NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◇ S.I.N ◇ หน่วยคนบาปล่าทรชน (จบแล้ว) [มีเล่ม มีE-book ทั้ง 2 ภาค]

    ลำดับตอนที่ #4 : บาปที่ ❶ || บาปแห่งวัยเยาว์ (3)

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 67


    บาปที่1
    บาปแห่งวัยเยาว์ (3)


      




               กึก! กึก! กึก!ๆๆๆๆๆๆ

     

    เสียงฝีเท้านับสิบกว่าชีวิตวิ่งอย่างไม่ลดระดับมาหยั่งทุ่งดอกทานตะวันตามที่คนดูแลสวนได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ พวกเรารีบเอาข่าวล่าสุดนี้ไปบอกผู้กองเหมันต์และเหนือจึงทำให้เราวิ่งไปดูจุดเกิดเหตุช้ากว่าพวกตำรวจ

    “หลีกทางหน่อยครับ!

    ผู้กองเหมันต์นำทีมคนในหน่วยวิ่งฝ่าไทยมุมเข้าไปดูซากศพของเด็กๆที่ว่า

    !!!!

    ฉันที่วิ่งตามหลังผู้กองเหมันต์มาติดๆถึงกับยืนสั่นด้วยความโมโหปนเสียใจ ภาพที่เห็นเป็นอย่างที่คนดูแลบอกไว้ทุกอย่าง ศพเด็กๆเหลือแต่กระดูกจนดูไม่ออกว่าเค้าโครงเดิมของพวกเขาเป็นยังไงถูกกองรวมกันในหลุมที่ขุนขึ้นมาแบบลวกๆ และที่ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าศพพวกนี้ต้องเป็นเด็กๆที่หายไปนั่นก็เพราะเสื้อผ้าที่หุ้มศพเหล่านี้อยู่คือชุดที่พวกเด็กๆสวมใส่ก่อนจะหายตัวไปนั่นเอง

    “ไม่จริงน่า..” ฉันเผลอน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว

    เหล่าบรรดาผู้ปกครองพยายามฝ่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ที่กำลังเตรียมทำเส้นกั้นเข้ามาดูศพลูกๆหลานๆของตัวเองแต่เพราะที่นี่คือสถานที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทุกคนจำต้องแข็งใจห้ามทุกคนเอาไว้เพื่อรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ให้ได้มากที่สุด

    “ฉันช้าไปเหรอ”

    ผู้กองเหมันต์กำหมัดแน่นด้วยความโมโหไม่แพ้ฉัน ดวงตาแข็งกร้าวมองดูซากศพเด็กๆอย่างน่าเวทนาก่อนพลันสายตาขึ้นมาจับจ้องไปหยั่งมุมบ้านหลังหนึ่งเพราะรู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์นี้มีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่

    !?

    ชายร่างสูงผิวแทนนิดๆใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำดูสะดุดตาคนหนึ่งจ้องมองมาที่ผู้กองเหมันต์อย่างไม่วางตาแต่พอมีตำรวจนายหนึ่งเดินตัดหน้าเขาไปเพียงพริบตาเดียวชายคนนั้นก็หายตัวไปเสียแล้ว

    !!! หมอนั้นเป็นใคร!?

              ผู้กองเหมันต์โวยวายพลางชะเง้อหน้าไปทางที่ชายแปลกหน้าคนนั้นหายตัวไป

    “คนไหนเหรอ?” ธามถาม

    “คนที่ยืนอยู่ตรงบ้านหลังสีครีมเมื่อกี้ เป็นผู้ชาย ใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำ ตัวสูง ผิวเข้มหน่อย”

    ธามกวาดตามองหาคนที่ผู้กองเหมันต์ว่าแต่ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหนก็ไม่มีใครที่ใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำและมีเค้าโครงตามที่ผู้กองเหมันต์บอกเลยสักคน

    “ไหน? มีคนแบบนั้นอยู่แถวนี้ด้วยเหรอทำไมกูมองไม่เห็นเลยล่ะ?

    “มีสิ เมื่อกี้ยังเห็นยืนอยู่เลย” ผู้กองเหมันต์มั่นใจมากว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

              “ถ้าคนใส่เสื้อโอเวอร์โค้ทสีดำล่ะก็ ทั้งหมู่บ้านผมเห็นอยู่คนนึงนะ” โรคความจำดีของอคินเหมือนจะรู้งาน

     

     

     

     

     

              เวลา 18.53 น.

