ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Psyche ] โลก ฝัน จิต (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #4 : [ Blake ] : Nowhere is safe.

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 60





    Psyche

    Chapter  4 : Nowhere is safe.




    [  Blake  




                      เบลคไม่อยากจะสนห่าเหวอะไรอีกแล้ว



                    เขาอยากไปให้พ้นจากที่นี่ และต้องไปเดี๋ยวนี้ ไม่สนอีกแล้วว่าจะใช้รถไม่ได้ เพราะเสียงดังเกินไป หรือใช้ถนนเส้นหลักไม่ได้ บางทีเขาแค่อยากจะตะโกนให้ดัง และถ้าพวกมันจะลงมารวบตัวเขาตอนนี้ เขาสาบานต่ออะไรก็ได้ที่ฟังอยู่ เขาจะยิงพวกมันให้ตายแดดิ้นเป็นเบือ ก่อนที่พวกมันจะได้ตัวเขาไป แน่นอนว่าโบไม่เห็นด้วย จึงลงเอยที่พวกเขาถูกไล่ตาม เธอชอบพูดประจำว่า อย่าทำอะไรให้เป็นเป้านิ่ง แต่เพราะเขา โบ และไรลีย์ คือมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ในแวนคูเวอร์ นั่นล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่า เป้านิ่ง และในเมื่อพวกมันรู้อยู่แล้วว่ามีมนุษย์เหลืออยู่อีกสามคน มีประโยชน์อะไรที่จะหลบต่อไป สู้ยิบตาไปเลยไม่ดีกว่าหรือ



                    เขาไม่สนว่าโบจะคิดยังไง เธอไม่เห็นด้วย นั่นเรื่องของเธอ เขาจะทำในแบบของเขา ถ้าเธออยากจะปลีกตัวไปตามลำพัง นั่นก็ช่วยไม่ได้



                    “นี่เป็นแผนการที่ห่วยมาก” โบพูด แยกเขี้ยว



                    ทั้งสามคนอยู่รวมกันในห้องเก็บอาวุธของตำรวจม้าแคนาดา ในสำนักงานอาร์ซีเอ็มพี โดยที่มีทหารจำนวนหนึ่งรอดักพวกเขาอยู่ข้างนอก ก่อนหน้านี้ เบลคยืนยันว่าพวกเขาจะออกเดินทางไม่ได้แน่ ถ้าไม่มีอาวุธครบมือไปด้วย ส่วนโบพูดแต่เรื่องอาหารกับยารักษาโรค ซึ่งของแบบนั้นหาเอาข้างหน้าเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อาวุธ ไม่ใช่ของที่หากันได้ง่ายๆ เบลคจึงแนะนำว่าพวกเขาควรเดินมาที่นี่ก่อน เก็บอาวุธที่ใช้ได้ติดตัวไว้ โดยเฉพาะกระสุนปืน ต้องเก็บตุน เป็นของสำคัญพอๆกับอาหาร กลายเป็นว่าพวกเขาเดินมาสู่กับดัก ราวกับพวกมันรู้อยู่แล้วว่ายังมีคนรอด ตั้งใจจะเดินทาง และต้องการอาวุธติดตัว ทันทีที่พวกเขาเข้ามาด้านในสถานีตำรวจ พวกมันระดมยิงทะลุกระจกหน้าต่าง พวกเขาพากันวิ่งหลบเข้ามาในห้องเก็บอาวุธโดยบังเอิญ ซึ่งถือว่าโชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้



