ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ไออุ่นของคิว : Chapter 3
3
“เฮ้อ ต้องทำยังไงดีเนี้ย”
ฉันซบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมกับร้องครวญครางออกมาแบบนี้สักสิบนาทีได้แล้วมั้ง
“แต่น้องเขาเป็นบาเทนเดอร์นะมึง มันคนละอย่างปะวะ”
“โอ๊ยไอ้อุ่น!” หลังจากจบประโยคของฉันเรย์ก็กรีดร้องออกมาในทันที “ก่อนหน้านี้มึงเพิ่งบอกพวกกูว่าจะให้น้องเขาเป็นอาหารตาผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงแม่งหาข้ออ้างอีกแล้วนะมึง”
“เป็นไบโพลาร์รึไง?” กราฟสมทบ
“เป็นไงล่ะ อยากเจอร้านใหม่แต่ไม่ยอมบอกเพื่อนดีนัก สมน้ำหน้า” เคนตะที่กำลังใช้ผ้าเช็ดแว่นของตัวเองอยู่ปรายตาขึ้นมามองฉันพลางแสยะยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย
“ถ้ามันลำบากนักก็ใส่คอนแทคเลนส์เหมือนที่มึงชอบใส่ประจำเวลาไปตี้สิวะ
ทำตัวกลางวันเป็นเด็กเนิร์ดกลางคืนเป็นเสือร้ายเหมือนในนิยายไปได้ไอ้บ้านี่” เพราะก่อนหน้านี้มันว่าฉันฉันจึงตอกกลับไปซะเลย
เคนตะไม่ได้พูดอะไรกลับมานอกจากกระตุกมุมปากพร้อมกับสวมแว่นไปแบบเดิม
“จัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็มาพาลใส่เพื่อน” ฉันหันควับไปทางซีพร้อมกับถลึงตาใส่จนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา
โอ๊ย...ทำไมทุกคนไม่เข้าข้างฉันบ้างเลยวะเนี้ย!
“โอ๋ๆ ไม่งอนนะคนเก่ง” คำพูดแบบนี้กับการเอามือมาส่ายตรงหน้าคล้ายกับฉันเป็นเด็กนี่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกซะจากไอ้พี่ม่อน
“เงียบไปเลยพี่ม่อน” ฉันปัดมือเขาออกอย่างนึกรำคาญ
“เลิกเล่นกันได้แล้ว จะกลับมั้ยเนี้ยวันนี้” ประโยคของกราฟส่งผลให้ทุกคนกลับมาโฟกัสที่งานต่อเพราะไม่อย่างงั้นมีหวังวันนี้โต้รุ่งอีกแน่ๆ แต่ถึงหูจะฟังสิ่งที่เพื่อนๆพูดกันแต่ในหัวกลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
อยากเจอน้องคิวจังอะ ฮือ...
สองวันผ่านไป
“ในที่สุดไอ้งานนรกนี่ก็เสร็จสักที!” เรย์ตะโกนออกมาลั่นทางเดินของอาคารเรียนเมื่อการพรีเซ็นต์มาราธอนจบลงไม่กี่นาทีก่อนหน้า ถึงแม้จะขัดๆไปบ้างแต่ก็ถือว่าราบรื่นดี
“ขออย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยนะการพรีเซ็นต์” พี่ม่อนทำท่าขยะแขยงส่งผลให้ซีเดินเข้ามาตบบ่าเบาๆพร้อมกับพูดว่า
“คงต้องลาออกอะ” ทุกคนในกลุ่มส่งเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินนานหลายนาทีเหมือนคนบ้าก่อนที่เคนตะจะเป็นคนหยุดการหัวเราะนี่ด้วยการพูดแทรกขึ้นมา
“ทำงานเสร็จแล้วอยากดื่มอะ”
“จริง” พี่ม่อนพยักหน้าสมทบ
“งั้นไปไหน ที่เดิมปะ?” ฉันส่งเสียงถาม
“ร้านประจำมันปิดวันนี้ไม่ใช่เหรอ?” กราฟพูดขึ้นมาพร้อมกับโชว์หน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงหน้าเพจเฟสบุ๊คของร้านที่ว่าซึ่งเนื้อความในนั้นบ่งบอกว่าสิ่งที่กราฟพูดเป็นความจริง
“งั้นไปDNAมั้ย?” ฉันเสนอ มันเป็นชื่อร้านเหล้าน่ะ
“เหอะ งั้นกูขอบายอะ พวกมึงไปกันเถอะ” เรย์รีบสวนขึ้นมาทันควันก่อนจะทำท่าทำทางเหมือนขนลุกอะไรสักอย่าง
“แต่ความจริงก็อยากนอนว่ะ”
“ยังไม่ห้าโมงเลยไหมวะพี่ม่อน จะรีบนอนอะไรขนาดนั้น” กราฟดูนาฬิกาพลางเลิกคิ้วไปยังเจ้าของคำพูดก่อนหน้า
นั่นดินี่เพิ่งจะสี่โมงกว่าเองจะไปนอนเนี้ยนะ?
