ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดขุนศึกสะท้านปฐพี 2

    ลำดับตอนที่ #4 : เรื่องรัก และ เรื่องรบ

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 62





     

         
                   เมื่อแสงตะวันสาดส่อง หยางซื่อหลางลืมตาตื่นขึ้นมาบนเนินเขา ในสภาพอ่อนล้า แต่ร่างกายเป็นปกติทุกประการ กองไฟดับมอดแล้ว เหลือไว้เพียงควันบางเบา กับร่างของนางที่หายไป

         แม้จะตกอยู่ในภาวะทรมานด้วยโรคร้าย แต่สมองเขายังไม่บกพร่อง เลือนหาย ความรู้สึกที่ว่ามีความอบอุ่นถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายตลอดทั้งคืนนั้น ชัดเจนในความทรงจำ และมิอาจคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากประการเดียวเท่านั้น

         "ย่งฉี...ย่งฉี...ย่งฉี..."

         ตอนนี้ในหัวเขา มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ หานางให้เจอ!

         วิ่งกลับเข้ามาในค่าย ด้วยสีหน้าร้อนรน กระวนกระวาย ทหารยังอยู่ในระหว่างการพักผ่อน เขากวาดมองหาจนทั่ว หวังจะเห็นนางอยู่ที่ไหนสักแห่ง หากแต่ไร้วี่แวว 

         "คุณชาย ท่านหายไปไหนมา"

         ทหารเอกท่าทางร้อนใจยิ่งกว่า รีบถลันมาหาเขา 

         "จิ้งจง ย่งฉีล่ะ เห็นนาง เอ้ย เห็นเขาบ้างรึเปล่า"

         นายน้อยไม่อาจสนใจเรื่องอื่นใดไปจากนี้ จิ้งจงถึงกับงงงันวูบ

         "จุนย่งฉีหรือ ไม่เห็นแต่เช้าครับ แต่ว่า คุณชาย เมื่อคืนนี้..."

         "ย่งฉี...ย่งฉี..."

         ไม่อยู่รอฟัง วิ่งเข้าไปหาในห้องจนทั่ว เมื่อไม่พบ ก็วิ่งกลับออกมา

         "เอ่อ คุณชาย เมื่อคืน ที่ค่ายทหารที่สาม..."

         เขาคาดหวังว่า นางจะอยู่ที่บ้านพักของเขา เพราะนั่นเป็นที่สุดท้ายแล้ว จึงวิ่งตรงไปอย่างมีความหวัง เสียงของทหารเอก มิได้เข้าหูแม้แต่น้อย เพราะในสมองของเขายามนี้มีแต่นาง

         "ย่งฉี ย่งฉี เจ้าอยู่ไหน ออกมาเถอะ ย่งฉี..."

         ความหวังลางเลือน เมื่อไร้ซึ่งวี่แววว่านางจะอยู่ที่นั่น หรือว่า...นางจากไปแล้ว

         "เอ่อ ท่านแม่ทัพ"

         ทหารนายหนึ่งตรงเข้ามา เขาถามซึมๆ

         "มีอะไร"

         "เมื่อเช้า ข้าน้อยเจอจุนย่งฉีเดินออกจากค่าย เขามอบจดหมายนี้ให้ข้าน้อย บอกว่าฝากถึงท่านแม่ทัพครับ"

         หยางซื่อหลางกระชากมาจากมือนายทหารอย่างรวดเร็ว แกะเปิดอ่านด้วยใจที่หวั่นกลัว

         ...แม่ทัพหยาง ยามนี้ ท่านคงพบความจริงแล้วว่า ข้าเป็นใคร นั่นแปลว่า ถึงเวลาที่ข้าต้องจากไปแล้ว ข้ารู้ว่าตัวเองทำผิด เป็นหญิงมิควรเข้าค่ายทหาร แต่ที่ข้ามาสมัคร ก็มีปณิธาณที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ชายอกสามศอกแต่อย่างใด แม้ว่าเป็นการหลอกลวงท่าน หากข้านั้น มีแต่ความซื่อสัตย์ และจริงใจ ที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า ที่ข้าคงได้แต่...จดจำไว้ จากนี้ขอให้คำสัญญา แม้นตัวข้าจะอยู่ที่ใด ข้าก็จะยังคง เป็นทหารน้อยตัวแสบ จุนย่งฉี สังกัดกองทหารอิสระ ที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อท่าน และประเทศชาติเหมือนเดิม ลาก่อน หยางซื่อหลาง...

         "ย่งฉี เจ้าจากไปแล้ว นางจากไปแล้วจริงๆ"

         นายน้อยสี่หัวใจสลาย ปวดร้าวยิ่งนัก เพราะเขายังมิได้บอกในสิ่งที่เขาอยากจะพูด และทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำ กับนาง ตามปรารถนาที่เขาเพิ่งจะรู้ใจตัวเอง ยามลืมตาตื่นขึ้น
     

     
         ณ ท้องพระโรงยามเช้า ขุนนางทั้งหลายต่างเข้าเฝ้ารายงานหน้าที่ตามปกติ พอเสร็จสิ้นเรื่องงานราฏร์งานหลวงทั้งปวง เสนาบดีใหญ่ ผานเหรินเปียน ก็ก้าวออกมายืนตรงกลาง คำนับ และรายงานเสียงทรงอำนาจ

         "ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ"

         "เสนาผาน มีอะไรก็พูดมา"

         แม่ทัพใหญ่ หยางเยี่ย กับ ท่านอ๋องแปด สบตากันอย่างเบื่อหน่าย เพราะสิ่งที่เสนาธิการผาน มักชอบรายงานในที่ประชุมช่วงเช้า มักหนีไม่พ้นเรื่องตำหนิการทำงานของหยางเยี่ย และกองทหารที่สาม เรื่องการศึกกับเป่ยฮั่น

         "หม่อมฉันได้บังเอิญ ล่วงรู้ความลับสำคัญของแม่ทัพหยาง มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนนี้"

         "หือ...ความลับอะไร"

         ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างสงสัย หยางเยี่ย กับท่านอ๋องแปดเริ่มขมวดคิ้ว

         "หยางเยี่ย แม่ทัพใหญ่แห่งต้าซ่ง มีใจกบฏ ฝักใฝ่กับกองโจรกู้ชาติเป่ยฮั่น!!"

         น้ำเสียงทรงอำนาจดังสะท้านทั่วท้องพระโรง เหล่าขุนนางตะลึงพรึงเพริด หันหน้าซุบซิบตกใจ ฮ่องเต้ถึงกับผงะ หยางเยี่ยตกตะลึง ขณะที่ท่านอ๋องแปดตวาดทันควัน

         "เสนาผาน นี่ ท่านพูดเหลวไหลอะไร"

         "เมื่อคืนหม่อมฉันไปค่ายทหารที่สามมา และได้เห็นกับตา ทหารในค่ายหลับไหลกันหมด พวกโจรกู้ชาติบุกเข้ามา หยางเยี่ยไม่จับอาวุธสังหารศัตรู กับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงกับเชิญเข้าไปในกระโจม สักครู่ก็ออกมา แล้วปล่อยให้พวกโจรหนีไปได้ทั้งหมด"

         "ว่าไงนะ มีเรื่องแบบนี้เหรอ"

         ตรัสถามเสียงเกรี้ยว หยางเยี่ยรีบก้าวมาอธิบาย

         "ฝ่าบาท ไม่เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันซื่อสัตย์ภักดี ไม่เคยคิดแปรพักตร์ เรื่องเมื่อคืนนี้ หม่อมฉันอธิบายได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเสนากล่าวหา"