                    ห้องนี้มีทางออกแค่ทางเดียว ไม่มีหน้าต่าง มีแต่เครื่องปรับอากาศที่เปิดไม่ติด ทั้งห้องเต็มไปด้วยอาวุธอย่างที่เบลคต้องการ ข้อเสียคือ พวกเขาไม่รู้เลยว่าข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง พวกมันจะล้อมอยู่ตรงจุดไหน แผนการที่เบลคเสนอคือ รวมตัวอยู่ด้วยกัน แบกอาวุธไปให้เยอะที่สุด ถ้าเจอพวกมัน ก็ยิงฝ่าออกไป เป็นเหตุให้โบพูดประโยคนั้นอย่างไม่เห็นด้วย และจากที่เบลคสังเกตเห็นความไม่แน่ใจจากดวงตาของไรลีย์ เธอไม่เห็นด้วยเช่นกัน



                    “เธอมีแผนที่ดีกว่าก็ว่ามาสิ” เบลคยกมือกอดอก ขมวดคิ้วมุ่น เขาเป็นพวกไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อน อย่างเช่น เวลาทะเลาะกับใคร ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็คุยด้วยกำปั้น จบง่าย เร็ว สะดวก



                    “เราควรแยกกัน” โบเสนอความเห็นทันที ราวกับรอเวลานี้มานาน เบลคกำลังจะอ้าปากเถียง แต่โบชิงพูดขึ้น “ฟังก่อน ที่ฉันบอกว่าให้เราแยกกัน เพราะมันคล่องตัวกว่าที่จะวิ่งหนี หรือยิงพวกมัน ถ้านายอยากยิงมาก ก็ทำได้ แต่อย่าลืม เป้าหมายของเราไม่ใช่สู้ แต่คือมีชีวิตรอดไปให้พ้นจากที่นี่ ทางเดียวที่จะทำได้ง่ายที่สุดคือแยกกัน พวกมันไม่คิดหรอกว่าเราจะแยกไปคนละทาง พวกมันคิดว่าเรากลัวหัวหดและจับกลุ่มกัน คิดดูสิ เบลค แทนที่จะต้องรับมือกับพวกมันทีเดียวพร้อมกัน เราแค่รับมือไม่กี่คนที่วิ่งตามเรา และถ้าเราวิ่งเร็วพอ หาที่ซ่อน แล้วค่อยกลับออกมาเจอกันตอนที่แถวนี้ปลอดภัยแล้ว น่าจะดีกว่านะ”



                    “เปลี่ยนจากตายหมู่ เป็นตายเดี่ยว เธอกำลังบอกแบบนั้นใช่ไหม?” เบลคเลิกคิ้วขึ้นสูง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาตึงเครียด ไม่ได้ฟังดูดีไปจากแผนการของเขาสักนิด “ไม่มีทางที่เราจะรอดทั้งสามคน”



                    “แต่อย่างน้อยก็จะมีหนึ่งคนที่รอด” โบพูดอย่างมั่นใจ เหมือนกับว่าคนที่รอดจะต้องเป็นเธอแน่ “ดีกว่าตายหมู่ด้วยการถือปืน วิ่งออกไปยิงกราดใส่มัน ถ้าอย่างนั้น เรายกธงขาวแล้วมอบตัวไปเถอะ จะได้ไม่เสียเหงื่อ” เบลคมองไปทางไรลีย์ หญิงสาวกำลังมองโบและพยักหน้าตาม



                    “เธอเห็นด้วยกับโบหรือ?” เบลคถามอย่างไม่เข้าใจ “รู้ไหมว่าเปอร์เซ็นต์การรอดของเธอมีน้อยกว่าใครเพื่อน ถ้าพวกเราแยกกัน”



                    “ถ้าฉันรู้ว่านายจะหยาบคายแบบนี้นะ เบลค” โบพูดด้วยเสียงเข้ม “ฉันปล่อยให้พวกมันได้ตัวนายตั้งแต่ที่วอล์มาร์ทไปแล้วล่ะ”