“อ้าว” พี่ม่อนกอดอก “ก็กูเหนื่อยกูจะพักไม่ได้ไง?”
“นอนตอนนี้แล้วจะไปตื่นตอนไหนวะ?” เคนตะถามออกมา
คนถูกถามทำท่านึกอยู่แป๊บหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาว่า “เที่ยงมั้ง”
“เที่ยงคืน?”
“เที่ยงวัน”
หลับหรือซ้อมตายวะเพื่อนกู...
“งั้นแยกย้ายจบ” ซีถอนหายใจ เขาทำหน้าที่เป็นคนสรุปประเด็นนี้ “ต่างคนต่างไป
ใครอยากดื่มก็ดื่ม ใครอยากนอนก็นอน”
“กูก็ว่างั้นแหละ” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของซี หลังจากนั้นเราทั้งหกก็หาอะไรกินรองท้องก่อนจะแยกย้ายกันไป
...ฉันอยากดื่ม...
สองตามองไปยังจอโทรทัศน์ขนาดยี่สิบสี่นิ้วอย่างเหม่อลอย
ตั้งแต่แยกกับพวกนั้นแล้วตรงมาบ้านก็ปาไปจะสี่ชั่วโมงแล้วที่ฉันนั่งๆนอนๆอยู่อย่างคนไม่มีอะไรทำแบบนี้
เบื่อ...การที่มีเวลาว่างมากมายแต่ไม่รู้จะทำอะไรนี่มันน่าเบื่อที่สุดเลย จะโทรไปหาพ่อแม่ก็กลัวจะถามเรื่องการเรียน
เพื่อนก็ดันไม่ตี้เพราะไอ้พี่ม่อนอินดี้อยากพักผ่อนบ้าบอทั้งๆที่ปกติแม่งแดกเอาๆ
โอ๊ย! เบื่อๆๆๆ
เพราะฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนไปกดปิดโทรทัศน์พร้อมกับคว้ากระเป๋าเงินและโทรศัพท์ตรงไปหน้าบ้านในทันที บริเวณตรงข้ามหน้าปากซอยมีร้านสะดวกซื้อขนาดกลางอยู่
ฉันตั้งใจจะไปที่นั่น
ไม่รู้แหละฉันอยากดื่มและจะต้องได้ดื่มด้วย
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีฉันก็มายืนอยู่หน้าตู้ขายน้ำภายในร้านพร้อมกับจ้องมองหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อที่ตนชอบกินอยู่บ่อยๆ
เอ๊ะ...ยี่ห้อนี่ออกรสใหม่นี่นา โห้...อีกยี่ห้อก็ลดราคาแฮะ
รู้อีกทีทั้งเหล้าทั้งเบียร์ก็เต็มตะกร้าไปหมด
“พี่ไออุ่น?” ในระหว่างที่กำลังเดินเลือกซื้อกับแกล้มก็มีเสียงทุ่มต่ำดังออกมาจากทางด้านหลัง
ฉันหันควับกลับไปมองเจ้าของเสียงก่อนจะพบว่าเป็น...
น้องคิว!
