ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
Special Ones

ลำดับตอนที่ #4 : - เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเจ้าปัญหาตัวน้อยๆ - "วิลเลียม ลูกมาเรีย ช่างเย็บผ้า"

  • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 53


- เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเจ้าปัญหาตัวน้อยๆ -

“วิลเลียม ลูกมาเรีย ช่างเย็บผ้า”

 

            ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ วิลเลียมเคยคิดว่าเขาเป็นคนพิเศษ คิดว่าตัวเขานั้นมีความพิเศษอยู่ในตัว เขามีท่านแม่มาเรียผู้ใจดีและรักเขาเป็นที่สุด เขาเที่ยวเล่นสนุกสนานไปวันๆ ทั่วลูซแวร์ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร โลกในมุมมองของเขาขณะนั้นช่างกว้างใหญ่และเป็นอิสระเสรี

            อันที่จริงแล้ว เด็กชายวิลเลียมเป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปในดาเรเนีย เนื่องจากยังเป็นเพียงแค่เด็กจึงไม่มีตำแหน่งหน้าที่หรืออาชีพที่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อท้ายชื่อ คนที่รู้จักจึงพากันเรียกเขาว่า วิลเลียม ลูกมาเรียโดยใส่ชื่อผู้ปกครองมาแทน ถ้ามีใครถามต่อว่า มาเรียไหนก็อาจได้คำตอบทำนอง มาเรีย ช่างเย็บผ้ากลับมา วิธีการเรียกเช่นนี้เป็นที่พบเห็นได้ทั่วไปในลูซแวร์ และในเมืองแทบทุกเมืองของดาเรเนีย เพราะปรากฏการณ์ความเป็นที่นิยมของชื่อบางชื่อในบางพื้นที่จึงมีจำเป็นต้องมีคำระบุชี้เฉพาะตามมา

            ชาวดาเรเนียนในยุคนั้นยังไม่มีการบัญญัตินามสกุลขึ้นมาใช้กันโดยทั่วไป คนที่จะมีนามสกุลได้ก็มีแต่เหล่าเชื้อพระวงศ์และพวกขุนนางที่มีความดีความชอบสูงจนได้รับพระราชทานนามสกุลมา หนึ่งในนามสกุลที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ ดาเรนไลน์อันมีความหมายว่า สายเลือดแห่งดาเรน ซึ่งคนที่ใช้นามสกุลนี้ได้ก็คือเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์นั่นเอง

            เด็กชายวิลเลียมเป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบ แข็งแรง และซุกซน มาเรียผู้เป็นแม่เห็นแววเฉลียวฉลาดของลูกดีจึงส่งให้เขาเข้าเรียนในโรงเรียนหลวง นางเคยเป็นนางกำนัลในพระราชวังมาก่อนและมีเพื่อนที่เป็นครูจึงพอมีเส้นสายส่งเสริมการศึกษาของบุตรชายได้ หากแต่งานรับจ้างเย็บผ้าในเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอจะจ่ายค่าเล่าเรียนและเลี้ยงสองชีวิตได้ วิลเลียมจึงต้องรับงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่บาร์ของมาร์กาเรตเพื่อหารายได้เสริมอีกทางหนึ่ง

            ชีวิตในวัยเรียนเขียนอ่านของวิลเลียมก็ยังนับว่าสนุกสนานดี เนื่องจากต้องเรียนด้วยทำงานไปด้วย ผลการเรียนของเขาจึงไม่โดดเด่นเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าทำได้ดีพอประมาณ เพื่อนๆ ในห้องก็มีทั้งพวกลูกขุนนางและลูกเศรษฐีผู้มีอันจะกิน พวกนั้นชอบเกาะกลุ่มกัน และบางครั้งหากอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาก็อาจมาหาเรื่องวิลเลียมหรือพวกเด็กตัวเล็กที่มีฐานะด้อยกว่าพวกตนได้ วิลเลียมแม้จะจัดได้ว่าเป็นเด็กที่เติบโตมาโดยคลุกคลีอยู่กับหมู่นักเลงข้างถนนแต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่ไปแส่หาเรื่องกับพวกหมาหมู่เหล่านั้น ในคราวที่เกือบจะมีปัญหาเขาก็มักจะอาศัยความเร็วและว่องไวเฉพาะตัวหนีเอาตัวรอดไปได้ก่อนทุกที

            มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่วิลเลียมในวัยเด็ก (และอาจรวมถึงในวัยหนุ่ม) ไม่ชอบให้คนถามเขา นั่นถือเรื่องพ่อ เด็กชายเติบโตขึ้นมาโดยมีท่านแม่มาเรียอยู่ในชีวิตคนเดียว เขาเคยรบเร้าถามท่านแม่อยู่หลายครั้งแล้ว แต่นางก็ไม่เคยปริปากบอก ไม่เคยบอกสักนิดว่าท่านพ่อเป็นใคร หรือเป็นตายร้ายดีอย่างไรในปัจจุบัน นางมักจะโอบกอดเขาแล้วปลอบโยนว่า

            เจ้ามีแค่แม่คนเดียวก็พอแล้วนี่นา

            หลังจากทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้มาหลายครั้งและตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียทุกครา วิลเลียมก็ยอมรับได้ในที่สุดว่า ชีวิตของเขามีแค่ท่านแม่คนเดียวก็พอ เมื่อท่านแม่ไม่อยากพูดถึงท่านพ่อ เขาก็จะถือว่าตัวเองไม่มีท่านพ่ออยู่แต่แรกแล้ว

            แต่ชีวิตที่แลดูสว่างไสวรุ่งโรจน์ยิ่งนักของเด็กชายวิลเลียมก็ค่อยๆ หม่นหมองซีดจางลงเมื่อมาเรียเริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคเรื้อรัง

            ไม่ว่าจะตามพวกหมอหรือนักบวชมารักษาเท่าไหร่ มาเรียก็ดูจะไม่มีท่าทีดีขึ้นเลย แม้จะฝืนยิ้มให้เขา และบอกว่าตนยังไหว ยังคงทำงานได้อยู่ แต่ร่างกายก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เขาห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง บอกให้พักหรือบอกว่าจะไม่เรียนต่อไปแล้วถ้าท่านแม่ยังไม่หายดีก็ไม่ยินยอม มาเรียยังคงบอกให้เขาไปเรียน ส่วนเรื่องที่เหลือนางจะจัดการเอง

            วันหนึ่ง ท่านแม่ก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวเสียสวย ทั้งยังจับเขาแต่งตัวเสียดิบดีด้วยอีกคน แล้วพาเขาไปพบคนคนหนึ่ง

            นั่นเป็นครั้งแรกที่วิลเลียมได้มีโอกาสก้าวเข้ามาเขตพระราชฐาน แม้จะเคยโอ้อวดว่าในนครลูซแวร์แห่งนี้เขารู้จักทุกตรอกซอกมุมเป็นอย่างดี แต่คำคุยโม้นั่นก็ไม่นับรวมสถานที่ที่คนทั่วไปห้ามเข้าไปอย่างพระราชวัง ดังนั้นเด็กชายจึงได้แต่เดิมตามท่านแม่ไปอย่างสับสน จดจำเส้นทางใดๆ ไม่ได้เลย เขาคิดว่าท่านแม่คงเตรียมการไว้นานแล้วจึงเข้ามาได้ นางเคยทำงานในนี้มาก่อนจึงรู้ระเบียบความเป็นไปของด้านในกำแพงนี้ดี

            แล้ววิลเลียมก็ได้พบกับอาเธอร์ เจ้าชายแห่งดาเรเนีย หรือ อาเธอร์ ดาเรนไลน์ ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทอยู่ และครอบครัว มีภรรยาและลูกสาววัยไล่เลี่ยกับเขาอีกหนึ่งคน

            วิลเลียมจำไม่ได้แล้วว่าพวกผู้ใหญ่พูดอะไรกัน เหมือนท่านแม่จะฝากให้อีกฝ่ายช่วยดูแลเขาหรืออะไรสักอย่าง... ที่เขาจำได้มีเพียงม่านตาสีน้ำเงินที่ฉายแววโกรธเกรี้ยวคู่นั้น กับผมสีน้ำตาลเข้มหยักศกที่ตกลงมาปรกหน้าเล็กน้อยของอาเธอร์ ทั้งสองสิ่งนี้เหมือนดวงตาและผมของเขาเหลือเกิน เหมือนจนท่านแม่มาเรียผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนและนัยน์ตาสีฟ้าดูราวกับไม่มีสิ่งใดตกทอดมาถึงเขาในทันที