                    “ก็ได้ๆ ฉันขอโทษ” เขาหันไปบอกกับไรลีย์ ซึ่งส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วจุดนัดพบล่ะ? ถ้าเรารอด จะไปเจอกันตรงไหน” เบลคตั้งใจพาวกกลับเข้าเรื่องเดิม ขณะที่โบปลดกระเป๋าสะพายลงจากบ่า รูดซิปและหยิบแผนที่แวนคูเวอร์ออกมากาง “ปั๊มน้ำมันบนถนนที่สามไหม? ใช้เวลาเดินแค่ประมาณยี่สิบนาที” ชายหนุ่มชี้นิ้วลงไปบนแผนที่ “มีร้านซุปเปอร์เล็กๆ เราเติมเสบียงที่นั่นก่อนออกเดินทางลงใต้ได้ด้วย” เบลคเสริมขึ้นมา เพราะรู้ว่าสิ่งที่โบต้องการและเป็นห่วงที่สุดก็คือ อาหาร แต่สำหรับเขา มันเป็นอุบาย ยังไงเบลคก็อยากใช้รถ ประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินให้เปลืองแรง ในสถานการณ์ที่กำลังหนีกันมาอย่างกระเซอะกระเซิง เผื่อว่าอีกสองสาวจะเปลี่ยนใจบ้าง และอีกอย่าง ในกรณีที่เขารอแล้วไม่มีใครมา เขารอดอยู่คนเดียว เขาจะขโมยรถแถวนั้น เติมน้ำมันให้เต็มถัง ขับไปตามลำพัง



                    “ไม่เลว” โบพยักหน้าเห็นด้วย “จากตรงนั้น พาเราไปที่สแตนเลย์พาร์คได้พอดี” เนื่องจากพวกเขาวางแผนจะลงใต้ โดยเลือกเส้นทางผ่านสแตนเลย์พาร์ค ตัดเข้าสู่ถนนเส้นหลักที่เก้าสิบเก้าที่เมืองเซอร์รีย์ ซึ่งจะนำไปถึงซีแอตเทิล ถ้าเดินด้วยเท้าก็ประมาณสามถึงสี่วัน โบจึงยอมเห็นด้วยโดยง่ายอย่างที่เบลคต้องการ



                    “สรุปได้แล้วก็หยิบปืนเถอะสาวๆ ออกไปวิ่งกัน!



                    เบลค วิลเลียมส์เป็นผู้ชายที่ชอบเรื่องสนุกมาแต่ไหนแต่ไร กิจกรรมใดก็ตามที่เกี่ยวกับความเร็ว การเสี่ยงตาย ทำให้หัวใจเต้นแรง เหงื่อออกที่หน้าผาก อะดรีนาลินในร่างกายเดือดพล่านเหมือนน้ำต้มสุก คือของโปรดปรานสำหรับเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบที่จะอยู่ในสถานการณ์ถูกตามล่าโดยทหารทั้งกองกับอาวุธครบมือ ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก และเบลคยังจำได้ถึงวันที่เขาเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง



                    สี่เดือนก่อน ช่วงที่เพิ่งผ่านเทศกาลอีสเตอร์มาได้แค่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เบลคอยู่ในระหว่างการมาทัศนศึกษาที่แวนคูเวอร์ และกำลังจะไปสนามบินเพื่อกลับบ้าน ถึงเขาจะดูห่ามๆ เกเร มีเรื่องชกต่อยประจำสมัยเรียนไฮสคูลจนแม่ชาวฟิลิปปินส์ของเขาได้แต่ส่ายหัว แต่เขาก็สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนได้ เลือกเรียนสิ่งที่พ่อชาวออสเตรเลียของเขาอยากให้เรียน เพื่อจะได้จบมาและรับช่วงต่อธุรกิจล้างรถและซ่อมรถวิลเลียมส์ ซึ่งมีสองสาขาอยู่ที่เมลเบิร์นและไคนีตัน เขามีพี่สาวหนึ่งคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยไปแล้ว ธุรกิจของที่บ้านจึงตกอยู่ในมือของเขา ซึ่งเบลคไม่เกี่ยง เขาชอบรถอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แอบไปแข่งรถข้างถนนอย่างผิดกฎหมายบ่อยครั้ง เขาจึงไม่มีปัญหาเลยกับการรับหน้าที่สืบทอด แต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อ แม่ และพี่สาวยังมีชีวิตอยู่ หรือกลายเป็นพวกมันไปแล้ว