“โอ้โห้” ผู้ชายหน้าหวานตรงหน้าหลุบตาลงมองของในตะกร้าฉันพลางอุทานออกมา “ดื่มเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“อะ เอ่อ...คือว่า” ฉิบละ
ตอนอยู่ในร้านแม่งแสดงออกไปว่าดื่มไม่เก่งแต่ดูจากของพวกนี้แล้วสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้น...พัง
“ขืนพี่ดื่มเยอะดื่มบ่อยขนาดนี้มีหวังหมดตัวแน่” มันก็จริงอย่างที่น้องเขาพูดอะนะ
หากคำนวณเงินที่ฉันเสียไปให้กับของพวกนี้คร่าวๆก็เป็นหมื่นแล้วมั้ง หรือแสนวะ?
แต่ช่างเถอะมันความสุขฉันนี่
ใครว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ คนที่พูดอย่างนั้นแสดงว่ามีเงินไม่มากพอต่างหาก...
...ซึ่งฉันก็ไม่ใช่หนึ่งในคนที่มีเงินด้วยอะนะ แฮะ
น้องคิวเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าตะกร้าไปถือไว้แทน
ฉันที่กำลังจะร้องประท้วงก็ถูกเขาพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“เอาอย่างนี้ไหมครับ”
“หืม?” เอา? เอาอะไร?
“ที่ห้องผมมีน้ำแข็ง” เขาว่างั้นอะ “พี่ลองมาดื่มในห้องผมดู
ผมชงฟรี...ไม่คิดเงินครับ”
เชี่ย...น้องแม่งเอาว่ะ
“ทะลึ่งแล้วเรา” ฉันเก็บอาการขวยเขินด้วยการพยายามหุบยิ้มแล้วแย่งตะกร้ามาแต่อีกฝ่ายกลับเร็วกว่า
เขาดึงมันไปซ่อนไว้ข้างหลัง
“ผมล้อเล่นนา” น้องคิวยิ้มกว้าง “พูดไปงั้นแหละ เผื่อฟลุ๊ค”
เกือบฟลุ๊คแล้วค่ะน้อง พี่เกือบตอบตกลงไปแล้วค่ะ!
ร่างสูงตรงหน้ายกตะกร้าขึ้นก่อนจะระบายยิ้มกว้างอีกรอบ “เอางี้
ผมมีทำเลดีๆสำหรับเจ้าพวกนี้ด้วยแหละ”
“หา?”
...ทำเลดีๆที่เจ้าตัวว่าคือศาลาริมน้ำประจำหมู่บ้านที่ฉันเดินผ่านอยู่บ่อยๆแต่ไม่ค่อยได้มานั่งเท่าไหร่
“ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่ที่ร้านเลย” พอนั่งลงบนม้านั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วน้องคิวก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยในขณะที่มือบรรจงเปิดขวดแอลกอฮอล์พร้อมชงให้ฉันเสร็จสรรพ
“ทำไมอะ นี่สังเกตพี่ด้วยเหรอ?” แทนที่จะตอบคำถามน้องเขาฉันกลับไปถามย้อนซะงั้น
ก็แหม่...มันติดเป็นนิสัยไปแล้วนี่นา
ผู้ชายข้างๆยื่นแก้วที่เพิ่งซื้อมาและตนเพิ่งชงเสร็จให้ฉัน
พอฉันรับมันมาอีกฝ่ายก็เอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับระบายยิ้ม “ของมันแน่อยู่แล้วหนิครับ พี่ไออุ่นสำคัญกับผมจะตาย”
ใจพี่แหลกเป็นโจ๊กแล้วน้องเอ๊ย...
“ช่วงนี้ตัวทำงานที่คณะ นี่ก็เพิ่งได้มาว่างนั่งชิลแบบนี้อะ” ฉันตอบคำถามเมื่อสองนาทีที่แล้วของเขา
น้องคิวพยักหน้ารับรู้ก่อนจะระบายยิ้มอ่อน
“แสดงว่าหลังจากนี้ผมก็จะได้เจอพี่บ่อยเหมือนเดิมใช่ไหมครับ?”
