NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #38 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 3

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 67


     แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)




















    ความจริงว่าความต้องการเลือดของอิซุคุเริ่มกลับมาอีก ดูเหมือนเลือดสัตว์ที่แม่เตรียมให้จะไม่พอยาไส้เสียแล้ว

     

    สัญญาณเริ่มมาตั้งแต่ชายหนุ่มเริ่มมือสั่นระหว่างคาบเรียน มึนงงเหมือนคนน้ำตาลตก เลือดของคัตจังทำให้อิ่มไปได้อาทิตย์กว่าๆ แต่เขาก็ยังต้องการเลือดอีกเรื่อยๆ เพื่อประทังชีวิตอยู่ดี

     

    คัตจังไม่ชอบวันฝนตก เขาก็เป็นปีศาจขนฟูที่ไม่ชอบอากาศชื้นและจะหงุดหงิดง่ายกว่าวันปกติ วันนี้ท้องฟ้าครึ้มตั้งแต่เช้า อิซุคุคิดว่าเจ้าตัวคงรีบชิงกลับบ้านก่อนฝนจะตกลงมาไปแล้ว

     

    มือซีดกางร่มสีเหลืองในมือจนสุด ฝนเทลงมาจากเมฆหนาเป็นสาย พาร่างตัวเองโซซัดโซเซเดินกลับบ้านทั้งแบบนั้น

     

           ลานสายตาเริ่มแคบลงทุกที ถ้าเป็นแต่ก่อนเขายังพอหอบสังขารตัวเองพาไปถึงบ้านได้ แต่ตอนนี้ลมหายใจมันชักจะลดจังหวะสั้นลงทุกที ชายหนุ่มไม่อยากหน้ามืดไปกัดคอใครสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อยากให้ใครก็ตามมาเห็นสภาพน่าอนาถของตน

     

    คนที่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็นมีแค่คนๆ เดียวเท่านั้น แต่ในเวลานี้เจ้าตัวกลับไม่อยู่ด้วยกัน

     

    ความรู้สึกบางอย่างเกาะกุมในหัวใจ อิซุคุก็ไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไรนัก

     

    ชาวาบตามปลายมือปลายเท้าลามขึ้นมาถึงใบหน้า ภาพสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะมืดลงคือใครคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามารองรับร่างของเขาได้ทันก่อนจะล้มลงกับพื้น สีผมที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้คนมองที่แม้จะสติเลือนรางก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นใคร

     

     

     

     

     

     

    กลิ่นเครื่องหอมและสมุนไพรโชยเข้ามาแตะจมูก เปลือกตาบางเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า

     

    กายบางชันตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก อาการมึนศีรษะยังไม่ได้หายไปไหน พื้นที่รอบข้างของอิซุคุคือห้องทรงญี่ปุ่นที่ปูพื้นห้องด้วยเสื่อทาทามิ ผนังและตู้เก็บของสร้างจากไม้และกระดาษ ศิลปะแบบโบราณเช่นนี้หาได้ยากแล้วในปัจจุบัน

     

    “รู้สึกตัวแล้วหรอ

     

    เจ้าของเสียงที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของห้องเป็นตัวตอบโจทย์ที่กำลังสงสัยในหัวของคนเพิ่งได้สติทั้งหมด ภาพสุดท้ายที่อิซุคุเห็นก่อนหมดสติไปคือใบหน้าของโทโดโรกิ และบ้านญี่ปุ่นโบราณที่ไม่คุ้นตาหลังนี้ก็คงเป็นบ้านของเจ้าตัวที่แบกเขามาวางที่นี่

     

    “ขอโทษที่รบกวนนะ นายแบกผมมาใช่ไหม” ใบหน้าน่ารักยิ้มแห้ง เกาข้างแก้มของตัวเองอย่างขัดเขิน

     

    “ที่จริงแล้วผมเป็นโรคโลหิตจาง บางทีก็เป็นลมง่ายแบบนี้แหละ”

     

    เขาไม่ได้โกหกคนฟัง เพียงแต่สิ่งที่พูดออกมาเป็นเพียงเหตุผลรองจากการเป็นแวมไพร์ก็เท่านั้น จังหวะเดียวกันกับเจ้าของบ้านที่อยู่ๆ ก็ลุกพรวดมา กายสูงโปร่งทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน ส่งให้คนเพิ่งฟื้นจากเป็นลมชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ

     

    “ตัวนายเปียกหมดแล้ว เอาชุดฉันไปใส่ก่อนก็ได้” ว่าพลางวางชุดที่พับมาแล้วสองชิ้นลงบนตักคนตัวเล็ก

     

    ใกล้จนได้กลิ่นกายอ่อนๆ จังหวะชีพจรและอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย ใบหน้าเล็กรีบสะบัดไล่ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับตอนนั้นที่เขาเผลอกัดคัตจัง ประสาทสัมผัสทุกอย่างมันดันดีไปหมด เว้นก็แต่หูกับความเร็วในการประมวลผลของสมอง

     

    ต้องการเลือดตอนนี้ไม่เช่นนั้นเขาต้องตายแน่ๆ จิตสำนึกมันว่าแบบนั้น

     

    ระบบความคิดตีกันมั่วไปหมด อิซุคุเริ่มแยกสัญชาตญาณกับสามัญสำนึกออกจากกันไม่ได้ ฝ่ายโทโดโรกิเองที่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีผิดปกติไป ก็ยังไม่เลิกทำท่าทางเงอะงะ ยื่นหลังฝ่ามือมาวางบนหน้าผากซีดหวังวัดไข้เพื่อนร่วมชั้น

     

    ทุกอย่างมันเกินควบคุมแล้ว อิซุคุไม่สามารถบังคับตัวเองได้

     

    หงับ

     

    เห็นแขนแกร่งของอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากบางก็เข้าครอบครองก่อนฝังเขี้ยวลงไปอย่างไม่ลังเล บรรจงดูดเลือดของอีกฝ่ายเข้าสู่ลำคออย่างเชื่องช้า

     

    เป็นรสชาติที่แปลกประหลาดต่างจากเลือดของคัตสึกิ บางทีอาจเป็นเพราะส่วนประกอบและสถานะอมนุษย์กับคนทั่วไป แต่เลือดนี้กลับให้ความรู้สึกพอใจได้อย่างดีทั้งที่เป็นเพียงเลือดของมนุษย์

     

    โทโดโรกิตัวแข็งทื่อ เรื่องทุกอย่างหลั่งไหลเข้ามาในความคิดอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งความเจ็บปวดจากเขี้ยวคู่นี้และบางสิ่งที่เข้าครอบครอบสติสัมปชัญญะ เขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการใช้มืออีกข้างบีบไหล่บางของอีกฝ่ายอย่างไม่เบานัก นั่นเป็นสัญญาณให้แวมไพร์ตัวน้อยรู้ตัว

     

    อ๊ะ! โทโดโรกิคุง!

     

    คนตัวเล็กกว่ารีบผละออกจากแขนของอีกฝ่ายทันทีที่ได้สติ ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งซีดกว่าเดิมเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป กายบางถอยกรูดออกมาอีกมุมหนึ่งของห้องด้วยความตกใจ

     

    อีกครั้งแล้วที่ความต้องการเลือดของเขามันอยู่เหนือสติ!

     

    คือว่าผมโทโดโรกิคุง! …ผมไม่ใช่คนน่าสงสัยแบบนั้นนะ! เสียงเล็กสั่นระรัวไม่เป็นประโยค ใบหน้าหวานตื่นตูมเหมือนกระต่าย สถานการณ์ตรงหน้ายิ่งแย่ลงเมื่อคราบเลือดยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากบาง พร้อมเขี้ยวคู่เล็กที่ปรากฏออกมา

     

    เจ้าตัวรีบเอาฝ่ามือมาบังใบหน้าตัวเองทันทีที่คิดได้ ทุกอย่างย้อนแยงกันไปหมดจนรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้

     

    เจ้าของผมสองสีหน้าแดงจัด ใบหน้าคมทั้งสับสนและตกใจ ดวงตาต่างสีมองคนตัวเล็กด้วยความตื่นตูมไม่ต่างกัน เขาไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าเรื่องราวตรงหน้าคืออะไรกันแน่

     

    กัดใครสุ่มสี่สุ่มห้าว่าแย่แล้ว แต่นี่ดันมาเลือกกัดมนุษย์ธรรมดาไปเสียได้ น้ำตาที่กลั้นไว้ก็พาลไหลพรากจากดวงตาคู่โตเป็นสาย

     

    “ไม่ใช่แบบนั้นนะฮืออผมจะบอกนายยังไงดี”

     

    ความลับว่ามีแวมไพร์ปะปนอยู่กับมนุษย์จะถูกเปิดเผย แบบนี้สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์จะเกิดขึ้นโดยมีเขาเป็นสาเหตุหรือเปล่า

     

    “ผผมจะไปเดี๋ยวนี้ ขอโทษนายด้วยจริงๆ!