         "หยางเยี่ยต้องการแก้ตัว แต่เรื่องนี้ยังไงก็เถียงไม่ขึ้น หม่อมฉันมีพยานเห็นเหตุการณ์ด้วย หยางเยี่ยลักลอบพบกับข้าศึกยามวิกาล มีเจตนาซ่อนเร้น ปิดปากพวกทหารด้วยการวางยาให้หลับไหล อหังการถึงขั้นนัดพบกันในค่าย หลบสายตาคนนอก เข้าไปเจรจาลับๆ ในกระโจม เรื่องนี้ หม่อมฉันเห็นเต็มสองตา นายทหารที่มาด้วยก็เป็นพยานได้"

         "เสนาผาน ท่านจะพูดลอยๆ กล่าวหาใหญ่โตแบบนี้ โดยไม่มีหลักฐานไม่ได้นะ"

         ท่านอ๋องกล่าวอย่างขุ่นเคือง เขาเป็นสหายกับแม่ทัพหยางมานาน ย่อมรู้ดีว่า เรื่องนี้มิอาจเป็นไปได้ เสนาผานไม่ถูกกับตระกูลหยางมาช้านานแล้ว จึงเป็นไปได้ที่จะถูกกลั่นแกล้ง จึงเสนอหน้าช่วยอย่างเต็มที่

         "เบิกตัวสงเหยินมาเข้าเฝ้า ก็จะทรงทราบความจริงทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ"

         ผานเหรินเปียนใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ทำตัวให้น่าเชื่อถือ โดยไม่โวยวายมากความ สงเหยิน เป็นนายทหารคนหนึ่ง สังกัดกองทหารที่สามในค่ายแม่ทัพเจ้า เดินเข้ามา ถวายความเคารพ เสนาผานสั่งเสียงเรียบ

         "สงเหยิน เมื่อคืนนี้ เจ้าเห็นอะไรบ้าง ก็จงกราบทูลฝ่าบาทไปตามนั้น"

         "ทูลฝ่าบาท เมื่อคืน หม่อมฉันเห็น ทหารหลายร้อยนายหลับไหลอย่างผิดปกติ โจรเป่ยฮั่นกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา แม่ทัพใหญ่ กับขุนพลห้า ออกมาจากกระโจม สองฝ่ายยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง แม่ทัพใหญ่ก็เชิญหัวหน้าโจรสาว เข้าไปในกระโจมที่พัก ปล่อยให้บุตรชาย กับพวกโจรคนอื่นๆ รออยู่ด้านนอก มินานเท่าไหร่ก็กลับออกมา แล้วพวกโจรก็เดินออกจากค่ายไป"

         "นี่ มันเรื่องอะไร แม่ทัพหยาง"

         ฮ่องเต้หันมาตรัสถามเสียงเครียด หยางเยี่ยสำรวมใจให้หนักแน่น กล่าวอย่างจริงจัง

         "ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้มีเบื้องหลัง มิได้เป็นอย่างที่ตาเห็น ขอโปรดให้หม่อมฉันอธิบาย"

         "จับได้คาหนังคาเขา จะแก้ตัวอีกหรือ ตอนแรก ก็ทำเป็นไม่ยอมรับการมีอยู่ของเป่ยฮั่น ต่อมายอมให้พวกโจรบุกย่ำยีค่ายที่สามอย่างง่ายดาย โดยจับไม่ได้แม้สักคน มาบัดนี้ ถึงขั้นเปิดโต๊ะเจรจาอย่างลับๆ ข้าว่า ท่านควรจะสารภาพถึงแผนการขั้นต่อไป ที่จะสยบต้าซ่งดีกว่ามั้ง!"

         ผานเหรินเปียนยุแหย่ ไส้ใคร้มิยอมหยุด สร้างความตึงเครียดในท้องพระโรง และความร้อนพระทัยของฮ่องเต้ ท่านอ๋องแปดจึงต้องตวาดห้ามการกระทำของเขา ด้วยเสียงเข้ม

         "เสนาผาน เรื่องเป็นมายังไง ฟังท่านแม่ทัพชี้แจงก่อน ค่อยพูดก็ยังมิสาย ท่านมาชี้นำ โน้มน้าว และสรุปเอาเองแบบนี้ เพื่อการใด"

         "แม่ทัพหยาง ข้าอยากฟังคำอธิบาย"

         ฮ่องเต้เปิดโอกาส แม้นว่าใจค่อนข้างเอนเอียงไปทางน้ำคำของเสนามือขวาที่ไว้ใจแล้ว

         "ทูลฝ่าบาท เมื่อคืน โจรเป่ยฮั่นบุกค่ายทหารที่สามจริง เป็นเพราะความประมาท และผิดพลาดอีกครั้งของหม่อมฉัน ตอนดึก เมื่อยามสาม ทหารหลายร้อยคนที่ค่าย ถูกวางยาพิษ สลบไสลไม่ได้สติ ซึ่งเช้านี้หม่อมฉันได้ตรวจสอบแล้ว ว่าเป็นพิษผงจันทรา ที่มาจากบ่อน้ำดื่มกินของค่าย นั่นแปลว่า มีไส้ศึกลอบเข้ามาแอบวางยา ประทุษร้ายทหารจนนอนแน่นิ่ง อีกทั้งส่วนหนึ่ง ก็ถูกคร่ากุมตัว หลบเร้นในป่ารกข้างทาง ตกอยู่ในกำมือของพวกมัน พวกโจรฉกฉวยโอกาสเข้ามาประชิด หัวหน้าโจรเจรจา จะตกลงเงื่อนไขกับหม่อมฉัน เพื่อแลกกับชีวิตทหารในค่าย หม่อมฉันดูสถานการณ์ หากไม่รับฟัง อาจเกิดการสูญเสียกองกำลังครั้งใหญ่ และจะอันตรายถึงวังหลวง อยู่ในฐานะมิอาจขัดขืนได้ จึงลองรับฟัง เขาขอคุยกับหม่อมฉันในกระโจม และเรื่องก็เป็นเช่นนี้..."

         หยางเยี่ย นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในกระโจมตอนนั้น...

         "หยางเยี่ย ท่านยอมรับความปราชัยต่อเรารึยัง"

         หวังหงเยี่ยถามอย่างเย่อหยิ่ง แม่ทัพใหญ่แค่นหัวร่อ

         "การศึกสงคราม แพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา ข้าหยางเยี่ยแพ้ได้ แต่เสียศักดิ์ศรีมิได้"

         "ข้าสามารถสยบกองทหารที่สาม อันกระจอกนี้ได้อย่างหมดจดราบคาบ ท่านยังจะกล้าประกาศตัว เป็นศัตรูกับเราอีกหรือ"

         "เฮอะ เจ้าผิดแล้ว เรายังหาได้แพ้ไม่ กองกำลังที่สาม ยังมีอีกหลายค่าย คนเก่งต้าซ่งเรามีมากมาย และทุกคนพร้อมจะสู้รบจนตัวตาย"

         "ข้าขอเตือนท่าน จงรีบสวามิภักดิ์ต่อเรา มิเช่นนั้น จุดจบของท่าน และตระกูลหยาง จะมาก่อนการล่มสลายของราชวงศ์ซ่ง"

         "ข้าหยางเยี่ย พร้อมพลีชีพเพื่อชาติ ประสาอะไรกับครอบครัว ข้าจะเสียสละมิได้!"