“แล้วนี่ไม่ไปทำงานเหรอ?” ฉันเมินคำถามของคนตรงหน้าจนอีกฝ่ายยู่ปากคล้ายเด็กถูกขัดใจ
มันไม่อยากรับปากนี่นา ฉันยิ่งเหมือนเป็นไบโพลาร์อยู่ด้วยช่วงนี้
เดี๋ยวอยากเจอเดี๋ยวไม่อยากเจอ
“เบี่ยงประเด็นด้วย” เจ้าของประโยคบ่นอุบอิบ เมื่อเห็นว่าฉันไม่มีท่าทีสนใจเขาจึงพูดต่อ “ผมก็ต้องหยุดบ้างสิครับ จะให้ทำงานมันทุกวันเลยรึไง”
อ้าวอิเด็กนี่...เหมือนกวนตีนฉันอะ
“อืม” ตอบในลำคอพร้อมกับกระดกแก้วขึ้น
บรรยากาศเย็นและสงบแทรกเข้ามาเมื่อต่างคนต่างเงียบ คือฉันต้องทำยังไงต่อวะ
ชวนคุยงี้เหรอ? แต่ก่อนหน้านี้ฉันก็ชวนไปแล้วอะถ้าชวนอีกมันจะดูอยากคุยเกินไปปะวะ
โอ๊ย! เครียดกว่าตอนสอบไฟนอลอีก
“พี่ไออุ่นอยู่แถวนี้เหรอครับ?”
“หือ?” ฉันรีบหันไปทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะอยู่ดีๆน้องคิวก็พูดขึ้นมา ฉันซึ่งไม่ได้ตั้งใจฟังเลยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร
คนตรงหน้าเบ้ปากเล็กน้อยที่ฉันไม่ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาถามก่อนจะพูดอีกรอบ “ผมถามว่าพี่อยู่แถวนี้เหรอ?”
“อ๋อ” ฉันครางเสร็จจึงตอบคำถามด้วยการพยักหน้า “อืม อยู่ในหมู่บ้านนี้อะ”
“จริงจังไหมครับ?” ทันทีที่ฉันพูดจบน้องคิวก็ตาลุกวาว
“แล้วทำไมพี่ต้องโกหกด้วยอะ”
“เฮ้ย” อยู่ๆน้องเขาก็ปรบมือดัง ‘เปร๊าะ!’ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
ฉันขมวดคิ้วงงกับท่าทางของอีกฝ่าย “พรหมลิขิตแน่ๆเลย”
“ทำไมอะ?” คือฉันงงจริงๆนะ
รุ่นน้องตรงหน้าระบายยิ้มกว้าง “ก็ผมอยู่หมู่บ้านนี้เหมือนกัน”
“เฮ้ย! จริงดิ?” ฉันอ้าปากหวอพร้อมเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้รับ
โอ้แม่เจ้าน้องคิวอยู่หมู่บ้านเดียวกับฉันเหรอ
ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่เห็นผู้ชายน่ารักคนนี้ไปได้ล่ะเนี้ย!?
อ๋อ ลืมไปกว่าจะกลับบ้านก็นู่นแหละ...อีกวัน
...ซึ่งน้องเขาคงกลับหลังฉันยาวๆ
“แต่เอ๊ะ” ฉันที่คิดอะไรออกจึงหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “แต่ร้านที่คิวทำงานอยู่ไกลจากที่นี่มากเลยนะ” ไกลพอสมควรเลยอะ “ทำไมไปทำงานไกลบ้านขนาดนั้น?” ฉันดูเสือกเรื่องของเขาเกินไปปะ?... ก็ไม่นะ ธรรมดา
“หา?” ฉันอ้าปากอีกรอบ “หมายถึงเจ้าของร้านเหรอ?”
น้องคิวพยักหน้าแทนการตอบคำถาม
“ไกลบ้านไกลมอ.ด้วย” พอเริ่มเงียบน้องคิวก็เป็นฝ่ายทำลายมันอีกเช่นเคย คำพูดของเขาส่งผลให้ฉันนึกบางอย่างออก
“ว่าแต่เราอยู่มอ.อะไรเหรอ?” จำได้ไหมว่าฉันเหมือนเคยเห็นคนที่คล้ายน้องคิวตอนอยู่ในมหา’ลัยน่ะ
“ให้ทาย”
“อย่าบอกนะว่า...” ฉันชี้หน้าเขาพร้อมกับบอกชื่อมหา’ลัยของตัวเองออกไปแล้วต้องตาค้างอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า
แม่เจ้า นี่มันไม่ใช่พรหมลิขิตแล้ว...มันเนื้อคู่กันชัดๆ!
