NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #35 : ▼ [Daiya no ace] Don't make him mad (Miyuki x Sawamura) - Part 3 [END]

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 67


    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)






       





    ซาวามูระพาคนตัวสูงกว่ายัดเข้าแท็กซี่ จำใจพากลับมาอพาร์ทเม้นท์ของตัวเองอย่างหมดทางเลือก

     

           ด้วยฐานะนักกีฬาทีมชาติ เขามีสวัสดิการสนับสนุนมากพอที่จะเช่าอพาร์ทเม้นท์เองได้ และมันก็อยู่ในตัวเมืองใกล้กับมหาวิทยาลัย การเดินทางทุกอย่างสะดวกไปหมด

     

    พวกเขานั่งเบาะหลังของรถ หัวของคนใส่แว่นโงนเงนไปมา จนกระทั่งใบหน้าคมคว่ำไปด้านหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว คนอายุน้อยกว่ารีบที่เอาฝ่ามือไปรองรับได้ทันเวลาเผลอถอนหายใจเบาๆ แต่เจ้าของใบหน้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาตื่น

     

    มิยูกิไม่เดินเองเลย เอาแต่ทิ้งน้ำหนักในเขาแบกมาจนถึงตอนนี้ ถ้าการถอนหายใจเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง ป่านนี้เขาคงพ่วงอาชีพนักกีฬาทีมชาติเข้าไปเพิ่ม

     

    ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึงห้องอย่างปลอดภัย ซาวามูระสามารถใช้คำว่าโยนคนตัวสูงกว่าลงบนโซฟาของห้องอย่างไม่เกรงใจ ได้ยินเสียงโป๊กและเสียงโอดครวญของเจ้าของร่างตอบกลับมา แต่หมอนั่นก็ยังไม่เปิดเปลือกตาอยู่ดี

     

    ดวงตาคู่โตของคนน้องมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เป็นมิตรนัก แต่ก่อนเขาเคยชอบคนๆ นี้ไปได้อย่างไรนะ นิสัยก็ไม่ดี ชอบพูดจากวนส้นเท้า จะมีดีก็แค่หน้าตากับความเก่งนี่แหละมั้ง ….แค่นั้นเองนี่

     

    “แว่นจะหักแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสังเกตเห็นขาแว่นที่เอียงกะเท่เร่เข้าเสียก่อน

     

    ก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้น แต่อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปคีบเอากรอบพลาสติกอันนั้นออกด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งเหมือนรังเกียจนักหนา

     

    “นายจะกลับมาทำไมเนี่ย”

     

    ซาวามูระขมวดคิ้ว ก็กะว่าจะปล่อยเจ้าคนนิสัยไม่ดีตอนอยู่ตรงนี้นี่แหละ ขาเรียวเตรียมสาวเท้าออกไป วันนี้เขาก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเหมือนกัน

     

    โอ๊ะ” แต่แล้วข้อมือข้างหนึ่งกลับถูกคนที่เคยหลับไม่ได้สติคว้าเอาไว้ พร้อมทั้งร่างที่ถูกแรงแขนที่มากกว่ากระชากเข้าไปจนจมูกฝังเข้ากับแผ่นอกของอีกฝ่าย เจ้าของห้องรีบดันร่างตัวเองออก เอามือดันคางของอีกฝ่ายจนแหงนก็แล้ว แต่ก็ยังสู้แรงที่มากกว่าไม่ได้

     

    “ทำอะไรเนี่ยเจ้าบ้ามิยูกิ!

     

    ฉันกลับมาเพราะนายนั่นแหละ” ซาวามูระชะงักกึก ช่วงเอวของเขาถูกโอบรัดไปด้วยแขนแกร่งของอีกฝ่าย ใบหน้ากลมมนเงยขึ้นมามองเจ้าของเสียงนุ่มที่จู่ๆ ก็พูดอะไรประหลาดๆ ขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง

     

    “ทำไมถึงเอานายออกจากหัวไม่ได้เลยนะ”

     

    “พพูดอะไรของนาย!” หมอนี่ยังตาเยิ้มอยู่เลย จะเมาก็ช่วยพูดอะไรปกติที่ไม่ใช่การแกล้งไม่ได้หรือไง

     

    “ปล่อยฉันนะ!