         "แปลว่า ท่านยอมให้ทหารเกือบพันนายต้องตายเพราะท่าน แต่ไม่ยอมรับใช้เรา"

         "พวกเขาไม่อาจตำหนิข้า ตายในหน้าที่ คือเกียรติอันสูงส่งแล้ว ข้าพึงชดใช้ให้พวกเขา ได้เพียง ขอรับโทษประหารจากฮ่องเต้เท่านั้น"

         "ดี สมเป็นยอดบุรุษของแผ่นดิน ข้าเสียดายความสามารถของท่าน จึงยังจะต่อลมหายใจให้ท่านอีกเล็กน้อย ยาถอนพิษนี้ ขอมอบเป็นการเคารพต่อท่าน และหวังให้ท่านเปลี่ยนใจโดยเร็ว"

         "..."

         "ฝ่าบาท ที่หม่อมฉันพูดมาทั้งหมด คือเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ"

         หยางเยี่ยเล่าจบ ก็ยืนยันเสียงหนักแน่น ฮ่องเต้นิ่งอึ้ง ยังคงเป็นเสนาผานที่หัวร่อเย้ยหยัน

         "แหม แหม ท่านแม่ทัพช่างพูดได้น่าฟังยิ่งนัก จากผิดกลายเป็นถูก ไม่คิดบ้างหรือว่า มีจุดน่าสงสัยเต็มไปหมด ข้อแรก ทั้งที่ท่านอยู่ในค่าย ทหารถูกวางยา ท่านกลับไม่โดน พวกโจรต้องการซื้อใจท่าน เป็นคำพูดเพียงด้านเดียวเท่านั้น ท่านยิ่งใหญ่ปานนี้ มีหรือพวกมันจะยอมปล่อยไว้ การสังหารท่านให้สิ้นซาก น่าจะทำให้งานใหญ่สะดวกราบรื่นกว่ามากล่อมให้ท่านเป็นพวก และมันก็มีโอกาสแล้ว ทำไมไม่ลงมือ ข้อสอง มันบอกอยากคุยในกระโจม ท่านก็เชิญเข้าไปโดยง่าย ผิดวิสัยไปหน่อยไหม เหตุใดท่านต้องนอบน้อมเกรงใจปานนั้น มีอะไรเป็นความลับนักหนา ถึงคุยข้างนอกให้คนอื่นได้ยินมิได้ ข้อสาม ออกมาแล้ว กลับปล่อยให้จากไปอย่างง่ายดาย ไม่มีการส่งคนติดตาม หรือไล่ตามไปเลย แม้แต่รายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบก็ไม่ แค่นี้ก็ส่อเจตนาแล้วว่า ท่านกลับมัน มีอะไรกันอยู่!!"

         วาทศิลป์ของผานเหรินเปียน เสียดแทงใจของฮ่องเต้จนสะดุ้งเฮือก ผวาแตกตื่นยิ่งนัก

         "เสนาผาน กองทหารของข้ามีไส้ศึก ถือเป็นความบกพร่องในหน้าที่ และพวกเขาถูกพิษ ความเป็นความตายของทหารเป็นร้อย ต้องแข่งขันกับเวลา ข้า บุตรชาย และพวกทหารที่เหลือ ต้องช่วยกันป้อนยาถอนพิษให้พวกเขาอย่างเร่งด่วน สุดความสามารถ จะมีเวลาไปไล่ตามพวกโจรได้อย่างไร ที่ข้าไม่กราบทูล มิใช่จงใจปิดบัง หรือเกรงกลัวความผิด ตั้งใจจะกราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบหลังเลิกประชุมอยู่แล้ว และน้อมรับโทษจากความสะเพร่า ไม่คิดปัดผิดให้พ้นตัว ตัวท่านเอง เห็นเหตุการณ์แต่ภายนอก ไม่รู้จริง ก็โปรดอย่าได้วิเคราะห์ ตีความ จนมันบิดเบือนไปเสียหมด"

         "ฮ่ะ ฮ่ะ ท่านบอกไม่สวามิภักดิ์ แล้วเหตุใด พวกมันต้องให้ยาถอนพิษแก่ท่านเล่า นี่มันสมเหตุสมผลหรือ เกรงแต่ว่า ที่คุยกันในกระโจม จะไม่ใช่เป็นการขอซื้อใจ แต่เป็นแผนขั้นต่อไป ที่จะดำเนินการกวาดล้างต้าซ่งเราเสียมากกว่า"

         "เสนาผาน...!"

         หยางเยี่ยตวาดอย่างเหลืออด หากท่านอ๋องแปดแทรกขึ้นก่อน อย่างเดือดดาลไม่แพ้กัน

         "ท่านเสนาพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก แม่ทัพหยางคำนึงถึงชีวิตลูกน้อง และต้าซ่ง จึงไม่หักหาญสู้ตาย เพราะทางนั้นรังแต่จะเสียหายทั้งชีวิต และบ้านเมือง พวกโจรก็ต้องการซื้อใจ จึงให้ยาถอนพิษ นี่ก็สมเหตุสมผลอยู่ คิดอีกที ไม่แน่ นี่อาจเป็นแผนของพวกโจร ที่ต้องการให้เราแตกคอกันเอง ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย"

         "ทหารถูกวางยาสลบ หรือยาพิษกันแน่ เรื่องนี้มีแต่แม่ทัพหยาง กับบุตรชายที่รู้ ตอนนี้พิสูจน์อะไรไม่ได้แล้ว จะพูดกลับดำเป็นขาวอย่างไรก็ได้"

         ผานเหรินเปียนยังคงกัดไม่ปล่อย หยางเยี่ยแสนจะหนักใจ และหงุดหงิด แต่ไม่อาจนึกหาคำมาโต้แย้งได้ทัน ท่านอ๋องแปดไหวพริบดี ช่วยมาอีกว่า

         "เสนาผาน ถ้าจะพูดไป เรื่องนี้ ท่านเองก็น่าสงสัยเหมือนกันนี่"

         "ท่านอ๋อง หมายความว่าอย่างไร"

         "จู่ๆ ท่านไปค่ายทหารยามวิกาลทำอะไร แล้วดันมาพบเห็นเรื่องนี้เข้าพอดี มันออกจะบังเอิญเกินไปแล้ว"

         "เพราะมีผู้หวังดี ทราบถึงเจตนาร้ายของแม่ทัพหยาง จึงส่งสาสน์หาหม่อมฉัน ให้มาดูด้วยตาตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง"

         "อ๋อ เช่นนั้น ผู้หวังดีของท่านคือใครกันเล่า ไฉนไม่เปิดเผยตัวออกมา"

         เสนาผานเป็นฝ่ายอ้ำอึ้ง จนต่อถ้อยคำบ้าง ท่านอ๋องแปดได้ใจ รีบกล่าวต่อไปอย่างฉาดฉาน

         "ระบุตัวไม่ได้ ก็น่าสงสัย หากว่าเป็นโจรเป่ยฮั่น ลอบส่งข่าว และสร้างฉากนี้ขึ้นมา เพื่อยืมมือท่านฆ่าแม่ทัพหยาง อย่างนี้ต้าซ่งมิต้องวิบัติ สูญเสียแม่ทัพคนสำคัญ ทำให้ชาติต้องล่มสลายด้วยเงื้อมมือของท่านหรอกหรือ"

         คำพูดของอ๋องแปด พอมีน้ำหนัก คานอำนาจกับวาจาผานเหรินเปียนได้บ้าง พวกเหล่าขุนนางต่างซุบซิบ และพยักหน้าอย่างเห็นคล้อยตาม ฮ่องเต้เริ่มสับสนลังเล 

         "ท่านอ๋อง ความจริงตรงหน้าก็เห็นอยู่ ใยท่านต้อง..."