“พี่ไออุ่นก็อยู่มอ.เดียวกันเหรอ?”
“อาห่ะ” ฉันพยักหน้าอย่างอึ้งๆ
น้องคิวระบายยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก “ผมบอกแล้วว่าเราสองคนมันพรหมลิขิตกันชัดๆเลย”
พี่ก็ว่างั้นแหละค่ะ แต่งงานกันเลยไหมคะ?
“บังเอิญจังเลยเนอะ” ฉันยิ้มมุมปากก่อนจะกระดกแก้วในมือต่อ “แล้วนี่เราอยู่คณะอะไรอะ?”
คนถูกถามรินแอลกอฮอล์ใส่แก้วของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามาตอบฉัน “อยู่ศิลปกรรมครับ แล้วพี่ไออุ่นล่ะ?”
“นิเทศน่ะ” ถ้าอยู่คณะเดียวกันนี่ฮาเลยนะ แต่เป็นไปไม่ได้หรอกเพราะฉันไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย คณะฉันมันก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดที่ว่าจะไม่มีทางเดินสวนกันเข้าสักวัน
“นิเทศเหรอ” อีกฝ่ายจับคางทำหน้าครุ่นคิด “ผมไม่ค่อยไปแถวนั้นเลยอะ”
แหงล่ะ ตึกนิเทศกับศิลปกรรมอยู่ห่างกันเป็นวา เป็นฉันถ้าไม่มีธุระสำคัญอะไรก็ไม่ไปเหยียบหรอก ไกลอะขี้เกียจ
“แต่ว่าแบบนี้...” เงียบไปประมาณห้าวินาทีได้น้องคิวก็ส่งสายตาบางอย่างที่อ่านไม่ออกแต่ดูอ้อนเป็นพิเศษมา “ผมคงต้องไปแถวนั้นบ่อยๆแล้วล่ะ”
อะไรนะ? “หมายความว่า...”
“บ้านพี่อยู่ตรงไหนเหรอ?” ไม่ทันที่จะได้ถามจนจบประโยคอีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมา “มันดึกแล้วเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก” ฉันโบกมือ
ลำพังแค่น้องเขาเลี้ยงเหล้าแถมยังมานั่งเป็นเพื่อนก็เกรงใจจะแย่แล้ว “อยู่แค่นี้เอง”
แค่นี้ที่ว่าคือหลังสุดท้ายในซอยค่ะ
“ไม่เอาอะ ผมไปส่งดีกว่า” พูดเสร็จก็จัดการเก็บของโดยไม่ฟังคำพูดคัดค้านใดๆทั้งสิ้น
แต่คิดไปคิดมามีคนไปส่งก็ดีเหมือนแถมเป็นน้องคิวแล้วด้วย
ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไม...เนอะ
หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เดินมาส่งฉันอย่างที่พูดไว้จริงๆ
ระหว่างทางเราคุยกันเรื่อยเปื่อย ฉันถามถึงงานที่ร้านเขาบ้างส่วนเขาก็ถามถึงงานพรีเซ็นต์นรกนั้นของฉันด้วย
เอาตามตรงฉันชอบบรรยากาศแบบนี้นะ ไม่รู้สิอาจจะเป็นเพราะว่าเราทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในร้านเหล้ารึเปล่าฉันเลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงลูกค้าแล้วเขาเป็นบาเทนเดอร์ที่คอยบริการตามหน้าที่
ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าตัวเอง...พิเศษ
“แค่นี้ของพี่นี่เล่นสุดซอยเลยนะครับ” พอเดินมาจนถึงหน้าบ้านตามการบอกทางของฉันแล้วน้องคิวก็หัวเราะแห้งๆออกมา