     

    เขาจะอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ต้องรีบหนีไป ย้ายสำมะโนครัวออกไปจากเมืองนี้เลยก็ดี

     

    เดี๋ยวก่อน!

     

    เป็นครั้งแรกที่อิซุคุได้ยินเสียงตะโกนจากเพื่อนร่วมสาขา เสียงนั้นเรียกร่างเล็กที่กำลังกุลีกุจอวิ่งเข้าหาประตูไว้ได้ทันเวลาก่อนจะชิ่งหนีไป มือที่เลื่อนเปิดประตูไปแล้วครึ่งหนึ่งตัดสินใจปิดกลับคืนและหันหลังกลับมามองคู่กรณีพร้อมใบหน้าซีด ดวงตาสีเขียวกลิ้งไปซ้ายทีขวาที ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่าย เขาไม่รู้เลยว่ามนุษย์จะมองการมีอยู่ของแวมไพร์เป็นอย่างไร

     

    โทโดโรกิยกหลังมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่ขึ้นสีของตัวเอง เขาไม่ได้สนใจว่าเลือดจะไหลออกจากรอยเขี้ยวเป็นทางเหมือนกำลังใช้ความคิด ตาคู่คมเบนหลบดวงตาสีเขียวของอีกฝ่ายที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นความกระอักกระอ่วนที่จะสบสายตาขึ้นมากะทันหัน

     

    ห้ามไปไหนทั้งนั้น ห้ามออกไปจากบ้านฉัน” เสียงทุ้มปนกับลมหายใจที่รัวเร็ว จะว่าอย่างไรดี ในความสับสนเหล่านั้นมันดันมีความรู้สึกหงุดหงิดปนเข้ามาเสียด้วยสิ

     

    “ขอเวลาหน่อย นั่งอยู่ตรงนั้นจนกว่าฉันจะกลับมา”

     

           ว่าพลางหยัดกายขึ้นยืนและชี้นิ้วกำหนดพื้นที่ให้คนตัวเล็กเสร็จสรรพ ใบหน้าคมไม่รู้ว่าแดงเพราะโกรธมากหรือเพราะอะไร ไม่ทันได้ให้ตัวปัญหาตอบรับ กายสูงโปร่งก็รีบสับเท้าออกไปจากห้อง ทิ้งไว้เพียงอิซุคุที่ยังงุนงงระคนกับหวาดกลัวอยู่แบบนั้น

     

     

     

     

     

     

    จบสิ้นแล้วเผ่าพันธุ์แวมไพร์อันน่าเกรงขาม อิซุคุนั่งตัวเกร็งรอเจ้าของบ้านแบบไม่กล้าขยับไปไหน ความรู้สึกกระอักกระอ่วนปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่

     

    โทโดโรกิหายไปพักหนึ่งก็เปิดประตูกลับมาพร้อมกลิ่นสบู่หอมฟุ้ง ปลายผมเปียกหมาด แม้แต่เครื่องแต่งกายก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองเหมือนกับคนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ เจ้าตัวนั่งลงบนเบาะตรงข้ามกับคู่กรณี โดยที่ดวงตาสองสีไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าน่ารักของอีกฝ่าย

     

    อิซุคุกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถึงเวลาของการสอบปากคำเสียแล้ว

     

    “นายเป็นแวมไพร์ใช่ไหม”

     

    ม่านตาสีเขียวเบนเอียงไปด้านข้าง เม้มริมฝีปากบางแน่น ก่อนพยักหน้ารับเบาๆ อย่างจนมุม แต่ที่แปลกกว่านั้นคือคนถามดูไม่ได้ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของอมนุษย์เลยซักนิด

     

