ่ ตนเองนั่งจิบน้ำชาคล้ายรอคอยผู้คน จิวอวงยี้เมื่อเพ่งมองดูมัน เห็นมันมีท่าทีคึกคักแจ่มใสประดุจหนุ่มฉกรรจ์ขึ้นมาผิดกับกาลก่อนต้องจ่องมองด้วยความฉงน เฒ่าแซ่เต็กจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนกล่าวบอกให้จิวอวงยี้เข้าไปในห้องไม่ว่าได้ยินเสียงใดห้ามไม่ให้ออกมา
เวลายามสามได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามสายลม เฒ่าแซ่เต็กทราบว่าสามภูติกวนตั๋งมากันแล้ว ประตูบ้านพลันเปิดออก ร่างทั้งสามยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เบื้องหน้าผู้เฒ่า เจี่ยซิงเห๋อก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมาประสานคาราวะยิ้มแย้มกล่าวขึ้น
“ไม่พบกันนาน ท่านผู้เฒ่าสบาย?”
เฒ่าแซ่เต็กหัวเราะ ฮ่า ฮ่า เอามือลูบเคราขาวโพลน ก่อนตอบ
“เรายังสบาย แต่ก็ไม่ใคร่สุขสำราญนัก”
พลางสอดส่ายสายตาสำรวจพบเห็นมีเพียงสามคนจึงกล่าวถามขึ้น
“ศิษย์พวกท่านเล่า ไม่ได้มาด้วยกันหรอกรึ”
งุ้ยเลี่ยงแชยิ้มขึ้นกล่าวเสียงแหลมเล็ก
“ศิษย์ของเราย่อมมาด้วยแต่จะติดตามมาในภายหลัง”
คังหมิ่นย่อกายคาราวะอย่างชดช้อยกล่าวว่า
“เล่าเอี้ยจือ ยังสุขภาพแข็งแรง เป็นที่นับถือยิ่งนัก ผู้เยาว์รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”
นางพอกล่าวน้ำเสียงก็หยาดเยิ้มหยดย้อย ชม้ายชายตายั่วยวน นางไม่ได้ดัดจริตเสแสร้งแต่ประการใด การกล่าวน้ำเสียงกับกิริยาเช่นนี้เป็นนิสัยติดตัวนางมาเนิ่นนาน งุ้ยเลี่ยงแชล้วนทราบดีแต่ก็อดบังเกิดอารมณ์ขุ่นมัวไม่ได้ ดีที่จิวอวงยี้รับส่วนนี้ของนางไปไม่มาก บางครานึกสนุกจึงลอกเรียนแบบเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นงุ้ยเลี่ยงแชคงอัดอั้นใจตาย
เฒ่าแซ่เต็กหัวเราะกึกก้อง กล่าวเสียงกังวาน
“ยากนักพวกท่านมาอย่างเปิดเผย ครานี้ไม่ทราบมีวิธีแปลกใหม่อันใด เวลาไม่เช้าแล้ว จะลงมือเลยหรือไม่”
บัณฑิตมือวิเศษ กล่าวว่า
“สิบปีมานี้ผู้เยาว์ฝึกฝนฝีมือเพิ่มเติมขึ้นมากหลาย คิดแก้หน้าประลองช่วงชิงสิ่งของจากมือท่านผู้เฒ่าอย่างเปิดเผยดูซักครา โปรดชีแนะสั่งสอน”
เฒ่าแซ่เต็กตบตะวัดหีบเหล็กด้วยมือเดียวขึ้นถือในมือ ยื่นออกเบื้องหน้ากล่าวว่า
“ของอยู่นี้แล้วเชิญลงมือ”
บัณฑิตมือวิเศษ คิดแก้หน้าคราครั้งก่อนถูกเฒ่าแซ่เต็กฉกชิงเสื้อไหมดำไปจากมือต่อหน้าต่อตา เสื่อมเสียเกียรติภูมิฉายามือวิเศษอย่างยิ่ง ครานี้ซุ่มฝึกฝนฝ่ามือยมทูตจนแตกฉานทั้งยังบัญญัติเพิ่มเติม มีความรุดหน้ากว่ากาลก่อน แม้คิดว่าไม่อาจเอาชนะเฒ่าแซ่เต็กได้แต่ช่วงชิงของจากมือมันนั้นอาจพอกระทำได้ ฝ่ามือยมทูตประกอบด้วย หลักคว้าจับสิบแปดหลัก ผ่ามือฟาดฟันสิบสองหลัก หมัด ดรรชนีอีกสิบหลัก ความจริงหนักไปทางคว้าจับ แต่ชื่อคว้าจับยมทูตไม่น่าฟัง จึงเรียกเป็นฝ่ามือยมทูตแทน (ส่วนใหญ่ชนชาวมิจชาชีพที่ถนัดการช่วงชิงย่อมต้องให้ความสนใจวิชาคว้าจับเป็นพิเศษ)