     

           ยิ่งดิ้น สภาพก็ยิ่งเหมือนปลาที่กระโดดแด่วๆ อยู่บนบกเพราะขาดน้ำ มิยูกิเปลี่ยนเป้าหมายจากลำตัวมาล็อคใบหน้าของรุ่นน้องในตรงกับสายตาตัวเอง ใบหน้าคมคายที่ไม่มีกรอบแว่นบดบัง ทำให้มองเห็นดวงตาสีเหลืองทองที่จ้องลึกเข้ามาในตาของเขาได้ชัดเจนกว่าทุกที

     

    หมอนี่กำลังทำอะไร เขาเมาจริงๆ หรือแค่แกล้งทำกันแน่

          

    การเจอกันในรอบสามปีกับผู้ชายคนนี้ ซาวามูระไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังแสดงบุคลิกด้านไหนออกมา แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่ชอบสายตาคู่นี้เลย มันทำให้หายใจไม่ออกตอนอีกฝ่ายยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้

     

    “ทำอะไรของนาย หยุดเลยนะ”

     

    เสียงที่เคยตะโกนโวยวายแผ่วลงอย่างไม่มีสาเหตุ เสียงหัวใจกำลังดังสนั่นตอนที่ระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ลดลง จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสโดนกัน ดวงตาโตเบิกกว้าง มิยูกิผละใบหน้าออกอย่างเชื่องช้าพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

     

    “กลิ่นสตอว์เบอรี่ยังติดอยู่เลย”

     

    “หา” ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า คนตัวสูงอาศัยจังหวะที่คนน้องตั้งสติไม่ทันประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาในโพรงปากของซาวามูระ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งกับรสชาติขมปร่าของบุหรี่ทำให้เขารู้สึกมึนหัว ลมหายใจถูกขโมยไปเฮือกใหญ่จนเรี่ยวแรงพาลหายไปด้วย

     

    นานเท่าไรไม่รู้แต่กว่าจะผละออกมาอีกครั้งก็ทำได้แค่ซุกหน้าลงกับอกเสื้อของอีกฝ่ายอย่างยอมแพ้

     

    ฉันชอบนายนะ ซาวามูระ

     

           ราวกับประโยคนั้นฉุดให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง ซาวามูระตัวแข็งทื่อ เขาเงียบไปพักใหญ่จนกระทั่งคิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากัน ดวงตาโตทั้งคู่เปลี่ยนไปเหมือนตาของแมวอีกครั้ง

     

    เพียะ!

     

    รู้ตัวอีกทีก็ใช้แรงทั้งหมดดันคนตัวใหญ่กว่าออก แล้วลงน้ำหนักฝ่ามือไปที่ใบหน้าหล่อเหลาเสียแล้ว

     

    “แต่ฉันไม่ชอบนาย!

     

           ซาวามูระแสดงสีหน้าไม่ถูก ทำได้เพียงวิ่งแจ้นออกไปโดยไม่หันกลับมามองคู่กรณีอีก มีเพียงเสียงปิดประตูปึงปังใส่คนนิสัยไม่ดีดังไล่หลังกลับมาเท่านั้น

     

     

     

     

     

     

           เช้าวันต่อมาเริ่มต้นขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน เจ้าของห้องปลุกคนเคยเมาโดยการปาหมอนใส่ใบหน้าคมคายนั้นอย่างไม่ออมแรง เจ้าตัวตื่นขึ้นมาหน้ามุ่ยพร้อมควานหาแว่นตาด้วยความสะลึมสะลือ มึนงงว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังเป็นอพาร์ทเม้นท์ของซาวามูระเสียด้วย

     

    จำอะไรไม่ได้เลยสินะ ว่าแล้วว่าเจ้าหมอนี่แค่เมาเท่านั้น

     

    เขาไม่มีทางบอกความจริงไปหรอกว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น

     

           ซาวามูระมองคนใส่แว่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาโวยวายให้อีกฝ่ายรีบกลับไปเสียที เพราะวันนี้มีธุระที่ต้องเข้าไปทำที่มหาวิทยาลัย นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ได้ร่วมดื่มในงานเลี้ยงเมื่อวานมากเท่าไรนัก

     

    “ฉันลาพักร้อนยาว ไม่มีที่ไปแล้วอะ เพราะงั้นขอไปกับนายด้วยแล้วกัน”

     

    “หาไม่ต้องตามมาเลยนะ” หาความเป็นเหตุเป็นผลจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยซักอย่าง โปรมืออาชีพอย่างหมอนี่จะมาวุ่นวายกับเขาทำไมนักหนา ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเสียหน่อย

     

    “ฉันจะเข้าไปส่งงาน นายจะตามมาทำไมเนี่ย”

     

           จนแล้วจนรอด มิยูกิก็เดินกวนประสาทมาตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัย ซาวามูระนำรูปเล่มรายงานไปวางไว้ในห้องพักอาจารย์ ทิ้งให้รุ่นพี่ยืนรออยู่ข้างนอก คุยธุระกับอาจารย์อยู่พักใหญ่ๆ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนๆ นี้เลิกตามติดเสียที ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วหรือไงนะ

     

    รุ่นพี่ซาวามูระ

     