    ณ. สนามเด็กเล่นที่ตอนนี้กลายเป็นที่พักชั่วคราวของพวกเราไปแล้ว ดีที่หน่วยนี้เตรียมการมาดีเลยไม่ต้องขับรถฝ่าด่านนักข่าวออกไปนอนโรงแรมนอกหมู่บ้านเหมือนเจ้าหน้าที่ทีมอื่น เริ่มเห็นข้อดีของการเอารถบ้านไปไหนมาไหนด้วยแล้วแฮะ

    “...”

    ฉันได้แต่นั่งเหม่อข้างๆกองไฟที่สายฟ้าจุดทิ้งเอาไว้ก่อนเข้าไปนอนสบายใจเฉิบในเต็นท์ของเขา พวกเราทำได้แค่รอผล DNA จากศพที่พบเมื่อช่วยเย็นที่ผ่านมาเท่านั้น เพราะจำนวนศพมีเยอะมากทางนิติฯจึงต้องใช้เวลาถึง 7 วันกว่าจะได้ DNA ที่ชัดเจน ถ้าผลตรวจ DNA ออกมาว่ากองซากศพพวกนั้นเป็นของเด็กๆจริงๆก็เท่ากับว่าฉันทำคดีแรกพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยเลย

     

    ผมวาดเสร็จแล้ว!

     

    เสียงของอคินดังขึ้นในรถบ้าน ทันใดนั้นเขาก็เดินออกมาพร้อมภาพวาดในมือแผ่นหนึ่ง สายฟ้ารีบคลานออกมานอกเต็นท์ เลนและธามที่นั่งเล่นชิงช้าอยู่ก็ลุกขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คนอื่นๆที่กระจายตัวกันไปสูบบุหรี่ต่างจัดการดับไฟบนมวนบุหรี่อย่างรวดเร็วแล้วมารวมตัวกันรอบกองไฟโดยมีอคินนั่งอยู่ตรงกลางข้างๆกับเก้าอี้ของฉัน

              “ผู้ชายในชุดโอเวอร์โค้ทสีดำที่ผมเห็นคือคนนี้แหละ” อคินคลี่รูปภาพที่วาดได้อย่างเป็นมืออาชีพให้ทุกคนดู ความสามารถของเขาทำเอาฉันทึ้งจนอยากจะปรบมือให้ แต่มันคงไม่ใช่เวลาสินะ

              “ผู้ชายคนนี้ล่ะที่กูเห็นตอนนั้นหมอนี่เป็นใครใช่คนในหมู่บ้านไหม?” ผู้กองเหมันต์มั่นใจมากขึ้นว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไปจริงๆ

              “ในความทรงจำของผม ผมเห็นเขาเดินไปเดินมาในหมู่บ้าน ไม่พูดคุยกับใคร แว๊บมาแล้วก็แว็บไปเหมือนตัวประกอบในละครมากกว่า”

              “แต่ตอนที่วินบอกให้กูหันไปดู กูก็เพ่งสายตาสุดกำลังจนมองเลยบ้านไป 3 หลังก็ยังไม่เห็นหมอนี่เลยนะ” ธามแก้ตากให้ตัวเอง

              “นั่นสิ เขาหายตัวไปไวมาก มองตามแทบไม่ทัน” ผู้กองเหมันต์เห็นด้วย

              “หายตัวไปไวงั้นเหรอ เข้าเค้าคนร้ายนิดนึงแฮะ” เลนทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ใส่

              “ถ้าพี่เห็นลายนิ้วมือเขาด้วยก็ดีสิเราจะได้ตรวจสอบง่ายขึ้นว่าเขาเป็นใคร” สายฟ้าแอบเสียดาย

              “ลายนิ้วมือเหรอ?” อคินนึกภาพเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาได้ “จำตอนที่เราแยกย้ายกันไปหาเบาะแสในโบสถ์ได้ไหม มีช่วงนึงกูรู้สึกตื้อกับคดีนี้มากเลยเดินออกไปนอกโบสถ์แล้วหมุดตัวกวาดสายตามองดูพฤติกรรมของทุกคนแบบไม่มีจุดหมาย”

              “ว่างจัดเหรอมึง” เหนือตำหนิด้วยน้ำเสียงหยอกๆ

              “แต่มันก็ได้ผลนะพี่! ผมเห็นเขานั่งพักที่ม้านั่งก่อนดันตัวเองลุกขึ้นเดินไปหาคนคนนึง แย่หน่อยที่มุมนั้นมีต้นไม้บังอยู่ผมเลยไม่เห็นคนที่เขาคุยด้วยแต่น่าจะเป็นคนตัวสูงนะเพราะระดับสายตาเขาที่มองคนคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกันเลย”

              “แล้วไอ้เหตุการณ์นี้มันช่วยให้เราหาตัวผู้ชายคนนี้ได้ยังไง?” ธามสงสัย ฉันก็ด้วย

              “ผมก็พูดอยู่ว่าตอนที่เขาลุกขึ้นเขาดันตัวเองลุกจากม้านั่ง มือของเขาสัมผัสม้านั่งเต็มๆเลย”

              “แปลว่าม้านั่งตัวนั้นอาจมีลายนิ้วมือของเขาอยู่ใช่ไหม” สายฟ้าเก็ททันที

              “ใช่!

