NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #34 : ▼ [Daiya no ace] Don't make him mad (Miyuki x Sawamura) - Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.ย. 66


    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)






       





    ขอโทษนะ ฉันไม่สนใจฟอร์มแบตเตอรี่กับนาย”

     

    แม้สีหน้าของคู่สนทนาจะประหลาดใจอย่างมาก แต่ไม่นานคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมาชนกัน ดวงตมคู่โตฉายแววไม่เป็นมิตรเหมือนแมวที่เขาเคยเห็น ขาทั้งสองข้างรีบร้อนพาตัวเองกลับเข้าไปในร้าน

     

    บุหรี่น่ะ เลิกได้ก็ดีนะ

     

    มิยูกิรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยานั้นไม่น้อย ทำได้เพียงยืนเกาศีรษะตัวเองด้วยความงุนงง


    โดนเกลียดเข้าแล้วสินะ

     

    เรื่องมันก็ผ่านมานาน สามปีมาแล้ว พอรู้ตัวว่ามันนานเกินไปที่จะรู้ตัว

     

           มิยูกิพบกับซาวามูระครั้งแรกตอนที่เรย์จังพาเด็กคนนั้นมาที่เซย์โดว ไม่รู้ว่าเป็นคนซื่อตรงหรือซื่อบื้อ เด็กคนนั้นดันไปตกปากท้าทายรุ่นพี่ปีสามเข้า นั่นเป็นความประทับใจแรกที่มิยูกิรู้สึกว่า เด็กคนนี้ตลกชะมัด

     

    และเขาก็ได้รู้ว่าซาวามูระเป็นพวกซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง คิดอะไรก็แสดงออกมาหมด และชายหนุ่มรู้สึกสนุกที่ได้เห็นการโวยวายจากหมอนั่น ความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งมีแค่เพียงกับซาวามูระคนเดียวเท่านั้น

     

    มันก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีนักหรอก แต่ก็เผลอทำจนเป็นนิสัยไปแล้ว

     

           มิยูกิเป็นคนชอบวางแผนและคิดอะไรอยู่ในหัววุ่นวายไปหมด ด้วยนิสัยขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวร่าเริงเดี๋ยวจริงจัง เขามีเพื่อนคนเดียวคือคุราโมจิที่เข้าใจบุคลิกแปลกประหลาดนั้น และเป็นตัวเขาที่เหมือนจะเข้าสังคมกับใครก็ได้ แต่ชีวิตส่วนตัวกลับเลือกไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร

     

    ซาวามูระเป็นคนเดียวที่เผลอหลุดบุคลิกที่สองไป พอมีครั้งที่หนึ่งก็มีครั้งที่สองสามตามมา

     

    ทุกคนบอกว่าเขาเก่งทั้งด้านความรู้และกีฬา สมรรถภาพทางกายที่มีก็โกงคนอื่นทุกอย่างจนน่าอิจฉา

     

    แต่สิ่งหนึ่งที่เขาและซาวามูระเหมือนกันคือ ความซื่อบื้อ

     

           มิยูกิสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ยกเว้นก็เพียงความรู้สึกของตัวเองที่เขาไม่เคยเข้าใจ อาจเพราะซาวามูระเป็นพวกซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง ในวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ถึงได้รู้ว่าหมอนั่นคิดอย่างไรกับเขา

     

           เพราะชายหนุ่มไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาที่เคยชินกับการมีซาวามูระคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวจึงตอบปฏิเสธไปแบบไร้เยื่อใย เวลานั้นมิยูกิมีเพียงความรู้สึกสับสนอยู่ในใจ เขาไม่ได้โกรธซาวามูระ แต่ก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าทำไมจึงเลือกตอบไปแบบนั้น เพียงแค่อยากหลุดออกจากสถานการณ์นั้นให้เร็วๆ ก็เท่านั้น

     

           เขาไม่มีความคิดจะปิดกั้นช่องทางติดต่อกับซาวามูระ ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม และเจ้าตัวไม่รู้ว่าสามปีที่ผ่านมาเด็กคนนั้นจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปแล้วหรือยัง

     

    คุราโมจิคือเพื่อนที่เป็นธุระให้ทุกอย่าง

     

           อาจเพราะเจ้าตัวเป็นอีกคนหนึ่งที่สนิทกับซาวามูระด้วย เด็กคนนั้นสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ของเซย์โดว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนรายล้อมอยู่ตลอด แต่เจ้านั่นกลับวางใจที่จะแชร์ความรู้สึกด้วยกับใครไม่กี่คนเท่านั้น