พอเห็นเฒ่าแซ่เต็กยื่นหีบเหล็กออกถึงเบื้องหน้า เป็นเชิงให้ลงมือ จึงเอื้อมมือซ้ายออกกางนิ้วทั้งห้า คว้าปลายหีบข้างหนึ่ง มืออีกข้างงัดขึ้นตีข้อสอกฝ่ายตรงข้าม ใช้หลักคว้าหนึ่งในสิบแปดหลักของฝ่ามือยมทูต มือทั้งสองของมันใช้ออกรวดเร็วโดยพร้อมเพียง เฒ่าแซ่เต็กเพียงพลิกข้อมือวูบหนึ่งใช้หลังมือกระแทกหีบเหล็กลอยระลิ่วขึ้น โดยที่นิ้วทั้งห้าของมันยังไม่ทันกระทบถูกปลายหีบ หมุนแขนข้างที่กระแทกหีบเหล็กวกลงต้านท่อนแขนที่จู่โจมข้อสอก ก็สามารถคลี่คล้ายการคว้าจู่โจมทั้งสองของบัณฑิตมือวิเศษได้โดยใช้แขนเพียงข้างเดียว บัณฑิตมือวิเศษต้องร้องชมเชย
“ประเสริฐ เช่นนั้นรับกระบวนท่า”
พลันวกกรงเล็บทั้งห้าเข้าคว้าข้อมือฝ่ายตรงข้ามหนุนเสริมแขนที่ต้านประทะ เป็นสองมือครากุมมือเดียวของเฒ่าแซ่เต็กในหลักเกาะเกี่ยวฉุดดึง เอี้ยวตัวออกด้านข้างฉุดดึงโดยแรง เฒ่าแซ่เต็กกล่าวอย่างราบเรียบ
“ท่านคิดฉุดดึงเรา เรากลับไม่ไป”
สืบเท้าไปเบื้องหน้าก้าวหนึ่งยืนหยัดมั่นออกแรงโถมน้ำหนักลงสู่พื้น ร่างกายคล้ายบรรพตไม่โยกคลอนฝืนการฉุดดึง ใช้มือข้างที่เหลือตีขึ้นเป็นวงกว้างใส่สองแขนบัณฑิตมือวิเศษทำลายการยึดกุมข้อมือมัน
บัณฑิตมือวิเศษรีบหดแขนกลับทั้งสองข้าง หดถึงกลางคันมือข้างหนึ่งพลันเปลี่ยนเป็นนิ้วงองุ้มสองนิ้วพุ่งเข้าหาดวงตา ในท่ามังกรชิงมุกท่านี้กลับเป็นท่าหลอก อาศัยจังหวะที่เฒ่าแซ่เต็กยกมือซ้ายคุ้มครองดวงตา คิดดีดตัวทะยานขึ้นคว้าหีบเหล็กที่กำลังล่วงหล่นลงมา ร่างลอยขึ้นจากพื้นเพียงเซียะเศษก็ไม่อาจทะยานขึ้นอีกได้ ที่แท้มือขวาของเฒ่าแซ่เต็กที่มีนิ้วสามนิ้วกดทับหัวไหล่มันไว้
เฒ่าแซ่เต็กค้ำยันหัวไหล่บัณฑิตมือวิเศษอาศัยช่วงที่มันทะยานตัวขึ้นดันร่างมันลงดึงตัวเองขึ้นไปแทน กลับเป็นฝ่ายคว้าหีบเหล็กกลางอากาศได้ก่อน บัณฑิตมือวิเศษไหนเลยยินยอม พุ่งตัวตามติด มือหนึ่งใช้หลักคว้าจับ อีกมือหนึ่งใช้หลักฝ่ามือฟาดฟันสองมือแยกย้ายจู่โจม ความรวดเร็วกลับมากขึ้นกว่ากาลก่อนบัณฑิตมือวิเศษมีความสามารถเฉพาะตัว มือซ้ายขวาเป็นอิสระต่อกัน สามารถแยกประสาทซ้ายขวาได้ ฉายาบัณฑิตมือวิเศษนี้ไม่ได้หมายถึงความรวดเร็วของมือเพียงอย่างเดียว งุ้ยเลี่ยงแชกับคังหมิ่นพอเห็นต้องโห่ร้องชมเชย ครุ่นคิด ‘ที่แท้ตั่วเฮียฝึกฝ่ามือยมทูตถึงขั้นสูงสุดแล้วกลับไม่ยอมบอกกล่าว’
เฒ่าแซ่เต็ก เห็นมันใช้มือซ้ายขวาแบ่งแยกจู่โจม ดุจคนสองคนกรุ่มรุมมีความรวดเร็วพิสดาร ต้องลอบชมเชยไม่ได้ คาดคิดว่าไม่อาจใช้มือเดียวต้านทาน เหวี่ยงหีบเหล็กลงพื้นเสียงดังสนั่น ปักตรึงกับพื้นเป็นแนวตั้ง แบฝ่ามือทั้งสองตั้งเป็นแนวสันฟาดฟันคล้ายดาบฟาดฟันต้านรับ ทุกครั้งที่ฟาดฟันออกปรากฏเป็นกระแสลมพวยพุ่งหนักหนวงรุนแรง