ก็แหม่ตอนนั้นไม่รู้ผีรักนวลสงวนตัวตัวไหนสิงถึงได้ตอบไปแบบนั้นนี่นา
“สำหรับพี่มันแค่นี้เองไง” แถ แถไปอีกจ้า
“ฮ่าๆ” อีกฝ่ายหัวเราะร่ากับท่าทีขยี้หัวแก้เก้อของฉัน
สีหน้าเขาตอนนี้มันยิ่งทำให้ฉันอย่างจะบอกทางวนไปวนมารอบหมู่บ้านนี้สักสิบรอบเพื่อให้ได้อยู่กันสองต่อสองเลยให้ตายเถอะ
น่ารักเกินไปแล้ว
“งะ งั้นพี่เข้าบ้านก่อนนะ” ดูดิ เพราะความน่ารักของน้องเขาทำเอาฉันพูดตะกุกตะกักเลยเห็นไหมเนี้ย
“ครับ พี่รีบเข้าบ้านเถอะ”
“เราก็กลับไปได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เดิมฉันจึงออกปากไล่
“เดี๋ยวผมรอพี่เข้าบ้านก่อนถึงจะค่อยกลับ”
“บ้านก็อยู่ตรงหน้าเนี้ย มันไม่มีล้อหนีไปไหนหรอก” กลัวจะมีคนมาฉุดฉันรึไง
แต่ถึงอย่างนั้นน้องเขาก็ส่ายหัวไม่ยอมท่าเดียวเลยว่ะ
“พี่รีบเข้าไปเถอะไม่งั้นผมก็ไม่ได้กลับนะ”
“เฮ้อ” เมื่อพูดยังไงเขาก็ไม่ไปฉันเลยตัดสินใจไขกุญแจรั้วพร้อมกับแทรกตัวเองเข้าไปข้างในแล้วล็อคประตูเสร็จสรรพเพราะกลัวอีกฝ่ายจะสั่งให้ล็อคก่อนถึงจะไปอีก “เข้ามาแล้ว”
“ดีมากครับ” น้องคิวยกนิ้วโป้งให้ฉัน
ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงด่าว่าปัญญาอ่อนหรือประสาทไปแล้วแต่นี่มันน้องคิวไง
ในหัวมีแต่คำว่า...
น่ารัก น่ารัก น่ารัก!
“ไปได้แล้ว” ฉันไล่อีกรอบ
“โอเคครับคุณพี่” คนตรงหน้าลากเสียงยาวก่อนจะหมุนตัวกลับไปฉันจึงหันหลังจะเดินเข้าไปในบ้านบ้างแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าคนข้างนอกก็ส่งเสียงขัดเอาไว้ซะก่อน “เดี๋ยวครับ”
“หือ...ว่าไง?” ฉันเลิกคิ้วถาม
“พรุ่งนี้พี่มีเรียนไหม?”
“ก็มีนะ” ปกติมีเรียนถ้าวันไหนขี้เกียจก็ไม่มีค่ะ
“โอเคงั้นเจอกันที่มอ.”
“ทำเหมือนจะเจอกันง่ายๆอะ
คณะเราอยู่ห่างกันมากเลยนะแถมมหา’ลัยก็กว้างมากด้วย” ฉันประท้วง
เอาจริงๆบางคนเจอกันรอบเดียวก็ไม่เห็นหน้าอีกเลยประมาณนั้น
“ต้องเจอสิครับ” อีกฝ่ายกระพริบตาปริบๆ มันดูใสซื่อจนน่าจับมาฟัดซะให้เข็ด
แต่แค่คิดอะนะ ฉันแค่คิด
ฉันกระตุกยิ้มมุมปากพลางกอดอกจ้องมองไปยังคนที่อยู่นอกรั้วพร้อมกับแกล้งถามขึ้นว่า “ทำไม จะเดินตามหาพี่เหรอ?”
“ครับ” แต่ผิดคลาดที่เขาไม่ได้ปฏิเสธแถมยังยอมรับมาดื้อๆ “ไม่ตามหาแล้วผมจะได้เจอพี่เหรอครับ”
“…”
“แล้วถ้าไม่เจอ...” มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้มขึ้นมา “ผมจะหายคิดถึงพี่เหรอครับ”
พูดเสร็จก็หมุนตัวเดินออกไปทิ้งฉันไว้กับคำพูดของเขาที่วนไปมาราวกับเปิดเทปซ้ำ
ที่น้องเขาพูด...หมายความว่าอะไร?

ความคิดเห็น