    “นายไม่กลัวผมหรอ” ความลับว่าอมนุษย์ปะปนอยู่ในโลกนี้มีมาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่มันเคยเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่อยู่ระหว่างเรื่องจริงกับความฝันเท่านั้น

     

    “ทำไมฉันต้องกลัวด้วย” แม้ปากจะบอกว่าไม่กลัวแต่ก็นั่งซะห่างเชียว

     

    “ฉันเคยได้ยินเรื่องของพวกนายมาบ้าง นายเคยไปกัดใครมาก่อนหรือเปล่า”

     

    บทสนทนาเริ่มแปลกประหลาดเข้าทุกที อิซุคุรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาตัวน้อยๆ ที่ไปไล่กัดคนอื่นไปทั่ว ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะกัดใครก็ได้เพื่อเอาเลือดหรอก เพียงแต่ช่วงนี้มันเริ่มจะควบคุมสัญชาตญาณไม่ได้ต่างหาก

     

    “ที่จริงก่อนนาย ผมเผลอไปกัดเพื่อนสมัยเด็กมา เขาถึงไม่ยอมคุยด้วยเลย” นึกถึงทีไรคนตัวเล็กก็น้ำตาคลอเบ้าทุกที ถ้าคัตจังอยู่ด้วยตั้งแต่แรก เรื่องวันนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

     

           โทโดโรกิยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพื่อนสมัยเด็กของอิซุคุชวนให้นึกถึงผู้ชายท่าทางเหมือนวายร้ายในวันนั้น ถ้าเจ้าตัวไม่บอกว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็ก เขาคงเข้าใจว่าอิซุคุโดนนักเลงหาเรื่องไปแล้ว

     

    แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของชายคนนั้นเสียทีเดียว

     

    “แสดงว่านายไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปสินะ”

     

    …….

     

    มีเพียงใบหน้างุนงงจากเจ้าของผมฟู นอกจากใบหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ตลอดเวลา เจ้าตัวยังมีสีหน้าหลายแบบให้เห็นไม่ซ้ำกัน ความรู้สึกเห่อร้อนเริ่มตีขึ้นมาบนใบหน้าที่มักจะแสดงเพียงความนิ่งเฉยของคนตัวสูงกว่า ให้พูดเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่ถ้าจะไม่บอกเจ้าตัวคงจะไม่มีวันรู้

     

    มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขากันแน่ ปั่นป่วนเหมือนพายุในมหาสมุทรที่จมเรือขนาดยักษ์ได้

     

    “เพื่อนนายไม่ได้โกรธหรอกนะ”

     

    “แต่นายทำให้คนที่โดนกัดรู้สึก

     

    ยิ่งเห็นท่าทางร้อนรนของเพื่อนร่วมสาขา แวมไพร์หนุ่มก็ยิ่งงุนงง แต่ทำไมก็ไม่รู้ เขารู้สึกเหมือนว่าคำตอบที่กำลังจะได้ยินไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก

     

    ไม่ได้อยากคะยั้นคะยอ แต่อีกฝ่ายจะเงียบนานเกินไปแล้ว….

     

    นายทำฉันมีอารมณ์

     

    ……

     

           ไม่ใช่แค่คนผมสองสีที่ช็อต อิซุคุเองก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าหวานถอดสีจนเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียน ก่อนความรู้สึกเห่อร้อนจะเข้าปกคลุมทั่วทั้งตัวเหมือนพายุที่ซัดเข้ามากะทันหัน เมื่อเจ้าตัวเริ่มประมวลผลประโยคดังกล่าวได้

     

    “เอ๊ะ” ก่อนเสียงโวยวายจะดังลั่นเมื่อสมองเริ่มผูกเหตุการณ์ทุกอย่างเข้าหากันได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ใบหน้าน่ารักตื่นตูมเป็นกระต่ายเคลือบสีแดงจัด มือไม้มันก็พาลพันกันพัลวันเพราะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน

     

    เขาก็โตพอที่จะเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้แล้ว แล้วทำไมคนตรงหน้าถึงยังใจเย็นอยู่ได้อีก

     

    “ผผมไม่รู้มาก่อนว่ามันจะเป็นแบบนั้น!