ทั้งคู่ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนลงสู่พื้นหักหาญกันกว่ายี่สิบกระบวนท่า พอลงสู่พื้นหีบเหล็กตั้งอยู่หว่างกลางคนทั้งสอง ต่างฟาดฟันฝ่ามือช่วงชิงกันอย่างดุดัน จนคนรอบข้างตาลายพร่าพราย เห็นแต่เงาฝ่ามือครอบคลุมกับดูไม่ออกว่าคนทั้งสองใช้กระบวนท่าเช่นไรบ้าง จิวอวงยี้แง้มผ้าม่านชมดูอยู่อย่างระทึกตื่นเต้น นางยังไม่เคยเห็นตั่วซือแป๋ ใช้ฝีมือมากมายเช่นนี้มาก่อน ร้อยกระบวนท่าให้หลังความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเริ่มมีให้เห็น เงาฝ่ามือของบัณฑิตมือวิเศษเริ่มถูกคุกคามที่ละน้อย ภายหลังเห็นเป็นเส้นฝ่ามือฟาดฟันของเฒ่าแซ่เต็กครอบคลุมแทน
ความจริงหากวัดกันที่เพลงฝ่ามือ บัณฑิตมือวิเศษมีความพิสดารรวดเร็วกว่า เฒ่าแซ่เต็กทราบว่าวิชาฝ่ามือหมัดเท้าตนเองที่เคยร่ำเรียนไม่มีความลึกล้ำพิสดารเทียบเท่าเพลงฝ่ามือยมทูต ที่เลิศล้ำเป็นวิชาดาบกับกระบี่ คราก่อนอาศัยกำลังภายในกล้าแข็งจึงเอาชนะได้ ยามนี้บัณฑิตมือวิเศษแตกฉานกว่ากาลก่อนทั้งยังพลิกแพลงไม่สิ้นสุด มันย่อมไม่หักหาญโดยตรงกับเฒ่าแซ่เต็กที่มีกำลังภายในลึกล้ำ เพียงกระทบถูกก็เปลี่ยนแปลงกระบวนท่า เฒ่าแซ่เต็กจึงใช้สภาวะฝ่ามือแทนดาบ ที่ใช้ออกกลับเป็นวิชาดาบไม่ใช่เพลงฝ่ามือ
วิชาดาบของเฒ่าแซ่เต็กมีความลึกล้ำไพศาล เป็นวิชาดาบอสูรโลหิต เน้นลึกซึ้งไม่กว้างขวาง พอฟาดฟันออกบังเกิดลมปราณพวยพุ่ง รวดเร็วแม่นยำครอบคลุมบังคับให้บัณฑิตมือวิเศษไม่อาจหลบหลีก จำต้องต้านรับโดยตรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังภายในเฒ่าแซ่เต็กกล้าแข็งกว่า ย่อมเห็นผลในไม่ช้า บัณฑิตมือวิเศษกลับเป็นฝ่ายโดนมัดมือมัดเท้าแทน มันทุ่มเทสิบปีฝึกฝนยามนี้ไม่อาจใช้ออกรู้สึกขุ่นข้องหม่นหมองอย่างยิ่ง บังเกิดโทสะสูญเสียสมาธิวูบหนึ่งโดนสันมือเฒ่าแซ่เต็ก ฟันข้อมืออย่างถนัดถนี่ รู้สึกปวดแปลบสุดทนทานต้องล่าถอยออกไป ดีที่เฒ่าแซ่เต็กยั้งมือไว้ไมตรีไม่ได้ฟันข้อแขนมันหักลง
สามภูติกวนตั๋งสบตาโดยพร้อมเพียง แสดงอาวุธออกมา ในมือของงุ้ยเลี่ยงแชยามนี้เพิ่มกรงเล็บเหยี่ยวเหล็กขึ้นมาคู่หนึ่ง คราก่อนมันใช้กรงเล็บมือเปล่าทำร้ายเฒ่าแซ่เต็กไม่ได้ ยามนี้จึงใช้อาวุธเป็นกรงเล็บเหยี่ยวเหล็ก คังหมิ่นสะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ปลายฝ่ามือมีเข็มเล็กละเอียดอยู่ทั้งสองข้าง ท่วงท่าสะบัดแขนเสื้อชดช้อยแต่ไม่เชื่องช้ามีความงดงามอย่างประหลาด บัณฑิตมือวิเศษโบกพัดจีบออก พัดนี้ทำจากเหล็กกล้าตัวพัดเป็นแผ่นใยทอง ยามโบกสะบัดเปล่งประกาย ยามคลี่กางสามารถใช้ตัดสิ่งของต่างใบมีด ทั้งสามกระจายตัวออกห้อมล้อมมันโดยรอบ ยามนี้ทั้งสามไม่ใช้วิธีกรุ่มรุมไม่ได้แล้ว เฒ่าแซ่เต็กจับจ่องผู้คนรายล้อมอยู่ ยังไม่ขยับกายเคลื่อนไหว
บัณฑิตมือวิเศษกล่าวขึ้นว่า