         "ฝ่าบาท หม่อมฉันซื่อสัตย์ภักดี สวรรค์เป็นพยานได้ หากหม่อมฉันคิดคด คงไม่อยู่ตรากตรำกรำศึกมาถึงป่านนี้ ชีพนี้ยอมพลีแล้วเพื่อต้าซ่ง ไม่ขอเอาใจออกห่าง หม่อมฉันกล้าสาบาน มิเคยทำเรื่องผิดต่อพระเมตตาของฝ่าบาท ขอทรงพิจารณาให้ความเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

         หยางเยี่ย กล่าวเสียงกังวาน ขึงขัง ออกมาจากใจจริง จนเหล่าขุนนางสัมผัสได้

         "ฝ่าบาท หม่อมฉันเชื่อในตัวแม่ทัพหยาง เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง ขอทรงสืบให้แน่ชัด"

         ฮ่องเต้นิ่งอึ้ง แต่แรก เชื่อในวาจาของเสนามือขวาอย่างหมดใจ ทว่าพอเริ่มฟังไป กลับรู้สึกคลอนแคลน เอนเอียงไปทางหยางเยี่ยมากกว่า จึงตัดสินปัญหาอย่างไม่สบายพระทัยนัก

         "เอาล่ะ เรื่องนี้เป็นแค่การคาดเดาทั้งนั้น ยังไม่อาจรู้ความจริงแน่ชัด ถึงจะมีข้อสงสัย แต่ไม่มีหลักฐานเอาผิดแน่นอน แม่ทัพหยางกลับไปก่อน ข้าจะส่งคนไปสืบจนรู้ความจริง รับรองว่า ไม่ใส่ร้ายผิดคนแน่"

         "ฝ่าบาททรงพระปรีชา หม่อมฉันขอทูลลา"
     

     
         ผานเหรินเปียนแสนจะผิดหวัง และฉุนเฉียวเป็นยิ่งนัก กับการตัดสินพระทัยขององค์ฮ่องเต้ จึงเข้าเฝ้าต่อในห้องทรงอักษร แต่ก็ฉลาดพอจะไม่ตำหนิการตัดสินพระทัยออกมา กลับแสดงความห่วงใยอย่างผู้จงรักภักดี

         "ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว การกระทำของหยางเยี่ยนั้น ส่อว่ามีพิรุธเต็มๆ หม่อมฉันรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของบ้านเมืองเหลือเกิน"

         "อืม มันก็จริงอยู่ ที่ตัวเขาน่าสงสัย แต่...ความเป็นไปได้ ที่จะเป็นแผนของพวกโจร มันก็มีเช่นกัน"

         ฮ่องเต้ตรัสนิ่งๆ อย่างใช้ปัญญา หากเสนาเฒ่าผู้เจ้าเล่ห์ไม่วิตก เพราะรู้วิธีจะทำให้เหนือหัวกลับมาระแวงหยางเยี่ยใหม่อีกครั้ง

         "แต่ที่หม่อมฉันเห็น ที่ค่ายทหาร มันน่ากลัวมากนะพ่ะย่ะค่ะ หยางเยี่ย กับหัวหน้ากองโจรนั้น เอ่อ หม่อมฉันไม่กล้าพูด..."

         "พูดมา"

         "ดูเหมือน...จะลอบส่งสัญญาณบางอย่างแก่กันด้วย เกรงว่า..."

         "เกรงว่าอะไร"

         "กองทหารที่สามอยู่ในมือของเขา จำนวนมากมาย ถ้าหยางเยี่ยเกิดกบฏ..."

         ฮ่องเต้สะดุ้งวาบในใจ ความระแวงสงสัย และหวาดหวั่นหวนกลับมาใหม่

         "แล้วควรทำอย่างไรดี"

         "ท่านอ๋องเฉาตายไปแล้ว แต่ยังมีแม่ทัพเจ้า ที่คุมค่ายฝ่ายสนับสนุนอยู่ทางฝั่งเหนือ ฝ่าบาทควรเรียกตัวเข้าเฝ้า ให้มาคอยควบคุมหยางเยี่ยเอาไว้"

         ผานเหรินเปียนเสนอแผนล้ำลึก ตามที่ตัวเขาต้องการ แม่ทัพเจ้าพอจะสนิทชิดเชื้อกับเขาอยู่ หากเรียกมาเป็นพวกได้ การจะจัดการกับหยางเยี่ย ก็ไม่ใช่สิ่งที่ลำบากเลย

         ฮ่องเต้พยักหน้า เชื่อในข้อเสนอนั้นหมดใจ ตรัสเรียบๆ

         "ดี เห็นที...ข้าคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว!"
     

     
         หยางซื่อหลางขี่ม้าเร็วมาถึงค่ายทหารที่สาม ด้วยความร้อนใจ เขากระโดดลงจากหลังม้า แล้วเดินเร็วๆ เข้ามา ทหารยามหน้าค่ายทำความเคารพ หยางอู่หลางที่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย รีบออกมาต้อนรับ

         "พี่สี่..."

         "เป็นยังไง เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น"

         กว่าเขาจะรับฟังจิ้งจงเล่าเรื่อง ก็มัวเสียเวลากับความเศร้าโศกต่อผานจื่อเอียนอยู่นาน พอรู้ข่าว จึงรีบเดินทางมาอย่างรวดเร็ว ด้วยความเป็นห่วงบิดาเป็นล้นพ้น

         "หวาดเสียวจริงๆ พวกทหารถูกวางยาพิษ รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด พวกโจรมันบุกเข้ามา ทำข้อตกลงกับท่านพ่อ"

         "แล้วท่านพ่อล่ะ"

         "เข้าวังแต่เช้า เพื่อประชุมตามปกติ แต่ท่านบอกว่าจะกราบทูลเรื่องนี้ด้วย"

         "หา กราบทูล! แย่แล้ว..."

         หยางซื่อหลางร้องอย่างตกใจ เขาฟังทหารเอกเล่า ถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ รู้เลยว่า มันเต็มไปด้วยกับดักเล่ห์กลมากมาย บิดากลับจะไปรายงานต่อฮ่องเต้อย่างตรงไปตรงมา แบบนี้น่าจะให้ผลร้ายมากกว่าดีแน่ คิดแล้วก็ยิ่งร้อนใจหนักไปอีก หยางอู่หลางซื่อเกินกว่าจะเข้าใจกลลวง มองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ พอดี หยางเยี่ยขี่ม้ากลับมาถึง

         "ท่านแม่ทัพ..."

         "ท่านพ่อ..."

         บุตรชายทั้งสองวิ่งออกไปรับ หยางเยี่ยมองหน้าพวกเขานิ่งๆ ไม่ว่ากระไร เดินอย่างเงียบเชียบเข้าไปในกระโจม พี่น้องสบตากัน แล้วตามเข้าไปด้วย

         "ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือ"

         หยางเอี๋ยนถงเห็นสีหน้า และแววตาของบิดา แล้วคาดว่าต้องมีเรื่องแน่ 

         "เราหลงกลแผนแตกคอของโจรกู้ชาติ เข้าเต็มเปาทีเดียว!"