                    วันนั้นที่สนามบิน เหมือนฝันร้าย ที่ไม่ว่ายังไงคงลืมไม่ลง ทหารสวมหน้ากากกันก๊าซพิษกรูเข้าไปในเทอร์มินอลพร้อมกับปล่อยระเบิดควัน เบลคเห็นผู้คนล้มลง ตัวเขาหมอบคลานต่ำ ใช้เสื้อปิดจมูก เขาได้ยินเสียงแห่งความโกลาหล ตามมาด้วยเสียงปืน ตอนแรกเขาคิดว่าเกิดเหตุก่อการร้าย สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เขาไม่หยุดคลานหนี เบลคไม่รู้ว่าทับใครไปบ้าง เขาได้ยินเสียงเพื่อนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันอยู่ไม่ไกล แต่ไม่ได้คลานตามพวกนั้น เขาไปตามทางของเขา จนเข้าไปในห้องน้ำ เขาหลบอยู่ในห้องน้ำพักหนึ่ง และรู้ว่ายังไงพวกมันก็ต้องมาตรวจเจออยู่ดี จึงปีนออกทางหน้าต่าง ซึ่งเป็นความคิดที่โง่มาก เพราะเขาอยู่บนชั้นสาม กระโดดหนีไปไหนก็ไม่ได้ แต่เขาก็ค่อยๆไถตัวไปกับอาคาร หาที่เหยียบไปอย่างระมัดระวัง และปีนท่อลงไปจนถึงข้างล่าง เป็นประสบการณ์ที่หวาดเสียวพอๆกับกีฬาอันตรายที่เขาเคยเล่นมาก่อน



                    เบลคเห็นทหารจับตัวคนอื่นไป บ้างก็ฆ่าทิ้ง จากที่สังเกต พวกมันจะฆ่าไม่ได้ทันที แต่ต้องรอคำสั่ง เบลคไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร พวกมันเลือกยังไงว่าจะเอาตัวไปหรือฆ่า เขาอยู่ในแวนคูเวอร์มาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น ระเหเร่ร่อน พยายามหาคนที่รอดชีวิตเหมือนกัน เก็บข้อมูลข่าวสาร แต่ทุกคนเป็นเหมือนเขา ไม่รู้อะไรเลย



                    พวกเขาได้แต่เดาไปต่างทฤษฎี บ้างว่าเอเลี่ยนบุกโลกและยึดรัฐบาลของทุกประเทศไปแล้ว บ้างก็ว่าเป็นการทดลองอะไรบางอย่าง บ้างก็ว่าเป็นเหมือนในภาพยนตร์เรื่องสองพันสิบสอง โลกกำลังแตก พวกมันต้องการลดจำนวนประชากร เลือกแต่เฉพาะคนที่มีประโยชน์ หรือมีแนวโน้มว่าจะเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดีไว้สืบทอดมนุษยชาติต่อไป ส่วนที่เหลือก็จบชีวิตให้ด้วยความเมตตา จะได้ไม่ต้องทรมานเมื่อโลกแตก บ้างก็ว่าพวกมันกลายเป็นแวมไพร์ ปีศาจเข้าสิง ตามทฤษฎีหลุดโลกเหนือความจริงทั้งหลาย เบลคไม่รู้ และเขาสงสัยว่าตัวเองอยากจะรู้คำตอบหรือเปล่า สิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนี้คือมีชีวิตรอดต่อไป และถ้ามีโอกาส เขาจะตามหาครอบครัวให้เจอ