    และเสียงเรียกแต่ไกลก็ทำให้ปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปชะงัก พิชเชอร์หนุ่มหันกลับไปตามต้นเสียง เขาทำหน้าประหลาดใจ

     

    “เจ้าหนูโอคุมูระ มาส่งงานเหมือนกันหรอ”

     

           ร่างสูงโปร่งเจ้าของผมสีทองซีด สวมฮู้ดแขนยาวตัวโคร่งกับกางเกงยีน เดินจากอีกฟากของโถงมาหยุดลงตรงหน้า เขาดูดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยาสารแฟชั่น ส่วนสูงที่เคยไล่เลี่ยตอนนี้ก็มากกว่าคนเป็นพี่เสียแล้ว ติดก็ตรงใบหน้าคมที่ดูจะอ่อนล้าพอสมควร

     

    โอคุมูระส่งเสียงงึมงำในลำคอพลางพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ

     

    “ส่งงานเสร็จแล้วรุ่นพี่ไปไหนไหมครับ ไปกินข้าวกันมั้ย”

     

    แม้จะประหลาดใจกับคำชักชวนของอีกฝ่าย แต่ซาวามูระก็ยังไม่ได้มีแผนของวันนี้อยู่ในหัว

     

    “อ๋อก็ได้นะ จะมาชวนฉันซ้อมหรือไง” คนผมทองส่ายหัวครืดเป็นคำตอบ

     

    “วันนี้ผมขอพัก ยังไม่หายพะอืดพะอมเลย” รุ่นน้องหน้าซีด เจ้าเด็กนี่โดนมอมไปเมื่อวานเสียยกใหญ่ แค่ลากสังขารตัวเองมาถึงนี่ได้ก็มหัศจรรย์แล้ว ต่อให้การฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจะจำเป็นก็เถอะ

     

    เสียใจด้วยนะโอคุมูระคุง หมอนั่นดันนัดกับฉันไว้ก่อน

     

           เสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นของใครคนหนึ่งดังขึ้นแทรกท่ามกลางบทสนทนา เจ้าตัวเองก็สวมเสื้อโค้ทตัวยาวทับเสื้อคอเต่าที่อยู่ด้านใน ซาวามูระหน้าเหวอไปไม่น้อยเมื่อรู้ตัวว่ารุ่นพี่คนนี้ยังไม่ยอมกลับไป

     

    หมอนี่ก็เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสารอีกคน เจ้าพวกนี้มันโตมาแบบไหนกันแน่

     

    “ฉันไปนัดกับนายไว้ตอนไหนห้ะ!

     

    “รุ่นพี่มิยูกิหรอครับ กลับมาญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไร”

     

    ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของรุ่นน้องหมาป่าเดียวดายนิ่งสนิทเสียจนไม่รู้ว่าเจ้าตัวแปลกใจจริงหรือเปล่า

     

    “เฮ้ๆ ฉันก็อยู่ในงานเลี้ยงกับนายเมื่อวานนะ” มิยูกิที่เพิ่งเดินมาถึงระบายยิ้มแห้ง เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปยกแขนพาดบ่าคนเสียงดังแทน

     

    “ว่าแต่นายตามเจ้าบ้านี่มาเรียนที่นี่งั้นหรอ”

     

           พิชเชอร์หนุ่มยกมือมาดันใบหน้าหล่อให้ออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็ฝืนแรงต้านไว้ ดวงตาสีเหลืองทองใต้กรอบแว่นกำลังมองเข้าไปในดวงตาสีเทาของโอคุมูระ

     

    ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ซาวามูระรู้สึกได้ว่าบรรยากาศของคนทั้งคู่น่าขนลุกแปลกๆ

     

    ทำไมต้องจ้องหน้าเหมือนอยากกินหัวกันมากขนาดนั้น

     

    ครับ ผมตั้งใจตามเขามา

     

           เจ้าของประเด็นสนทนาทำหน้างุนงง ถึงจะบอกว่าตามมาก็เถอะ แต่เจ้าหนูหมาป่านี่ไม่เห็นเคยเล่าให้เขาฟัง เลยทำให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ฝ่ายมิยูกิเองก็ระบายยิ้มการค้าที่เขาไม่สามารถเดาออกได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

     

    “ไอ่ฉันก็มาก่อนเพราะอยู่กับหมอนี่มาทั้งคืนซะด้วยสิ” ว่าเท่านั้นไม่พอ ยังดึงร่างคนข้างตัวเข้ามาหาตัวเองด้วย

     

    “เพราะงั้นขอตัวรุ่นพี่นายไปก่อนแล้วกันนะ”

     