         "หา!"

         ลูกห้าร้องตกใจ แต่ลูกสี่นิ่ง เพราะคิดไว้ก่อนแล้ว

         "ด้านหนึ่ง ส่งไส้ศึกเข้ามาวางยาในค่าย อีกด้าน ลอบส่งข่าวถึงเสนาผาน ให้มาเป็นพยาน เมื่อคืนนี้ ที่บอกว่าเจรจา ก็เป็นแค่การตบตา พวกโจรวางแผนแยบยล ยืมมือผานเหรินเปียนมาเล่นงานข้า"

         "ท่านพ่อ ข้างงไปหมดแล้ว ผานเหรินเปียนมาเกี่ยวอะไรด้วย"

         "เสนาผานเห็นเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ จึงรายงานต่อฮ่องเต้ ว่าข้าคิดกบฏฝักใฝ่โจรเป่ยฮั่น"

         "หา มันจะเป็นไปได้ยังไง ทหารถูกวางยา ก็เห็นชัดๆ อยู่ และกล้าสงสัยในตัวท่านพ่อเนี่ยนะ เกินไปแล้ว"

         หยางอู่หลางร้องอย่างขุ่นเคือง บิดาเขารับใช้ชาติมาหลายสิบปี มีความดีความชอบมากมาย กับถูกขุนนางชั่วใส่ร้าย ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ

         "หลักฐานก็ไม่มีแล้ว สิ่งที่เห็นตรงหน้า จะแก้ต่างก็ลำบาก ข้าผิดเองที่สะเพร่าหละหลวม นึกสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมจึงยอมปล่อยเราง่ายๆ เพียงแต่คาดไม่ถึง มันจะรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยของข้า กับเสนาผาน และใช้จุดนี้ มาต้อนให้ข้าลำบาก"

         หยางเยี่ยพูดอย่างสำนึกเสียใจ ลูกห้ายิ่งโมโหไปใหญ่

         "โจรกู้ชาติ เจ้าเล่ห์ร้ายกาจยิ่งนัก แล้วฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อใช่ไหม ท่านพ่อ"

         "ฝ่าบาททรงปรีชา รู้ว่าข้าซื่อสัตย์ภักดี จะเชื่อได้อย่างไร ท่านอ๋องแปดก็ช่วยพูด เพียงแต่เสนาผานปักใจเชื่อ เพราะอคติต่อข้า จึงทำให้เรื่องยุ่งยาก"

         บิดามีสีหน้าหนักใจ หยางซื่อหลางนิ่งคิด ตริตรองอย่างสุขุม ก่อนเสนอความเห็น

     

     
         "โจรเป่ยฮั่น รู้ถึงความขัดแย้งของท่าน กับผานเหรินเปียน ใช้เขาก็ไม่น่าแปลก สิ่งที่ประหลาด คือ การที่พวกเขายอมปล่อยกองทหารที่สาม ทั้งที่สยบราบคาบแล้ว เพียงเพื่อให้ท่านถูกสงสัย มันออกจะดู...เกินไปหน่อย"

         "พี่สี่ เกินไปอย่างไรเหรอ"

         หยางซื่อหลางจะตอบ แต่ก็ชะงัก หันมองบิดา ไถ่ถามด้วยแววตาว่าอนุญาติให้เขาพูดหรือไม่ หยางเยี่ยหันหลังช้าๆ ให้แก่เขา ทั้งไม่ปฏิเสธ และไม่อนุญาติ เขาจึงตัดสินใจตอบ

         "กองทหารที่สาม เป็นกำลังหลักรักษาเมืองหลวง และเขตราชฐานภายในวัง ทำลายค่ายนี้ได้ ก็สามารถบุกยึดเมืองหลวงได้เลย อุตส่าห์ส่งคนมาลอบวางยาจนสำเร็จแล้ว ทำไมถึงไม่ตัดรากถอนโคน กำจัดให้สิ้นซาก กลับมอบยาถอนพิษ ให้ฟื้นกลับมาใหม่ เรื่องนี้มันมีพิรุธ"

         "ก็พวกโจรยืมมือผานเหรินเปียนฆ่าท่านพ่อนี่นา ให้ยาถอนพิษก็ถูกแล้วนี่นา"

         "ระหว่างจัดการกับกองทหารที่สาม กับการให้ท่านแม่ทัพผู้เป็นเสาหลักถูกสงสัย เจ้าว่า อย่างไหน จะเป็นผลดีกับพวกโจรมากกว่ากันล่ะ"

         "เอ่อ เป็นไปได้ไหมที่พวกมันจะเกรงกลัวฝีมือของท่านพ่อ จึงไม่กล้าหักหาญตรงๆ"

         หยางซื่อหลางส่ายหน้า หยางเยี่ยพูดเรียบๆ ตามที่คิด

         "ข้าคิดว่า นี่เป็นแผนการบีบข้าให้จนมุม ด้านหนึ่งให้ราชสำนักไม่ไว้ใจ สงสัยในตัวข้า อีกด้าน ก็เหลือทางออกให้แก่ข้าไว้ เผื่อฮ่องเต้ตัดสินว่ามีความผิด ข้าจะได้หนีไปอยู่ด้วย"

         หยางซื่อหลางส่ายหน้าอีกครั้ง

         "เรื่องความซื่อสัตย์ของท่าน มิมีผู้ใดคลางแคลงสงสัย พวกโจรน่าจะไม่เสียเวลา ทำเรื่องอย่างนั้น ข้าว่า การซื้อใจท่านเป็นแค่กลลวง เพื่อให้ฮ่องเต้เอาผิดเท่านั้นเอง เป้าหมายแท้จริงของพวกมัน น่าจะเป็นการท้าทาย และทำลายขวัญกำลังใจทหารมากกว่า การวางยาในค่าย เท่ากับบั่นทอนศักดิ์ศรี และความเชื่อมั่นของทหาร ภายใต้การนำของแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของต้าซ่ง กับเกิดเรื่องเช่นนี้ พวกเขาต้องขวัญผวา และสั่นคลอนแน่ๆ อีกทั้งเป็นการประกาศศักดาว่า กองทหารที่สามในสายตาของพวกโจร ไม่มีความหมายจะต่อกรอีกต่อไป จะปราบเมื่อไหร่ ก็เห็นจะได้เมื่อนั้น เพราะกองทหารที่สามได้แพ้ราบคาบไปแล้ว ตั้งแต่ถูกวางยาเมื่อคืน เรียกว่า ถ้ารบกัน ก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว ต่อไปก็คือสงครามประสาท ที่พวกมันจะนำมาเล่นกับเรา เราแพ้มันก้าวหนึ่ง กลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งเกียรติ และกำลังใจถูกลดทอน"

         คำกล่าวฉาดฉานนั้น ตรงใจแม่ทัพใหญ่จนสะอึก แต่หยางอู่หลางร้องอย่างเคืองขุ่น มิยินยอม

         "พี่สี่่ ทหารของเราไม่ได้อ่อนด้อยขนาดนั้นนะ นี่มันเล่นลอบกัด"

         "น้องห้า การศึกไม่ได้มีแต่เผชิญหน้า จับอาวุธรบพุ่งกันตรงๆ ทั้งลอบกัด ลอบแทงลับหลัง ฉวยโอกาส ทุกยุทธวิธีต้องงัดออกมาใช้ เราต้องรับมือทุกด้าน สู้ภัยทุกอย่าง จะมาบอกว่า พวกเขาลอบกัด ใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีใครสนหรอก ในเมื่อ ผลลัพธิ์มีแต่แพ้ชนะเท่านั้น เจ้าอยู่เมืองหลวง แต่ควรนำความรู้สึกระวังภัยที่ชายแดนมาใช้ เพราะสถานการณ์ของที่นี่ ยามนี้ ไม่ได้แตกต่างจากชายแดนแล้ว"

         พี่ชายตักเตือนน้องอย่างอ่อนโยน ขุนพลห้าผู้เพิ่งออกสนาม ยังมิเจนจัดทั้งยุทธวิธี และการรบ ได้แต่ร้องละอายในใจ ก้มหน้า ถอนหายใจ

         "เฮ้อ ข้านี่ใช้ไม่ได้เลย เป็นถึงนักรบชายแดน เรื่องแค่นี้มิรู้ ต้องให้พี่สี่มาสั่งสอน"

         "ถ้าพวกมันคิดอย่างนั้น ข้าก็คงต้อง สำแดงอานุภาพของกองทัพซ่งให้เป็นที่ประจักษ์บ้างแล้ว!"

