คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : ▲ [My hero academia] Wolves and rabbit (Bakugou x Izuku) - Part 1
บนโลกใบนี้ยังมีความลับอีกมากมายที่ยังไม่เคยมีใครได้ล่วงรู้
ไม่มีใครรู้หรอกว่าทุกวันนี้คนที่เดินผ่านเราไปจะใช่มนุษย์หรือเปล่า…
มิโดริยะ อิซุคุ มีปัญหาสุขภาพเรื่องโลหิตจางมาตั้งแต่เด็ก
เขาพร้อมจะเป็นลมได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เจ้าตัวไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมกีฬากับเพื่อนๆ ได้ ทั้งยังส่งผลให้ร่างกายผอมบางมากกว่าคนในวัยเดียวกัน
แต่ระยะหลังมานี้อาการโลหิตจางชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน จากที่หน้ามืดง่าย ตอนนี้ยิ่งวูบได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งที่อายุอานามเขาก็เลยช่วงวัยรุ่นช่วงต้นมาได้ซักพักแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาสุขภาพที่เขาบังเอิญได้ยีนด้อยทุกอย่างของครอบครัวมาอยู่ในตัว
ทั้งที่กระเพาะร้องประท้วงแต่กลับกินอะไรไม่ลงซักอย่าง อิซุคุคิดว่าวันนี้เขาต้องพาตัวเองไปหาหมอโดยเร็วที่สุด มือบางรีบรวบเครื่องเขียนทุกอย่างลงกระเป๋าก่อนเดินออกไปจากห้องเรียนอย่างเร่งรีบ
จังหวะที่สับเท้าลงบันได ลานสายตาที่เคยกระจ่างกลับมืดแคบลงทีละนิด ปลายเท้าเจ้ากรรมก็ดันพันกันอย่างถูกจังหวะ ทั้งร่างลอยหวืออยู่กลางอากาศ ดวงตาสีเขียวมองเห็นร่างตรงหน้าที่เดินสวนขึ้นมา เขาพยายามส่งเสียงให้อีกฝ่ายหลบไป แต่ก็เหมือนจะไม่ทันเวลาจนกายของทั้งคู่ล้มทับกันไปบนพื้น
เขาไม่เจ็บตัวเลยซักนิดเพราะอีกฝ่ายเป็นเบาะได้อย่างพอดิบพอดี…
“อ๊ะ… ขอโทษครับ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” พอดันตัวขึ้นมาได้ก็มีสีหน้าร้อนรน รีบสำรวจความเสียหายของคนแปลกหน้า เขาเป็นผู้ชายตัวสูงที่ทำสีผมแปลกๆ อย่างสีขาวครึ่งหนึ่ง และสีแดงอีกครึ่งหัว อิซุคุจำได้ว่าผู้ชายคนนี้เรียนมหาวิทยาลัยเซคชั่นเดียวกัน แต่ยังไม่เคยคุยกันซักครั้ง
ผู้ชายคนนั้นรีบทรงตัวขึ้นนั่ง เขาสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อนมองกลับมายังเจ้าของใบหน้าตกกระ ดวงตาคู่คมนั้นจ้องเขม็งราวกับโกรธเคืองทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศรอบตัวเตือนว่าไม่ควรไปยุ่งด้วยจะปลอดภัยกว่า
“หลบไป”
น่ากลัว… อาการหน้ามืดของเขามันสร้างปัญหาอีกแล้ว
ชายหนุ่มทำได้เพียงนั่งตัวลีบอยู่ที่เดิม จนกระทั่งอีกฝ่ายลุกขึ้นเดินจากไป
โทโดโรกิ โชโตะ เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงหลายคนในมหาวิทยาลัยเพราะรูปร่างหน้าตาและผลการเรียนที่ดีเลิศ เขาคงจะป๊อปปูล่ากว่านี้หากเจ้าตัวไม่มีนิสัยมนุษย์สัมพันธ์ติดลบแบบนี้
ขณะที่เริ่มตั้งสติได้และเตรียมตัวจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กระบอกน้ำอันไม่ใหญ่นักก็ถูกโยนใส่หน้าโดยใครอีกคนที่เพิ่งมาถึง ชายหนุ่มรับมันมาอย่างทุลักทุเล เขามองเห็นเงาอันคุ้นเคยก่อนเสียงทุ้มของเจ้าตัวจะเอ่ยขึ้น
“จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานแค่ไหนเจ้าโง่”
“แกจะบ้าหรือเปล่าวะ รู้ว่าตัวเองหน้ามืดบ่อยยังจะลืมเอามาอีก!”