“อภัยที่เสียมารยาท”
กล่าวจบทั้งสามชิงลงมือโดยพร้อมเพียง สามภูติกวนตั๋งทราบดีว่า วิชาดาบของเฒ่าแซ่เต็กร้ายกาจยากต่อกรจึงไม่รีรอให้มันมีโอกาสหยิบฉวยดาบในหีบเหล็ก พอแสดงอาวุธก็ลงมือจู่โจม เฒ่าแซ่เต็กหลบซ้ายเลี่ยงขวาจากอาวุธของคนทั้งสามอย่างไม่ประมาท แต่ไม่ถดถอยห่างจากหีบเหล็ก ต้องลอบครุ่นคิดชมเชยต่อคนทั้งสาม ‘พวกมันแก้ไขจุดบกพร่องที่พ่ายแพ้เมื่อคราก่อน ช่องว่างรอยโหว่แทบไม่มีให้เห็น สิบปีมานี้คงคร่ำเคร่งฝึกปรือไม่น้อย นับว่ามีความสามารถโดยแท้’
ยามนี้เฒ่าชราประดุจจงอางหวงไข่คอยปกป้องหีบเหล็กที่เบื้องหน้า ใช้มือเปล่าเลือดเนื้อคู่หนึ่งต้านทานอาวุธทั้งสามที่แยกซ้ายจู่โจมขวาโดยสอดคล้อง เป็นที่ตรึงมืออย่างยิ่ง พลันแลเห็นเหล็กเขี่ยฟืนในเต่าอยู่ด้านหลังสามารถใช้แทนกระบี่ได้ ถลันตัวถอยหลังไปคว้าหยิบขึ้น บัณฑิตมือวิเศษเห็นเฒ่าแซ่เต็กถอยห่างจากหีบเหล็กเป็นที่ปิติยินดีรีบเอื้อมมือคว้าไว้พอออกแรงจะดึงขึ้น พบวัตถุแหลมดำมะเลื่อมจี้ใส่ข้อมือ หัวไหล่ ชายโครงสามจุด ต้องหดมือกลับพลิ้วตัวหลบหลีก เฒ่าแซ่เต็กกลับมาคลุ้มครองหีบเหล็กอีกครา แต่ในมือเพิ่มที่เขี่ยฟืนเป็นแท่งเหล็กยาวต่างกระบี่ขึ้นมาด้ามหนึ่ง บัณฑิตมือวิเศษต้องหลังเหงื่อเย็นยะเยียบ ครุ่นคิด ‘เฒ่าผู้นี้ไม่เพียงวิชาดาบลึกล้ำ วิชากระบี่ก็พลิกแพลงรวดเร็วพิสดาร’
เฒ่าแซ่เต็กร่ายร่ำเพลงกระบี่เทียบนครคุ้มครองหีบเหล็ก เพลงกระบี่ชุดนี้มีแนวทางตรงกันข้ามกับเพลงดาบอสูรโลหิตโดยสิ้นเชิง เพลงดาบอสูรโลหิตเน้นลึกซึ้งไม่กว้างขวาง ไม่พลิกแพลงแต่หนักแน่น แต่เพลงกระบี่เทียบนครกว้างขวางพลิกแพลงไม่รู้จบ ประดุจมีกระบวนท่าไม่จบสิ้น แต่ที่เหมือนกันคือความรวดเร็ว พอใช้ออกก็ชิงเป็นฝ่ายรุกคนทั้งสามไม่อาจเข้าใกล้หีบเหล็ก ยามนี้สามภูติกวนตั๋งต้านรับมือไม้ปั่นป่วน ต้องครุ่นคิดเดือดดาล ‘หากเป็นเช่นนี้ไยไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้’
เวลานี้ไหนเลยมีเวลาให้คนทั้งสามครุ่นคิด บัณฑิตมือวิเศษถูกตีเข้าที่ข้อมือ งุ้ยเลี่ยงแชถูกที่ข้อเท้า คังหมิ่นถูกตีเข้าที่สะโพกคล้ายผู้ใหญ่โบยก้นทำโทษทารก คังหมิ่นทั้งอับอายทั้งเดือดดาลแต่แล้วต้องครุ่นคิด ‘หากนี่เป็นกระบี่จริงไยไม่ใช่ มือขาด ขาด้วน สะโพกแหว่งไปตามกัน’ เมื่อคิดแล้วต้องลอบหวาดเสียวหลั่งเหงื่อชโลมกาย
งุ้ยเลี่ยงแชพลันตวาดขึ้น
“ศิษย์เราไฉนยังไม่มา”
พอสิ้นเสียงภายในห้องบังเกิดเสียงกรีดร้องของจิวอวงยี้ขอความช่วยเหลือ คังหมิ่นยิ้มแย้มกล่าวว่า
“ศิษย์เรามาแล้ว”
เฒ่าแซ่เต็กพอได้ยินต้องร้อนรุ่มเค้นเสียงกล่าว
“นางไม่เกี่ยวข้องไฉนลงมือต่อนาง”
บัณฑิตมือวิเศษพลางกล่าวว่า
“นี้กลับเป็นกลยุทธหนึ่ง ท่านคิดช่วยเหลือนางต้องรีบแล้วศิษย์เรากลับเป็นปีศาจราคะ”
