คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3
ตินพลเหยียบคันเร่ง
ขับรถปาดซ้ายปาดขวาไปตลอดทาง สวนสนุกแห่งนั้นอยู่ห่างออกไปไกลเกือบถึงชานเมือง โชคดีที่เขาคุ้นเคยกับเส้นทางแถวนั้น
เพราะเคยเดินทางไปถ่ายละครในบริเวณใกล้เคียง จึงสามารถขับไปได้ถูก
ไม่ต้องเสียเวลาดูแผนที่หรือสอบถามเส้นทางจากใคร
ร้อยแก้วชวนคุยเสียงใสมาตลอดทาง
ชายหนุ่มก็ได้แต่รับคำไปแกนๆใจของเขาโลดแล่นไปก่อนตัวเสียอีก
ทั้งรู้สึกผิดและไม่สบายใจที่ผิดนัดกับเพื่อน เขารู้ดีว่าน้ำหนึ่งเป็นคนตรงต่อเวลา
ป่านนี้คงจะรอเขาอยู่...น่าจะเกือบๆสามชั่วโมงละ
โอย แค่คิดก็กลุ้ม
ไม่รู้ลืมได้ยังไงสิน่า
ถือเป็นโชคดีของตินพลเพราะถนนค่อนข้างโล่ง
เพียงครึ่งชั่วโมงเศษก็ถึงสถานที่นัดหมาย
และแม้ที่จอดรถจะแออัดพอสมควรเนื่องจากเป็นวันเสาร์ตอนค่ำ
ลูกค้าทยอยมาใช้บริการกันแน่นขนัด ทว่าทันทีที่เขาขับรถปราดเข้าไป
ผู้ใช้บริการคนหนึ่งกำลังถอยรถกลับบ้านพอดี ที่จอดทางด้านหน้าจึงตกเป็นของเขาแทน
ตินพลหักพวงมาลัยพุ่งเข้าเสียบที่จอดอย่างรวดเร็ว
ไม่เสียเวลาถอยหลังเข้าด้วยซ้ำ จอดเสร็จก็ดับเครื่อง
เปิดประตูก้าวลงจากรถโดยไม่รั้งรอ ทั้งๆร้อยแก้วยังคุยค้างประโยคอยู่ เขาก็ไม่เอาใจใส่
ร้อยแก้วต้องหยุดพูด
รีบเปิดประตูรถก้าวตามลงมาแทบไม่ทัน
เธอเพิ่งจะสังเกตท่าทางของชายหนุ่มว่าดูร้อนใจจนผิดสังเกต เขาหัน[A1] รีหันขวางคล้ายกำลังมองหาใครบางคน คิ้วเข้มขมวดมุ่น
แววตาร้อนรนแปลกๆ
หรือว่าเขาจะนัดผู้หญิงอีกคนเอาไว้...ความคิดนี้ทำให้หมดสนุกไปกว่าครึ่ง
อดไม่ได้ร้อยแก้วจึงดักคอออกไป
“ดูรีบจัง นัดใครไว้หรือเปล่าคะ”
ตินพลชะงักกับคำถาม อีกฝ่ายช่างสังเกตพอสมควรและคงเดาท่าทีของเขาออก
ตัวเขามัวแต่ร้อนใจ เลยไม่ทันได้อธิบายว่านัดกับเพื่อนไว้แล้วเกิดลืมนัด
ชายหนุ่มนึกอยากเคาะกะโหลกตัวเองแรงๆทำพลาดครั้งแรกยังไม่พอ
ยังเกิดทำพลาดครั้งที่สอง ไปดึงร้อยแก้วติดตามมาด้วย อันที่จริงเขาควรจะบอกลาเธอ ณ
ร้านอาหารแห่งนั้น แล้วแยกย้ายกันไปตามทาง ไม่ควรพาเธอขึ้นรถมาด้วยให้เสียเวลาเลย
เพราะจะอย่างไรวันนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะพาเธอเดินเที่ยวสวนสนุกอยู่แล้ว
วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย ตัดสินใจผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง
“คือผม...” ตินพลเตรียมจะอธิบาย
แต่แล้วคำพูดก็กลืนหายไปในลำคอ เพราะเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“มาจริงๆแฮะ ตรงเวลาเสียด้วย
สองทุ่มพอดีเลย”
ทั้งตินพลและร้อยแก้วชะงัก
ต่างหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งยืนห่างออกไปไม่มากนัก
กำลังจ้องมองคนทั้งคู่ด้วยแววตาเอาจริงเอาจัง
“อ้าว เฮ้ย คุณ...” ตินพลอุทาน
แต่ก็ได้แค่นั้นเอง เพราะเขาจำชื่ออีกฝ่ายไม่ได้!
แม่สาวตาโตหน้าเด็กคนที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยสไตลิสต์นั่นเอง
เจ้าหล่อนยืนตัวตรงหน้าตรง นัยน์ตากลมโตจ้องมาที่เขาเขม็ง และที่แปลกประหลาดสุด
เธออุ้มลูกหมาตัวเล็กๆขนสีน้ำตาลปุกปุยไว้ในอ้อมแขน เจ้าหมานั่นดูจะอึดอัด
ก็เลยดิ้นเสียเต็มแรง แถมส่งเสียงเห่าเป็นระยะ ทว่าคนอุ้มไม่ยอมแพ้
ใช้ท่อนแขนหนีบร่างมันไว้แน่น จากนั้นจึงหันมาย้ำกับเขาอีกครั้งด้วยประโยคที่ฟังแล้วไม่อาจเข้าใจได้ว่าหมายความว่าอะไรกันแน่
“กลับไปซะ ห้ามเข้าไปในสวนสนุกค่ะ”
ร้อยแก้วมองคนทั้งคู่สลับกันอย่างแปลกใจ
ก่อนหน้านี้เธอเดาว่าตินพลคงจะแอบนัดหมายกับผู้หญิงอีกคนไว้
แต่ก็ไม่คาดคิดว่าคนที่เขานัดจะเป็นเด็กสาวหน้าใสซึ่งสาละวนอยู่กับเสื้อผ้าบนราวเมื่อบ่าย
เธอรู้มาว่าตินพลเป็นผู้ชายเจ้าชู้ มีผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่ไม่คิดว่าพระเอกหนุ่มหล่ออย่างเขาจะหว่านเสน่ห์กับสาวน้อยท่าทางเหมือนเด็กๆรายนี้
ความคิดนี้ทำให้เธอถามออกไปอย่างแปลกใจ
“เอ่อ น้อง...นัดกับคุณเตไว้หรือคะ
หรือว่ายังไงกัน”
คิ้วเข้มของตินพลขมวดเข้าหากัน
เขาโคลงศีรษะไปมา ท่าทางบอกว่าไม่พอใจ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร
หญิงสาวที่เขาจำชื่อไม่ได้ก็พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด
“คุณร้อยแก้วกรุณากลับไปก่อนได้ไหมคะ
ดิฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณเตเป็นการส่วนตัวค่ะ”
ตินพลร้อง “เฮ้ย” ซ้ำ แต่คนพูดไม่สนใจ
เธอยกมือไหว้ร้อยแก้วอย่างเก้ๆกังๆเพราะต้องอุ้มลูกหมาไปด้วย
ภาพนั้นดูตลกและประหลาดจนตินพลคิดว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ
เขาคงจะหัวเราะได้เต็มเสียงทีเดียว
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติน่ะสิ
“ได้โปรดเถอะนะคะ เรื่องสำคัญจริงๆค่ะ”
ยายผู้หญิงอุ้มหมาพูดต่อหน้าตาเฉย ไม่ได้สนใจเลยว่าเขาจะมองเธอด้วยสายตาอาฆาตอย่างไรบ้าง
“เดี๋ยวก่อนนะ” ตินพลรีบแย้งก่อนสถานการณ์จะแย่ไปกว่านี้
ตั้งใจจะบอกร้อยแก้วว่าเขาไม่ได้นัดกับยายคนนี้เอาไว้
แต่นัดกับเพื่อนสนิทวัยเรียนต่างหาก ไม่รู้ยายนี่เกิดเมาหรืออะไรกันแน่ อยู่ดีๆก็มาจู่โจมทำท่าราวกับสนิทสนมกับเขา
ทั้งๆเมื่อบ่ายจำได้ว่าแม้แต่หน้าเขา เจ้าหล่อนยังไม่มองด้วยซ้ำ
ร้อยแก้วไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด
เธอยกมือขึ้นห้าม ริมฝีปากระบายรอยยิ้มน้อยๆเป็นปกติ ทว่าแววตาคมปลาบ
เป็นประกายเชือดเฉือน
“ถ้าเตนัดกับน้องเขาไว้ก็น่าจะบอกแก้วก่อน
แก้วโอเคอยู่แล้วค่ะ ไว้วันหลังเตว่างๆค่อยนัดแก้วก็ได้ค่ะ
วันนี้คุยกับน้องเขาก่อนเถอะ แก้วกลับละ” พูดจบ เจ้าของร่างระหงก็ก้าวฉับๆจากไปโดยไม่รอฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น
ทิ้งให้ตินพลได้แต่ยืนงงอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกทั้งเสียหน้าทั้งหงุดหงิดจนบอกไม่ถูก
เขาหันขวับไปหาตัวต้นเรื่องซึ่งวางหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ทั้งยังบอกหน้าตาเฉยเสียอีก “รีบตามคุณแก้วไปเถอะค่ะ
เดี๋ยวเธอโกรธเอาไม่รู้ด้วย”
ตินพลเกือบจะตะโกนถามอีกฝ่ายแล้วว่านี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ก็ไหนเมื่อกี้ประกาศปาวๆว่ามีเรื่องส่วนตัวจะพูดกับเขาสองต่อสองอยู่หยกๆ แล้วทำไมอยู่ดีๆตอนนี้กลับไล่ให้เขาตามร้อยแก้วไป
ผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรถึงได้พูดกลับไปกลับมา
“เดี๋ยวนะ คุณผู้ช่วยสไตลิสต์”
เขาลงเสียงหนักบอกให้รู้ว่ากำลังโกรธ ทว่าคนฟังไม่เดือดร้อน
“ฉันชื่อเพลงฝนค่ะ
นึกอยู่แล้วว่าคุณจำไม่ได้” เธอแนะนำตัวเสียงเรียบ
“เอาเถอะ คุณจะชื่ออะไรก็...” ตินพลโบกมือ
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณต้องการอะไรถึงได้ทำแบบนี้ แต่ขอเตือนว่าอย่าทำอีก
ครั้งนี้ผมจะยอมให้ แต่ถ้ามีครั้งหน้า ผมคงจะต้องบอกพี่เม้ยตามตรง”
แทนที่จะกลัวหรือตกใจกับคำขู่
ผู้หญิงตรงหน้ากลับยิ้มให้เขา เป็นยิ้มอย่างที่ตินพลไม่เคยเห็นมาก่อนเลย...ไม่ว่าจะจากผู้หญิงคนไหนในชีวิต
ยิ้มนั้นสว่างสดใสทั้งริมฝีปากและนัยน์ตา ส่งดวงหน้าเล็กๆให้แจ่มกระจ่างจนเขาอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า...ผู้หญิงคนนี้ยิ้มได้สวย
ดูเหมือนเธอจะยิ้มจากใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ยิ้มตามมารยาทหรือยิ้มตามแบบที่ส่องกระจกมาแล้วว่าสวยที่สุด...อย่างที่เขาเคยเห็นมาจากผู้หญิงคนอื่นๆ
“คุณไม่รีบตามคุณแก้วไปจริงๆหรือคะ”
น้ำเสียงนั้นกลั้วหัวเราะ “เดี๋ยวตามไม่ทันนะ”
ตินพลขมวดคิ้ว
เริ่มรู้สึกตัวว่าออกจะเสียเวลามากเกินไป ขืนมัวต่อปากต่อคำกับผู้หญิงคนนี้
เห็นทีจะยิ่งไปสายมากขึ้น...ป่านนี้น้ำหนึ่งคงโมโหจนเลิกโมโหแล้ว
เพียงนึกถึง
เสียงโทรศัพท์ก็ดังกังวานขึ้นเป็นเพลงแทบจะในทันทีราวกับรู้ ตินพลหยิบมันขึ้นมาดู
พอเห็นชื่อที่หน้าจอก็รีบกดรับสาย
“อยู่ข้างหน้าแล้วเนี่ย
กำลังจะเข้าไป - - ว่าไงนะ อยู่หน้าบ้านปรารถนา...เดินเลยบ้านผีสิงไปอีก โอเค เข้าใจแล้ว
เดี๋ยวรีบไป - - ขอโทษที ไม่ได้ลืมหรอก น่า
เดี๋ยวเลี้ยงข้าวแล้วกัน - - รอตรงนั้นก่อน
จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
หลังวางสาย
ตินพลไม่ได้เอาใจใส่ผู้หญิงตรงหน้าอีก เขาเหลียวมองหาจุดขายบัตร พอพบเป้าหมายก็เตรียมก้าวตรงไปที่นั่น
ทว่า ติดขัดที่...
“คุณเข้าไปในบ้านปรารถนาไม่ได้นะ”
ตินพลถอนใจเฮือก เขามองคนพูดตาขวางๆ
“นี่คุณ
ผมไม่มีเวลาเล่นตลกกับคุณแล้ว กลับไปซะ ไม่งั้นผมเอาเรื่องจริงๆ”
อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะระย่อ
สีหน้านั้นจริงจังเช่นเดียวกับแววตา
“เชื่อฉันเถอะนะคะคุณเต
ตามคุณร้อยแก้วไปเถอะค่ะ อย่าเข้าไปในสวนสนุกเลย คุณเข้าไปไม่ได้
ยิ่งบ้านปรารถนายิ่งห้ามเข้า”
คราวนี้ตินพลไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำด้วยอีก
เพราะรู้สึกว่าคงจะเป็นการเสียเวลาเปล่า เนื่องจากลักษณะการพูดนั้นเข้าข่าย ‘คุยกันไปคนละเรื่อง’ เสียมากกว่าจะ ‘คุยกันให้เข้าใจ’ เขาตัดสินใจก้าวเร็วๆ ผ่านหน้าหญิงสาวไปเฉยๆ แม้จะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายวิ่งตามมา
แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
“คุณเต รอก่อนสิคะ คุณเต
อย่าเข้าไปนะ...”
ตินพลถึงกับสะดุ้ง
เสียงของเจ้าหล่อนไม่ใช่เบาๆ คนแถวนั้นเหลียวมาดูเขาเป็นตาเดียว หลายคนชะงักเพราะจำได้ว่าเขาเป็นใคร
บางคนถึงกับชี้ชวนกันดูเลยทีเดียว ชักจะมากเกินไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนเป็นเกือบวิ่งตรงไปยังจุดขายบัตร
ทำเป็นเมินเฉยต่อเสียงตะโกนแว่วๆนั้น
พนักงานขายบัตรเป็นเด็กสาววัยรุ่นอายุไม่เกิน
๒๐ พอเห็นหน้าเขาก็เบิกตาโต “อุ๊ย ตินพลนี่นา”
“ขอซื้อตั๋วหนึ่งใบครับ”
ตินพลพูดเร็ว ทันใดแผนการบางอย่างก็แว่บเข้ามาในหัว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
“เอ่อ น้องครับ ผมอยากขอให้ช่วยอะไรหน่อย”
พนักงานสาวมือไม้สั่นแทบจะฉีกบัตรไม่ถูกอยู่แล้วที่จู่ๆได้เจอดาราดังชนิดไม่คาดฝัน
ยิ่งได้เห็นแววตาเว้าวอนของหนุ่มหล่อบาดใจตรงหน้าและรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ของเขา
ก็ยิ่งแทบพูดไม่เป็นคำ
“ได้พี่ จะให้หนูช่วยอะไร
บอกมาได้เลย”
“ผู้หญิงคนนั้นแน่ะ”
ตินพลเบี่ยงไหล่หลบให้อีกฝ่ายมองเห็นด้านหลังได้ถนัด ก่อนสะบัดนิ้วโป้งชี้ร่างเล็กๆที่กำลังกระหืดกระหอบตามมา
“เขามาแอบชอบผม เป็นแฟนคลับแบบตามตื๊อมาสักพักแล้ว น้องช่วยถ่วงเวลาเขาไว้ทีได้ไหม
ผมจะได้หลบเขาพ้น ไม่อยากพูดไม่ดีด้วย สงสารเขา”
พนักงานสาวรีบร้อนพยักหน้ารับ
วินาทีนั้นไม่ว่าตินพลจะขอให้ทำอะไร จะบุกน้ำหรือลุยไฟ เจ้าหล่อนก็คงไม่ปฏิเสธ
“ได้เลยพี่” น้ำเสียงนั้นเอาจริงเอาจังราวกับคำขอของดาราหนุ่มเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ
“พี่เข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวหนูจัดการให้เอง”
ตินพลส่งยิ้มหวานละลายใจอีกครั้ง
รับบัตรแล้วรีบสาวเท้าตรงไปที่ประตูทางเข้าทันที พอกันที
เขาเสียเวลามามากพอแล้ว
ภายในสวนสนุกกว้างขวาง บรรยากาศดีกว่าที่ตินพลคาดไว้
เครื่องเล่นต่างๆล้วนใหม่เอี่ยม สีสันสะดุดตา มองเห็นแม้ในความมืด
ตลอดสองข้างทางปลูกต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นและไม้ดอกสลับกันเป็นระยะ ทำให้ดูสบายตา
คนมีอยู่ไม่มากนัก คงเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว
รอบตัวมืดจนแทบมองไม่เห็นหน้าคนเดินผ่านไปมา ถึงกระนั้น
ตินพลก็ยังอดไม่ได้ที่จะหยิบหมวกแก๊ปทรงแคบปิดด้านหน้าขึ้นมาสวมเพราะกลัวว่าจะถูกจำได้
คนแถวนี้จำได้ไม่เท่าไหร่
แต่ถ้ายายผู้หญิงตาโตคนนั้นผ่านด่านพนักงานเข้ามาได้แล้วเอะอะโวยวายแบบเมื่อครู่
เขาอาจจะต้องกลายเป็นเป้าสายตา เผลอๆเรื่องถึงหูนักข่าว จะได้ขึ้นหน้าหนึ่งซ้ำอีกรอบ
ประมาณว่า ‘เลิกกับรุ้งพรายได้ไม่เท่าไหร่ ดาราหนุ่มคาสโนวา
ตินพลก็ควงสาวหน้าใสไปเที่ยวสวนสนุก’
ป้ายบอกทางตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
เขียนตัวใหญ่ชัดเจน แลเด่นอยู่ในความมืด ตินพลไล่สายตามองหาคำว่า ‘บ้านปรารถนา' แต่ไม่พบ มีแต่ป้าย ‘บ้านผีสิง’ ที่ระบุว่าต้องเลี้ยวไปทางซ้าย ก็ก้าวไปตามป้ายทันที
ระหว่างทางมีผู้คนเดินสวนมาประปราย
ไม่มากนัก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยจนธุรกิจย่ำแย่ บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างมาเป็นคู่
แต่ถือว่าโชคดีที่แต่ละคนต่างก็สนใจอยู่แต่กลุ่มของตัวเอง
ไม่มีใครสังเกตผู้ชายสวมหมวกแก๊ปเก่าๆแต่งกายด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนง่ายๆเดินดุ่มๆอยู่คนเดียวแต่อย่างใด
ยิ่งเดินลึกเข้าไป
ผู้คนยิ่งบางตาลงตามลำดับ ส่วนใหญ่แล้วจะหนาตาบริเวณเครื่องเล่นต่างๆเสียมากกว่า
ไฟโดยรอบช่วยเพิ่มแสงสว่างสดใส ตัดกับฟ้าเบื้องบนซึ่งเป็นสีดำสนิท
เหมือนใครเอาผ้ากำมะหยี่สีดำมาขึงไว้
บ้านผีสิงตั้งอยู่ค่อนข้างลึก
ลักษณะเป็นตึกขนาดใหญ่ฉาบสีดำแลทะมึนในความมืด ดูลึกลับและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน
ด้านหน้ามีพนักงานยืนอยู่เพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใช้บริการรายอื่นให้เห็น
ถนนหยุดลงเพียงแค่นั้น
เบื้องหน้ากลายเป็นสวนกว้างขวาง หญ้าตัดเรียบ ปลูกต้นไม้ใหญ่จำนวนมากดูหนาทึบไปหมด
โดยเฉพาะตรงสุดมุม มีต้นอะไรสักอย่าง ลักษณะคล้ายหญ้าคาขึ้นอยู่เป็นแถวเป็นแนว
ยามกลางวันอาจจะดูสวยดี แต่เมื่ออยู่ในความมืดกลับดูแออัดจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า...รกเหมือนป่าไม่มีผิด
ตินพลเหลียวซ้ายแลขวา
แต่ก็ไม่เห็นสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้านปรารถนา’ แม้แต่น้อย หลังจากลังเลอยู่อึดใจ
เขาก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หาเพื่อน
“ยายเพชร ฉันอยู่หน้าบ้านผีสิงเนี่ย
บ้านปรารถนาอะไรของเธอไม่เห็นจะมี อยู่ตรงไหนกันแน่ แกล้งหลอกให้ฉันไปผิดทางหรือเปล่า”
“มาสายแล้วยังจะพูดมากอีก” อีกฝ่ายสวนกลับมาทันที“
นายเห็นต้นก้ามปูไหมล่ะ ต้นใหญ่ๆสักขนาดสามสี่คนโอบนั่นแหละ เดินอ้อมมาเลย
บ้านปรารถนาอยู่ทางด้านหลัง”
“ต้นก้ามปู...?” ตินพลทวนคำ
คนอย่างเขาไม่ค่อยจะสนใจต้นไม้นัก จึงเดาไม่ออกว่าต้นก้ามปูที่น้ำหนึ่งพูดถึงหน้าตาเป็นอย่างไร
ทว่าอย่างน่าแปลกใจ สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งโดยอัตโนมัติ
ขนาดของมันใหญ่โต กิ่งก้านสาขาแผ่กระจายกินบริเวณกว้าง
มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ในความมืด
‘นี่แหละต้นก้ามปู แต่อย่าเข้าไปเลย
อันตราย’ เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว
ราวกับใครกำลังพูดโต้ตอบกับเขา คำว่า ‘อันตราย’ ชัดถ้อยชัดคำ ไม่แตกต่างจากคำเตือนของผู้หญิงอีกคน
ตินพลสะดุ้ง
เหลียวขวับไปมองรอบตัวเพื่อตามหาที่มาของเสียง ทว่าไม่เห็นใคร
เด็กหนุ่มที่ยืนรับตั๋วหน้าบ้านผีสิงหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ คงเหลือเขายืนอยู่เพียงเดียวดาย
ชายหนุ่มหนาวเยือกอยู่ในอก แม้รอบกายจะเปิดไฟไว้สว่างจ้า
ไร้เงาของผู้คน ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ราวกับว่า...มีใครบางคนกำลังจับตาดูเขาอยู่
ปกติตินพลไม่ใช่คนกลัวผีหรือขวัญอ่อน
แต่ครั้งนี้มีอะไรบางอย่างแปลกไป...และมันทำให้เขาไม่สบายใจนัก สัญชาตญาณลึกๆเตือนเขาว่าแถวนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่จะเป็นอะไรนั้น เขาก็ตอบไม่ถูก
“ฟังอยู่หรือเปล่า”
เสียงดังฟังชัดของน้ำหนึ่งทำให้เขารู้สึกตัว “อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักต้นก้ามปู
ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าอยู่หลังสวนข้างๆบ้านผีสิงนั่นแหละ นายเดินอ้อมมาแล้วตัดตรงเข้ามาเลย
รับรองไม่หลงแน่ ไม่ใช่ป่ามหัศจรรย์หรือเขาวงกตอะไรสักหน่อย”
“โอเคๆ” ตินพลรับคำรวดเร็ว แล้วเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ไป
และทันใดภาพหนึ่งก็ปรากฏในสายตา
สองสถานที่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ก้าว
ทว่าบ้านผีสิงและบ้านปรารถนากลับแตกต่างราวกับไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน
ในขณะบ้านผีสิงเป็นอาคารทันสมัยฉาบสีดำสะดุดตา
ดูกลมกลืนไปกับความน่าตื่นตาของยุคปัจจุบัน
บ้านปรารถนากลับชวนให้นึกถึงความงดงามในอดีต ตัวบ้านเป็นตึกครึ่งไม้
สวยโดดเด่นราวสถาปัตยกรรมชิ้นเอก หลังคาซึ่งตกแต่งรูปปีกไม้ประกอบด้วยไม้ชิ้นใหญ่งดงาม
เล่นลายไว้สวยโดยไม่ต้องพึ่งสีชนิดใดๆ นอกจากลงน้ำมันไว้เงาวับ
ดูสะสวยประณีตจนแม้แต่คนไม่มีหัวศิลป์อย่างตินพลยังอดชื่นชมไม่ได้
โดยเฉพาะลวดลายที่ฉลุตามหน้าจั่วนั้น งามละมุนละไมราวกับผืนผ้าพลิ้วไหว
แทนที่จะเป็นแผ่นไม้หนาหนักอย่างในความเป็นจริง
“ทางนี้ ตังเต”
เสียงของน้ำหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ตินพลเหลียวมองตามเสียง
ก็เห็นเพื่อนยืนโบกมือให้เขาจากหน้าบ้านซึ่งเปิดไฟไว้สว่าง
มองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้ชัดเจนพอควร
ชายหนุ่มสาวเท้าตรงเข้าไปโดยเร็ว
ทว่ายังไม่ทันถึงตัว ฝ่ามือของใครคนหนึ่งก็ตบลงบนบ่า แล้วเสียงกลั้วหัวเราะก็ดังตามมา
“ว่าไงไอ้ดาราคิวทอง เดี๋ยวนี้ดังใหญ่ นัดกับเพื่อนมาสายสามชั่วโมงเลยเหรอวะ
ปกติไปกองถ่ายสายแบบนี้โดนเขาว่าอะไรบ้างไหม”
นัยน์ตาของตินพลหรี่ลงนิดๆ เขาประสานสายตากับคนพูดเต็มตาโดยไม่หลบ
อีกฝ่ายก็มองกลับด้วยกิริยาเดียวกัน
“ฉันนัดกับน้ำหนึ่ง ไม่ได้นัดกับนาย”
คิ้วยาวได้รูปเลิกขึ้นข้างหนึ่ง
พร้อมอาการยักไหล่คล้ายช่วยไม่ได้
“อ้อ
ถ้างั้นก็ถือว่าโชคดีที่ยายเพชรนัดฉันมาด้วย ขืนรอนาย ป่านนี้คงไม่ได้เที่ยว เผลอๆต้องกลับบ้านไปก่อน
เพราะดาราใหญ่ผิดนัด”
ตินพลอ้าปากจะสวนกลับ แต่มือบางๆเกี่ยวท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน
“พอๆ”
น้ำหนึ่งนั่นเองที่เข้ามาห้ามทัพไว้ได้ทัน
เธอมองสองหนุ่มสลับไปมาด้วยแววตาระอาปนขัน “สองคนนี้เป็นยังไงนะ เจอกันทีไร
ทะเลาะกันได้ทุกที ถ้าไม่ใช่เพื่อนกัน ฉันจะคิดว่าแข่งกันจีบฉันแล้วนะ”
“ไม่มีทาง” คราวนี้ผู้ชายทั้งคู่ปฏิเสธพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แล้วต่างก็ชะงัก สบตากันอย่างไม่ถูกชะตา
ตินพลจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างขวางๆ เขากับน้ำหนึ่งรู้จักนพคุณหรือเก้าครั้งแรกก็เมื่อเริ่มเข้าชมรมเรื่องลี้ลับ
ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชายหน้าตากวนๆและมาดหยิ่งราวกับรู้ไปเสียทุกเรื่อง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ตินพลขวางหูขวางตาอีกฝ่ายนักหนา
น้ำหนึ่งกลับถูกอัธยาศัยกับนพคุณมาก ยิ่งระยะหลังเขาติดถ่ายละครต่อเนื่อง หญิงสาวก็ค่อยๆเพิ่มความสนิทสนมกับฝ่ายนั้นเป็นลำดับ
จนในที่สุดความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นไม่แพ้มิตรภาพของเขาและเธอ
ตินพลยอมรับว่าไม่ชอบใจนักที่เห็นคนทั้งคู่สนิทกัน
ทว่าการถูกแย่งเพื่อนไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่ชอบหน้านพคุณ จะอย่างไร
เขาเข้าใจได้ดีว่าน้ำหนึ่งมีอิสระในการเลือกคบเพื่อน และไม่นึกตำหนิเธอในแง่นั้น
แต่...ยังมีเรื่องราวอีกประเด็นหนึ่งที่เขาไม่อาจทำใจยอมรับนพคุณได้ง่ายๆ
และสิ่งนี้ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เขาตัดสินใจถอยห่างจากชมรมเรื่องลี้ลับในระยะหลังๆ
ไม่กระตือรือร้นอยากไปเช่นช่วงแรกๆอีก
ตาประสานตา
ริมฝีปากของอีกฝ่ายโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่ตินพลหยักริมฝีปากลงอย่างไม่เห็นชอบด้วย
เพราะรู้ดีว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้น นพคุณซ่อนความรู้สึกใดไว้ เขาแน่ใจว่าดูฝ่ายนั้นออก
เช่นเดียวกับที่ฝ่ายนั้นก็ดูเขาออก ไก่เห็นตีนงูฉันใด
งูก็เห็นนมไก่ฉันนั้นแหละน่า
สีหน้าท่าทางของผู้ชายทั้งคู่ทำให้น้ำหนึ่งได้แต่สั่นศีรษะอย่างระอา
เธอยกมือขึ้นห้าม
“เลิกเถียงกันได้แล้ว วันนี้มาเที่ยว
ไม่ได้มาทะเลาะ แล้วเป็นไง ตังเต งานเลิกช้าหรือ ถึงได้มาสายน่ะ”
ตินพลฉลาดพอที่จะไม่ตอบคำถามนั้น
แต่เปลี่ยนเรื่องคุยแทน
“ฉันก็มาถึงแล้วนี่ไง” เขาส่งยิ้มละไมอย่างที่ผู้หญิงทุกคนเห็นแล้วต้องใจอ่อน
“นี่อุตส่าห์มาเพื่อเธอเลยนะ เสร็จงานก็บึ่งรถมาเลย เหนื่อยแทบแย่ แต่ก็มา เพราะอยากมาเจอหน้าเธอไง
รอนานหรือเปล่า”
น้ำหนึ่งมองเพื่อนชายขำๆ รู้ว่าเขากำลังโปรยเสน่ห์อีกแล้ว
ปกติผู้หญิงรายไหนก็รายนั้น ได้เห็นยิ้มหวานตาปรอยของตินพลเป็นต้องมีอาการใจละลายแทบทุกราย
คงมีแต่เธอนี่แหละที่ชินกับเสน่ห์ของอีกฝ่ายเสียแล้ว ก็เลยไม่สนใจ
“นานสิ เบื่อจะตายอยู่แล้ว” [A2] คำตอบนั้นตรงเผง “รอก่อนนะ
ฉันขอตามลุลากับยายฝันก่อน จะได้เข้าบ้านพร้อมๆ กัน เอ้า ช่วยมองหาสิ คู่นั้นอยู่ตรงไหน”
ตินพลทำตามที่เพื่อนสาวบอก
นั่นคือเหลียวดูรอบๆเพื่อตามหาเจ้าของชื่อทั้งสอง
ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้าน อุปนิสัยเรียบร้อยทั้งคู่
ยามเขามาที่ชมรมก็มีโอกาสได้พูดคุยกันบ้าง เพียงแต่ไม่สนิทสนมเท่ากับน้ำหนึ่ง
เพราะสองสาวดูขี้อายและเก็บตัวมากกว่า
ไม่มีเงาร่างของสองสาวในสายตา ทว่า...ตินพลกลับชะงัก
เมื่อประสานสายตาเข้ากับใครคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หลังต้นก้ามปูใหญ่
กำลังทำตาโต ทำให้ดวงตาที่โตอยู่แล้วยิ่งมีลักษณะตรงกับคำว่า ‘ตาโตเท่าไข่ห่าน’ เจ้าหล่อนสาวเท้าเร็วๆไม่รั้งรอที่จะตรงเข้ามาหา เวรแล้วไง
ตามมาถูกด้วย
ตินพลตัดสินใจรวดเร็ว หันหลังกลับ
เดินแกมวิ่งตรงเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่รั้งรอ
ไม่สนใจเสียงอุทานแกมโมโหของน้ำหนึ่ง “ตังเต นายจะไปไหน เอ้า อะไรเนี่ย
รอกันก่อนสิ”
วินาทีนั้น
เขารู้แต่ว่าต้องหนีผู้หญิงประหลาดคนนั้นให้พ้น ขืนพูดกันอีก เขาคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ
ภายนอกว่าสะดุดตามากแล้ว
ภายในอาคารหลังนั้นยิ่งสะสวยประณีตเสียจนตินพลถึงกับชะงักไปเป็นครู่
บริเวณที่เขายืนอยู่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่น่าสบาย
แลดูโอ่อ่ากว้างขวาง พื้นห้องลาดด้วยพรมเนื้อนุ่มสีนวลตา
เพดานสูงด้านบนกรุกระจกใสอย่างวิจิตร ยามกลางวันคงจะใช้รับแสงแดดอย่างเต็มที่
แต่ในเมื่อขณะนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว จึงเห็นเพียงเงาสลัวของท้องฟ้ายามค่ำคืน
อย่างไรก็ตาม ภายในบ้านกลับสว่างไสวจากแสงโคมที่ประดับอยู่ตามมุมต่างๆเป็นโคมลักษณะที่ตินพลไม่เคยเห็นมาก่อน
ออกแบบคล้ายอัจกลับแบบโบราณ ดูสง่าและขรึมขลังอยู่ในที
ห้องกว้างและโล่ง อากาศเย็นสบายทั้งๆไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ
ตินพลเหลือบมองรอบตัวอย่างแปลกใจ เขาเห็นหน้าต่างที่สลักลายเครือเถาละเอียดประณีต
เรียงรายเป็นระเบียบ ทว่าทุกบานปิดสนิท
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ถ้าหน้าต่างปิด
ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วอากาศเข้ามาจากที่ไหนกันล่ะ
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นหน้าประตู
บอกให้รู้ว่าคนอื่นๆกำลังตามเข้ามา ตินพลเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ทั้งนี้หากคนที่เข้ามาเป็นคณะชมรมเรื่องลี้ลับ เขาคงไม่คิดอะไรมาก
แต่ถ้ามียายตาโตนั่นติดมาด้วย เขาคงหัวเสียมากทีเดียว
เอายังไงดี หลบไปให้พ้นก่อนดีกว่า
เผื่อว่าเจ้าหล่อนไม่เห็นเขาอาจจะกลับออกไปเอง
ความคิดนี้ทำให้ตินพลหันซ้ายหันขวา
และโดยไม่รู้ตัว ‘เสียง’ หนึ่งก็แว่วมา
‘อย่าเข้าไปเลย อย่า
อันตราย!’
เสียงนั้นมาอีกแล้ว ตินพลยกมือขึ้นปิดหู
รู้สึกทั้งหวาดผวาทั้งสับสนไปพร้อมๆกัน แต่เสียงฝีเท้าที่ดังถี่ๆก็กดดันให้เขาต้องตัดสินใจก้าวสวบๆตรงไปทางซ้ายมือตามสัญชาตญาณ
มองผ่านๆที่หน้าประตูห้อง เห็นป้ายสีแดงเข้มสะดุดตา สลักตัวอักษรสีดำไว้ว่า ‘ห้องแห่งไฟ’ ก็ผลักประตูก้าวเข้าไป พร้อมประตูที่ปิดตามหลังดังปัง!
ห่างออกไปไกลแสนไกล...นาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่มห้าสิบห้านาที...
[A3]
เพียงก้าวเข้าไปในห้อง ตินพลก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันแปลกๆ
ทั้งที่จะว่าไปแล้วอากาศรอบตัวก็น่าสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวหรือว่าเย็นจัดจนเกินไป
เป็นอากาศที่สดชื่นแตกต่างจากไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ ทว่าความที่ห้องปิดทึบ
ไม่มีหน้าต่างให้เห็น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พึ่งความเย็นจากอุปกรณ์ชนิดนั้น
เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาคล้ายเสียงวัตถุแล่นผ่านอากาศ
อย่างไรก็ตาม ความที่ห้องเงียบสงัด เสียงจึงชัดเจนจนเขาสะดุ้ง
หันขวับไปมองแทบจะในทันที
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือผนังสีทองแดงรมดำ
เจาะลึกแบ่งเป็นช่อง แล้วกรุด้วยกระจกใส แสงโคมสะท้อนเงากับกระจกเห็นเป็นภาพซ้อน
ทำให้ยากจะเดาได้ว่าวัตถุภายในคืออะไร
‘อย่า ออกไป อันตราย!’
มาอีกแล้ว
ตินพลเหลียวขวับราวกับจะหาตัวคนพูดให้พบ ทว่าไม่เห็นสิ่งใด รอบตัวอ้างว้างวังเวง
มีเพียงเขายืนอยู่เดียวดาย แสงเรื่อเรืองจากผนังทองแดงทอประกายแจ่มกระจ่างคล้ายสีเลือด
ตินพลสะบัดศีรษะแรงๆ รู้สึกว่าตัวเองออกจะเพ้อเจ้อเกินไปเสียแล้ว
บางทีอาจเป็นผลต่อเนื่องจากวิสกี้ที่ดื่มเข้าไปเมื่อหัวค่ำก็ได้ เขาก้าวตรงเข้าไปที่หน้าตู้กระจก
พยายามตั้งสติให้มั่นคง ไม่วอกแวกอีก เดาว่าของที่อยู่ในนั้นจะต้องเป็นมีค่าและงดงามประณีตสมกับการตกแต่งอย่างแน่นอน
ผิดคาด ภายในตู้กระจกกลับว่างเปล่า
ไม่มีวัตถุใดๆทั้งสิ้น
ตินพลถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะคิดไกลไปกว่านั้น จู่ๆเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
ภายในตู้ที่ว่างเปล่ากลับติดประกายไฟ แสงเพลิงโชติช่วงลุกพรึ่บขึ้น
แล้วลามกระจายไปจนทั่ว ดีที่มีกระจกคั่นไว้ ไม่อย่างนั้นประกายไฟคงจะลุกวาบออกมาอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มผงะออกห่าง แต่เมื่อตั้งสติได้
นัยน์ตากลับเพ่งมองกองเพลิงคล้ายถูกดึงดูดจากรัศมีงดงามของมัน
ไฟนั้นแปลกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
จะว่าเป็นสีส้มก็ไม่ใช่ สีแดงก็ไม่เชิง
มันก้ำกึ่งระหว่างสีทั้งสองได้อย่างน่าอัศจรรย์
มิหนำซ้ำยังเหลือบประกายทองแดงไปจนถึงดำอย่างน่าพิศวงที่สุด
ไฟอะไรกัน แปลกอย่างนี้
‘ก็ไฟรักไงล่ะ’
ตินพลชะงักกึก
ประโยคแรกเขาคิดขึ้นมาอย่างสงสัย แต่ประโยคหลังนั่นสิ ใครกันเป็นคนตอบกลับมา
จู่ๆไฟตรงหน้าก็ผันแปรรูปร่างได้เหมือนกับเต้นระบำ
ตินพลตาค้าง เขาจ้องเปลวไฟตาแทบไม่กะพริบ และพอประมวลภาพได้ชัดเจน เจ้าตัวก็เบิกตาโต
มีคนอยู่ในกองไฟ ชายหนุ่มผมสลวยระท้ายทอย
คิ้วเข้ม นัยน์ตาดำคมเป็นประกายพราวเหมือนแสงดาว จมูกและริมฝีปากงามราวถูกสลัก
หน้าตาคมคายสะดุดตาราวรูปปั้นที่งดงามที่สุด
และคนคนนั้นก็คือ...ตัวเขาเอง!
แม้จะไม่ใช่คนขวัญอ่อน
แต่ภาพที่เห็นก็หวาดสยองเสียจนตินพลไม่อาจทนมองต่อไปได้ เขาหันหลังกลับ ก้าวพรวดๆ ตรงไปที่ประตู
ออกจะระแวงอยู่เหมือนกันว่ามันอาจเปิดไม่ออกเหมือนในหนังสยองขวัญที่เคยดูหรือเปล่า
แต่ก็โชคดีที่ประตูเปิดออกอย่างง่ายดายราวกับรออยู่ก่อนแล้ว
ตินพลถลันออกจากประตูได้
ตาไวมองเห็นน้ำหนึ่งยืนอยู่กลางห้องโถง จึงเรียกออกไปเต็มเสียง
“ยายเพชร...”
พูดยังไม่ทันจบ เสียงกลับกลืนหายไปในคอเพราะไฟดับพรึ่บ!
เสียงหวีดร้องดังก้องขึ้นในความมืด
ตินพลเดาว่าคงเป็นเสียงของสองสาว มาลุตาและเหมือนฝัน ส่วนน้ำหนึ่ง
เขาคิดว่าเธอคงยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
เป็นบุคลิกของเธอเวลาตกใจอย่างที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก
ตินพลนึกเป็นห่วงเพื่อนสาว
รอบตัวมืดมาก มันมืดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด เป็นความมืดสนิทจนน่าแปลก ปกติ
คนอย่างเขาชินกับความมืดเพราะต้องถ่ายละครถึงดึกดื่นบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเห็นความมืดแบบไหนที่สนิทได้ถึงขนาดนี้
ราวกับว่ามีใครบางคนบังตาเขาเอาไว้อย่างนั้นแหละ!
“ยายเพชร” เขาแน่ใจว่าตะโกนออกไปสุดเสียง
แต่ที่ได้ยินกลับแผ่วเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ
ตินพลพยายามรวบรวมความทรงจำถึงทิศทางการยืนของเพื่อน แล้วสาวเท้าเร็วๆวิ่งตรงไปหา
ปากก็ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายไปตลอดทาง
“ยายเพชร ได้ยินแล้วตอบด้วย
ยืนอยู่ตรงนั้นนะ อย่าไปไหน เดี๋ยวฉันไปหาเอง”
เสียงของเขาสะท้อนก้องอยู่ในความมืดและเงียบนั้น
แต่ก็เหมือนโยนหินลงน้ำลึก ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
เหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมาตามขมับ
ความเย็นสบายในตอนแรกกลายเป็นหนาวเหน็บ ตินพลรู้สึกกลัวขึ้นมาวูบ
แต่ก็ฝืนตั้งสติให้เข้มแข็ง และพยายามคิดหาทางออกอย่างรวดเร็วที่สุด
‘ประตู ไปที่ประตู
อันตราย หนี!’
เสียงประหลาดมาอีกแล้ว
แต่ครั้งนี้ตินพลเครียดเกินกว่าจะนึกหวาดกลัว
เขาพุ่งตรงไปตามทิศทางที่จำได้ว่าเป็นประตู คลำมือไปตามความมืด
พอสัมผัสบานประตูได้ก็ค่อยโล่งใจ รอดแล้ว...
ชายหนุ่มจับสลักประตู แล้วบิด
ผลักออกไปเต็มแรง!
เพราะออกแรงเต็มที่
แรงสะท้อนจึงดีดกลับมาจนตินพลแทบหน้าคะมำ โชคดีที่ทรงตัวเอาไว้ได้ ไม่ล้มคว่ำลงไป
พร้อมกันนั้นเขาก็ใจหายวาบ ด้วยตระหนักว่าประตูเปิดไม่ได้เสียแล้ว
มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เมื่อไฟฟ้าเกิดขัดข้องจึงทำงานไม่ได้
หรือมันอาจจะเปิดไม่ได้ด้วยอำนาจของอะไร เขาก็สุดจะเดา
ตินพลทุบกำปั้นลงบนประตูแรงๆราวจะระบายอารมณ์
แต่เมื่อตระหนักได้ว่าทุบไปก็ไม่มีประโยชน์
ประตูนั้นสร้างขึ้นจากหินอ่อนหรือวัตถุอะไรสักอย่างที่แข็งและแกร่งมาก
ลำพังแรงของเขาคนเดียวคงผลักให้มันเปิดออกไม่ได้แน่
นอกจากจะหวังพึ่งแรงผู้ชายอีกคนอย่างนพคุณ ซึ่งเขารู้ดีว่าลึกลงไปในท่าทางอวดดี อีกฝ่ายมีดีให้อวดจริงๆเสียด้วย
แต่ความคิดนั้นก็ช่างไร้ประโยชน์ เพราะบัดนี้เจ้าตัวหายหน้าไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้
ส่วนอติวัจน์ เขาไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก เพราะคิดว่าเป็นคนท่าดีทีเหลว
ดีแต่พูดเสียมากกว่า
“พี่เก้า ไอ้พี่เก้าโว้ย
อยู่ไหนเนี่ย มาตรงนี้หน่อยได้ไหม ช่วยกันเปิดประตูที”
ตินพลตะโกนสุดเสียงอย่างลืมตัว
ความเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ลืมความบาดหมางระหว่างกันชั่วคราว
แต่ก็เช่นเคย เหมือนพูดกับลม...เสียงเขาก้องไปมาอยู่ในอากาศ ไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งๆห้องโถงก็ไม่ได้กว้างใหญ่เกินไป
ทำไมจึงไม่มีคนได้ยิน ทำไมกัน
เสียงวัตถุลอยผ่านอากาศดังมาอีกแล้ว
ตินพลหันขวับไปตามเสียง พร้อมกันนั้น สมองก็เริ่มประมวลผลออกมาอย่างเป็นระบบ
ถ้าหากว่าจะนับกันชัดๆ วันนี้เขาได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว
ราวกับมีใครบางคนกำลังเรียกหาเขาด้วยเสียง...อย่างไรก็อย่างนั้น
ใครเป็นคนเรียก...
ความคิดของเขาสะดุดลง เมื่อจู่ๆภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด...ทุกอย่างช้า
แต่ก็แจ่มชัด ราวกับภาพที่เคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ ลำแสงใสสว่าง สีขาวพร่างพราว
เริ่มต้นจากจุดเล็กๆแล้วค่อยๆแผ่กระจายออกมาทีละนิด ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแต่...ตินพลชะงัก
เพราะจะว่าไปแล้ว เขาไม่อาจระบุได้ว่าแสงนั้นเป็นสีขาว มันยังแฝงด้วยสีสันอื่นๆอีกหลากหลาย
ทั้งม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง...เลื่อมรุ้งพรรณราย
ประหนึ่งแก้วระยับที่ดูดซับสีสันไว้จนอิ่ม แล้วแผ่กระจายรัศมีออกมา แสงอะไร
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาลำแสงนั้นอย่างลืมตัว
เหมือนมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน และเขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
‘อย่าเข้าไป
ไปที่ประตู อันตราย หนีไป’
เสียงนั้นดังอึงอลอยู่ในหัว
แต่ตินพลฟังไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ใจของเขาจดจ่ออยู่แต่กับแสงตรงหน้า
สองเท้าพาก้าวเข้าไป ใกล้ขึ้นทุกที มารู้ตัวก็เมื่อเขากลับมายืนที่หน้าประตู ‘ห้องแห่งไฟ’ ที่เพิ่งก้าวจากมาเมื่อครู่ แสงสว่างเจิดจ้าเล่นเงากับแผ่นป้ายในความมืด
อาบไล้ทุกตัวอักษรสีแดงเพลิงให้ดูโชติช่วงยิ่งกว่าปกติ
มือแข็งแรงยื่นออกไป
ผลักเพียงแผ่วเบา บานประตูก็เปิดออก
ตินพลเบิกตากว้าง
ริมฝีปากอ้าค้างอย่างทึ่งจัด
เบื้องหน้าคือสตรีงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
ความงามของนางดุจหญิงสูงศักดิ์ผู้อยู่ไกลเกินเอื้อม งามอย่างควรเทิดทูนบูชา
พัสตราภรณ์ที่นางสวมเป็นสีขาวสว่าง
ลักษณะคล้ายผ้าผืนยาวพาดพันไปตามเรือนร่างโปร่งระหง งามได้ส่วนสัดราวรูปปั้น
ไม่มีเครื่องประดับใดๆบนเรือนร่างนั้น ทว่าความงามกลับเลิศล้ำยิ่งกว่าสตรีนางใดในโลกา
ลำแสงที่เขาเห็นแผ่กระจายออกมาจากร่างของนางนั่นเอง!
[A1]ร่างสูง ร่างบาง
เป็นคำขยาย ปกติจะไม่ใช้เป็นประธานของประโยค แต่พี่จะอนุโลมบ้างตามบริบทนะ ^^
[A2]งงกับคำพูดนี้
มันต่อจากคำพูดใคร อะไร ยังไง - - น้ำหนึ่งน่ะพี่
พูดกับเตว่าจะมาหรือไม่มาก็จะเข้าบ้าน แนวกวนตีนๆ เดี๋ยวปรับนิดนึงแล้วกัน
[A3]คืออะไร
มันเอ่ยขึ้นมาลอยๆ - - เหมือนบอกเวลาในเรื่องค่ะ เพราะตอนคุยกัน
เราจะตั้งคำถามว่าทุกคนเข้าบ้านเวลาไหน อะไรยังงี้อ่ะพี่ ก็เลยใส่บอกเวลาด้วย
ความคิดเห็น