     

           มิยูกิไม่รู้ว่าคุราโมจิรู้เรื่องราววันนั้นได้อย่างไร แต่คนหัวเขียวกลับมีสีหน้าหงุดหงิดพร้อมจะกินหัวเข้ามาหาเขา พร้อมกล่าวว่ารู้รายละเอียดที่เกิดขึ้นทั้งหมด

     

           เพราะซื่อบื้อ ซาวามูระเคยไม่รู้ตัวว่าตัวเองคิดอย่างไรกับเขา หลายครั้งที่มิยูกิตั้งใจแกล้งปฏิเสธการชวนฟอร์มแบตเตอรี่จากคนน้อง แล้วก็ได้สายตาละห้อยเหมือนลูกหมาตอบกลับมา แต่เจ้านั่นก็ใช่ว่าจะง้อเขาเสียเมื่อไร

     

           ยิ่งตอนที่ได้รู้จักรุ่นพี่คริส หมาน้อยที่เคยป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขากลับไปกระดิกหางให้เจ้าของคนใหม่แทน นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขัดใจอยู่ลึกๆ แต่ไม่เคยได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

     

    ซาวามูระใช้เวลานานถึงสองปี กักเก็บช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันจนถึงที่สุด เจ้าตัวจึงเพิ่งรู้ตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อเขามันไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาทั่วไป

     

    “นายไม่รู้หรอว่ากว่าหมอนั่นจะรู้ตัวมันใช้เวลานานขนาดไหน” คุราโมจินั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า หลังเหตุการณ์สารภาพนั้นเกิดขึ้นไม่กี่วัน เพื่อนผมเขียวก็เรียกเขามาพบกันที่ร้านคาเฟ่ในเมือง

     

    ก็เพราะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนน่ะสิจะบอกว่าใครๆ ก็ดูออกอย่างนั้นหรือ

     

    “พูดเหมือนนายรู้นะ”

     

    คุราโมจิเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนแว่นแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เขาถอนหายใจยาวๆ ใส่อย่างไม่เกรงใจ

     

    เพราะว่าสนิทกับคนทั้งคู่ถึงได้รู้ รู้ละเอียดถึงขั้นว่าสองคนนี้มันซื่อบื้อเหมือนกันด้วย

     

    “เจ้านั่นตาบวมเป่งเลย”

     

    ….

     

    เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงผลกระทบว่าหลังจากพูดแบบนั้นไปจะเกิดอะไรขึ้น พิธีจบการศึกษาทำให้ต้องแยกย้ายกับเพื่อนและทีมเบสบอล มันค่อนข้างรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนอะไรหลายอย่างที่เคยมีขาดหายไป ข้อความที่เคยส่งไปแหย่เด็กนั่นบางคราวในเวลานี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะกดพิมพ์ส่งไป เหมือนตัดความสัมพันธ์กันไปดื้อๆ เท่านั้น

     

    “รู้สึกแย่ใช่ไหม ไม่รู้จะจัดการคำพูดตัวเองยังไง” อดีตช็อตสต็อปพูดแทงใจดำ มิยูกิมองคนตรงหน้าที่มีสีหน้าจริงจังกว่าปกติแล้วเกาศีรษะงงๆ

     

    มันก็ใช่”

     

    ยังเอาออกจากหัวไม่ได้ใบหน้าของเด็กนั่นยังติดตา แต่เขากลับไม่กล้าติดต่อไปหาทุกช่องทาง

     

    “ฉันคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่อยากให้นายลองไปทบทวนความรู้สึกตัวเองดีๆ”

     

    “ซาวามูระต่างจากคนอื่นยังไง ลองไปคิดดู ว่าทำไมนายถึงชอบแกล้งหมอนั่นนัก”

     

    “พูดอะไรของนาย ฉันแค่แกล้งเพราะอยากแกล้งแค่นั้น” แม้ใบหน้าจะยังสับสน แต่มิยูกิกลับตอบคำถามนั้นไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่ผ่านการกลั่นกรองมาก่อน ส่งให้คนฟังที่ตั้งใจรอคำตอบหงุดหงิดอย่างมาก

     

    “อยากเตะนายตอนนี้เลยว่ะ ไม่ได้บอกว่าให้ตอบตอนนี้ซักหน่อย”

     