                    พวกเขาแยกกันคนละทาง โบมีความคิดพิสดารไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ปีนขึ้นเพดาน เปิดช่องระบายอากาศ และคลานไปข้างบนแล้ว เป็นความคิดที่ไม่เลว เบลคอยากจะทำตามอยู่ แต่ติดปัญหาที่ว่า ช่องระบายอากาศเล็กมาก คงมีแต่คนตัวเล็กอย่างโบและผู้หญิงผอมบางแบบไรลีย์เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ทางด้านไรลีย์เลือกวิ่งหายไปทางซ้าย เขาหมดทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะไปทางขวา ซึ่งจะเจออะไรบ้างก็ยังไม่รู้



                    เงียบเกินไป เงียบผิดปกติ และเบลคเกลียดความเงียบ เขาจับปืนในมือแน่น พร้อมจะยิงใส่กบาลมนุษย์ทุกคนที่คิดจะขวางทาง เขาไม่เคยฆ่าใคร แต่ไม่มีปัญหาที่จะทำ หากมันช่วยให้เขารอดไปได้ เขากลัว แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องกลัวจนฉี่จะราด แต่จะทำอะไรได้เล่า มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้น



                    ออกไปจากที่บ้าๆสยองขวัญนี่ดีกว่า



                    เดินออกทางประตูมันซะเลยดีไหม? เขาคิดอย่างประชดประชันในหัว เป็นสิ่งที่พวกมันไม่น่าจะคาดคิด เขาจึงคิดต่อมาว่าน่าจะลองไปดู เบลคกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อ แต่ได้ยินเสียงติ๊งเบาๆดังมาจากด้านหลัง เขาหันขวับ ปืนชูขึ้นทำมุมฉากกับพื้นพอดี เสียงดังมาจากลิฟต์ เขาเห็นตัวเลขสีแดงกระพริบ ลิฟต์กำลังขึ้น ชายหนุ่มก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง มองสลับกันระหว่างลิฟต์ตรงหน้ากับทางเดินเบื้องหลัง เขาเลือกที่จะเข้าไปหมอบหลบอยู่หลังโต๊ะทำงานของตำรวจคนหนึ่ง บริเวณนี้เต็มไปด้วยโต๊ะทำงาน และน่าจะเป็นแผนกอะไรสักอย่าง มีแต่เอกสารตั้งเป็นกองพะเนิน เสียงนั้นขึ้นอีกครั้งบ่งบอกว่าลิฟต์ขึ้นมาอีกชั้น เขาแทบจะรู้สึกได้ถึงเครื่องยนต์ที่กำลังทำงาน ก่อนมันจะหยุดนิ่งสนิท และประตูเปิด



                    ความซวยมาเยือนแล้วไง เบลคสูดลมหายใจ ผ่อนออกช้าๆ เขาต้องใจเย็น ไม่กระโตกกระตาก ฟังเสียงฝีเท้าของคนประมาณสามคนย่ำอยู่บนพื้นกระเบื้อง เบลคไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้วเท้า แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันอดที่จะชะเง้อคอขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ เพื่อมองผ่านกระจกกั้นโต๊ะทำงานไปยังทางเดิน เขาเห็นทหารสองคน ถือปืนเตรียมพร้อมในมือ และอีกคนคือผู้ชายคนนั้น คนเดียวกับที่ฆ่าเพื่อนร่วมทางของเขาในวอล์มาร์ท มือสองข้างของเบลคกำเข้าหากันแน่น มันมีกันแค่สามคนเอง ถ้าเขายิงทหารนั่นก่อน กระโดดไปแย่งปืนจากอีกคน แล้วก็ยิงกราด เขาจะได้แก้แค้น เหงื่อเม็ดเป้งหยดจากหน้าผากของเบลค ใจของเขาร่ำร้องให้จัดการพวกมันซะ แต่คำพูดของโบสวนกลับเข้ามาในความคิด พวกเขาไม่ได้จะสู้ แต่จะหนีเพื่อมีชีวิตรอด ถ้าเขาจู่โจม เสียงต้องดัง และพวกที่เหลือจะวิ่งเข้ามาที่จุดนี้ทันที ความหวังที่จะลงใต้ ไปรวมตัวกับกลุ่มมนุษย์ที่พร้อมสู้ เป็นอันสูญเปล่า