     

    อย่าบอกนะว่าเงื่อนไขนี้ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งกับเพื่อนหมาป่าของเขา

     

    ที่จริงแล้วคัตจังไม่ได้โกรธแต่อาจจะเข้าหน้ากันไม่ถูกเพราะพลังแปลกๆ นี่ต่างหาก

     

    ปัง!

     

           เสียงบานประตูไม้ที่ถูกผลักออกจนชนผนังอีกฝั่งดังขึ้นขัดจังหวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเสียก่อน แต่แทนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น ใบหน้าของคนมาใหม่กลับยิ่งทำให้ใบหน้าของอิซุคุร้อนจนแทบระเบิด

     

    คิดว่าฉันสนุกกับการตามหาแกนักหรือไงวะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!” เสียงโวยวายดังลั่นก่อนที่ตัวจะมาถึงเสียอีก

          

    ผู้มาใหม่หันมองรายละเอียดในห้อง คงไม่พ้นไปจากบ้านของเจ้าหัวสองสีตรงนั้น แต่การที่เพื่อนสมัยเด็กของเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องบังคับถามจากอีกฝ่าย แต่เพราะเหตุผลใดไม่รู้ เจ้าตัวถึงมีสีหน้ายุ่งเหยิงแบบนั้น

     

    “คคัตจังมาได้ยังไง ผมนึกว่านายกลับไปแล้ว”

     

    มาก็เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไปเป็นลมข้างทางนั่นแหละ เจ้านี่เข้าใจว่าเขาจะรีบกลับบ้านในวันฝนตกทุกทีเลยหรือไง

     

    ที่ตามมาได้ก็เพราะเขาเป็นหมาป่า กับแค่ตามรอยคนๆ หนึ่งเป็นความสามารถพื้นฐานเสียด้วยซ้ำ บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่มีความกระอักกระอ่วนแปลกๆ ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดของแวมไพร์ตัวน้อยส่งให้อารมณ์หงุดหงิดตีเข้ามาในหัวของเขาอย่างไม่มีสาเหตุ

     

    “กลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้ จะทำตัวเป็นภาระไปถึงไหนวะ” ว่าพลางเดินเข้าไปกระชากร่างที่นั่งอยู่ให้ลุกเดินตาม ดวงตาคู่คมสีแดงเหลือบกลับไปมองเจ้าของบ้านที่ไม่ได้ลุกไปไหนอย่างไม่เป็นมิตร ไม่ได้เข้าไปทักทายและพาร่างที่เล็กกว่าออกไปจากบ้านโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

     

    อิซุคุโดนหิ้วคอเสื้อเดินมาจนถึงทางเดินด้านนอก มืออีกข้างของคัตสึกิกางร่มสีเหลืองที่รัศมีของมันเพียงพอจะบังลมฝนสำหรับสองคนได้ พวกเขาไม่ได้สนทนาใดๆ กันพักหนึ่งจนคนตัวเล็กที่เดินกอดกระเป๋าเป้เป็นฝ่ายขอผละออกมาเอง

     

    “ผ..ผมเดินเองได้ไม่เป็นไร คัตจังเอาร่มไปเลยก็ได้นะ”

     

    คัตสึกิไม่ชอบให้เขาเดินขนาบข้างไปด้วยกัน ชายหนุ่มทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ยิ่งพื้นที่เล็กๆ ที่คนสองคนจะต้องมายืนเบียดกันตลอดทางกลับบ้าน คงยิ่งทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดง่าย

     

    “แกโง่หรือไง อย่าทำให้เสียเวลา ฉันไม่ชอบฝนตก” แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำกลับเป็นการรั้งร่างเล็กไม่ให้เดินจากไป อิซุคุทำได้เพียงห่อไหล่อย่างทำตัวไม่ถูก ในขณะที่พายุฝนดูจะไม่หยุดตกลงง่ายๆ หัวใจของเขาเองก็กำลังเต้นโครมครามอย่างไม่มีสาเหตุเหมือนกัน

     

    เขารู้ดีกว่าใครว่าคัตจังไม่ชอบฝนตก แถมยังเผลอน้อยใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงกลับบ้านไปก่อนแล้ว

     

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเจ้าตัวคงจะออกตามหาเขาจากหลายๆ สถานที่ เสื้อผ้าที่เปียกชื้นของอีกฝ่ายเป็นสิ่งยืนยันได้ดี

     