         แม่ทัพใหญ่ประกาศกร้าวอย่างฮึกหาญ ทำให้สองพี่น้องหันมาสบตากันอย่างฮึกเหิมไปด้วย

         "เอี๋ยนถง ฟังคำสั่ง"

         "ครับ ท่านแม่ทัพ"

         "เรียกประชุมเหล่าขุนพลทุกค่าย ข้าจะเคลื่อนทัพปราบโจรกู้ชาติ ภายในสามวันนี้"

         "ขอรับ ข้าน้อยรับบัญชา"

         หยางอู่หลางเดินออกจากกระโจม ไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างองอาจ หยางซื่อหลางยิ้มอย่างชื่นชม เลื่อมใส และดีใจ ที่บิดาเดินหน้า เพื่อรุกกับโจรกลุ่มนี้ ตามปรารถนาของเขาเสียที
     

     
         ผานจื่อเอียนนั่งซึมอยู่ในห้อง เป็นวันที่สามติดต่อกันแล้ว นับจากออกจากค่าย นางก็มีท่าทีเซื่องซึม เหงาหงอย ไม่สดใสร่าเริง และไม่อยากคุยกับใคร ทำให้บิดา และพี่ชายต่างสงสัยในอาการที่เปลี่ยนไปของนาง

         "น้องพี่ จื่อเอียน..."

         เช่นวันนี้ ผานเจิ้งเข้ามาเอาอกเอาใจ อย่างเป็นห่วงตามเดิม แต่นางนั่งซึมเหม่อลอย พี่ชายเข้ามา ยังมิรู้ตัว กระทั่งถูกจับแขน จึงสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์

         "อ๊ะ พี่ใหญ่"

         "เจ้าเป็นอะไรไป เหม่อลอยอีกแล้วนะ คิดอะไรอยู่เหรอ"

         "เปล่า ไม่มีอะไรหรอก"

         นางทำหน้าเศร้าอีกแล้ว ผานเจิ้งถอนใจอย่างอึดอัด นั่งลงตรงข้าม มองดวงหน้างามอย่างสำรวจ

         "น้องพี่ ถามจริงๆ นะ เจ้ามีความในใจรึเปล่า ปกติเจ้าชอบออกจากบ้านแต่เช้าทุกวัน บางคืนก็ไม่กลับ แต่ช่วงนี้เจ้าไม่ทำเช่นนั้น กลับเอาแต่หมกตัว นั่งซึมอยู่ในห้อง ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรกันแน่"

         "พี่ ข้าไม่เป็นไร โปรดอย่าซักไซ้เลย"

         นางตอบเบื่อๆ แต่คนที่รักน้องสาวเท่าชีวิตอย่างเขา มีหรือจะยอมปล่อยง่ายๆ

         "ใครรังแกเจ้า"

         "ไม่มีหรอก"

         "แต่เจ้าเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมนี่"

         "ข้าก็บอกแล้ว ว่าไม่เป็นไร ขอข้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม"

         นางตัดบทอย่างเซื่องซึม แกมหงุดหงิด ผานเจิ้งจึงไม่กล้ากวนใจอีก

         "ได้ ได้ เจ้าอย่าโกรธนะ เดี๋ยวพี่จะเข้าไปตลาด หากระต่ายน่ารักๆ มาให้เจ้าเล่นก็แล้วกัน เจ้าชอบกระต่ายนี่ เจ้าตัวเก่าก็ดันหายไป เจ้าอาจจะเหงา ข้าจะไปหามาให้เป็นเพื่อนเจ้านะ"

         ผานจื่อเอียนมองหน้าพี่ชาย อย่างซาบซึ้ง และตื้นตันใจ นางไม่อยากทำให้เขาเป็นห่วง และไม่สบายใจเลย แต่ปัญหาของนางนั้น...มิอาจจะปรับทุกข์กับใครได้จริงๆ
     

     
         ที่ค่ายทหารชาวบ้าน บนป้อมยาม หยางซื่อหลางผู้กระฉับกระเฉง และมุ่งมั่นแข็งขันกับการฝึกปรือทหาร กลับยืนกอดอก เหงาหงอย มองเหล่าทหารด้านหลังซ้อมเพลงหมัดทลายภูผากันอย่างเข้มแข็ง พร้อมเพรียง ด้วยแววตาซึมๆ และเหม่อลอย จิ้งจง ทหารเอก ยืนคุมการฝึกอยู่ แอบมองท่าทีของนายน้อยเป็นระยะๆ อย่างแปลกใจ เดาว่าคงกลัดกลุ้มเรื่องโจรกู้ชาติ หาคาดถึงไม่ ว่าในใจเขายามนี้ เต็มไปด้วยภาพของหนุ่มน้อยหน้ามน จุนย่งฉี

         "ย่งฉี เจ้าไม่กลับมาแล้วจริงๆ..."

         การไม่เห็นเงาของนาง ไฉนจึงสร้างความอ้างว้าง และทรมานใจถึงเพียงนี้ ใคร่ครวญ ขบคิดมาหลายวัน ในที่สุด มิอาจทานทนกับความรู้สึกเรียกร้อง เขามาหยุดยืนอยู่หน้าจวนเสนาบดี ผานเหรินเปียน ด้วยหัวใจที่นำทาง

         "หยางซื่อหลาง!"

         ผานเจิ้งจะออกไปหาซื้อกระต่าย มาคลายความเหงาของน้องสาว เห็นคู่อริยืนซึมอยู่หน้าบ้าน ถึงกับร้องอย่างไม่พอใจ 

         "นี่ กลับผิดบ้านรึไง มายืนทำบ้าอะไรที่บ้านข้า ที่นี่ถิ่นสกุลผานนะ กล้ามาหาเรื่องถึงจวนเหรอ"

         "ข้าแค่อยากพบใครคนหนึ่ง"

         เขาตอบซึมๆ

         "ใครกัน"

         "จุนย่งฉี"

         จอมอันธพาลงงงันวูบ ก่อนหัวเราะขำกลิ้ง

         "ฮ่ะ ฮ่ะ ที่จวนข้ามีบ่าวไพร่สามร้อยกว่าคน ข้าก็จำไม่หมดซะด้วยว่าใครชื่ออะไรบ้าง แล้วก็ขี้เกียจจะเรียกมาให้เจ้าดู ไสหัวกลับไปซะไป"

         "อย่างนั้น...ข้าขอพบอีกคนก็ได้"

         เขายังบอกซึมๆ ไม่สนใจท่าทางของคุณชายผาน

         "ใครอีก"

         "คุณหนูเสนาบดีใหญ่ ผานจื่อเอียน!"