เฒ่าแซ่เต็กเค้นเสียงเฮอะ รีบคว้าหีบเหล็ก ถลันตัวคิดเข้าไปช่วยเหลือ งุ้ยเลี่ยงแชพอเห็นรีบเข้าขวางหน้า มันมีฝีเท้ารวดเร็วย่อมชิงเป็นฝ่ายถึงหน้าประตูก่อน พอถึงก็จู่โจมกรงเล็บเหยี่ยวออกเหนี่ยวรั้งเฒ่าแซ่เต็กไว้ ตวาดว่า
“คิดช่วยคนทิ้งของไว้”
บัณฑิตมือวิเศษกับคังหมิ่นรีบลงมือเข้าช่วยเหลืองุ้ยเลี่ยงแช เฒ่าแซ่เต็กร้อนรุ่มคิดช่วยเหลือคน ไม่อยากพัวพันกับสามภูติกวนตั๋ง แต่เห็นพวกมันดุจภูติพรายเหนี่ยวรั้งไม่เลิกราต้องหงุดหงิดพลุพล่านตวาดลั้นกึกก้อง พลันดีดเท้าเตะโต๊ะลอยขึ้น เหวี่ยงเหล็กเขี่ยฟืนทิ้ง เร่งเร้าพลังเทพสาดส่องใส่ฝ่ามือฟาดใส่โต๊ะโดยแรง ฝ่ามือยังไม่บรรลุถึง พลังก็ซาดซัดใส่ตัวโต๊ะแตกแยกพุ่งกระจายเข้าหาคนทั้งสาม สามภูติกวนตั๋งต้องตื่นตระหนก ทราบว่าเศษซากโต๊ะที่พุ่งเข้าหาพวกตนมีกำลังแฝงมามหาศาล ยากปัดป้องต้านประทะ รีบทะยานกายหลบหลีกขึ้นด้านบนไปคนล่ะทิศล่ะทาง คังหมิ่นมีฝีเท้าเชื่องช้ากว่า งุ้ยเลี่ยงแชทราบว่านางไม่อาจหลบรอด รีบคว้าร่างนางลอยตัวขึ้นขื่อหลังคาอย่างรวดเร็ว กระนั้นมันยังโดนเศษขาโต๊ะถากแผ่นหลังเสื้อผ้าขาดเป็นวงกว้าง กำลังที่แฝงมาทำร้ายแผ่นหลังมันแดงเถือกปานถูกผู้คนนำท่อนไม้ฟาดใส่ รู้สึกปวดแปลบแทบไม่อาจทรงกายอยู่บนขื่อได้ เศษไม้ที่ปลิวว่อนกระจัดกระจาย บ้างปักตรึงทะลุผนัง บ้างทลายหน้าต่างออกไปภายนอก แม้แต่ประตูยังถูกเศษไม้กระแทกหลุดไปทั้งบาน
สามภูติกวนตั๋งรับรู้ความร้ายกาจของเฒ่าแซ่เต็กแล้ว ไม่ทราบว่ามันฝึกวิชาเทวดาอันใด ถึงได้มีกำลังภายในมหาศาลเช่นนี้ พอครุ่นคิดแล้วรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อเฒ่าแซ่เต็กอย่างยิ่ง มันทั้งสามไหนเลยเคยเห็นพลังเทพสาดส่องที่เลื่องลือในอดีต
เบื้องล่างยังคละคลุ้งไปด้วยเศษฝุ่นที่เกิดจากเศษไม้โดนกำลังภายในของเฒ่าแซ่เต็กบดกระจาย เห็นเฒ่าแซ่เต็กหนีบหีบเหล็กถลันเข้าห้อง สามภูติกวนตั๋งยังตระหนกต่อเหตุการณ์ไม่ทราบว่าจะเหนี่ยวรั้งมันอีกดีหรือไม่ ยามกระทันหันกลับไม่กล้าตัดสินใจ
ภายในห้องเห็นจิวอวงยี้นอนฟุบอยู่กับพื้น สำรวจภายในห้องกลับไม่เห็นผู้อื่นผู้ใด เพียงแต่หน้าต่างพังออกคล้ายมีคนทะลวงฝ่า เฒ่าแซ่เต็กรีบเข้าไปยังร่างของจิวอวงยี้ พลิกร่างนางขึ้นกลับพบฝุ่นลมหอมหวลปะทะใบหน้า ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ต้องทรุดลงนั่ง จิวอวงยี้ทราบดีว่าเฒ่าแซ่เต็กมีฝีมือสูงเยี่ยมอีกทั้งเจนจัดคร่ำโลก หากวางยาพิษในอาหารน้ำดื่ม เฒ่าแซ่เต็กอาจจำแนกออก จึงอาศัยยามมันร้อนรนไม่ทันระวังตัว พ่นผงหอมมอมเมาเซียนลอบทำร้าย เฒ่าแซ่เต็กแววตาถ่อประกายเพลิงโทสะวูบหนึ่ง แต่แล้วก็ครุ่นคิดเข้าใจ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้กล่าววาจา จิวอวงยี้พอถูกมันเพ่งมองกลับไม่กล้าสบตามัน เบืองหน้าไปทางผ้าม่านกล่าวขึ้น
“ซือแป๋ทั้งหลาย ท่านเข้ามาเถอะ”