            สถานการณ์ในตอนนั้นคล้ายจะมีการขึ้นเสียง การปฏิเสธ และการไม่ยอมรับอยู่บ้าง แต่วิลเลียมก็ไม่ใส่ใจจะจำ พอรู้สึกตัวอีกที เขาและท่านแม่ก็ถูกขับไล่ออกจากวิมานสถานแห่งนั้นกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว อย่างน้อยท่านแม่ก็ไม่ได้ถูกทำร้ายอะไร แต่อาการป่วยก็กำเริบขึ้นมาอีกแล้ว

            พอเริ่มจับเค้าลางได้ว่าอะไรเป็นอะไร วิลเลียมก็ซักไซ้ถามมาเรียทันทีว่า ชายคนนั้นใช่พ่อแท้ๆ ของเขาไหม

            มาเรียยังคงไม่ยอมรับ และปฏิเสธต่อไป

            ไม่ใช่หรอกลูก เขาคือเจ้าชายอาเธอร์ที่เคยมีบุญคุณต่อแม่เท่านั้นเอง แม่เลยลองไปขอให้พระองค์ช่วยรับเลี้ยงดูลูกต่อ เมื่อแม่จากไปอย่างไร เพื่อว่าพระองค์จะทรงเมตตาแม่อีกสักครั้ง

            เด็กชายฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เห็นชัดๆ ว่าเจ้าชายอาเธอร์เหมือนเขาขนาดนี้ ทำไมท่านแม่จึงยังดึงดันไม่ยอมรับเช่นนี้อีก แล้วทำไมต้องไปฝากคนอื่นเลี้ยงด้วย ท่านลุงโจนาธานกับท่านป้ามาร์กาเรตก็มี ถ้าท่านแม่ไม่ไหวจริงๆ ก็ยังไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้

            วิลเลียมมาเรียลูกศีรษะบุตรชายเบาๆ เจ้าเกิดมามีความพิเศษกว่าใคร ดังนั้นเติบโตขึ้นไปก็ต้องเป็นคนพิเศษรู้ไหม

            เด็กชายนิ่งฟัง ไม่อาจขัดขืนท่านแม่ที่กำลังไอรุนแรง

            เรื่องบางเรื่องแม่อาจจะบอกลูกในตอนนี้ไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะเข้าใจเอง แม่พูดความจริงกับลูกเสมอ ไม่ได้โกหกลูกเลย

            หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ มาเรียก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ คำพูดสุดท้ายของนางที่กล่าวกับเขา ยังคงเป็นเรื่องที่ว่าเขาเก่งเขาดีเขาพิเศษอยู่นั่นเอง

            ถ้านั่นเป็นความปรารถนาสุดท้ายของท่านแม่... เขาก็อยากจะทำให้นางสมหวัง

            วิลเลียมไม่ใช่เด็กที่คิดท้อแท้หรือเอาแต่คิดกล่าวโทษโชคชะตา เขาเป็นคนที่พร้อมลุกขึ้นมาปะทะกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นศัตรูกับเขา ดังนั้นหลังจากจัดการทำพิธีฝังศพท่านแม่เรียบร้อย แล้วก็เพียงนั่งซึมเซาอยู่วันหนึ่ง วันต่อไปเด็กชายก็กลับไปเรียน ตกเย็นก็ไปทำงาน เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเงินเก็บที่มีจะพอส่งตัวเองให้เรียนจบได้ และอาศัยรายได้จากการเป็นเด็กเสิร์ฟเพียงลำพังหาอาหารใส่ท้องเลี้ยงชีพไปวันๆ ได้

            ถึงกระนั้น เด็กชายก็ไม่ได้อ่อนด้อยในวิชาคณิตศาสตร์พอจะหลอกตัวเองได้ ไม่ว่าจะตีลังกาคำนวณอย่างไร หรือคิดจะประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างตระหนี่ถี่เหนียวเท่าไหนก็ตาม ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นตัวเลขติดลบอยู่ดี ทั้งยังมีรายจ่ายส่วนอื่นๆ ที่ท่านแม่ต้องจ่ายเป็นประจำแต่เขาไม่เคยล่วงรู้อีกว่ามี แถมทั้งหมดนั่นก็เป็นรายจ่ายเพื่อเขาทั้งสิ้น วิลเลียมคิดจนหัวแทบแตกแล้วไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงได้แต่ต้องตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนในภาคการศึกษาถัดมา

            ทว่าเมื่อคิดถึงอนาคตหลังจากนั้น เขาก็คงยังเป็นเด็กชายข้างถนนดังเดิม ไม่เห็นจะมีความพิเศษอย่างที่ท่านแม่คาดหวังเอาไว้ตรงไหนเลย ครั้นจะหาวิธีอื่นก็มีแต่ต้องไปกู้ยืนเงินเป็นหนี้มหาศาลยังไม่แน่ว่าเรียนจบแล้วจะมีงานทำหาเงินมาใช้ได้พอไหม

            เด็กชายทึ้งผมตนเองระหว่างใช้สมองคิดไปจนหันไปเจอะเขากับกระจกเงา แล้วเห็นสภาพตัวเองเข้าให้ จึงเลิกทำเช่นนั้น พร้อมกับที่ได้แนวทางแก้ไขปัญหาสุดบรรเจิดขึ้นมา

            เขาคงพอเรียกให้คนคนนั้นช่วยได้บ้างแหละน่า...

            วิลเลียมกำลังนึกคนที่หน้าคล้ายกับเขาแต่สูงวัยกว่าหลายปีคนนั้น...

            หากแต่วิธีการเรียกร้องของวิลเลียมนั้นไม่ธรรมดาเลย เขาไม่มีเส้นสายหรือสหายอยู่ภายในรั้ววัง จึงไม่มีใครให้ส่งจดหมาดติดต่อลับๆ ไปให้อย่างที่ท่านแม่หรือใครต่อใครน่าจะทำ วิลเลียมน้อยคิดได้แต่วิธีที่พึ่งพากำลังของตนเพียงอย่างเดียว และนั่นก็หาใช่การลอบบุกฝ่าด้านป้องกันอันแน่นหนาของพระราชวังเข้าไปประชิดตัวด้วย เขายังมีสติดี ไม่อยากหาที่ตายถึงขั้นนั้น

            สิ่งที่วิลเลียมทำก็ถือการแหกปากร้องโวยวายและป่าวประกาศให้ใครต่อให้รู้กันทั่วเมืองว่าเขาเป็นลูกชายของเจ้าชายอาเธอร์ และตอนนี้ท่านแม่ผู้น่าสงสารที่เลี้ยงดูเขามาเพียงลำพังก็ได้ตายจากไปแล้ว เขาจึงเหลือตัวคนเดียว ไม่มีที่พึ่งพิง

            หากเป็นคำพูดของคนอื่น มิใช่ วิลเลียม ลูกมาเรีย ช่างเย็บผ้าเด็กชายคงถูกทหารลากตัวไปตัดหัวเสียนานแล้ว แต่เพราะเป็นคำพูดของเด็กที่ดูยังไงก็หน้าเหมือนเจ้าชายอาเธอร์จนมิอาจปฏิเสธได้ แถมพอไปสืบประวัติมาเรียดู ก็พบว่าเป็นอดีตนางกำนัลที่เคยทำงานในสังกัดของเจ้าชายอาเธอร์อีกด้วย

            เรื่องเจ้าชายจะไปมีลูกเล็กลูกน้อยกับนางกำนัลหรือสาวที่ไหนก็คงไม่มีปัญหาอะไรเลย หากเรื่องไม่ได้เกิดในรัชสมัยของกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของเจ้าชายอาเธอร์ เนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มกฎหมายให้ชายในอาณาจักรต้องรักเดียวใจเดียว มีภรรยาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น พระราชารักมั่นในพระราชินีจึงทรงบัญญัติกฎนี้ขึ้นมา และก็ทรงหวังให้ลูกชายทั้งสองทำให้เป็นแบบอย่างที่นี้แก่ประชาชนตามพระองค์ด้วย

            เจ้าชายอาเธอร์ทรงอภิเษกกับหญิงสาวในตระกูลขุนนางชั้นสูงและมีธิดาด้วยกันแล้วหนึ่งพระองค์ เหล่าขุนนางที่หวังเล่นงานเจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่งอยู่แล้วจึงพากันโหมประโคมข่าวนี้และช่วยหนุนหลังวิลเลียมไปในตัว

