คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : บอกลา
ตอนที่ 36 บอกลา
เหยียนซือนั่งเหม่อมองดาวบนฟ้ายามค่ำคืน เขานอนไม่หลับเพราะเรื่องที่ชายผู้นั้นพูดก็ถูก ที่บอกว่าเขาเป็นเพียงพ่อค้าตัวเล็ก ๆ รายได้ไม่ได้มากมายพอจะเลี้ยงหญิงสาวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองไหว
ส่วนเรื่องภูมิหลังครอบครัวที่หูต้าลู่พูดนั้น เมื่อตอนที่เขาอายุครบสิบห้าปี บิดาได้บอกความจริงว่าเก็บตนมาจากในป่า ข้างกันนั้นมีศพชายผู้หนึ่งซึ่งใส่ชุดราคาแพงดูแล้วไม่ใช่คนในพื้นที่
คาดว่าน่าจะหนีคนร้ายมาจากเมืองอื่น ก่อนตายเขายังคงกอดเด็กทารกที่ถูกห่อผ้าอย่างดีไว้แน่น
ตอนนั้นมารดาที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่กำลังตั้งครรภ์พอดี ฐานะทางบ้านก็ยาก จนท่านพ่อตัดสินใจถอดชุดของชายผู้นั้นออก แล้วนำของมีค่าทั้งหมดมาเก็บรักษาไว้อย่างดี
เขาแค่เพียงนำชุดของศพชายผู้นั้นไปซักให้สะอาด แล้วนำไปขายในตัวเมืองได้เงินมาหลายสิบตำลึง และนำเงินไปลงทุนเลี้ยงไก่จนมีกินทุกวันนี้
ในวันเกิดครบรอบสิบห้าปีเหยียนเฟิงหยิบหีบใส่เครื่องประดับที่เก็บไว้อย่างดีออกมาให้บุตรชาย
"เหยียนซือ...พ่อจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ศพของชายผู้นั้นฝังอยู่ในป่าสน หากเจ้าอยากไปดูก็ไปดูเถิด พ่อขอโทษที่ปิดบังเจ้า หากพ่อไม่ทำเช่นนี้ทั้งน้องชายและมารดาเจ้าจะต้องอดตายเป็นแน่"
เหยียนซือรับรู้ความจริง เขายอมรับว่าตกใจมาก ไม่คิดว่าบิดามารดาของตนนั้นไม่ใช่ผู้ที่ให้กำเนิดเขามา แต่กลับไม่รู้สึกโกรธที่บิดาหยามเกียรติศพคนตายเช่นกัน
ตั้งแต่วันนั้นเหยียนซือก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และพยายามสืบข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์บนหยก จนรู้ว่าผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในตอนนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ประจำการอยู่ชายแดน
ในตอนแรกเหยียนซือตั้งใจจะปล่อยวาง และใช้ชีวิตนี้กับครอบครัวปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด
แต่ตอนนี้เขามีสตรีที่พึงใจแล้ว อีกทั้งนางยังไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา แต่กลับเป็นที่รู้จักของคนทั้งเมือง ยังไม่รวมเหล่าพ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศอีก
เขาในตอนนี้ไม่คู่ควรกับนางจริง ๆ
หากเขายังอยู่จุดเดิมคงไม่เหมาะสม หากจะขอนางแต่งงานคงต้องไปยังจุดที่สูงกว่านี้เพื่อดูแลนางให้ดีที่สุด นางจะได้ไม่เป็นที่นินทาของใครเมื่อเลือกแต่งกับคนธรรมดาเช่นเขา
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเหยียนซือก็มุ่งหน้าเดินทางไปหาหญิงสาวที่จวนบนภูเขาของนางกลางดึก เขาเคยมาช่วยทหารสร้างจวนหลังนี้มาก่อน ย่อมรู้ดีว่าห้องหญิงสาวอยู่ทางไหน
โชคดีที่คืนนี้ฉินฉินต้องจัดการบัญชีให้เสร็จ นางจึงยังไม่ได้เข้านอน
เหยียนซือเห็นห้องของนางจุดเทียนอยู่ จึงเคาะหน้าต่างส่งสัญญาณให้คนด้านในรับรู้