                    เบลคไม่ได้ขี้ขลาด และถ้าไอ้หน้าไหนมาหาว่าเขาไม่กล้าพอเพราะปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปล่ะก็ เขาจะต่อยมันปากยับแน่ ชายหนุ่มเลิกมองทั้งสามคนนั้น และเอนหลังพิงขาโต๊ะ พยายามสงบจิตสงบใจ



                    “ตามหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ”



                    เสียงผู้ชายฟังดูไร้อารมณ์ แต่แฝงด้วยอำนาจบางอย่างที่เบลคบอกไม่ถูก เขาเชื่อว่ามันต้องมาจากผู้ชายชุดดำคนนั้นโดยไม่ต้องเสียเวลาชะเง้อไปมอง ที่น่าแปลกใจคือ ไม่พูดถึงผู้ชายอย่างเขาเลย พูดถึงแต่ผู้หญิง ออกคำสั่งว่าหาผู้หญิงให้เจอ แบบเป็นเอกพจน์ ผู้หญิงคนเดียว หมายถึงโบหรือไรลีย์? นี่หมายความถ้าเจอ มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ฆ่า แต่เอาตัวไป จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เบลคคิดหัวหมุน แล้วสะดุดใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดิน ห้องกลับมาเงียบสนิท เขายังไม่กล้าออกไป เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะเดินไวจนเสียงหายไปแล้ว พวกมันหยุดเดินต่างหาก เบลคกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ กลัวว่าเสียงหายใจตัวเองจะดังจนอีกฝ่ายได้ยิน



                    ใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เบลคได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นกระเบื้องอย่างแผ่วเบา และเขามองเห็นเงาตะคุ่มบนพื้น เงาที่ถือปืนยาวแบบทหาร เวรแล้ว เขาสบถในใจ พวกมันรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ตรงนี้ มือข้างขวาที่กำรอบปืนแทบจะไร้สีเลือดเนื่องจากเขากดแรงลงไปอย่างหนัก นิ้วชี้สอดเข้าไปเตรียมเหนี่ยวไก เขาจะเล็งที่ขามันก่อน ให้มันเสียหลัก ไปไหนต่อไม่ได้ เขาจะแย่งปืนมันมาด้วย และลุกขึ้นยิงกราดไม่ยั้ง เมื่อแผนการเตรียมพร้อมในหัว เขาพร้อมลุย



                    เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว แต่ไม่ใช่จากปืนของเขา เงาหยุดชะงักเช่นเดียวกับเสียงเท้าเดิน จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด คงถล่มห่ากระสุนไล่หลังใครสักคนอยู่แน่ ไม่โบก็ไรลีย์ เขาไม่ควรรู้สึกโล่งใจที่รอดอย่างหวุดหวิด แต่ใครคนหนึ่งในทีมกำลังประสบปัญหาหนัก



                    “ท่านครับ” เบลคได้ยินเสียงทหารพูด “หน่วยที่สองรายงานว่าเจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว”



                    ทันทีที่จบประโยค พวกมันทั้งสามคนเดินออกจากบริเวณที่เบลคอยู่ เขารอจนแน่ใจว่าเสียงเดินหายลับไปแล้ว จึงค่อยๆชะโงกขึ้นมอง ไม่เห็นวี่แววของใคร ทางเดินโล่งสะดวก เบลคจึงรีบวิ่ง ทีนี้ คำถามต่อมาที่ต้องขบคิด ทหารทุกนายจะไปรวมที่ ผู้หญิงคนนั้น หรือไม่? หรือว่ายังตามหาผู้รอดชีวิตคนอื่นด้วย เพราะเบลคอยากจะเดินออกทางประตูหน้า หยามเหยียดพวกมันซะ ให้รู้ว่าเขาหนีไปได้ใต้ขนจมูกพลอมแพลมของพวกมัน ชีวิตจะไปสนุกอะไร ถ้าไม่เสี่ยงกันสักหน่อย เขาอาจเป็นคนโง่และงี่เง่าที่สุดก็ได้ ที่มีความคิดท้าทายบ้าๆแบบนี้ แต่มันน่าลอง



                       เบลคไม่ได้พกมาแต่ปืน เขาพกระเบิดมือมาเพียบ แอบหยิบตอนที่โบไม่น่าจะเห็น หรือเธอเห็นแต่คงขี้เกียจพูดหรือเตือนว่ามันมีสิทธิ์จะทำเขาตาย มากกว่าศัตรูตาย เบลคเดินไปถึงโถงด้านหน้า เขาหลบตรงบันได เห็นทหารยืนอยู่ประมาณสิบกว่านาย ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย เขาแกะสลักระเบิดลูกแรกอย่างเบามือ และใช้วิธีเดียวกับการโยนหินลงแม่น้ำ เขามองระเบิดลูกแรกกลิ้งหลุนๆไป ทหารต่างหันมามอง แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีเสียงดังตูมใหญ่ เบลคยกมือปิดหู ลมแรงปะทะหน้าพร้อมฝุ่นจากพื้นกระเบื้องที่แตก เขาไม่รอช้า ระหว่างที่พวกมันชุลมุนวุ่นวาย เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต



                    “แก!”



                    เบลคไม่รอให้มันพูดสวัสดี เขาเหนี่ยวไกปืน กระสุนลอยหวือทะลุเข้าร่างทหารไปหนึ่งนาย ทหารอีกสามคนที่พอจะขยับตัวได้ คว้าปืนและเริ่มระดมยิง เขาไม่คิดจะอยู่รอรับกระสุนเป็นของขวัญ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง แต่ถอดสลักระเบิดอีกลูก และหันไป เหวี่ยงแขน โยนใส่ เขาโยนใกล้ตัวเกินไป ทำเอาแรงระเบิดพัดเขากระเด็นไปด้วย เบลคอยู่ในสภาพมึน ก้นกับแขนข้างหนึ่งกระแทกพื้นอย่างแรง หูดับไปชั่วขณะ แต่เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน สาวเท้าวิ่งเตลิดเปิดเปิงแบบไม่สนใจอะไรในโลกอีกแล้ว



                    ทหารคนหนึ่งที่ยังรอดวิ่งไล่หลัง และคว้าตัวเขาไว้ได้ หมัดกระแทกเข้าที่ใบหน้าของเบลคเต็มๆ ความเจ็บกะทันหันทำให้เขาเผลอทำปืนหลุดจากมือ เบลคต่อยสวนไป และก้มลงเพื่อจะคว้าปืน แต่อีกคนเหวี่ยงเตะเข้าที่ท้อง เขาคว้าตัวมัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอม จนกระทั่งเบลคคว้าคอมันได้ ใช้ขาขัดให้มันล้ม เขาทับมันไว้ทั้งตัว บีบคอไม่ยอมปล่อย ถ้าไม่ทำกับมันแบบนี้ มันก็จะทำกับเขา เบลคออกแรงจนเส้นเลือดที่มือปูดโปน มือทั้งสองข้างของมันเปะปะ หมายจะจิกเข้ามาในตา เบลคจึงหยิบมีดพกออกจากกระเป๋าและปักลงไปที่คอมันพอดี ความรู้สึกเหมือนเวลาเฉือนเนื้อตอนจะทำอาหาร ต่างตรงที่มีเลือดกระฉูดขึ้นหน้า แววตาของมันว่างเปล่า เลือดไหลทะลักออกจากปากด้วย เบลคลุกขึ้นยืน มีดหล่นจากมือ ตกอยู่ข้างตัว หอบหายใจอย่างหนักหน่วง



                    เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนาที มองจนร่างของทหารหยุดกระตุก ดวงตาเบิกค้าง และเห็นสิ่งที่ทำให้ความกลัวเปลี่ยนเป็นความแปลกใจและสงสัย เลือดที่ไหลออกมาหลังจากหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว กลายเป็นสีดำ นัยน์ตาของเบลคจ้องมองอย่างไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน เขากระพริบตา ก่อนจะก้มลงไปมองให้ชัดๆ ของเหลวสีดำเหมือนจะไม่ใช่เลือดเสียทีเดียว เขาเห็นมันขึ้นเป็นไอ คล้ายไอควัน เขาไม่กล้าเอามือเข้าไปแตะสสารที่ไม่รู้จัก จึงเดินไปหยิบปืน ใช้ปลายกระบอกปืนลองแหย่เข้าไปใกล้ มันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เหมือนจะกระโดดมาเกาะปืนแทน เขาสะดุ้ง ถอยห่างทันที



                    อะไรวะ?



                    เบลคไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่จะมาสนใจหาคำตอบ เขาหนีต่อดีกว่า ร่างกำยำเริ่มขยับวิ่งไปตามถนน เขาเลือกที่จะทำตามคำแนะนำของโบ เลี่ยงถนนเส้นใหญ่ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ลงไปอยู่ตามขอบถนน ให้ต้นไม้ช่วยบังร่างของเขาซะ ให้ตายสิ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งโบและไรลีย์ เขาได้แต่ภาวนาให้สองคนนั้นรอดมาทั้งคู่ แม้ความหวังจะริบหรี่ ไรลีย์ช่างบอบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง โบนั้นบึกบึนกว่าทั้งร่างกายและจิตใจ เบลคหยุด สองจิตสองใจว่าควรทำอย่างไร ควรจะกลับไป หรือเดินหน้าต่อ แต่ตามแผนที่พวกเขาตกลงกัน ต้องไปที่จุดนัดพบ จริงของโบ รอดไปได้คนหนึ่งหรือสองคน ดีกว่าตายทั้งหมด และเบลคค่อนข้างมั่นใจว่าโบจะรอด



                    เขาไปถึงปั๊มน้ำมันในยี่สิบนาทีต่อมา ระหว่างที่ต้องรอ เขาหารถที่น่าจะใช้การได้นาน เข็นเข้าไปในปั๊ม เติมน้ำมันให้เต็ม และเข้าไปรอในซุปเปอร์ คอยมองออกไปผ่านป้ายรูปหมาป่าไซบีเรียฮัสกีสีแดง เบลครออย่างใจจดจ่อ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับฟ้า ความหวังของเขาหม่นลงเหมือนแสงยามกลางวันที่กำลังหายไป เขาไม่เคยเชื่อในพระเจ้า ไม่เคยสวดมนต์อ้อนวอนต่ออะไร แต่ตอนนั้นเขากำลังภาวนา เขาไม่อยากรอดไปแค่คนเดียว เขาไม่ชินกับการที่ต้องอยู่คนเดียว และมันน่ากลัวไม่ใช่หรือถ้าสุดท้ายจะกลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว



                    นาฬิกาข้อมือของเบลคยังทำงานอยู่ บอกเวลาสองทุ่มตรง ตอนที่เขาเห็นร่างปวกเปียกปรากฏขึ้นที่หน้าปั๊มน้ำมัน ผมสีบลอนด์เป็นเอกลักษณ์ของเธอเหมือนจะเรืองแสงได้ในที่มืด แล้วเบลคก็ได้ข้อสรุป



                    โบไม่รอด













    Writer's talk

    ถ้าเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่งได้ในเรื่องนี้ ฉันคงจะอยากเป็น เบลค ค่ะ




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×