         ผานเจิ้งตะลึงวูบ ร้องลั่นอย่างเดือดดาล

         "เฮ้ย เจ้ากล้าดียังไง มาบ้านข้าแล้วยังกล้าถามหาจื่อเอียน น้องสาวข้าอีก หรือว่าเจ้าไปทำอะไรนาง หรือว่าเจ้าเป็นตัวการทำให้นางเปลี่ยนไป"

         หยางซื่อหลางหายซึม เบิกตาโต ร้องอย่างตกใจ

         "เปลี่ยนไป นางเป็นอะไรเหรอ"

         "หยุดเลย เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดถึงน้องข้านะ ไม่ต้องมารู้หรือไต่ถามอะไรทั้งนั้น นางกับเจ้าไม่เกี่ยวข้องกัน ไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะสั่งลูกน้องมาจัดการเจ้า"

         นายน้อยสี่อึ้ง ยืนนิ่งงันด้วยหัวใจที่ถูกบีบรัด รู้ว่าไม่มีทางพบหน้า จึงยอมเดินจากไปอย่างเซื่องซึม นายน้อยผานมองจนลับสายตา แล้วขมวดคิ้ว

         "เจ้าหยางซื่อหลาง มันรู้จักจื่อเอียนด้วยเหรอ เรื่องนี้ ชักยังไงๆ ซะแล้ว!"
     

     
         "น้องพี่ พี่เอากระต่ายมาให้เจ้าแล้ว ชอบไหม ดูสิ ตัวข๊าวขาว อ้วนปุก น่ารักจริงๆ เลย"

         ผานเจิ้งอุ้มกระต่ายน้อยมาเอาใจน้องสาวจนได้ นางยังนั่งซึมอยู่ท่าเดิม อันมาตาแดงๆ

         "เอ้านี่ ข้าอุตส่าห์ไปตามจับในป่าเลยนะ ต้องนานแน่ะกว่าจะจับได้ เพราะข้ารู้ว่าเจ้าชอบ เจ้าต้องเลี้ยงมันดีๆ นะ ดูสิ มันน่าเอ็นดู๊ น่าเอ็นดู"

         เขาจับหูกระต่ายน้อยสีขาวตัวอ้วน มาวางบนตักนาง หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ลูบตัวมันอย่างชื่นชอบ และพอใจ

         "พี่ มันน่ารักจริงๆ ขอบใจพี่เหลือเกิน"

         "ดีแล้ว เจ้ายิ้มออกก็ดีแล้ว เล่นเจ้าตัวนี้ไปนะ เออนี่ น้องพี่ เมื่อเช้า เจ้าคนแซ่หยาง มันมาถามหาเจ้าด้วย เจ้ารู้จักกับมันเหรอ"

         ผานจื่อเอียนกำลังลูบตัวกระต่ายน้อยเพลินๆ ชะงัก หันมาถามย้ำอย่างฟังไม่ถนัด

         "หา พี่ว่าใครมาหาข้านะ"

         "ก็เจ้าคนที่สี่ หยางซื่อหลางน่ะสิ มันมาถามหาเจ้า"

         นางตะลึงวูบ หัวใจหยุดเต้น

         "เขา...เขามา...ถามหาข้า!"

         "ใช่ ตอนแรกมันถามหาคนชื่อ เอ่อ อะไรนะ จุน...จุนอะไรไม่รู้ล่ะ ข้าบอกว่าไม่มี มันก็ถามหาผานจื่อเอียนต่อ ข้าเลยเกือบจะชกหน้ามันไปแน่ะ"

         "หา ถามหา...ผานจื่อเอียน!"

         แตกตื่นงงงันเข้าไปใหญ่ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่เขาจะมาตามหานางที่นี่ แถมยังระบุชื่อนางได้อย่างถูกต้อง

         "ช่างเถอะ เจ้าอย่าไปสนใจมันเลย คนตระกูลหยาง น่ารังเกียจทุกตัวนั่นแหละ ว่าแต่...เจ้าไปรู้จักกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ"

         สมองนางมิได้ยินเสียงของพี่ชาย หัวใจเต้นแรง คิดอย่างสับสน

         "จื่อเอียน จื่อเอียน..."

         นางกำลังปั่นป่วน จิตใจวุ่นวาย จึงยกกระต่ายให้พี่ชาย แล้วผลักหลังดุนเขาออกไป

         "ข้า...ข้าเปล่า คือ...พี่ข้าง่วงแล้ว พี่ออกไปเถอะ ข้าอยากนอน"

         "อ้าว แต่...แต่ว่า..."

         "ออกไปเถอะพี่ ข้าอยากนอนจริงๆ"

         นางพาพี่ชายออกนอกห้องได้แล้ว ปิดประตูมิดชิด เอนหลังพิง พึมพำอย่างเสียใจ และปวดร้าว

         "ซื่อหลาง ท่านรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร ท่านมาหาข้า เพราะอยากคิดบัญชีกับข้าใช่ไหม"
     

     
         เมื่อหัวใจเรียกร้อง อารมณ์ปรารถนา มิอาจอยู่เป็นสุขได้ หากไม่จัดการเรื่องความรู้สึกให้คลี่คลายสมหวัง หยางซื่อหลางยอมรับว่า เขามิมีแก่ใจไปช่วยบิดาจัดการโจรกู้ชาติจริงๆ เมื่อเป็นดังนั้น จึงสวมวิญญานใจกล้า แต่งชุดดำปิดหน้า ลอบบุกเข้าจวนเสนาบดีใหญ่เป็นครั้งแรก

         "คนร้าย จับเร็ว มีคนร้าย...!"

         มิอาจรอดพ้นสายตาของเหล่าองครักษ์ ที่อารักขาจวนเป็นฝูง มีมากยิ่งกว่าจวนเทียนปอสองเท่า คุณชายหยางกระโดดหลบเข้าทางหน้าต่างห้องๆ หนึ่ง อย่างหวังเอาตัวรอดเฉพาะหน้า คล้ายสวรรค์เป็นใจ ให้ห้องๆ นั้น เป็นของคุณหนู ธิดาเสนาบดี คนที่เขามาตามหาตัว

         "อ๊ะ เจ้า...!"

         นางกำลังปลดผ้า เพื่อจะเข้านอน หันมาร้องอุทาน จ้วงหมัดทลายภูผาขั้นที่สามเข้าใส่ทันที เขาเบนหลบ หมัดนางจึงวืด เขาพลิกตัววูบเดียว มาอยู่ด้านหลังนาง มือข้างหนึ่งโอบกระชับรอบเอว อีกข้างอุดปาก ผานจื่อเอียนตะลึง ตาโต เมื่อเขาปล่อยมือจากเอว ล้วงสิ่งหนึ่งออกจากอกเสื้อ แล้วชูให้นางเห็น มันเป็นมีดสั้นคุ้นตา ที่สลักคำว่า "หยาง" ไว้ตรงปลายด้าม

         "พรุ่งนี้ไปพบข้าที่ค่าย เราต้องคุยกัน!"