    ก็ยังเป็นคนๆ นี้ทุกทีที่คอยช่วยเหลือเขาตอนที่เดือดร้อน ต่อให้จะแสดงท่าทีไม่พอใจทุกครั้งก็ตาม

     

           แต่พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขึ้นมาทีไรอิซุคุก็สมองรวนเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าใกล้ระเบิดทุกที ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะมีพลังแปลกๆ แบบนั้น เคยได้ยินมาตลอดว่าแวมไพร์สามารถควบคุมผู้อื่นได้ ใครมันจะไปคิดว่าควบคุมที่ว่ามันจะกลายเป็นกิจกรรมอย่างว่าไปเสียได้ ไม่รู้เลยว่าโทโดโรกิไว้ใจได้แค่ไหน ได้แต่ภาวนาว่าอีกฝ่ายจะไม่เอาเรื่องนี้ไปแพร่งพรายกับใครจนเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา

     

    “แกเป็นลมอีกแล้วใช่ไหม ถึงได้ไปอยู่กับเจ้านั่น”


    “ใช่ ตแต่ตอนนี้ผมดีขึ้นแล้วนะ” เพราะผมไปกัดแขนเขามาก็อยากจะพูดอยู่หรอก แต่ก็ไม่กล้า

     

    “เลือดที่แม่แกเตรียมให้มันเริ่มไม่พอแล้ว คราวหลังก็หัดรู้ตัวซะบ้าง”

     

    เห็นอีกฝ่ายบ่นเข้าก็ได้แต่นิ่วหน้า มันก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ให้ขนมาจากบ้านเป็นหม้อเลยดีไหมคราวหน้า

     

    ต่อไปจะมองหน้าโทโดโรกิอย่างไร ทำเอาคิดหนัก ฝ่ายคัตสึกิก็เหมือนกัน การที่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปฏิกิริยาตอบรับของเจ้าตัวตอนที่เขาพุ่งไปกัดคอก็เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าส่งผลกับคนๆ นี้เช่นเดียวกัน

     

    อายจนแทบอยากจะหายไปตอนนี้ทำไมทุกคนถึงยังใจเย็นกันอยู่

     

    “คัตจัง คือว่าผม

     

    ก็อยากจะขอโทษอยู่หรอก แต่ถ้าเล่าว่าเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้วมันก็จะน่าอายเกินไป

     

    อยู่ๆ เสียงเล็กก็ถูกกลืนลงคอไปโดยไม่มีสัญญาณตอบรับ

     

    “อะไรของแกวะ” ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมใบหน้าหวานถึงขึ้นสีระเรื่อ แถมคิ้วยังพันกับยุ่งเหยิงขนาดนั้น แต่ท่าทีอึกอักไม่พูดอะไรซักอย่างทำให้คัตสึกิหงุดหงิดจนต้องกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมามองใกล้ๆ

     

    “ไม่มีอะไรแล้วขอบคุณนายนะ”

     

    ก่อนเจ้าตัวจะระบายยิ้มบางๆ ออกมา ถึงได้รู้ตัวว่าระยะแค่นี้มันใกล้เกินไปแล้ว

     

    แขนแกร่งรีบวางร่างที่เล็กกว่าลงตามเดิม ก่อนหันหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมคิ้วหนาที่ขมวดพันกันยุ่ง

     

    “ทำหน้าอะไรน่าเกลียดชะมัด”

     

     

    ช่วงจังหวะนั้นถึงเพิ่งได้เข้าใจว่าพลังควบคุมคนอื่นของอีกฝ่ายไม่ได้เสื่อมคุณภาพลงเลยซักนิด










              

    ในที่สุดก็ทำทรีทเม้นต์ของเรื่องนี้เสร็จแล้วค่ะ ใช้เวลานานไปนิดหน่อย
    แต่หลังจากนี้การแต่งจะเร็วขึ้นกว่าเดิมแล้ว ขออภัยที่พาร์ทนี้มาต่อช้านะคะ ;-;

    ทีแรกว่าจะแต่งเพิ่มมากกว่านี้หน่อย แต่ก็กลัวตอนนี้มันจะยืดเกิน
    ทำยังไงดีน้า เดกุของเราไปกัดคนอื่นที่ไม่ใช่คัตจังไปแล้วสิ


    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)



     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×