“ก็เพราะเมื่อเช้านายเร่งผมเองนี่”
“หา แกโทษว่าเป็นเพราะฉันงั้นหรอ!”
“ผมขอโทษๆ พรุ่งนี้จะไม่ลืมแล้ว”
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผมสีอ่อนที่มักจะมีใบหน้าโกรธเคือง กับคนตัวเล็กกว่าที่ห่อไหล่จนตัวลีบเพราะกลัวคนที่เสียงดังกว่า ในอ้อมแขนของเขามีกระบอกน้ำเจ้าปัญหาที่แม่เพิ่งจะเอามาให้คนข้างหน้าเมื่อตอนกลางวัน ลำบากเจ้าตัวต้องเอามาส่งต่อเพราะตามหาเขาไม่เจออีก
ได้เครื่องดื่มนี้ไปประทังชีวิต ก็เลยพอจะมีแรงไปทะเลาะกับอีกฝ่ายได้นิดหน่อย
แต่ถึงอย่างนั้นอาการเหนื่อยง่ายเหมือนคนขาดเลือดก็ยังไม่ได้หายไปไหน… ดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นหนักเสียด้วย
คัตสึกิ บาคุโก เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขาจนถึงปัจจุบัน ด้วยนิสัยใจร้อน เสียงดัง ขี้โวยวาย ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันมาได้นานขนาดนี้ ซ้ำร้ายเขาก็เหมือนจะกลายเป็นตัวรองมือรองเท้าให้อีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ใส่เสียมากกว่า
แต่เพราะคนทั้งคู่ต่างเก็บความลับของกันและกันไว้อยู่ ทำให้สายสัมพันธ์นี้ไม่อาจขาดจากกันไปได้
อิซุคุไม่ได้ชอบที่อีกฝ่ายมักจะรังแกเขาอยู่เสมอ แต่เพราะจำเป็นต้องพึ่งพากันอยู่จึงทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้
ภาพแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินอยู่ด้านหน้าคือสิ่งที่คุ้นเคย แผ่นหลังนั้นเคยเล็กจนกว้างใหญ่สมกับร่างกายสูงใหญ่ของเจ้าตัว ไม่ว่าจะตอนที่ไปหรือกลับจากสถานศึกษา ข้างหน้าเขาจะมีแผ่นหลังของคัตจังอยู่เสมอ
‘ใครให้แกเสนอหน้ามาเดินข้างกัน!’