ฉินฉินตกใจเล็กน้อยหันไปตามเสียง ก็เห็นเหยียนซือส่งยิ้มให้อยู่หลังหน้าต่าง เบื้องหลังเขามีแต่ต้นไม้ที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ดูแล้วแอบสยองเล็กน้อย
"เจ้ามาทำไมค่ำมืดเช่นนี้เล่า"
หญิงสาวลุกจากที่นั่งเดินไปหาชายหนุ่ม ใจจริงอยากจะชวนเขาให้เข้ามานั่งคุยกันด้านในห้องจะได้ทำงานไปด้วยได้
แต่คิดดูแล้วตนเป็นสตรีจะให้บุรุษที่ไม่ใช่สามีเข้ามาได้อย่างไร
"เจ้าไปเข้าทางประตูหน้านะข้าจะไปเปิดประตูให้ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านหากมานั่งคุยในห้องนอนของข้าคงจะไม่เหมาะสม"
"อืม ได้"
เหยียนซือพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินลัดเลาะตามกำแพงจวน ไปเข้าทางที่ถูกต้องตามที่หญิงสาวต้องการ
ฉินฉินเห็นคนเดินไปแล้วก็ปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย สิ่งแปลกปลอมจะได้ไม่เข้ามาด้านในระหว่างที่เจ้าของห้องไม่อยู่
เมื่อปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว ฉินฉินจึงหยิบตะเกียงออกไปจุดไฟทั่วจวนให้สว่างไสว ก่อนจะเปิดประตูให้ผู้มาเยือนเข้ามาด้านใน
"เจ้าเอาน้ำต้มสุกหรือไม่จวนหลังนี้ไม่มีชา ข้าไม่ชอบกิน"
เหยียนซือเดินเข้ามา เขาทำเนียนดึงร่างบางเขามากอด แล้วก้มลงจูบบนผมของนางหนึ่งทีก่อนจะปล่อยให้นางเป็นอิสระ
ฉินฉินหันไปตีไหล่เขาเสียงดังเพียะ
“เจ้านี่นะ ข้าบอกแล้วอย่างไรอย่ามาทำรุ่มร่ามกับข้า ได้ทีละเอาใหญ่ เจ้าคงจะไม่ได้มาขืนใจข้าใช่หรือไม่ บอกไว้ก่อนเลยนะข้าขอสู้ตาย"
เหยียนซือเห็นหญิงสาวโกรธจนหน้าแดง ไม่รู้ทำไมเขาถึงมองว่าท่าทางเช่นนี้ของนางช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ชายหนุ่มสลัดความคิดที่อยากครอบครองนางออกไป แล้วแสร้งหัวเราะในลำคอ เดินไปนั่งเก้าอี้ตรงกลางโถงห้องรับแขก
ฉินฉินหาอะไรมาดันประตูเอาไว้กันลมพัดไม่ให้ประตูปิดลง ก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับสหาย แล้วรินน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วขึ้นดื่ม
เหยียนซือจ้องการกระทำของหญิงสาวไม่คลาดสายตา เขามองน้ำที่ไหลลงคอของนาง แล้วลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ฉินฉินรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมองจึงรีบวางจอกชาลง แล้วจ้องเขม็งใส่คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
"เจ้ามีอะไรก็พูดมา หากไม่สำคัญพอ ข้าจะเอาเรื่องเจ้า"
เหยียนซือยิ้มเจ้าเล่ห์โน้มตัวข้ามโต๊ะตัวเล็ก ๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาว
"ลงโทษอย่างไรดีเล่า ให้ข้าเปลือยกายนอนอยู่บนเตียงเจ้าดีหรือไม่"
ฉินฉินดันหน้าเขาออก
นึกอยากจะตีหน้าหล่อ ๆ นี่ให้หายแค้นเสียเหลือเกิน
"หากเจ้ายังจะพูดเล่นอยู่อีก เชิญกลับไปเจ้าค่ะคุณสหายจอมหื่นกาม"
"ข้าเพียงจะมาลาเจ้าเท่านั้น"
จู่ ๆ เหยียนซือก็พูดโพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขาจ้องหน้าหญิงสาวที่ขมวดคิ้วอยู่