            จริงๆ วิลเลียมก็ไม่ได้หวังอะไรมากขอแค่เงินค่าปิดปากเล็กน้อยพอให้มีกินมีใช้ไปจนศึกษาเล่าเรียนจบก็พอแล้ว แต่เพราะเขาเลือกดำเนินการผิดวิธีไป เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่ยอมยุติลงง่ายๆ เสียที ตอนนี้มีคนส่งเงินช่วยเหลือมาให้เด็กชายจนเขามีมากเกินความต้องการ แต่กลับหาความสงบในชีวิตไม่ได้

            เรื่องราวแสนยุ่งเหยิงนี้จบลงด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝันของครอบครัวของเจ้าชายอาเธอร์ รถม้าที่กำลังจะไปส่งท่านหญิงผู้เป็นภรรยาและลูกสาวออกไปพักผ่อนนอกเมืองเผื่อหลีกหนีความวุ่นวายเกิดปะทะเข้ากับสัตว์อสูรฝูงใหญ่ที่กำลังคลั่ง ทุกคนในขบวนไม่มีใครรอดชีวิตกลับมา มีเพียงเจ้าชายอาเธอร์ที่รั้งอยู่สะสางเรื่องที่ลูซแวร์เท่านั้นที่ไม่ได้ติดตามไปด้วย

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นข่าวสลดของทั้งเมือง ไม่มีใครกล้าพูดถึงวิลเลียมหรือมาเรียให้อาเธอร์ได้ยินอีกต่อไป เจ้าชายทรงโศกเศร้าเสียใจเสียจนประกาศสละตำแหน่งรัชทายาทด้วยตนเอง ตรัสว่าตนนั้นไร้ความสามารถ แค่ครอบครัวตนเองแค่นี้ก็ดูแลไม่ได้ แล้วต่อไปจะปกครองประชาชนทั้งแผ่นดินได้อย่างไร

            พระราชาก็ไม่ว่ากระไร ทรงแต่งตั้งเจ้าชายลูเธอร์พระโอรสองค์รองขึ้นเป็นรัชทายาทแทน

            ตอนนั้นเองที่วิลเลียมถูกเรียกตัวเขาไปในวัง เขาได้ไปอาศัยอยู่ในตำหนักของเจ้าชายอาเธอร์ที่แทบจะไร้ผู้คนและปราศจากชีวิตชีวา เพราะเหล่าข้ารับใช้ในตำหนักเกือบทั้งหมดติดตามขบวนเดินทางของท่านหญิงไป

            แม้จะมีบ้านใหญ่หรูหรา แต่วิลเลียมก็ไม่มีความสุขเลยสักนิด

            อาเธอร์ยังคงมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ยอมรับอยู่ทุกเมื่อ มองเขาเหมือนตัวปัญหา เหมือนต้นเหตุของความพินาศทุกอย่าง มองเขาเหมือนคนนอก ไม่ใช่ลูกชายตนอยู่นั่นเอง

            เด็กชายอยากบอกเหลือเกินว่าเขาขอโทษ เขาผิดไปแล้ว เขาไม่ได้ต้องการจะให้เรื่องมันบานปลายเป็นอย่างนี้ เขายังเด็กอยู่ เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังทางการเมืองแม้แต่น้อย ทว่าไม่ว่าจะพยายามสื่อสารนั้นออกมาเท่าใด อาเธอร์ก็ยังทำท่าเสมือนไม่รู้เห็น ไม่รับฟัง ไม่ได้ยินเสียงเขา

            จนกระทั่งกลายเป็นความเย็นชาระหว่างทั้งสองฝ่าย เมื่อขอโทษจากใจจริงแล้วไม่ได้ผลวิลเลียมก็เลิกใยดี ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตของตนไป

            วิลเลียมอยู่ในฐานะท่านชายคนใหม่ของวัง เขาย้ายออกจากโรงเรียนหลวงมาเข้าโรงเรียนทหาร ได้ศึกษาร่วมกับพวกเชื้อพระวงศ์และลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่ทำตัวสูงส่งกว่าเดิมยิ่งนัก ตอนแรกเขาก็คิดว่าเขายังรับมือไหวอยู่ แต่สถานการณ์ในโรงเรียนแห่งใหม่นี้มันสาหัสเกินไป หนักหนาจนเขาสู้ไม่ไหว และสุดท้ายก็ต้องถอยหนีออกมา

 

 

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture