คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 4
[เลิกเรียนแล้วมารอฉันที่ตึก]
เสียงแจ้งเตือนแอพลิเคชันสื่อสารดังขึ้นพร้อมกับจังหวะหมดเวลาคาบเรียนสุดท้าย ประโยคสั้นๆ กับชื่อคนส่ง ‘คัตจัง’ ทำให้เจ้าของมือถือทำหน้าประหลาดใจนิดหน่อย ที่ด่าเขาตั้งแต่เช้าว่าต้องมาคอยวุ่นวายว่าจะเป็นลมไปตอนไหนไม่รู้ ที่จริงแล้วเจ้าตัวตั้งใจจะรั้งเขาไว้เพื่อไม่ให้ไปหน้ามืดใส่คนอื่นอีก
คนๆ นี้แทบจะไม่เคยส่งข้อความหาเลยด้วยซ้ำ…
คัตสึกิดูแลเขาเต็มที่ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างสองตระกูล ถึงจะรู้แบบนั้นก็อดรู้สึกทำตัวไม่ถูกไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มีแต่เขาที่วิ่งตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายตลอดมา แต่อีกเหตุผลก็เป็นเพราะพลังแวมไพร์นี่มันเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเหมือนกัน
รอยเขี้ยวบนแขนถูกปิดทับด้วยพลาสเตอร์เล็กๆ กับการตอบคำถามคนรอบตัวว่าแมวที่บ้านกระโดดกัด ทำให้ความลับเรื่องชาติกำเนิดของเขายังคงอยู่ต่อไป ต้องขอบคุณเจ้าของผมสองสีที่เลือกจะไม่พูดอะไรออกไป ไม่รู้ว่ากลัวหรือเพราะเหตุผลอะไรกันแน่
อิซุคุไม่รู้หรอกว่าพลังของเขามันจะมีอำนาจในแง่อื่นอีกหรือเปล่า แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนทำเอาเข้าหน้าโทโดโรกิไม่ถูกไปอีกคน แม้อีกฝ่ายจะพยายามเข้ามาพูดคุยด้วยเหมือนปกติ แต่วันนี้เขาก็ตั้งใจขอปลีกตัวออกมาโดยใช้คัตจังเป็นข้ออ้าง
และตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าตึกที่ว่าของหมาป่าหนุ่มคนนั้นมันคือที่ไหนกันแน่…
แม้ตึกเรียนของคนทั้งคู่จะไม่ได้อยู่ห่างกันมาก แต่เสียงชุลมุนก็ดังเข้ามาดึงความสนใจไปเสียก่อน โปสเตอร์ขนาดใหญ่ยักษ์โรยตัวลงมาจากหอสมุดกลางที่มีกลุ่มคนยืนมุงอยู่ด้านหน้า มันคือรูปของชายคนหนึ่งที่อิซุคุคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นดาราดังที่ศึกษาอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน
ก่อนเสียงกรี๊ดของหญิงสาวจะทำให้ปลายเท้าที่ตั้งใจจะตรงไปยังตึกอีกฝั่งต้องเปลี่ยนจุดหมายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่กรีดร้องเพราะตกใจแต่เป็นเพราะคลั่งไคล้อย่างมากต่างหาก
ใครคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเซ็งแซ่ เขาเป็นชายตัวสูงชะลูดเจ้าของผมสั้นสีดำ สวมหน้ากากอนามัยและเครื่องแต่งกายสีมืดครึ้มทั้งตัวราวกับไม่ใช่มนุษย์
สายลมปริศนาที่พัดเข้ามาสัมผัสผิวกายทำให้อิซุคุขนลุกซู่อย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อภาพตรงหน้ากลับปรากฏปีกทั้งสองข้างที่แผ่สยายอยู่กลางแผ่นหลังของชายผู้นั้น ไม่ใช่ปีกสีขาวเหมือนเทวทูตที่เคยเห็นในละคร แต่ขนเหล่านั้นกลับเป็นสีดำขลับ ทั้งยังหลุดฟุ้งออกไปทั่วพื้นที่ แต่ไม่มีวี่แววว่าผู้คนรอบตัวจะตอบสนองการกระทำแปลกประหลาดแบบนั้น
ตอนนั้นที่อิซุคุได้รู้ตัวว่า ไม่มีใครสังเกตเห็นปีกคู่นั้นนอกจากเขา…
เจ้าของใบหน้าที่แม้จะบดบังไปด้วยหน้ากากกว่าครึ่งก็ยังดูออกว่าคมคาย ดวงตาคู่คมเลื่อนเข้ามาจับจ้องยังใบหน้าของอิซุคุได้ตรงจังหวะพอดีราวกับตั้งใจ ม่านตาสีทองมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้หลงใหลได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจหรือไม่ แต่เขาก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว ตากลมโตรีบเบนสายตาหลบ ก่อนเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง ตัวอักษรบนป้ายไวนิลสลักชื่อของอีกฝ่ายไว้เด่นหราจนจำได้ขึ้นใจ
แม้แต่ จิซากิ ไค ผู้นี้ก็เป็นอมนุษย์ด้วยเหมือนกัน… ทางที่ดีไม่ต้องไปยุ่งด้วยจะดีที่สุด
การแสดงตัวว่าเป็นมนุษย์คือสิ่งที่ถนัดที่สุดสำหรับเขา เพราะไม่มีใครคิดหรอกว่าผู้ชายผอมแห้งหน้าซีดแบบนี้จะเป็นถึงแวมไพร์สายเลือดแท้ที่มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาช้านาน
อีกไม่ไกลก็จะถึงตึกเรียนของคัตจังอยู่แล้ว… เพิ่งรู้สึกว่ามันอยู่ไกลขนาดนี้ครั้งแรกก็วันนี้ ใครมันจะไปคิดว่าการตื่นของพลังจะทำให้เขามองเห็นร่างที่แท้จริงของสิ่งที่ไม่ใช่คนได้ในชั่วข้ามคืนขนาดนี้
ปลายเท้าทั้งคู่ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งเดินอยู่เบื้องหน้า เขาเบี่ยงหลบชายที่เดินดุ่มๆ เข้ามา เหมือนจะรีบเดินไปไหนไม่รู้ แต่ก็ไม่ใช่กงการอะไรที่จะต้องไปมีเรื่องด้วย
แต่สิ่งที่คิดไว้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ยามที่เบี่ยงตัวไปด้านซ้าย อีกฝ่ายก็เดินสวนกลับมาตาม แม้แต่เบี่ยงตัวไปอีกข้างก็ยังต้องสะดุดกับร่างสูงกว่าที่อยู่ตรงหน้า มันอาจเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นได้ แต่ในครั้งนี้อิซุคุไม่คิดเช่นนั้น ดวงตากลมโตเลื่อนขึ้นไปมองใบหน้าของคนตรงหน้า งุนงงปนกับหวาดระแวงกับเหตุการณ์ที่กำลังประสบอยู่เล็กน้อย
ถ้าไม่นักเลงรีดไถก็เป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ อิซุคุเทไปอย่างหลังมากกว่าเมื่อได้เห็นรายละเอียดต่างๆ ชัดเจนขึ้น
เขาเป็นชายตัวสูงเจ้าของใบหน้าซีดเซียว ใบหน้าไร้ชีวิตชีวาดูไม่ได้สนใจจะดูแลตัวเองเท่าไรนัก ริมฝีปากของเจ้าตัวแห้งผากและมีรอยแผลเป็นเด่นชัด สิ่งที่โดดเด่นคงเป็นผมกระเซอะกระเซิงสีขาวที่ปล่อยให้ยาวลงมาปรกไหล่โดยไม่ใส่ใจจะจัดทรง
ชายตรงหน้าเริ่มระบายยิ้มกว้าง จนดวงตาสีแดงเล็กหยีไปด้วย มันดูน่ากลัวมากกว่าเป็นมิตรสำหรับคนมอง จนกระทั่งวงแขนหนักๆ ของอีกฝ่ายวางพาดลงมาบนไหล่ของเขาโดยไม่ได้ขออนุญาต
“ไม่คิดว่าจะหาตัวง่ายกว่าที่คิด… อิซุคุคุง” ศีรษะที่สูงกว่าโน้มลงมาพูดข้างหูด้วยเสียงที่เบาจนเกือบเป็นการกระซิบ เสียงแหบพร่าเหมือนคนขาดน้ำทำให้อดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้
“ฉันชื่อชิการาคิ หลังจากนี้เราคงจะได้เจอกันบ่อยแน่ล่ะ”
แวมไพร์ตัวน้อยหน้าซีด หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ทั้งร่างรู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกไปแรงๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรถึงเข้ามาประชิดตัวในสถานที่ที่มีคนอยู่เต็มไปหมด อิซุคุไม่เคยโดนคนโจมตีด้วยวิธีแบบนี้มาก่อน อย่างเพื่อนหมาป่าของเขาอย่างมากก็แค่ตะโกนเสียงดังและยื่นกรงเล็บแหลมๆ มาใส่หน้าเท่านั้น
และยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร…
รู้สึกได้ถึงนิ้วเรียวยาวที่เข้าครอบครองลำคอของตน ไม่ได้ออกแรงบีบแต่ปลายนิ้วกำลังสะกิดที่ผิวหนังเบาๆ ราวกับต้องการหยอกล้อ ชายหนุ่มกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าต้องรับมือกับการกระทำนี้อย่างไร จนกระทั่งเสียงแหบพร่าของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นี่ นายน่ะ…”
…..
“เป็นแวมไพร์จริงๆ สินะ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง คิดจะผลักรีบร่างสูงออกไปให้ห่าง แต่คอเสื้อก็ถูกกระชากออกมาโดยใครอีกคนจนทั้งร่างลอยเคว้งออกไปชนกับแผ่นอกปริศนาเสียก่อน
“ทำอะไรของแกวะไอ้หัวหงอก”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าใครคือเจ้าของแรงผิดมนุษย์นี้ แม้จะเสียงดังแต่น้ำเสียงกลับเรียบนิ่งและเคลือบไปด้วยอารมณ์โกรธ ถึงจะมองไม่เห็นสีหน้าของเจ้าตัว แต่เขาจะต้องกำลังจ้องเขม็งไปที่ชายคนนั้นเป็นแน่
อิซุคุผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารีบโกยอากาศที่หายไปเข้าปอดจนเหมือนคนหอบเหนื่อย เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองปลอดภัยแล้วหลังกลับมาอยู่กับคัตสึกิ
เจ้าของชื่อชิการาคิทำท่ายกมือย้อมแพ้พร้อมระบายยิ้มน่าขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีแดงของเจ้าตัวยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคนผมเขียวไม่วางสายตา
“ฉันแค่แวะมาทักทายคนรู้จักเท่านั้น อย่าทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้นสิ” เห็นสีหน้าไม่เป็นมิตร และใบหน้าถอดสีเหมือนกระดาษขาวของคนตัวเล็กแล้วก็อดหัวเราะในลำคอไม่ได้ นี่จะเป็นแค่การทักทายอย่างที่เขาเอ่ยเท่านั้นจริงๆ และครั้งหน้าที่เจอกันคงจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย
คนรอบตัวที่เดินผ่านไปมาเริ่มให้ความสนใจเหตุการณ์แปลกๆ ตรงหน้า ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกชื่อบาคุโกแว่วมาแต่ไกล ก่อนร่างของคนที่ไม่คุ้นหน้าอีกสองสามคนจะเดินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ดูจากปฏิกิริยาตอบรับของคนผมสีน้ำตาลซีดแล้ว อิซุคุคิดว่าคงจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมสาขาของคัตจัง
สบโอกาสให้ตัวต้นเหตุรีบโบกมือลาและเดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม ไม่มีเวลาให้ใครได้รั้งชายคนนั้นเอาไว้…
“ไอ้หมอนั่น…!”
คัตสึกิจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก้มลงมองใบหน้าของเพื่อนตัวเล็กด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาสีเขียวแทนราวกับกำลังคาดโทษ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เดกุ”
ในเวลานี้คัตจังก็ไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าผู้ชายคนที่เพิ่งเดินหนีไปเลยซักนิด เหมือนหมาป่าที่พร้อมกระโดดงับให้ตายคาที่ทุกเมื่อหากได้รับคำตอบไม่ถูกใจ กรอบหน้าหวานชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขากวาดสายตาม
องบรรยากาศรอบตัวที่สายตาทุกคู่ต่างก็พุ่งตรงมาทางนี้ด้วยคำถามในใจ
ดวงตากลมโตเลื่อนกลับมามองเข้าไปในดวงตาของเพื่อนสมัยเด็กบ้างอย่างลี่ยงไม่ได้ แม้ไม่ต้องพูดอะไรแต่ก็สามารถสื่อความหมายที่คนทั้งคู่เข้าใจตรงกันได้โดยอัตโนมัติ
ที่นี่คนเยอะเกินไป รวมถึงมีเพื่อนของคัตจังอยู่ด้วย… เปิดปากพูดไปไม่ได้เด็ดขาด
สุดท้ายก็ต้องเลื่อนมือมาขยี้ผมของคนตัวเล็กกว่าให้ยุ่งกว่าเดิมเพราะหาทางลงกับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ หมาป่าหนุ่มโวยวายออกมาเสียงดังอย่างขัดใจ ก่อนจะเอ่ยปากยกเลิกนัดหมายกับกลุ่มเพื่อนและดึงตัวอิซุคุแยกออกมาทั้งแบบนั้น
สังหรณ์ใจไว้ตั้งแต่แรกว่าหากพลังแวมไพร์ตื่นขึ้นมา จะต้องไปดึงดูดเรื่องแปลกๆ เข้ามาไม่ผิดแน่
ไม่คิดว่าความคิดนั้นจะเป็นจริง ซ้ำยังอันตรายกว่าที่คาด…
เรื่องนี้ทั้งคัตสึกิและอิซุคุได้รู้ซึ้งแล้วตั้งแต่วันนี้
เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดสู่เพื่อนสมัยเด็กโดยไม่ปิดบัง ฝ่ายนั้นพอรู้เรื่องทั้งหมดก็โวยวายเสียงดังใส่อย่างที่คาด จะให้ทำอย่างไรได้ เขาไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแปลกๆ แบบนี้เสียหน่อย
แต่ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเตือนไว้บ้างก็คงไม่เสียหาย คัตจังจะสงสัยทุกคนที่เข้าหาอิซุคุว่าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป…
ด้วยคาบเรียนที่ต่างกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวจะมาคอยปกป้องเขาได้ตลอดเวลา ต่อให้ก่อนหน้านี้ยังไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำตัวสบายใจได้
จังหวะนั้นภาพที่แทรกเข้ามาแทนที่ความว่างเปล่าที่แวมไพร์ตัวน้อยมองเข้าไปอย่างไร้จุดหมายก็เป็นตัวดึงสติให้กลับมา ใบหน้าเรียบสนิทกับท่าทางที่ไม่สามารถอ่านการกระทำได้ ทำเอาคนมองสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ท…โทโดโรกิคุง!” กายผอมบางเด้งขึ้นยืนยังไม่ทันเต็มความสูง แต่ก็โดนเจ้าของชื่อกดไหล่กลับลงมานั่งเก้าอี้ตามเดิมเสียก่อน
“…ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ว่าพลางนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน ใช้ดวงตาสองสีจ้องเข้ามาในม่านตาสีเขียวจนอิซุคุต้องรีบเบี่ยงหน้าหลบอย่างทำอะไรไม่ถูก
แม้แต่คนๆ นี้ก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วยหรือเปล่านะ… เจ้าตัวได้ประโยชน์อะไรจากการเก็บเรื่องว่าเขาเป็นแวมไพร์เป็นความลับ
อุตส่าห์หาเรื่องหลบหน้ามาได้ตั้งหลายวัน ทั้งที่คิดว่าการแอบมานั่งคนเดียวในหอสมุดแบบนี้จะไม่มีใครหาเจอแท้ๆ สถานการณ์นี้ทำเอาชายหนุ่มหนีไปไหนไม่ได้อีก โทโดโรกิใช้เวลานั้นนั่งเงียบและจ้องใบหน้าของเขาอย่างไม่วางสายตา นานจนไม่รู้ว่าจะเอาดวงตากลมโตไปวางลงตรงไหน
“ม..มีอะไรหรือเปล่า” ยิ่งเห็นสายตาที่คาดเดาอะไรไม่ได้ยิ่งทำให้ความคิดเตลิดเปิดเปิง คนตรงหน้าจะต้องเกลียดเขาแน่ อย่างน้อยคนที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นก็ควรเป็นคนที่เขาชอบ ไม่ใช่แวมไพร์หน้าโทรมที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้สิ
เว้นเรื่องนี้ไว้แค่เรื่องเดียวที่อิซุคุบอกเพื่อนสมัยเด็กไม่หมด แหงล่ะใครมันจะไปกล้าเล่า
“เลิกหลบหน้าฉันได้หรือยัง”
“เปล่านะ… ผมไม่ได้!”
เอ๊ะ…
ความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างพลันชะงัก เมื่อความรู้สึกหนักๆ จากฝ่ามือวางลงบนกลุ่มผมนุ่มฟูของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่อิซุคุได้เห็นรอยยิ้มบางๆ จากคนตรงหน้า ความอบอุ่นจากอุณภูมิร่างกายของอีกฝ่ายถ่ายเทลงมายามที่เขาออกแรงลูบเบาๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ก่อนความรู้สึกเห่อร้อนจะตีขึ้นมาบนใบหน้า
“ฉันไม่ได้โกรธนาย แล้วก็ไม่ได้เล่าใครต่อทั้งนั้น”
ตาฝาดไปหรือเปล่า… อิซุคุคิดว่าตัวเองคงจะเครียดจนเห็นภาพหลอน
“เพราะเป็นนายฉันถึงไม่โกรธ”
ทั้งน้ำเสียง ทั้งรอยยิ้มอ่อนโยน สีหน้าของโทโดโรกิที่บอกความจริงให้เขาได้ฟังในวันนั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว ความอดทนของอิซุคุสิ้นลงตรงนี้ ใบหน้าหวานซุกลงกับฝ่ามืออย่างหมดท่า นี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไปแต่ทำไมคนตัวสูงยังคงท่าทีสุขุมได้อีก
มาเพราะเป็นนายอะไรกัน… เป็นเขาแล้วมันพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน
“นายจะไม่บอกเรื่องผมกับใครจริงๆ ใช่มั้ย” เสียงเล็กอู้อี้เพราะปลายจมูกที่ฝังลงกับฝ่ามือ เอาตามความจริงความคิดของอิซุคุก็เริ่มไม่ประมวลผลแล้ว ความลับตลอดยี่สิบปีของเขาอยู่ในกำมือของคนๆ นี้ที่กำลังทำอะไรแปลกๆ อยู่ก็ไม่รู้
“จริงสิ”
“เพราะงั้นเรื่องนี้จะเป็นความลับแค่ระหว่างเราสองคน”
ก่อนอื่นเจ้าตัวช่วยเลิกใช้คำพูดคำจาแบบนี้ซักที!
ไม่รู้เลยว่าจะเชื่อใจคนผมสองสีได้มากแค่ไหน ทั้งที่พยายามอยู่อย่างเงียบสงบ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ตัวตนของเขาถูกใครหลายคนล่วงรู้ รอบตัวก็มีแต่คนแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าเข้าหาเพราะมีเป้าหมายอะไรกันแน่
คนตัวเล็กค่อยๆ ตั้งสติ สิ่งที่แน่ใจอย่างหนึ่งคือโทโดโรกิกำลังโดนสุนัขจิ้งจอกตามรังควานอยู่ วันนั้นเจ้าตัวมองไม่เห็นลูกไฟสีฟ้าของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ จนทำให้คิดว่าคงจะเป็นมนุษย์จริงๆ ทั้งอุณหภูมิร่างกายอบอุ่นที่หาได้ยากในหมู่อมนุษย์ก็ด้วย…
ใบหน้ากลมรีบสลัดความทรงจำแปลกๆ ที่มาแทนที่ในหัว เงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าคมคายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ยังคงมีพลาสเตอร์แปะอยู่บนแขนแกร่งของอีกฝ่าย ทั้งที่บ้านทรงญี่ปุ่นหลังนั้นไม่มีแมวเหยียบย่างเข้าไปได้ซักตัวเลยด้วยซ้ำ
จนความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงทักทายจากเพื่อนสาวร่วมสาขาสองคนที่หอบหนังสือตั้งใหญ่มาวางจับจองที่นั่งข้างกัน ประเด็นสนทนาหัวข้อใหม่ถูกยกขึ้นมาทดแทน
อย่างน้อยอิซุคุจะไม่ดึงคนอื่นเข้ามาพัวพันกับโลกอีกฝั่งโดยไม่จำเป็น
ว่าแต่ทำไมทุกคนถึงตามหาตัวเขาเจอง่ายดายขนาดนี้กันล่ะ…
ทั้งที่คิดว่าจะไม่ทำให้มนุษย์ต้องมาเดือดร้อนกับการกระทำของอมนุษย์รอบตัว แต่ความคิดนั้นก็ต้องพับเก็บไปเมื่ออิซุคุเห็นชายคนหนึ่งที่ปรากฏตัวใกล้ตึกเรียนระหว่างทางกลับบ้าน
ตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายก็เลื่อนมาเห็นเขาเสียก่อน พอมาคิดทบทวนอีกครั้งมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะหลบหน้าอีกฝ่ายเพื่อปล่อยให้ไปทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดี
ไม่รู้ว่าด้วยวิธีไหน แต่อิซุคุกำลังดึงดูดสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เข้าหาตัวรายวัน แม้แต่วันนี้ก็ไม่เว้น ต่อให้เป้าหมายของอีกฝ่ายจะไม่ใช่เขาก็ตาม
ร่างสูงโปร่งเดินตรงลิ่วเข้ามาโดยไม่ต้องสื่อสารกันด้วยซ้ำ เจ้าของผมกระเซิงสีดำที่ปิดหน้าปิดตาด้วยแมสสีดำ คราวนี้คนตัวเล็กเพิ่งสังเกตเห็นรอยแผลไฟไหม้ที่ครอบครองทั้งลำคอของเจ้าตัว
“ไง ไม่คิดว่าจะเจอเพื่อนของโชโตะที่นี่นะ” บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกเย็นวาบ อิซุคุเห็นภาพซ้อนของพวงหางมาจากด้านหลังของอีกฝ่าย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าภาพนี้คงไม่มีใครเห็นนอกจากเขา
“หมอนั่นอยู่ที่ไหน”
เสียงเย็นคาดคั้น บรรยากาศน่าขนลุกที่ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้งก็อดกลัวไม่ได้ เขาเป็นแวมไพร์ที่ขี้กลัวผิดกับสายเลือดที่แข็งแกร่งในตัว เพราะเคยชินกับสภาพไร้พลังของตัวเองถึงได้รู้ตัวว่าไม่มีแรงพอจะไปงัดข้อกับปีศาจที่ไหนได้
แต่เป้าหมายของผู้ชายคนนี้คือโทโดโรกิ… เคยได้ยินมาว่าปีศาจบางตัวก็แข็งแกร่งขึ้นจากการกลืนกินมนุษย์
แต่ทำไมจะต้องเป็นเจ้าของผมสองสีคนนั้นด้วยนะ…
“ผมไม่รู้ เขากลับไปตั้งนานแล้ว”
“เหอะ… กำลังปกป้องเจ้านั่นงั้นหรอ” ไม่ว่าจะกี่ครั้งการกระทำของอิซุคุก็เรียกเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอของชายคนนี้ได้ทุกรอบ ไม่ได้รู้อะไรเลยแท้ๆ แต่ก็ยัดตัวเองเข้ามาในเรื่องของคนอื่นเสียแบบนั้น
ร่างสูงโปร่งโน้มตัวเข้าไปใกล้กับคนผมเขียวมากขึ้น ยื่นฝ่ามือไปไว้ตรงระดับสายตา ก่อนเปลวเพลิงเล็กๆ สีฟ้าจะลุกไหม้จากผิวหนังของอีกฝ่าย ไอความร้อนตีเข้าปะทะใบหน้า เป็นอีกครั้งที่อิซุคุมองเห็นรอยยิ้มชอบใจแม้เจ้าตัวจะกำลังปิดบังใบหน้าอยู่ก็ตาม
“มองเห็นไฟนี่สินะ…”
มีเพียงอมนุษย์เท่านั้นที่จะมองเห็นพลังของอมนุษย์ด้วยกันเอง
หรือต่อให้เป็นมนุษย์ ก็เป็นส่วนน้อยมากๆ ที่จะมีความสามารถแบบนี้
“หรือฉันจะกินนายแทนหมอนั่นไปเลย”
จังหวะการเต้นของหัวใจรัวเร็วขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก้อนเนื้อใต้อกบีบรัวเร็วจนเหนื่อยเมื่อดวงตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าจ้องเข้ามาเหมือนจะทำอย่างที่ปากว่าจริงๆ ใบหน้าตกกระซีดเผือด ยิ่งกระตุ้นให้เจ้าของเปลวไฟพอใจได้มากกว่าเดิม
อิซุคุกำอกเสื้อตัวเองเพื่อควบคุมความตกใจ คนๆ นี้คิดจะกินโทโดโรกิอย่างที่คิดไว้จริงๆ ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยนอกจากเรื่องมองเห็นเปลวไฟ อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
มีวิธีไหนที่สามารถขับไล่ปีศาจจิ้งจอกออกไปโดยที่เขาไม่ต้องตายบ้างไหมนะ…
สุดท้ายชายแปลกหน้าก็อดที่จะระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้ สีหน้าของคนตัวเล็กอ่านง่ายกว่าป้ายโฆษณาที่ไหนเสียอีก แม้จะยังไม่เข้าใจการกระทำที่ปกป้องคนอื่นเหมือนฮีโร่ของอีกฝ่าย แต่ก็เข้าทางกับสิ่งที่เขากำลังต้องการพอดี
ถ้าอยากจะปกป้องกันนักก็เอาเลยสิ… เป้าหมายของเขาในวันนี้ก็ไม่ใช่เจ้าเด็กหัวสองสีนั่นตั้งแต่แรกนี่นะ
การเจอกับเด็กคนนี้เหมือนเป็นกำไรที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุนทำอะไรทั้งนั้น…
“ถ้าไม่อยากให้หมอนั่นตาย นายก็มาร่วมมือกันฉันสิ”
คัตจัง = ตัวประกอบทั่นหนึ่ง
จะบอกว่าเรื่องนี้มีพระเอกจริงๆ นะคะ ถึงบทจะน้อยมากก็เถอะ55555555
เดี๋ยวน้องจะค่อยๆ มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องมากขึ้น ตอนนี้เป็นตัวประกอบไปก่อนนะ (?)
สารภาพว่าตอนแรกฟิคนี้จะแต่งเป็นออลเดกุ แต่ก็นั่นแหละ ไรเตอร์ดันเมนคัตจังซะด้วย;-;
แต่เดกุกินกับใครก็อร่อยจริงๆ ค่ะ
ทีแรกวางแผนไว้ว่าน่าจะ 8-10 ตอนจบค่ะ
แต่งไปแต่งมาชักยาวขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จะจบที่ 10 ตอนได้หรือเปล่าน่ะสิ
วางโครงเรื่องไว้หลายปมซะด้วยสิ5555555
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยน้า
เรื่องนี้ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เปิดเผยอยู่แน่นอนค่ะ
ความคิดเห็น