"ข้าจะไปตามหาครอบครัวที่แท้จริง และจะสมัครเข้ากองทัพ ฉินฉิน...จนกว่าข้าจะมีตำแหน่งใหญ่โต ถึงเวลานั้นข้าจะกลับมาสู่ขอเจ้า"
ฉินฉินไม่รู้ว่าในตอนนี้ตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ ตอนที่ได้ยินเขาพูดว่าจะจากไป นางก็รู้สึกโหวง ๆ ในใจเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะจะไม่ได้เจอหน้าสหายสนิทอีกคนไปอีกนานก็เป็นได้ ฉินฉินพยายามคิดในแง่ดี
"ได้..ข้ายินดีด้วย หากเจ้าไม่เจอพวกเขาก็อย่าเสียใจไปเล่า อย่าลืมว่าท่านลุงเหยียนเฟิงก็รักเจ้าเหมือนบุตรคนหนึ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กลายเป็นคนอกตัญญูนะ"
เหยียนซือยิ้มหน้าบานเขายื่นมือมาจับมือหญิงสาวไปกุมเอาไว้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"พวกเขาเป็นครอบครัวของข้าเช่นกัน ข้าไม่มีวันทอดทิ้งผู้มีพระคุณ และที่สำคัญต่อให้ข้ากลายเป็นคนใหญ่คนโตแล้ว ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย"
ฉินฉินชักมือออกจ้องตาเขากลับ
"อย่ามาทำเนียนหลอกจับมือข้านะ ให้มันจริงเถิดหากเจ้ากลายเป็นแม่ทัพใหญ่ได้จริง ๆ คงมีหญิงสาวหน้าตาดีไม่น้อยเข้าหาเจ้า ถึงวันนั้นเจ้าจะทำได้อย่างที่พูดเหมือนวันนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย"
"ข้าพูดจริง ๆ เจ้าจะเป็นสตรีหนึ่งเดียวที่ข้ารัก"
ฉินฉินโบกมือปัดเป็นพัลวัน ทุกครั้งที่เขาบอกรักไม่ใช่ว่านางไม่เคยรู้สึกอะไร แต่กลับเขินอายที่ได้ยินเขาบอกรักตนทุกครั้ง
"ช่างเถิด ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะบอกเช่นกัน เรื่องมันเป็นเช่นนี้นะในอีกสามวันข้าจะออกเดินทางไปยังเมืองฉินเทียนและอีกหลาย ๆ เมืองเพื่อเปิดร้านขยายสาขาไปทั่วแคว้น"
"เจ้าเป็นสตรียังไม่ทันถึงวัยปักปิ่น เช่นนั้นจะไม่อันตรายไปหรือ ให้ข้าไปด้วยดีหรือไม่"
ฉินฉินส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
"เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด ข้ามีจางหมินไปเป็นสหายร่วมทางแล้ว ไว้ข้าจะเขียนจดหมายส่งถึงเจ้าบ่อย ๆ แล้วกัน เจ้ายังเก็บนกพิราบสื่อสารที่ข้าเคยให้ไว้หรือไม่"
"เก็บไว้สิ ของทุกชิ้นที่เจ้าให้ข้าเก็บไว้เป็นอย่างดี ขนมดอกเหมยที่เจ้าทำข้าแบ่งกินได้เป็นเดือนเชียวนะ"
"ถึงเพียงนั้นเชียว หากข้าจำไม่ผิด วันนั้นข้าให้เจ้าไปแค่ไม่กี่ชิ้นเองนะ คนทั่วไปสวาปามทีเดียวหมด ไม่มีใครเก็บไว้นานเท่าเจ้าหรอก..ว่าแต่เจ้าจะออกเดินทางวันไหนหรือ"
"พรุ่งนี้เช้า"
"เร็วถึงเพียงนั้นเชียว เจ้าไม่รอส่งข้าก่อนหรือ อีกสามวันค่อยไปได้หรือไม่ จากนั้นเราค่อยไปแยกกันระหว่างทางก็ได้"
ฉินฉินคาดไม่ถึงว่าการที่เขามาบอกลา จะหมายถึงว่าวันนี้พรุ่งนี้จะออกเดินทางแล้ว นางจะเตรียมของฝากให้เขาทันได้อย่างไร
เหยียนซือเห็นหญิงสาวเป็นห่วง นึกอยากจะดึงนางเข้ามากอดเสียเหลือเกิน แต่เขาทำได้เพียงกำกางเกงตนเอาไว้แน่น
"ได้สิข้าไม่ได้รีบร้อนอะไร ไว้เดินทางไปด้วยกันก็ได้"
"อืม ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะได้เตรียม..."