    ในตอนนั้นมิยูกิยังประมวลผลอะไรไม่ได้มากนัก ในหัวของเขามีเพียงความรู้สึกสับสนราวกับถูกเมฆฝนมาบดบังเอาไว้

     

    “เวลาไม่ได้มีให้นายตลอดไปหรอกนะจะไปจากญี่ปุ่นแล้วนี่”

     

    “อืม เซ็นสัญญาเป็นโปรไปแล้วน่ะ”

     

    แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ในตอนนี้คือมันไม่มีเวลาเหลืออยู่แล้วต่างหาก

     

     

     

     

     

     

           ชีวิตหลังจบมัธยมปลายของเขาดำเนินไปอย่างยากลำบาก ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ภาษา กายภาพ และอะไรอีกหลายอย่างทำให้มิยูกิต้องเผชิญกับการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ ชีวิตในฐานะแคชเชอร์และแบตเตอร์ในต่างแดนของเขาไม่ได้ราบรื่นเท่าไรนัก ความแตกต่างของระดับเบสบอลม.ปลายกับมืออาชีพมันมีระยะทางมากโข

     

           เขาใช้เวลาสองสามปีกว่าอะไรทุกอย่างจะเริ่มอยู่ตัวและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ พองานวิ่งเข้าชนก็กลายเป็นว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนั้นจนไม่ทันได้รู้ตัว

     

           ความเหงาเข้ามาจู่โจมหลายครั้งตอนที่เขาอยู่คนเดียว รสชาติของการเป็นผู้ใหญ่ทำให้เริ่มรู้ตัวว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต คนที่เคยรู้จักเริ่มติดต่อกันน้อยลง บุหรี่กลายเป็นที่พึ่งยามเครียดนานๆ ครั้งของเขา ใบหน้าโง่ๆ ของใครคนหนึ่งลอยขึ้นมากวนใจอยู่บ่อยๆ ในตอนที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

     

    ไม่น่าไปพูดแบบนั้นใส่หมอนั่นเลยแท้ๆ

     

           เขาพาตัวเองเข้าสู่เส้นทางโปรเพลย์เยอร์ที่มีชื่อเสียงดังไปทั่วโลก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบสอบถามข่าวสารของเด็กคนนั้นผ่านคนรู้จักอยู่ตลอด ซาวามูระเป็นนักเบสบอลทีมชาติพร้อมฟุรุยะคู่แข่งของเขา ซ้ำยังมีโอคุมูระติดสอยห้อยตามมาเป็นแบตเตอรี่ด้วย

     

    โอคุมูระ โคชู

     

    ได้ยินชื่อนี้ทีไรแล้วมิยูกิก็รู้สึกขัดใจนิดหน่อย ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไม

     

           ถ้าให้ถามว่าทำไมถึงชอบแกล้งซาวามูระนัก แต่ก่อนก็คงตอบว่าเพราะอยากแกล้ง ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แต่ถ้าให้ขยายความซักหน่อย คงเพราะสนุกที่ได้ยินเสียงโวยวายของหมอนั่นล่ะมั้ง

     

    นึกๆ ดูแล้วก็เป็นรุ่นพี่ที่นิสัยเสียใช้ได้ แต่ใบหน้าของเจ้านั่นตอนโวยวายมันตลกดี มีบางครั้งที่เผลอคิดไปว่าใบหน้าแดงๆ นั่นมันน่ารักดี

     

    อีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้ซาวามูระยอมพูดคุยและเห็นเขาพิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อย

     

    มิยูกิเพิ่งตระหนักกับตัวเองได้หลังจากผ่านไปนานพอสมควร ว่านั่นคือพฤติกรรมของ เด็ก ที่มักจะแกล้งคนที่ตัวเองชอบเพื่อเรียกร้องความสนใจ และเขาก็เป็นคนแบบนั้นจริงๆ

     

    เขารู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยตอนที่ซาวามูระสนใจรุ่นพี่คริสอย่างออกนอกหน้าจนกลายเป็นการเมินตัวเขา แต่ตอนนั้นก็ยังไม่สามารถอธิบายตัวเองได้อยู่ดีว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นการแกล้งซาวามูระจึงเป็นสิ่งเดียวที่หยุดทำไม่ได้

     

    มิยูกิ คาซึยะ!