    ซาวามูระมีสีหน้าเหรอหรา รู้สึกว่ารูปประโยคที่มิยูกิพูดมันประหลาดพิกลแต่ก็ยังไม่เข้าใจ เขามองหน้าคนสวมแว่นกับรุ่นน้องสลับกันอย่างทำอะไรไม่ถูก แรงดึงจากคนตัวสูงกว่าก็กระชากให้เดินตามไปด้วยแล้ว จนไม่มีจังหวะให้ออกแรงต้านไว้

     

    “เฮ้ ใครบอกว่าจะไปกับนาย! …แล้วก็เจ้าหนูโอคุมูระ ไว้เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้แทนก็แล้วกันนะ”

     

    ไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์แบบนี้คืออะไร แต่เจ้าแว่นนี่ทำตัวเสียมารยาทเสียจนสงสารรุ่นน้องที่อุตส่าห์เข้ามาทักทายอย่างเห็นได้ชัด

     

    เป็นเรื่องปกติที่เขาและโอคุมูระจะเจอกันแทบทุกวันเพราะเหตุผลเรื่องการเป็นแบตเตอรี่ ตัดสินใจกล่าวปิดบทสนทนาไปดีกว่าให้เรื่องมันผ่านไปโดยที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง

     

    แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความตกใจให้ซาวามูระ คือแรงบีบที่ข้อมือจากแคชเชอร์มือโปรหลังจากเขาพูดประโยคนั้นจบลง มันไม่ใช่แรงบีบธรรมดาแต่ทำให้เจ้าของดวงตาคู่โตต้องย่นคิ้วเพราะรู้สึกเจ็บ

     

    “เจ็บนะ แล้วนายจะมาบีบแขนฉันทำไมเนี่ย” พยายามสลัดแขนให้หลุดจากเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล

     

    มิยูกิครองข้อมือของเขาไว้แบบนั้น เลือกที่จะจูงและเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนทัศนียภาพรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป ซ้ำยังเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรซักอย่าง

     

    บรรยากาศแบบนี้ที่ซาวามูระไม่ได้สัมผัสมานาน ความรู้สึกที่ว่าไม่ควรพูดอะไรมากไปกว่านี้ให้อีกฝ่ายโมโหกว่าเดิม

     

    บุคลิกที่สองของมิยูกิ

     

           เขาปล่อยให้คนข้างหน้าเดินนำไปเรื่อยๆ จนคนตัวสูงกว่าเริ่มใจเย็นลง ขายาวทั้งสองข้างเดินมาหยุดหน้าคูที่มีทางน้ำทอดยาวไปเกือบสุดสายตา ลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ผลิพัดให้หญ้าเตี้ยๆ ที่ขึ้นตามทางพลิ้วไหวอย่างแผ่วเบา

     

    คนเป็นพี่หันกลับมาประจันหน้า ใช้ดวงตาคมใต้กรอบแว่นจ้องเข้ามาก่อนถอนหายใจเหมือนยอมแพ้ทุกทางแล้ว

     

    “เพราะแบบนี้คุราโมจิถึงบอกว่านายมันซื่อบื้อ ถ้าไม่พูดตรงๆ คงไม่มีวันรู้เรื่อง”

     

    “หา?”

     

    รูปประโยคมันแปลกพิลึกซาวามูระขมวดคิ้วยุ่ง รู้สึกเหมือนกำลังโดนหลอกด่า

     

    “ฉันอยากฟอร์มแบตเตอรี่กับนาย ยังอยากทำแบบนั้นอยู่ไหม”

     

    ประโยคที่ไม่คาดคิดดังมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย แม้ซาวามูระจะเคยได้ยินมันแล้วครั้งหนึ่งจากปากของคุราโมจิ แต่นั่นก็ทำให้เขาเงียบนิ่งไปได้ทุกครั้ง

     

    เพราะการฟอร์มแบตเตอรี่กับมิยูกิเป็นความฝันของเขาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนที่เซย์โดว

     

    มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งปีของเขากับหมอนี่เท่านั้น ที่ได้ทำแบบนั้นก็เพราะหน้าที่ของเอซและแคชเชอร์หลักของทีม ซาวามูระแกะมือที่เคยกำข้อมือของเขาออกด้วยสีหน้านิ่งสนิท

     

    “นายไม่คิดว่ามันช้าไปหน่อยหรือไง”

     

    ช้าไปสำหรับทุกอย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปนานตั้งสามปีแล้วเพิ่งมาคิดได้หรือไง

     

    “ก็ยอมรับว่าฉันเองก็รู้ตัวช้าไปหลายปีเลยน่ะนะ” มิยูกิหัวเราะพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหลังคอ เสียงหัวเราะกวนบาทาที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งมันก็น่าหมั่นไส้ทุกที

     