         เสียงกระซิบริมหู เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ยินดี และร้อนใจ พูดจบก็ยัดมีดสั้นของเขาลงในมือนาง แล้วผละห่าง กระโดดกลับออกทางหน้าต่าง คุณหนูสกุลผานหัวใจเต้นแรง ยืนจับหน้าอกด้วยความตกใจ ไม่คาดฝัน 

         "คุณหนู คุณหนู เป็นอะไรรึเปล่าครับ ปลอดภัยไหม"

         พวกลูกน้องเคาะประตู ถาม เพราะเห็นคนร้ายวิ่งมาทางนี้ นางได้แต่ยืนอึ้งอย่างใจสั่น มองมีดสั้นในมืออย่างใจหาย

         "..."
     

     
         รุ่งเช้าวันต่อมา ด้านนอกฝึกทหารตามปกติ หยางซื่อหลางนั่งนิ่งอยู่ในห้อง แต่หัวใจมิได้นิ่งตาม มันกระวนกระวาย ร้อนใจจนไม่เป็นอันทำการใด ทหารเอกเดินเข้ามา

         "คุณชาย ย่งฉีไม่กลับค่ายมาห้าวันแล้ว สงสัยว่าจะหนีทหาร"

         นายน้อยสี่เหลือบตามอง แล้วถอนใจ

         "เขาไม่ได้หนีหรอก แค่มีเหตุจำเป็น ทำให้มาไม่ได้"

         "แต่ข้าว่า จุนย่งฉีคนนี้ ทำตัวลึกลับมีพิรุธ ให้ข้าไปสืบดู ที่จวนเสนาผานไหมครับ"

         "ไม่ต้องไปหรอก ข้ามาแล้ว!"

         เสียงประกาศกร้าว พร้อมกับบุรุษหน้ามน ในชุดทหารเดิม เดินเข้ามานิ่งๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยออกเย็นชา นายน้อยสี่ทะลึ่งพรวดขึ้นยืนอย่างดีใจยิ่งนัก หากนางไม่ยิ้ม มองเขาด้วยดวงตาแข็ง และเหินห่าง

         "จุนย่งฉี เจ้าหายไปไหนมา จะหนีทหารรึไง"

         ทหารเอกหันมาเค้นถาม 

         "ข้าก็มาแล้วไง"

         นางกลับตอบเสียงเย็นชา กระด้างผิดหู

         "แล้วเจ้า..."

         "จิ้งจง ข้าสอบสวนเขาเอง เจ้าไปฝึกต่อเถอะ"

         หยางซื่อหลางตัดรำคาญ ทหารเอกรับคำ แล้วเดินออกไป เขาจ้องนางนิ่ง ยิ้มอย่างชื่นใจ เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ยินดีที่ได้เห็นหน้า ถลันเข้ามาหา พร้อมเรียกอย่างอ่อนหวาน

         "ย่งฉี..."  

         นางค่อยๆ ยกแขนขึ้นช้าๆ สีหน้าสงบราบเรียบ หยางซื่อหลางชะงัก เพราะในมือข้างนั้นของนาง มีมีดสั้นของเขา ที่ถูกถอดด้าม และจ่อปลายแหลมเข้าหา

         "ย่งฉี...!"

         "วันนี้ ข้าจะควักลูกตาของท่าน!!"

         นางร้องเสียงกร้าว เขาจ้องหน้านางนิ่ง ไม่สะท้านสะเทือน หรือหวาดหวั่น กลับตอบขรึมๆ

         "ไม่พอหรอก นอกจากควักตาแล้ว ยังต้องตัดมือ เสียบอก ลอกหนัง และควักหัวใจของข้าด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนสัมผัสถูกตัวเจ้าหมดแล้ว!"

         "ท่าน...!!"

         นางร้องก้องอย่างอับอาย หน้าแดงก่ำ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เสือกแทงมีดสั้นเข้าหา ตวัดใส่คอหอย มิคาด เขาไม่หลบหลีก ถอยหลัง กลับหลับตา เชิดคอให้นางลงมือ ปลายมีดจึงเฉือนเข้าเนื้อเล็กน้อย มีหยดเลือดรินไหล หากไม่เพราะนางยั้งมือไว้ทัน เขาคงบาดเจ็บสาหัสกว่านี้ 

         "ซื่อหลาง...!"

         ตะลึง ตาโตอย่างใจหาย มีดนั้นเฉือนเนื้อเขา หากนางรู้สึกเหมือนเฉือนหัวใจตัวเอง

         "ทำเถอะ เจ้ามาเพื่อเรียกร้อง ข้าก็พร้อมจะชดใช้ ส่วนใดที่ล่วงเกินเจ้าไป ข้าพร้อมใช้คืนความอับอายทั้งหมด เจ้าเอามันไปได้เลย"

         "ท่าน...ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ"

         "ข้าคิดว่าเจ้าควรจะต้องกล้า เพราะเจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีงาม เพราะเจ้าเป็นกุลสตรี เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่น่าให้อภัย ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เพื่อรอการลงโทษจากเจ้า ข้าโกรธตัวเอง ข้าแค้นตัวเองที่ล่วงเกินเจ้า ข้าไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีคำอธิบายใดๆ ลูกผู้ชายทำแล้วต้องกล้ารับ ข้าหยางซื่อหลางเกิดมาไม่เคยละอายใจเยี่ยงนี้ เป็นครั้งแรก...ที่ข้า...ควบคุมตัวเองไม่ได้"

         เขาบอกอย่างเศร้าเสียใจ นางถอนใจ

         "ท่านจะพูดให้ข้าอับอายก็ได้ ทำไมท่านไม่ทำ"

         "สิ่งที่เกิด มิใช่ความผิดเจ้า เจ้าเพียงยื่นมือช่วยคนที่ทุกข์ทรมาน เจ้าเพียงช่วยคนที่กำลังจะตาย เป็นข้าต่างหาก เพราะข้าไม่ดูตัวเอง ไม่ระวังตัว ทำให้เจ้าต้องมาเดือดร้อน"

         "ท่านรู้สึกผิด หรือว่า ละอายใจกันแน่"

         "ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้า เจ้าต้องมาเสียสละเกียรติเพื่อข้า ข้าไม่มีสิ่งใดจะชดเชยให้เจ้าได้ ก็มีแต่ชีวิตนี้เท่านั้น"

         "แค่ชีวิตเจ้า...แลกกับสิ่งที่ข้าสูญเสียไป มันจะพอหรือ"

         "ไม่พอหรอก แต่ข้า...ไม่มีอะไรให้เจ้าแล้วจริงๆ ยกเว้นเจ้าจะบอกกับข้าว่า อยากให้ข้าชดใช้อย่างไร ข้าก็ยินดี"

         ผานจื่อเอียนมองเขา แล้วนิ่งอึ้ง ถอนมีดสั้นออกมา พูดซึมๆ

         "ไม่จำเป็น ข้าเป็นคนแยกแยะดีชั่ว เรื่องที่เกิด เพราะความยินยอมของข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านไม่ต้องชดใช้สิ่งใด ไม่จำเป็นเลย"

         นางเดินไปปักมีดสั้นลงบนโต๊ะของเขา เป็นการคืนเจ้าของ แล้วเดินจากไปง่ายๆ หยางซื่อหลางเรียกรั้งไว้

         "ย่งฉี..."

         นางชะงัก แต่ไม่หันมา เขาพูดน้ำเสียงอ้อนวอน

         "คืนนี้ ยามสาม ที่ศาลาผิงอัน ข้าอยากพบเจ้า"

         นางนิ่งไปครู่ ก่อนตอบเรียบๆ และชัดเจน

         "ข้าจะไม่พบท่านอีก!"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×