‘เดินห่างๆ ไปเลยนะ ไม่ต้องมาเดินตามฉัน’
ถึงแม้แต่ละคำที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายจะไม่น่าอภิรมย์ก็เถอะ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เพราะบ้านของคนทั้งคู่ดันอยู่ข้างกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว ซ้ำยังเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่เด็ก อาจเพราะเขาเป็นคนอ่อนแอดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ตั้งแต่เด็ก คัตจังถึงมองว่าอิซุคุเป็นตัวภาระมาโดยตลอด
ความรู้สึกมึนงงตีเข้ามาอีกครั้งจนคนตัวเล็กกว่าต้องสะบัดศีรษะด้วยความสับสน ทั้งที่เพิ่งดื่มไปเมื่อกี๊นี้ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำเปล่าที่ดับแค่ความกระหายแต่ไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้อง
สังเกตมาซักพักแล้วว่าช่วงนี้ตนหิวมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะดื่มเครื่องดื่มที่แม่เตรียมมาให้อย่างไรก็ไม่เคยพอ
หากเขาไม่หาสิ่งที่ดีกว่านี้มาทดแทน กระเพาะมันคงได้ย่อยตัวเองไปในซักวันแน่
มันเหมือนกับว่าแค่ โลหิตของสัตว์ จะให้พลังงานไม่เพียงพอสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว
“รีบเดินตามมาสิเจ้าโง่ เสียเวลาชะมัด”
เห็นฝีเท้าอีกฝ่ายที่เงียบไปพักหนึ่ง คัตสึกิก็หันกลับไปมองพร้อมใบหน้าหงุดหงิด ร่างที่ผอมบางกว่าเขากำลังกำคอเสื้อและหอบเหนื่อยราวกับเพิ่งวิ่งมาหลายสิบกิโล ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดกว่าเดิม
“ขอโทษนะคัตจัง ผมกำลังไป” เห็นอีกฝ่ายโซซัดโซเซเหมือนคนจะเป็นลมก็ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิด แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหน
“เป็นอะไรของแกวะเดกุ”
หรือว่าที่ให้ดื่มไปมันจะเป็นแค่น้ำผลไม้…
“ไอบ้าเอ้ย!” พอนึกขึ้นได้ดังนั้นร่างที่สูงกว่าก็รีบเข้าไปพยุงร่างของเพื่อนสมัยเด็กได้ทันเวลาก่อนที่เจ้าตัวจะล้มจูบดินพอดี อิซุคุหอบเหนื่อยเหมือนคนขาดน้ำกลางทะเลทราย ใครมาเห็นหน้าตอนนี้ก็ว่าป่วยระยะสุดท้ายทั้งนั้น
“ขอโทษนายจริงๆ นะ…” ยังจะมีหน้ามาขอโทษกันอีก
“ภาระคนอื่นจริงๆ แกนี่”
มีบ้างบางครั้งที่เขาจะขาดเลือดจนหมดสภาพแบบนี้ และทุกครั้งต้องลำบากคัตสึกิแบกกลับบ้านตลอด แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ที่แม้จะดื่มไปแล้วครึ่งลิตรแต่ก็ยังหน้ามืดจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้
สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายที่อบอุ่นเพราะระบบเลือดที่ไหลเวียนอย่างดี ต่างจากร่างกายของเขาที่เย็นเฉียบเหมือนไร้ชีวิต ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ในหูได้ยินแต่เสียงชีพจรของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะอย่างที่ไม่เคยได้ยินชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
แกร๊ง…
“โว้ย มือไม้แกมันเป็นอะไรไปอีกวะ!”
กระบอกน้ำเจ้าเก่าหลุดจากมือที่อ่อนแรงของอิซุคุจนลงไปกลิ้งกับพื้น ฝาที่ปิดไม่สนิทหล่นกระจายจนของเหลวข้างในที่เหลือไม่มากไหลออกมาบนพื้น
อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงบ้านแล้วแท้ๆ…
คัตสึกิวางร่างที่เล็กกว่าลงพิงกับผนังอย่างไม่เบานัก ก่อนเจ้าตัวจะเดินมาเก็บกระบอกน้ำที่กลิ้งออกไปพร้อมใบหน้าหงุดหงิดและเสียงสบถในลำคอ นิ้วเรียวบรรจงเก็บส่วนประกอบต่างๆ มาปิดคืนอย่างบรรจง กลิ่นของเหลวที่อยู่ด้านในพลันตีเข้ามาในจมูกให้รู้ตัว
สิ่งที่เจ้าบ้าเดกุดื่มไปมันก็คือเลือดชัดๆ… แล้วที่มันเป็นลมอยู่ตอนนี้หมายความว่ายังไง
“เห้ย แกน่ะเป็━”
กว่าจะได้ตั้งสติ ร่างที่เล็กกว่าก็พุ่งเข้ามากอดแน่นแบบไม่ให้ทันตั้งตัว คัตสึกิงุนงง ลมหายใจร้อนๆ จากอีกฝ่ายเป่ารดต้นคอ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ความเจ็บปวดบริเวณต้นคอแล่นไปทั่วร่าง
สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงลิบจากผิวกายและของเหลวรสชาติหวานหอม เสียงหายใจและลมหายใจอุ่นๆ ของทั้งเขาและคัตสึกิเคล้าผสมกันให้ความรู้สึกวาบหวาม รู้สึกไม่อยากพรากไปจากตรงนี้ราวกับไม่เคยดื่มเครื่องดื่มใดที่รสชาติดีขนาดนี้มาก่อน
“ทำบ้าอะไรของแกวะเจ้าโง่เดกุ!”
ความรู้สึกเจ็บร้าวตั้งแต่ก้นกบขึ้นมาถึงกลางหลังเป็นตัวเรียกสติเมื่อทั้งร่างของอิซุคุถูกโยนลงไปบนพื้นอย่างไม่เบานัก เมฆที่เคยบดบังสายตากระจ่างขึ้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
คัตจังโกรธจนสีแดงแผ่ไปทั่วทั้งใบหน้า มือหนากำลำคอที่มีเลือดไหลอาบเป็นทางเพราะความรู้สึกเจ็บปวด และรสชาติแปลกประหลาดที่ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นและริมฝีปากของเขาในตอนนี้
เขากัดคอคัตจังไปอย่างนั้นหรอ!
เขาเนี่ยนะกัดคอคัตจัง!
“ผ…ผม ขอโทษ! คัตจัง คือผม คือ…!” เสียงเล็กพูดออกมาอย่างไม่เป็นประโยค ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายแต่เขาก็สับสนเช่นกันว่าตนทำอะไรลงไป เมื่อครู่มันราวกับว่าไม่สามารถคงสติเอาไว้ได้ ภาพมันตัดไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉัน ออกไปห่างๆ เลย!” เห็นคนตัวเล็กกว่าทำท่าร้อนรนเหมือนจะคว้าเอาผ้าเช็ดหน้ามาห้ามเลือดให้ คนตัวสูงกว่าก็รีบเสียงดังใส่ ดวงตาคู่โตน้ำตาคลอเบ้าราวกับรู้สึกผิดนักหนา มองจากดาวอังคารก็ดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ
“วันนี้ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก กลับบ้านแกไปซะไอโง่!”
คนถูกเรียกโง่น้ำตาร่วงเผาะ เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ แต่ก็พอเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายจะโกรธมากมายขนาดนั้น
เพราะคัตจังรักศักดิ์ศรีของตัวเองยิ่งกว่าอะไรยังไงล่ะ…
มิโดริยะ อิซุคุและครอบครัวเป็นแวมไพร์…
แถมยังเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้แบบไม่มีมนุษย์หรือสายพันธุ์อื่นมาปะปนด้วย
ในโลกนี้ที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล และการแพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ให้ยาวนานขึ้นหลายสิบปี ยังมีสิ่งเหนือธรรมชาติที่หลักการทางวิทยาศาสตร์และกายวิภาคศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้อยู่เต็มไปหมด
เขาไม่ใช่มนุษย์ ระบบย่อยอาหารและกายวิภาคก็ไม่เหมือนมนุษย์ เพราะแบบนั้นเวลาไม่สบายแต่ละทีก็ต้องไปหาแพทย์เฉพาะทางแบบหลบๆ ซ่อนๆ ความลับว่าอมนุษย์ปะปนอยู่ในโลกนี้ถูกเก็บเงียบมาโดยตลอดเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
อิซุคุเคยคิดว่าตัวเองเป็นจุดด่างพล้อยของสายพันธุ์แวมไพร์
พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติโดยการดื่มเลือดสัตว์ชนิดอื่นแทนการดื่มเลือดมนุษย์ แวมไพร์ที่เหลืออยู่เพียงตระกูลเดียวของเขาใช้วิธีนั้นมาตลอดจนถึงปัจจุบัน อาจเพราะแบบนั้นหรือเปล่า ชายหนุ่มจึงไม่มีพลังใดๆ ของแวมไพร์หลงเหลืออยู่กับตัวเลย
ปกติแล้วแวมไพร์จะแสดงพลังเมื่ออายุย่างเข้าสิบแปดปี พวกเขาจะมีกำลังกายเหนือธรรมชาติ หรือมีความสามารถในการควบคุมจิตใจผู้อื่น แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะแสดงออกมาแบบใด
แต่จนแล้วจนรอด อิซุคุผ่านช่วงอายุสิบแปดปีมาสองปีแล้ว เขากลับเป็นเพียงชายหนุ่มโลหิตจางเป็นลมง่ายไปวันๆ ที่ความอยากเลือดชักจะมากขึ้นทุกวัน โดยที่ร่างกายก็ยังอ่อนแอไม่เปลี่ยนแปลง
ล่าสุดยังไปกัดคอเพื่อนสมัยเด็กแถมดูดเลือดเขามาด้วยอีก… ไม่รู้จะสู้หน้าอีกฝ่ายอย่างไร เพราะรู้สึกผิดมากที่อาการโลหิตจางของตัวเองไปสร้างปัญหาให้คนอื่น
ว่าก็ว่าเถอะ… แต่เลือดของอมนุษย์ช่วยชะลอความหิวของเขาไปได้เป็นอาทิตย์โดยไม่ต้องพึ่งเลือดสัตว์เลยซักนิด
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายมากกว่าเดิม… หมายความว่าตอนนี้ร่างกายของเขาตอบสนองต่อเลือดของคัตจังไปแล้วน่ะสิ
เขาตั้งใจหลบหน้าเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นมาเป็นอาทิตย์แล้ว คัตจังเองก็คงโกรธเขามากถึงได้ไม่ยอมมาเจอหน้ากันเลย
คัตจังเองก็ไม่ใช่มนุษย์ ครอบครัวของฝ่ายนั้นเป็นสายเลือดหมาป่าที่จะกลายร่างตอนคืนพระจันทร์เต็มดวง ต่างจากเขาที่ต่อให้เป็นสายเลือดแท้อย่างไรก็ตากแดดตากฝนได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป และไม่ได้กลัวกระเทียมด้วย แค่กินไม่ได้ก็เท่านั้น แทบจะไม่เหลือความเป็นแวมไพร์อีกแล้วนอกจากความต้องการเลือด
ครอบครัวมิโดริยะและบาคุโกมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาตั้งแต่อดีต พวกเขาคอยช่วยเหลือและเก็บเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์เป็นความลับมาโดยตลอด และความลับนี้จะคงอยู่ตลอดไป หากคนจากทั้งสองตระกูลยังคงสายเลือดอันบริสุทธิ์เอาไว้ต่อ
อิซุคุขมวดคิ้วยุ่ง เขากำลังพึมพำทฤษฎีในหัวอยู่คนเดียวโดยที่คนรอบตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
เทียบกันแล้ว ระยะเวลาในการประทังชีวิตของเลือดแต่ละแบบมันก็ไม่เท่ากัน เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ตั้งใจเลือกเรียนสาขาชีวเคมีเพราะหวังจะสังเคราะห์เลือดปลอมใช้เองในซักวัน โปรตีนจากไข่ให้อายุที่สั้นกว่าเลือดสัตว์ เลือดสัตว์สั้นกว่าเลือดมนุษย์ และเลือดมนุษย์สั้นกว่าอมนุษย์
เลือดของอมนุษย์มีอะไรพิเศษกันนะ ทำไมถึงอายุมากกว่ากันเป็นสัปดาห์ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายสิ่งนั้นได้หรือเปล่า
“เดกุคุง!” เสียงเรียกจากเพื่อนสาวเป็นตัวดึงสติอีกฝ่ายจนสะดุ้งโหยง เพิ่งรู้ตัวว่าอาจารย์เริ่มคาบเรียนใหม่มาได้ซักพักหนึ่งแล้ว
เพราะร่างกายที่อ่อนแอและนิสัยไม่สู้คน ทำให้อิซุคุไม่มีเพื่อนเลยนอกจากคัตจังมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนเพียงคนเดียวของเขาก็ดันพกนิสัยชอบรังแกคนอื่นมาเต็มกระเป๋า เรียกได้ว่าชีวิตวัยประถมและมัธยมของเขาเป็นความดำมืดที่ไม่อยากย้อนไปนึกถึงเท่าไรนัก
แวมไพร์ที่ใช้พลังไม่ได้ก็เหมือนตัวภาระ อิซุคุทราบเรื่องนั้นดี
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมนุษย์ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อก้าวเข้าสู่โลกที่กว้างขึ้นอย่างการเรียนมหาวิทยาลัย อุรารากะ โอชาโกะน่าจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เริ่มเข้ามาทักทายเขาก่อน เพราะไปยืนทำท่าทางงกๆ เงิ่นๆ อยู่หน้าตึกเรียน
หลังจากนั้นก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ…
อย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนกับมนุษย์ได้ โลกที่เคยแคบก็กว้างขวางขึ้นมานิดหน่อย
จะว่าอย่างไรดี อุรารากะเองก็มีบุคลิกแปลกๆ เธอรู้จักคัตจังผ่านเขา และไม่ชอบที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าเดกุก็เลยอยากเรียกบ้าง อิซุคุไม่ค่อยเข้าใจระบบความคิดของคนทั้งคู่เท่าไรนัก
“สีหน้าดีขึ้นเยอะเลย ไปให้เลือดที่โรงพยาบาลมาแล้วงั้นหรอ” หญิงสาวถามขึ้น เธอรู้จักอิซุคุในนามของผู้ชายโลหิตจางร่างกายผอมแห้ง ไม่ได้รู้ลึกถึงขั้นว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มแห้ง
“เมื่อกี๊อาจารย์ให้เราจับกลุ่มทำแล็บกลุ่มละสี่คน ตอนนี้มีเดกุคุง ฉัน แล้วก็ซึยุจัง” อุรารากะนับนิ้ว ส่วนเจ้าของชื่อซึยุก็เดินเข้ามาพร้อมพยักหน้า อาซุย ซึยุ อีกหนึ่งเพื่อนมนุษย์ที่เขาค่อนข้างสนิทด้วย
แสดงว่ายังขาดสมาชิกอีกคนหนึ่งสินะ…
ดวงตากลมโตทอดมองสมาชิกในห้องที่เริ่มจับกลุ่มกันได้แล้ว ดูเหมือนส่วนใหญ่จะมีสมาชิกครบกันแล้ว ขาดเพียงแค่กลุ่มของเขาเท่านั้น
สายตาเจ้ากรรมก็ดันเลื่อนไปเห็นเจ้าของผมสีประหลาดที่นั่งกอดอกอยู่ในมุมห้องคนเดียว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจจับกลุ่มกับใครเท่าไรนัก จนกระทั่งดวงตาคู่คมเลื่อนมาสบกับเขาพอดี อิซุคุจึงรีบหลบสายตากลับมามองหน้าเพื่อนตัวเองแทน
ขอใครก็ได้ที่ไม่ใช่คนนี้… หมอนี่น่ากลัวเกินไป
เขาเพิ่งไปมีเรื่องด้วยเมื่อไม่นานมานี้เอง ก็ตอนนั้นมันหน้ามืดจริงๆ นี่นา ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“อีกหนึ่งนาที จับกลุ่มกันให้ได้แล้วเขียนรายชื่อให้ผมด้วย” เสียงอาจารย์ดังมาจากหน้าห้องเป็นการยื่นคำขาด หางตาของอิซุคุเห็นร่างสูงของคนผมสองสีก้าวเดินลงมาจากเก้าอี้ที่จัดเป็นลำดับขั้น ได้แต่ภาวนาว่าขอให้คนๆ นั้นจับกลุ่มกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่พวกเขา
ดวงตากลมโตเริ่มหันมองรอบตัวอย่างไม่เป็นสุข หลายกลุ่มเริ่มนั่งลงกับที่แล้ว
แต่แล้วทั้งร่างก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกได้ถึงร่างของใครคนหนึ่งที่มาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง
“ฉันขออยู่กลุ่มกับพวกเธอด้วยสิ”
กรี๊ดดด ในที่สุดก็ได้แต่งเรื่องนี้ซักทีค่ะทุกคน
ความคิดเห็น