    อยู่ๆ เสียงหัวเราะนั้นก็เงียบลง และแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสงบ บุคลิกที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาทำให้คู่สนทนาสับสน ยิ่งดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามา ยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก

     

    “ถ้าฉันบอกว่าเมื่อวานฉันไม่ได้เมา แต่แค่แกล้งนายเฉยๆ ล่ะ”

     

    คนตัวเล็กกว่าแสดงสีหน้างุนงง เขากำลังค่อยๆ ประมวลผล ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีละอย่างสองอย่าง

     

    พอรู้ตัว ความร้อนก็ตีขึ้นมาบนใบหน้าจนฉาบไปด้วยสีแดงกล่ำ

     

    “แต่ฉันเกลียดนาย ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!” ปลายเท้ามันก็พาทั้งร่างกระเด้งออกจากคนตัวสูงโดยอัตโนมัติ ซาวามูระชี้หน้าคนเป็นรุ่นพี่ทั้งสีหน้ายุ่งเหยิง แม้เจ้าตัวจะดูโกรธแต่พวงแก้มยังคงแดงระเรื่อไม่เปลี่ยนแปลง

     

    จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เจ้าสี่ตานี่มันตั้งใจอย่างนั้นหรือ!

     

    “นายไม่ได้เกลียดฉันหรอกซาวามูระ” มิยูกิหัวเราะด้วยเสียงประหลาดๆ แบบที่เขาชอบทำ

     

    “แต่นายยังชอบฉันอยู่ใช่ไหม”

     

    “อย่ามาเออออเองสิ!” ซาวามูระไม่รู้หรอกว่าเขากำลังหงุดหงิดหรือเปล่า แต่รอยยิ้มของหมอนี่มันชวนอยากให้พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อซักรอบ

     

    แต่ฉันชอบนายจริงๆ นะ เรื่องนี้ไม่ได้แกล้ง” มิยูกิระบายยิ้ม รอยยิ้มไม่เหมือนทุกครั้งที่เจ้าตัวมักจะทำเมื่อสนุกกับการแกล้งเขา แต่มันดูทั้งจริงจังและจริงใจ

     

    ซาวามูระยืนมองภาพนั้น เขาไม่ได้หลบสายตาออกไปไหน คิ้วเรียวของเจ้าตัวคลายออก เม้มริมฝีปากเข้าหากันเพราะความคิดที่ตีกันอยู่ในหัว

     

    อยากจะมาก็มาตอนจะหายไปก็หายไปเงียบๆ ตั้งหลายปี

     

    อยู่ๆ ก็มาพูดจาแบบนี้ทั้งที่เรื่องราวมันก็ผ่านมานานแล้ว

     

    ขอโทษนะฉันไม่อยากเป็นแบตเตอรี่กับนายแล้ว” น้ำเสียงของคนตัวเล็กแผ่วเบา เขาไม่ได้ตะโกนโวยวายเหมือนปกติ

     

    “วันนี้ไม่มีธุระกับนายแล้ว แยกย้ายกันแค่นี้แล้วกัน”

     

     

     

     

     

     

    ซาวามูระรู้สึกเหมือนถูกหักหลังเขาจมกับความรู้สึกแย่ๆ แบบนั้นมาหลายปี

     

    ทั้งที่ตอนนั้นมิยูกิก็ปฏิเสธเขาด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้กลับมาเป็นฝ่ายบอกว่าชอบเสียเอง

     

    หลายวันแล้วที่เขาเลือกไม่ติดต่อกับรุ่นพี่แว่นคนนั้น รู้ข่าวมาว่าเจ้าตัวยังคงใช้ช่วงเวลาพักร้อนอยู่ในญี่ปุ่น และยังมาป้วนเปี้ยนอยู่กับคนรอบตัวอยู่ตลอด ราวกับว่าไม่กล้าเขามาหาตรงๆ เพราะคำพูดปฏิเสธเมื่อวันนั้น

     

    “วันนี้รุ่นพี่มิยูกิแวะเข้ามาที่นี่ บอกว่าอยากมารับลูกให้ฉันด้วย”

     

    ระหว่างกำลังสวมชุดซ้อมเบสบอล ฟุรุยะเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในห้องเปลี่ยนชุดด้วยกันก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่”

     

           พวกเขาอยู่ที่สนามซ้อมของมหาวิทยาลัยที่พ่วงเป็นที่ฝึกซ้อมหลักของทีมชาติด้วย ซาวามูระคว้าเอาหมวกแก๊ปใบโปรดของเขามาสวม ก่อนสาวเท้าออกไปจากห้องพร้อมเพื่อนตัวสูง เขาขมวดคิ้วเข้ากันเล็กน้อย

     

    “หรอแล้วหมอนั่นไปไหนแล้วล่ะ”

     

    “กลับไปตั้งแต่ก่อนนายจะเข้ามาซักพักแล้วล่ะ”

     

    บอกตามตรงเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนสวมแว่นต้องการอะไรอีก

     

    คิดถูกไหมนะที่ตอนนั้นพูดออกไปแบบนั้น

     

    การตัดสินใจชั่ววูบจะทำให้เขาพลาดสิ่งที่เคยฝันเอาไว้ไปตลอดกาลหรือเปล่า

     

    ตื๊อ ดึง~

     

    เสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือดังขึ้นมาแทรกความกระอักกระอ่วนนั้น ปกติแล้วซาวามูระมักจะยุ่งอยู่กับการฝึกซ้อมและไม่ได้เมล์คุยกับใครบ่อยนัก เพื่อนสมัยเด็กอย่างวาคานะตอนนี้ก็แทบไม่ได้ติดต่อกันแล้ว

     

    พิชเชอร์หนุ่มหยิบอุปกรณ์ทัชสกรีนของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง รายชื่อผู้ส่งข้อความที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอทำให้ขาทั้งสองข้างพลันชะงักกึกลงทั้งแบบนั้น

     

    รายชื่อที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานสามปีกลับมีการเคลื่อนไหว มันเป็นเพียงข้อความสั้นๆ หลังประโยคสุดท้ายที่สนทนากันยังเป็นคำพูดของเขาที่นัดอีกฝ่ายมาพบกันหลังโรงเรียนเมื่อนานมาแล้ว

     

    ฉันกำลังจะกลับอเมริกาแล้ว

     

    ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม

     

    ณ ตอนนี้มันกลายเป็นเขาเองที่เป็นคนนิสัยไม่ดี อ่านแต่ไม่ตอบข้อความของอีกฝ่ายกลับไปแทน

     

     

     

     

     

     

           แม่น้ำที่วันนั้นมิยูกิสารภาพกับเขา บรรยากาศวันนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยพุ่มหญ้าเตี้ยๆ ที่โบกพัดไปตามสายลม ถนนด้านบนที่ลาดชันสูงขึ้นไปมีคนปั่นจักรยานผ่านให้เห็นอยู่ประปราย ซาวามูระทอดมองไปบนผืนน้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นด้วยสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิด

     

    นัดเขามาเองแท้ๆ แต่ตัวเองกลับเลทมาสิบห้านาทีแล้ว

     

           ตาโตเริ่มเปลี่ยนเป็นดวงตาเหมือนแมว สุดท้ายแล้วเขาก็ดันบ้าจี้ออกมาตามนัดของรุ่นพี่นิสัยไม่ดีคนนั้นจนได้ เพราะประโยคไหนคนร่างโปร่งเริ่มไม่แน่ใจ เพราะอยากเจอหรืออีกฝ่ายกำลังจะกลับอเมริกา

     

    บางทีอาจจะเป็นทั้งคู่สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้แล้ว

     

           จังหวะที่ทั้งร่างถูกสวมกอดอย่างกะทันหันจากด้านหลังทำให้ลมหายใจขาดห้วง ซาวามูระสะดุ้งจนตัวโยน ก่อนกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ที่ติดมาบนเสื้อผ้าจะทำให้รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

     

    “มิยูกิ คาซึยะ!” เขารีบเอาฝ่ามือดันหัวของอีกฝ่ายที่วางลงมาบนบ่าของตัวเองพร้อมขมวดคิ้วยุ่ง

     

    “เอาหน้านายออกไปเลยนะ ทำอะไรเนี่ย”

     

           แต่คนเป็นพี่กลับยอมผละออกง่ายดายกว่าที่คิด อีกฝ่ายยืดตัวเต็มความสูง ก่อนใบหน้าคมคายที่จ้องกลับมาจะแสดงความจริงจังเสียจนซาวามูระไม่ได้โวยวายต่อ

     

    “ทีแรกก็ว่าจะชวนนายเป็นแบตเตอรี่เรื่อยๆ จนกว่าจะใจอ่อน”


    สายตาคู่นั้นที่ฉายออกมาไม่ใช่บุคลิกที่ชอบแกล้งเขา แต่เป็นอีกคน

     

    “แต่ฉันคงต้องเดินทางกลับแล้ว”

     

    “ฉันยังอยากเป็นแบตเตอรี่กับนายอยู่นะ”

     

    ….

     

    ซาวามูระมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายอย่างอดกลั้น เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดชนกัน

     

    รู้ตัวมาซักพักแล้วว่าตัวเองยังชอบหมอนี่อยู่

     

           เพราะผิดหวังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผนวกกับช่วงเวลาที่ห่างกันไปหลายปี เขาปิดรับความรู้สึกแบบนั้นไปแล้ว ชายหนุ่มเคยคิดว่าตัวเองเลิกชอบผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนี้ไปแล้ว

     

           แต่กลับต้องพับความคิดนั้นเก็บไปเมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ระยะเวลาที่ผ่านไปสามปียังทำให้เขารู้สึกเหมือนเดิม ต่างกันที่ต่างฝ่ายต่างเติบโตขึ้นก็เท่านั้น โดยที่ไม่รู้ตัว ทุกช่วงเวลาที่ฟอร์มแบตเตอรี่กับใครคนอื่นเพื่อแข่งขัน ภาพของคนๆ หนึ่งมันคอยซ้อนทับอยู่ตลอด


        การฟอร์มแบตเตอรี่ก็เหมือนการประสานความคิดเข้าด้วยกัน ด้วยสัญญาณมือไม่กี่อย่างและสายตาที่เพียงแค่มองก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อแล้ว มันก็เหมือนกับการเชื่อมหัวใจเข้าด้วยกัน แม้จะเป็นแค่บนสนามรูปพัดก็ตาม

     

           เขารู้สึกเสียดายที่เวลาให้ฟอร์มแบตเตอรี่ด้วยกันมีแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น รู้สึกว่ามันไม่เคยพอมาตลอด ใบหน้ากลมมนก้มต่ำ ซาวามูระรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะร่วงเผาะลงมาตอนนี้

     

    “ฉันโกหกนาย เรื่องแบตเตอรี่!

     

    ถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว

     

    “ฉันอยากฟอร์มแบตเตอรี่กับนายตั้งแต่ก่อนเข้าเซย์โดวมาจนถึงตอนนี้ แต่ฉันไม่กล้าบอก” ดวงตาคู่โตของคนน้องจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมของมิยูกิ เป็นครั้งแรกที่เขามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแน่วแน่แบบนี้

     

    นายเป็นเป้าหมายของฉันมาตั้งแต่แรก เป็นมาตลอด

     

    ไม่สนแล้วว่าหมอนี่จะพูดอะไรใส่เขาเหมือนหลายปีที่แล้วหรือเปล่า

     

    “นายนั่นแหละทำให้ฉันหักหลังเพื่อนมาเรียนที่เซย์โดว!” พวงแก้มทั้งสองข้างมันร้อนผะผ่าวไปหมด ความรู้สึกภายในอกกับกำลังตีกันมั่วเหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ

     

    “ฉันโคตรเกลียดนายเลย เจ้าบ้ามิยูกิ!

     

    อุ๊บ

     

           แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาจากคนใส่แว่นกลับกลายเป็นการระเบิดหัวเราะเสียงดัง ซาวามูระหน้าเหวอเมื่อเห็นอีกฝ่ายขำจนหน้าแดงและเจ็บท้องไปหมด ได้แต่มองค้อนและโวยวายกลับไปว่ามันมีอะไรน่าขำนักหนา ช็อตฟีลคนที่น้ำตาคลอเบ้าให้แห้งเหือดลงได้ทันตา

     

           มิยูกิเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตาตัวเองออกหลังหัวเราะจนเหนื่อย ใบหน้าของเขาคงรอยยิ้มเอาไว้แบบนั้น แม้แต่ซาวามูระที่ว่าซื่อบื้อก็ยังมองออก

     

    มันไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่ชอบแกล้ง แต่หมอนี่กำลังยิ้มเพราะดีใจมากต่างหาก

     

    “แปลว่านายยอมฟอร์มแบตเตอรี่กับฉันแล้วใช่ไหม”

     

    ยังไม่หุบยิ้มอีก รอยยิ้มแบบนั้นมันทำให้คนน้องร้อนที่ใบหน้าจนรู้สึกเหมือนจะไหม้

     

    “ก็เออสิ”

     

    “นี่ ซาวามูระ ฉันมีอะไรจะบอก” แต่แล้วสายตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแววตาขี้เล่นแบบบุคลิกกวนประสาทที่ชอบทำกับเขาคนเดียว จนอดรู้สึกระแวงขึ้นมาไม่ได้

     

    “อะไรอีก!

     

    “ที่บอกว่าจะกลับอเมริกาน่ะ ฉันล้อเล่นนะ”

     

    “ว่าไงนะ!” พูดด้วยใบหน้าระรื่นแล้วยังระเบิดหัวเราะออกมาอีกระลอก ซาวามูระรีบง้างแขนจะคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย แต่มิยูกิก็วิ่งหลบออกไปได้เสียก่อน

     

    ตั้งใจพูดแบบนั้นเพื่อให้เขายอมเปิดปากพูดความจริงอย่างนั้นหรือ

     

    “ฉันจะฆ่านายให้ตายตรงนี้แหละเจ้าโรคจิต!

     

    พอวิ่งไล่ คนตัวสูงกว่าก็ยิ่งวิ่งหนี ยังมีหน้ามีหัวเราะฮ่าฮ่าใส่อีก นิสัยกวนประสาทของหมอนี่จะกี่ปีก็แก้ไม่ได้

     

    คนอายุมากกว่าตะโกนสนทนากับใครอีกคนที่ยังไม่เลิกวิ่งไล่ พื้นที่แห่งนี้มีแต่เสียงของเขาและคำโวยวายจากรุ่นน้องที่ชอบแกล้งมากที่สุดเท่านั้น

     

    “เท่านี้ก็แสดงว่านายเป็นแฟนฉันแล้วใช่ไหม”

     

    “แค่ฟอร์มแบตเตอรี่ไม่ได้แปลว่าเป็นแฟนเว้ย!

     

    “ไม่ได้พูดซักคำเลย!

     

           ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะอย่างที่ไม่เคยทำมาหลายปีด้วยความรู้สึกดีใจจากก้นบึ้งของหัวใจ มีหลายครั้งที่เห็นแก้มแดงๆ ของเด็กตรงหน้าแล้วรู้สึกว่ามันน่ากัดชะมัดขึ้นมา

     

    คิดถูกแล้วจริงๆ ที่เลือกทำตามความรู้สึกของตัวเอง

     

           พอเมฆฝนที่เคยบดบังความรู้สึกที่แท้จริงจางหายไป อะไรทุกอย่างมันก็กระจ่างชัดขึ้นมากระแทกสายตา การเดินตามหัวใจตัวเองอย่างตั้งใจซักครั้งหนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีความสุขขนาดนี้มาก่อน

     

    ถ้าแบ่งสมองที่ใครๆ ก็ว่าเก่งนักเก่งหนามากับเรื่องความรู้สึกของตัวเองบ้าง เรื่องราวมันก็คงไม่ยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้

     

    แต่อย่างน้อยมิยูกิก็ได้รู้ว่าความรู้สึกของทั้งเขาและซาวามูระ แม้จะผ่านไปนานหลายปีมันก็ยังมั่นคงเช่นเดิม

     

           แต่ทุกอย่างมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เขาเริ่มหันหน้ามาเปิดเผยความรู้สึกที่มีของตัวเองกับอีกฝ่ายตรงๆ ส่วนคนน้องที่แม้จะเรียบเรียงประโยคทุกอย่างไม่เรียบร้อยแต่ก็ซื่อตรงกับความรู้สึกทุกอย่างจนประมวลผลตามได้ไม่ยาก

     

    จนกว่ารุ่นน้องคนนี้จะยอมรับให้เขาเข้าไปเป็นคนสำคัญในชีวิต ก็ยังมีอีกหลายด่านและคู่แข่งขวางทางอยู่ตรงหน้า

     

     

    แต่ครั้งนี้ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ เสียเมื่อไรกันล่ะ… 





    THE END...




              

    จบแล้ววว สำหรับเรื่องนี้คือ short fic จริงๆ ไม่ได้แต่งฟิคสั้นแบบนี้มานานมากแล้ว
    มิยูกินี่มันมิยูกิจริงๆ ค่ะ คงคาแรคเตอร์ยันตอนสุดท้ายเลย
    ไรเตอร์ชอบความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนมากๆ 
    เขียนจบเองก็เขินเอง หุบยิ้มไม่ได้เพราะเขินมาก

    สุดท้ายทั้งคู่ก็ยอมทิ้งอีโก้และทำตามหัวใจตัวเองซักที
    แต่ยังไงทุกอย่างมันก็แค่เริ่มต้นเนอะ ทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะมากน้อย
    ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันทั้งนั้นค่ะ ก็เลยจบแบบปลายเปิดแบบนี้ไปเลย;-;

    //อยากแต่งดาร์กมิยูกิจังเลยน้าา (นี่ก็บ่นไม่หยุด) แต่ยังนึกพลอตไม่ออก
    ไม่อยากให้มันออกมาในรูปแบบให้ซาวามูระโดนข่มเหง สงสารน้องTT

    สำหรับเรื่องหน้าเป็นคิวของฟิค My hero academia ค่ะ
    ไรเตอร์ชิปคู่คัตเดเป็นหลัก พลอตเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ(?)
    ซึ่งไรเตอร์ก็อยากแต่งมากๆ เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นขอไปเคลียร์ฟิคอีกบทความ
    และอาจจะเข้ามาอัพได้ไม่เร็วนัก เนื่องจากติดภาระเรื่องงานประจำนะคะTT

    ยังไงก็ตามฝากติดตามผลงานเรื่องหน้าของเรากันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่า :)


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×