              “เหนือ”

    เมื่อได้รับเบาะแสจากอคินมาผู้กองเหมันต์ก็คิดแผนขั้นต่อไปเดี๋ยวนั้น เขาหันหน้าไปส่งซิกให้เหนือโดยไม่พูดร่ำทำเพลงอะไรให้มากความ

              “อุปกรณ์พร้อม รอแค่คำสั่ง” เหนือยิ้มหน้าระรื่นใส่ผู้กองเหมันต์

     

     

    เวลาต่อมา 

     

     

    หน่วยของเราเดินเท้าไปหยั่งสถานที่ต้องสงสัยเพื่อเก็บรอยนิ้วมือของชายปริศนาโดยมีอคินเป็นลูกมือบอกพิกัดที่แน่ชัดของรอยนิ้วมือให้เหนือได้รู้ ส่วนคนอื่นๆส่วนมากก็แค่มาช่วยกันยืนส่องไฟฉายให้เพราะตอนนี้ถนนเส้นนี้มืดมากและไฟจากเสาไฟข้างถนนก็เบาบางเกินกว่าที่เราจะใช้ประโยชน์จากมันได้

     

    ฉันไม่เชื่อว่าเด็กๆจะหายตัวไปเพราะมิสเตอร์พีสั่งให้ทำหรอกค่ะ!

             

              ระหว่างที่เรากำลังวุ่นกับการเก็บลายนิ้วมือตรงม้านั่งอยู่นั้น จู่ๆก็มีผู้หญิงคนนึงเค้นเสียงใส่เจ้าหน้าที่ที่กำลังเก็บหลักฐานอยู่รอบโบสถ์ด้วยความไม่พอใจจนโลมที่อยู่แถวนั้นพอดีต้องเดินเข้ามาห้าม

              “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” มาร์คหันไปมองด้วยสีหน้ารำคาญนิดๆ

              “คนไหน!?...” เมื่อได้ยินมาร์คถามอคินจึงหันไปมองหน้าเธอชัดๆ “เออนั่นสิ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”

    คำตอบของอคินทำเอาฉันนึกสงสัยผู้หญิงคนนั้นตามไปด้วย

              “เหนือ มึงเอาลายนิ้วมือพวกนี้ไปตรวจที่รถบ้าน ส่วนอคินกับลิต้าตามฉันมา คนอื่นๆจะไปหาเบาะแสที่ไหนต่อก็ไปแต่อย่าอยู่ห่างจากฉันตามระยะที่คำสั่งศาลกำหนด แถวนี้ตำรวจเยอะเราเล่นนอกเกมไม่ได้ แล้วอีก 1 ชั่วโมงเจอกันที่รถบ้าน”

    พอผู้กองเหมันต์ออกคำสั่งเสร็จก็เดินนำฉันกับอคินกลับเข้าไปในรั้วโบสถ์

              ดูเหมือนทุกคนจะว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด ถ้าเป็นฉันเมื่อได้รับอิสระคงหาช่องทางหนีไปแล้ว ยิ่งมือไม่ได้ถูกมัดเท้าไม่ได้ถูกล่ามแบบนี้ก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหา หรือเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมานานความผูกพันก็เลยกลายเป็นความเชื่อใจ(?)กันนะ

    “เกิดอะไรขึ้น?

              ผู้กองเหมันต์เดินตรงเข้าไปหาโลมที่กำลังยืนคุยกับหญิงวัย 30 ต้นๆแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเรียบแลดูเป็นทางการคนนึงอยู่

              “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับผู้กอง นี่คือคุณครู ‘วิภา’ เป็นครูประจำชั้นเด็กๆส่วนใหญ่ที่หายตัวไป”

              “ครูประจำชั้นเหรอ?