ปัง!
ฉินฉินยังพูดไม่จบประตูก็ถูกลมพัดเข้ามาปิดกระแทกเสียงดัง ก่อนจะถูกเปิดออกอีกครั้งด้วยฝีมือของหูต้าลู่ ที่เดินหน้าดำหน้าแดงเข้ามาภายในห้องโถง
พี่ชายของครอบครัวจ้องหน้าบุรุษที่แอบเข้ามาในเรือนของสตรีที่อยู่คนเดียวยามค่ำคืน มันเป็นการหยามหน้ากันชัด ๆ
"ไอ้ลูกหมา! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำ จะได้ไม่ปีนกำแพงจวนผู้อื่นอีก"
ฉินฉินเดาไว้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องถึงหูพี่ชาย เพราะตอนที่นางเปิดประตูให้เหยียนซือเข้ามา สายตานางเหลือบไปเห็นเงาคนปีนกำแพงออกไปพอดี เดาว่าน่าจะเป็นคนของพี่ชายที่ไปรายงานสถานการณ์ให้เขารับรู้
"พี่ใหญ่ใจเย็น ๆ ก่อน อย่ามีเรื่องกันเลย เหยียนซือทำผิดก็จริง แต่ท่านช่วยปล่อยผ่านไปบ้างเถิดนะ"
หูต้าลู่หันมาดุน้องสาว
"เจ้าเป็นสตรีจะเปิดรับบุรุษเข้ามาในจวนยามค่ำคืนได้อย่างไร หากมีคนมาเห็นเข้า ชื่อเสียงของเจ้าจะเสียหายเพราะมัน"
"ข้ายืนยันว่าข้านั้นยินดีส่งแม่สื่อมาสู่ขอนางขอรับ"
เหยียนซือจ้องหน้าพี่ชายของสตรีที่ตนพึงใจกลับไป ไร้ซึ่งท่าทีของความหวาดกลัว
ฉินฉินกุมขมับอย่างคิดไม่ตก
อีกคนก็เอาแต่โกรธ ส่วนอีกคนก็หน้ามึนจะแต่งท่าเดียว
ผู้ชายรอบตัวนางมีคนปรกติสักคนหรือไม่นะ
"เอาเถิด..เหยียนซือเจ้ากลับไปก่อน หากเจ้ามีเรื่องกับพี่ใหญ่ตอนนี้ ข้าจะโกรธเจ้าจริง ๆ แล้วนะ"
เหยียนซือพยักหน้ารับคำ แล้วเดินออกไปทางประตู แต่ก็ไม่วายยามที่เดินผ่านหูต้าลู่เขากลับใช้ไหล่กระแทกอีกฝ่ายอย่างแรง
แต่หูต้าลู่แข็งแรงมาก ร่างกายเขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ฉินฉินเห็นดังนั้นรู้ได้ทันทีว่า พี่ชายคงโกรธมากกว่าเดิมเสียแล้ว
เจ้าบ้านั่นก็เหลือเกิน เดินออกไปดี ๆ ไม่ได้หรือ
"อย่ามาทะเลาะกันในจวนของข้านะ หากจะตีกันก็เชิญไปตีกันตรงตีนเขาโน่น..ข้าจะนอนแล้ว"
หูต้าลู่หันมามองน้องสาวแล้วโบกมือไล่ให้นางไปนอน ก่อนจะวิ่งตามหลังเหยียนซือออกไป
แต่ไม่วายทิ้งองครักษ์เงาคอยคุ้มกันน้องสาวรอบจวน เพื่อกันแมวขโมยย่องเข้ามาในเรือนอีก
ฉินฉินไม่สนใจอะไรอีก นางมีงานต้องทำต่อเช่นกันจึงเดินเข้าห้องไป
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เทียนในห้องถูกดับเสียงกรนเบา ๆ ของหญิงสาวดังออกมาด้านนอกบ่งบอกว่านางหลับสนิทไปแล้ว
ความคิดเห็น