สามภูติกวนตั๋งหัวเราะกึกก้องเลิกผ้าม่านเข้ามา บัณฑิตมือวิเศษโบกพัดยิ้มแย้มกล่าวชม
“อวงยี้ เจ้าทำงานได้ดียิ่ง”
จิวอวงยี้ก่อนหน้านี้กระตือรือร้นทำงานนี้ด้วยความปิติ แต่ตอนนี้ทำงานสำเร็จทั้งยังได้รับการกล่าวชมกลับรู้สึกไม่ใคร่ยินดี ในใจกลับไม่ทราบเป็นรสชาติใด กล่าวรับคำอย่างแผ่วเบา
บัณฑิตมือวิเศษก้มลงไปคว้าหีบเหล็กที่ตอนนี้กองอยู่กับพื้นขึ้นมา หันไปกล่าวกับเฒ่าแซ่เต็กว่า
“อาวุโส ของสิ่งนี้เราช่วงชิงมาได้แล้ว ท่านมีวาจาใดจะกล่าว”
เฒ่าแซ่เต็กสูดลมหายใจหนักหนวงขึ้นคราหนึ่งก่อนถอนใจยาวออกมา น้ำเสียงแฝงแววรันทดหดหู่อยู่สามส่วน
“เราเมื่อพ่ายแพ้ก็คือ พ่ายแพ้ ยังสามารถกล่าววาจาใด พวกท่านอบรมศิษย์ได้ประเสริฐยิ่ง เฮ้อ... คงซิมไช้ก็คือคงซิมไช้ไหนเลยเป็นเจ้าไปได้ เรากลับเลอะเลือนยิ่ง”
พลางลุกขึ้นอย่างแช่มช้า
ทั้งหมดต้องงงงันวูบเห็นมันลุกคล้ายไม่ได้โดนพิษ ไม่ทราบว่ามันกล่าวถึงคงซิมไช้อันใด แต่ไฉนมันถึงลุกขึ้นได้ สีหน้าพลันตื่นตระหนก ต้องถดถอยกายอย่างลืมตัว
“เต็กเอี่ยเอี้ย ท่านไม่ได้โดนพิษ”
จิวอวงยี้อุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ เฒ่าแซ่เต็กยิ้มอย่างหดหู่ ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เรากลับคาดไม่ถึงว่าเจ้าเป็นศิษย์พวกมัน”
สามภูติกวนตั๋งกับจิวอวงยี้ย่อมไม่ทราบว่าในอดีต เฒ่าแซ่เต็กผ่านวิบากกรรมความเจ้าเล่ห์เพทุบายของยุทธภพมามากมาย ถึงกับโดนใส่ร้ายจับมันขังคุกร้อยโซ่เหล็กทะลวงกระดูกไหปลาร้าทำลายพลังฝีมือ ซือแป๋ที่เคารพรักก็ทรยศหักหลัง หากไม่ได้ผู้พี่ที่ประเสริฐถ่ายทอดวิชาเลิศล้ำ บอกกล่าวเล่ห์เลี่ยมภายในยุทธภพ มันไม่ทราบว่าจะมีชีวิตถึงตอนนี้หรือไม่ ตั้งแต่นั้นมาเฒ่าแซ่เต็กผู้นี้ก็ไม่เคยไว้วางใจผู้ใด
แม้จิวอวงยี้จะเสแสร้งเป็นหญิงธรรมดาไร้ฝีมือ แต่ในสายตามันยังสามารถจับพิรุธได้บางอย่างคาดว่าการมาของนางย่อมมีส่วนเหนือธรรมดา ติดที่ว่าจิวอวงยี้ทำตัวคล้ายบุตรสาวมัน ทำให้หวนคิดถึงคงซิมไช้ขึ้นมาจึงไม่ได้เอ่ยปากไล่นาง ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมันคล้ายมีความสุขยิ่ง
เฒ่าแซ่เต็กเมื่อคิดว่าความสุขที่ตนได้รับกำลังจางหายจึงรู้สึกหดหู่ยิ่ง กล่าวอย่างแช่มช้า
“พวกเจ้าเมื่อช่วงชิงสิ่งของไปได้ เราย่อมทำตามสัญญาไม่ทวงถาม พวกเจ้าควรไปได้แล้ว”
โบกมือเบาๆเป็นเชิงขับไล่
สามภูติกวนตั๋งไหนเลยกล้ารั้งอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม หากมันเปลี่ยนใจไยไม่ใช่ย่ำแย่ยิ่ง ประสานมือคาราวะกล่าวคำอำลา
จิวอวงยี้ยังไม่ได้ติดตามบรรดาซือแป๋ของนางไป เดินถึงข้างกายเฒ่าแซ่เต็กกล่าวน้ำเสียงอ่อมแอ้ม
“เต็กเอี่ยเอี้ย อภัย.. ที่ข้า..พเจ้าหลอกลวงท่าน โปรดถนอมตัวด้วย”