              ผู้กองเหมันต์เหล่หางตามองคุณครูวิภาอย่างไม่ได้สนใจอะไรมาก จะมีครู พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติๆออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้เด็กที่ตายบ้างก็คงไม่แปลก 

              “ผม ผู้กองเหมันต์ เป็นเจ้าของคดีนี้โดยตรง ถ้าคุณครูมาที่นี่เพราะมีเบาะแสเกี่ยวกับเด็กๆที่หายตัวไปมาบอกผมผมยินดีรับฟังคุณ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมคงต้องขอเชิญคุณออกไปจากบริเวณนี้เพราะคุณกำลังขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่”

              ครูประจำชั้นเมื่อได้ยินการแนะนำตัวของผู้กองเหมันต์ก็ถึงกับเบิกตาโตแล้วเปลี่ยนเป้าหมายใหม่มาเป็นเขาทันที

             “คุณเป็นเจ้าของคดีนี้เหรอคะ!?” 

             “ครับ” 

             “คือว่า.. ฉันไม่มีเบาะแสหรอกค่ะแต่...”

             “งั้นผมขอตัวก่อน พาเธอออกไป”

              คุณครูวิภาพูดยังไม่ทันจบประโยคผู้กองเหมันต์ก็ปัดมือเรียวๆของเขาทีนึงเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณนั้นพาตัวเธอออกไปได้แล้ว

              “แต่ฉันมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเด็กๆอยากจะบอกคุณค่ะ!

              คุณครูวิภาพยายามปัดป้องตัวเองจากวงแขนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าถึงตัวผู้กองเหมันต์อีกครั้งให้ได้

              “ข้อมูลอะไรคะ”

              ถึงผู้กองจะไม่สนแต่ฉันสน ฉันเดินเข้าไปส่งสายตาอ้อนวอนเจ้าหน้าที่ให้ลดใช้ความรุนแรงลงแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่คุณครูวิภากำลังจะพูด

              เด็กๆในหมู่บ้านนี้พิเศษกว่าเด็กทั่วไป ฉันพูดคุณอาจไม่เชื่อแต่พวกเขามีบางอย่างที่แตกต่างจากเราจริงๆนะคะ ฉันสัมผัสได้ว่าทุกคนกำลังมีปัญหาบางอย่างอยู่ ก่อนทุกคนหายตัวไปพวกเขาดูเศร้ามากเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องไปเจอกับอะไร” 

              “แล้ว ‘อะไร’ ที่ว่ามันคืออะไรคะ?

              “บอกตามตรงว่าฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ ฉันถึงได้เป็นห่วงพวกเขาอยู่นี่”

              “บางทีคุณอาจเป็นห่วงเด็กๆที่หายตัวไปจนเผลอคิดมากไปเองก็ได้นะครับ” โลมพยายามหาเหตุผลอื่นมาซัพพอร์ตความรู้สึกของเธอ

              “ไม่ค่ะฉันไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เด็กๆในหมู่บ้านนี้ไม่เชื่อเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฉันอ่านให้พวกเขาฟังเลย พวกเขาฉลาดและมีไหวพริบมาก พวกเขาไม่มีทางเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของไอศกรีมยี่ห่อมิสเตอร์พีจนออกไปตามหาเกาะสายรุ้งอย่างที่ข่าวลือว่าหรอกค่ะ”

              “ข่าวลืออะไรคะ?

              “ 2-3 วันมานี้มีข่าวลือแปลกๆในโรงเรียนว่าเด็กๆที่หายตัวไปทำตามคำสั่งของมิสเตอร์พีเพื่อหาทางไปหยั่งเกาะสายรุ้ง”

              ฟังดูเหมือนโจรลักพาตัวคนนี้กำลังหลอกปั่นหัวเด็กๆให้งมงายเรื่องเกาะสายรุ้งแล้วใช้ความเชื่อนั่นหลอกเด็กๆให้มาหลงกลยังไงก็ไม่รู้” อคินสันนิษฐาน

              “ไม่ค่ะ เด็กๆไม่เชื่อใครง่ายขนาดนั้น”

              “ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ ยังไงเด็กก็คือเด็กนะครับ” ผู้กองเหมันต์สงสัย

              “... ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ แต่พวกเขาพิเศษมากจริงๆ จะเรียกว่าอัจฉริยะกันทุกคนจะได้ไหมนะ?”

              “เอาเป็นว่าเด็กๆไม่เชื่อใครง่ายๆสินะครับ มีแค่นี้ใช่ไหมครับที่คุณครูอยากจะบอกผม”

              “นอกจากเรื่องที่เด็กๆไม่มีทางเชื่อเรื่องงมงายพันนั้นแล้ว ยังมีอีกเรื่องนึงที่ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องบอกแต่พวกคุณรู้ไว้ก็ดี”

              “เรื่องอะไรครับ?”

              “เด็กๆในหมู่บ้านนี้เป็นเด็กหลอดแก้วกันทุกคนเลยค่ะ”

              “!?



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×