พลางย่อกายคำนับอย่างชดช้อย ถอยกายออกมา ขณะจะก้าวเดินติดตามบรรดาซือแป๋ ได้ยินเสียงเฒ่าแซ่เต็กกล่าวแผ่วเบาไล่หลังมา
“ภายภาคหน้าอย่าได้ฆ่าคน มากมายเช่นซือแป๋เจ้า หากมีโอกาสก็ตักเตือนพวกมัน”
จิวอวงยี้ชะงักเท้าหันกายกลับมา เห็นมันยืนหันหลังให้ ไม่ได้หันมามองนาง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าววาจาใด จิวอวงยี้รับคำแผ่วเบา ในใจรู้สึกสำนึกตื้นตันยิ่ง กล่าวคำว่า รักษาตัวด้วย ก็จากไป
ทั้งสี่ขึ้นสู่หุบ เขาสู่ที่พัก งุ้ยเลี่ยงแชมีสีหน้าเบิกบานใจ กล่าวว่า
“แม้คราวนี้เราเอาชัยได้แบบไม่ค่อยสวยสดงดงาม แต่ก็นับว่าสามารถรักษาเกียรติภูมิของสามภูติกวนตั๋งเอาไว้ได้”
คังหมิ่นก็พลอยยิ้มแย้มปิติ พลันแลเห็นจิวอวงยี้มีสีหน้าเศร้าหมอง คาดว่านางเสียใจที่ลงมือแผ่พิษไม่สำเร็จ ต้องหันมากล่าวปลอบ
“อวงยี้ เจ้าทำได้ดีแล้ว การลอบแผ่พิษของเจ้าไม่ใช้ว่าใช้การไม่ได้แต่เฒ่าประหลาดนั่นเก่งกล้าเกินไป หากเป็นผู้อื่นคงไม่สามารถหลุดรอดได้ จะอย่างไรเจ้าก็มีส่วนช่วยให้เราทำงานสำเร็จ”
จิวอวงยี้เพียงยิ้มเจือๆ รับคำ
บัณฑิตมือวิเศษกลับมีสีหน้าครุ่นคิด กล่าวว่า
“นี่นับว่าไม่ถูกต้อง เฒ่าแซ่เต็ก นั่นเมื่อไม่ถูกพิษ ไฉนให้เราหยิบฉวยหีบเหล็กโดยไม่ขัดขวาง”
ทั้งหมดคล้ายฉุกคิดได้ งุ้ยเลี่ยงแชรีบกล่าว
“ตั่วเฮีย รีบนำหีบมาเปิดชมดู”
บัณฑิตมือวิเศษวางหีบไว้บนโต๊ะ ใช้พัดเหล็กกล้าเลื่อนสวนปลายออกเป็น ลวดเส้นเล็กแข็งยื่นออกมาส่วนปลายงอเล็กน้อย จัดการสอดเข้าไปในรูกุนแจ ขยับมือวูบหนึ่ง กุนแจก็คลายออกอย่างง่ายดาย นี้ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของฉายามือวิเศษของมัน ทั้งหมดตกตะลึงเล็กน้อย ภายในบรรจุเพียงเสื้อไหมดำเพียงตัวเดียว ไม่มีดาบวิเศษสีทองรวมอยู่ด้วย
บัณฑิตมือวิเศษถอนหายใจยิ้มออกมา กล่าวว่า
“อย่างน้อยเราก็ได้ในสิ่งที่เราต้องการ แต่ครั้งนี้อาจนับว่าเสมอกันเราพนันช่วงชิงของสองสิ่งแต่กลับได้เพียงสิ่งเดียว”
พลางหยิบเสื้อขึ้นมาชมดู สายตาพลันเห็นซองจดหมายซุกอยู่ใต้เสื้อ ทั้งหมดรู้สึกฉงนสงสัย คังหมิ่นจึงหยิบขึ้นมาแกะออก ภายในเขียนไว้ว่า ของขวัญแด่ บุตรตรีบุญธรรม อวงยี้
คังหมิ่นพออ่านออกมา ทั้งสามต้องตะลึงงันชั่วขณะ เพ่งมองมาที่นาง สีหน้าสงสัยคล้ายมีคำถาม จิวอวงยี้นิ่งงันลงครู่หนึ่งเพ่งมองจดหมาย ก่อนกล่าวเล่าเรื่อง บุตรสาวและภรรยาของเฒ่าแซ่เค็กให้ฟัง ทั้งยังเล่าเรื่องที่ตนเองทำตัวลอกเลียนบุตรสาวมัน ทั้งหมดพอฟังจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้เฒ่าแซ่เต็กบังเกิดความคิดถึงลูกจึงคิดรับจิวอวงยี้เป็นบุตรบุญธรรม งุ้ยเลี่ยงแชพลันตบโต๊ะ คล้ายมีโทสะ กล่าวว่า
“มันเขียนจดหมาย บอกกล่าวมอบของล่วงหน้า ทั้งที่ทราบว่าเราจะไปช่วงชิง เฮอะไยไม่ใช่ มันหมายความว่าเราไม่มีปัญญาช่วงชิงมาได้”
บัณฑิตมือวิเศษพลันทอดถอนใจส่ายศีรษะช้าๆ กล่าวว่า
“เรานับว่าไม่มีปัญญาช่วงชิงจริงๆ ตอนนี้เรากลับทราบแล้วว่า มันเมื่อไม่ถูกพิษทำไมไม่ลงมือขัดขวาง”
“เพราะเหตุใดรึ”
งุ้ยเลี่ยงแชกับคังหมิ่นแทบถามเป็นเสียงเดียว บัณฑิตมือวิเศษกล่าวตอบว่า
“มันพอทราบว่าอวงยี้เป็นศิษย์ของพวกเรา ของสิ่งนี้เมื่อคิดมอบให้ก็ไม่เอาคืน จึงไม่ขัดขวางแต่ประการใด จะอย่างไรเสื้อไหมดำตัวนี้ก็ต้องตกถึงมือนาง”
ทั้งหมดพอฟังจึงเข้าใจในบัดดล บัณฑิตมือวิเศษพลันครุ่นคิดสืบต่อ กล่าวเปรยออกมา
“หากมันคิดว่าสามารถป้องกันการช่วงชิงของเราได้ และคิดมอบต่ออวงยี้ไฉนไม่มอบด้วยมือ กลับเขียนจดหมายบอกกล่าว”
จิวอวงยี้กลับคิดขึ้นได้ในทันทีแทบพร้อมกลับบัณฑิตมือวิเศษ รีบกล่าวขึ้น
“ตั่วซือแป๋ ยี่ซือแป๋ ซาซือแป๋ ข้าพเจ้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบก็พลิ้วกายออกไปอย่างรีบเร่ง งุ้ยเลี่ยงแช กับคังหมิ่นคิดจะกล่าวถามก็ไม่ทันแล้ว นางกลับโลดลิ่วทะยานไปอย่างสุดฝีเท้า คังหมิ่นต้องกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด
“เอี้ยเท้าผู้นี้ คิดจะไปก็ไปในทันที ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอันใด ถึงได้รีบเร่งปานนี้”
บัณฑิตมือวิเศษนั่งลงรินน้ำชายกขึ้นจิบคราหนึ่ง ค่อยยิ้มแย้มกล่าวตอบออกมา
“นางไปหาบิดาบุญธรรม แต่คาดว่าไม่อาจหาพบแล้ว”
คังหมิ่นกับงุ้ยเลี่ยงแชต้องสบตากันอย่างมึนงงสงสัย
จิวอวงยี้เร่งฝีเท้าสุดกำลังผ่านหุบเขาลาดชันลงสู่แนวทิวไม้ เพียงไม่นานก็บรรลุถึงเชิงเขาบริเวณบ้านของเฒ่าแซ่เต็ก ยามนี้อาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้าแล้ว จิวอวงยี้เข้าไปในบ้านของเฒ่าแซ่เต็ก พบว่าเสื้อผ้าบางส่วน ข้าวของบางชิ้นถูกรื้อค้นเอาไป เข้าไปดูในห้องนอนก็ไร้วี่แววผู้คน เฝ้ารออยู่ครึ่งคอนวันเฒ่าแซ่เต็กก็ไม่กลับมา ต้องหลังน้ำตากล่าวกับตัวเองเบาๆ
“เต็กเอี่ยเอี้ย อภัยที่อวงยี้คิดร้ายต่อท่าน ข้าพเจ้ากลับไร้วาสนากราบท่านเป็นบิดาแล้ว”
ที่แท้เฒ่าแซ่เต็กได้จากไปแล้ว เฒ่าแซ่เต็กคร่ำโลกเพียงใด แม้จิวอวงยี้รับประทานยาสลายพลังไร้พลังฝีมือ มันก็ดูออกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ เพียงแต่ไม่ทราบจุดประสงค์การมาของนาง ระยะเวลาที่อยู่รวมกันมันมีควาสุขไม่น้อย คาดคิดไว้ว่าหลังจากประลองเสร็จสิ้นมันเองจะจากไป คิดทิ้งเสื้อไหมดำไว้ให้จิวอวงยี้ ไว้ให้คุ้มครองกาย หลังจากที่มันจากไป จึงเขียนจดหมายบอกกล่าวไว้ในหีบเหล็ก แต่ไม่คาดว่าจิวอวงยี้เป็นศิษย์ของสามภูติกวนตั๋ง ทั้งยังลงมือลอบประทุษต่อมัน แม้รู้สึกเสียใจ แต่ของที่คิดจะมอบให้แล้วก็ไม่คิดเอาคืน จึงไม่ได้ขัดขวางบัณฑิตมือวิเศษ จิวอวงยี้เมื่อรับรู้จึงต้องหลังน้ำตาออกมา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
ความคิดเห็น