     

           เสียงตะโกนเรียกชื่อ-นามสกุลเต็ม และคำพูดคำจาไม่เคารพแบบนั้น ซาวามูระแสดงออกแค่กับเขาคนเดียว กับรุ่นพี่คนอื่นกลับสุภาพด้วยราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า นั่นเป็นความพิเศษที่หมอนั่นมอบให้เขาคนเดียวหรือเปล่านะ

     

    เขาไม่ได้เข้าหาหรือสนิทกับคนอื่นได้ง่ายขนาดนั้น เพราะมันไม่รู้จะทำวิธีไหนแล้วนี่

     

           จนกระทั่งช่วงเวลาที่อยู่ปีสาม เขาได้รับบทบาทกัปตันทีมมา ด้วยภาระและอำนาจในการตัดสินใจทำให้มีเวลาร่วมกับหมอนั่นน้อยลง และซาวามูระก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องนั้น แม้เจ้าตัวจะได้เป็นเอซของทีมสมใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องอยากฟอร์มแบตเตอรี่กับเขาพร่ำเพรื่ออีกต่อไป

     

    แต่ก็นะ เป็นเพราะเขาเป็นแคชเชอร์หลักของทีม

     

    ไม่ว่าอย่างไรเอซก็ต้องฟอร์มแบตเตอรี่กับเขาอยู่แล้วนั่นทำให้รู้สึกชนะขึ้นมานิดหน่อย

     

           จนการปรากฏตัวของโอคุมูระเกิดขึ้น จริงอยู่ว่ามิยูกิซื่อบื้อเรื่องความรู้สึกของตัวเอง แต่เขาก็พอรับรู้ได้ว่ารุ่นน้องปีหนึ่งคนนั้นมีความรู้สึกพิเศษให้กับซาวามูระ แม้วิธีแสดงออกจะแปลกๆ แต่สายตาของเด็กคนนั้นกลับมีพิชเชอร์ในใจอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

     

           ตอนที่รู้ว่าคนทั้งคู่ฟอร์มแบตเตอรี่ด้วยกันมาหลายปี มิยูกิอยากกลับญี่ปุ่นไปเสียตอนนั้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้ากลับไป จะกลับไปในฐานะอะไรก็ปฏิเสธเขาไปแล้วนี่

     

    ตอนนี้ความรู้สึกของซาวามูระจะเป็นอย่างไรจะเกลียดเขาไปแล้วหรือยังนะ

     

    คุราโมจิ ฉันจะทำยังไงดี”

     

    ตอนที่เพิ่งเข้าใจความรู้สึกตัวเอง เขาติดต่อกลับไปหาเพื่อนตัวเล็กและโดนสวดกลับมายับว่ารู้ตัวช้าเกินไปแล้ว ก็มีแต่เจ้าหมอนี่ที่เขาเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ และยังติดต่อกับซาวามูระอยู่เท่านั้น

     

    ผ่านไปหลายปีเขาก็ยังสลัดเรื่องของเด็กเสียงดังคนนั้นออกไปจากหัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าเจ้านั่นทำอะไรกับเขาไว้ แต่เพราะตารางแข่งที่ชนกันอยู่บ่อยๆ โอกาสที่จะได้นัดพบปะกันจึงมีน้อยนัก

     

           มิยูกิตัดสินใจบากหน้าไปชวนคนรู้จักในวงการเบสบอลเพื่อหาข้ออ้างในการรวมตัวกันอีกครั้ง นอกจากเหตุผลนี้เขาก็ไม่รู้จะเจอกับซาวามูระได้อย่างไรแล้ว

     

           ไม่ว่าเขาจะฟอร์มแบตเตอรี่กับคนที่เก่งจากทุกมุมโลกมาอย่างไร ใบหน้าโง่ๆ ละหุ่นเพรียวของเด็กนั่นก็ซ้อนทับกันอยู่ทุกครั้ง มิยูกิครุ่นคิดหลายต่อหลายครั้งมีคนๆ เดียวเท่านั้นที่เขาอยากฟอร์มแบตเตอรี่ด้วย

     

     

     

     

     

     

    “โดนเกลียดเข้าแล้วอะ”

     

           กลับมาที่วงรียูเนียนของศิษย์เก่าเซย์โดว มิยูกิกระดกแอลกอฮอล์ลงคอเรื่อยๆ โดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาหัวใจที่แหลกสลายของเขาได้ คุราโมจิที่เห็นภาพนั้นได้แต่ดันหัวเพื่อนตัวสูงที่เริ่มเลื้อยมาพิงตัวเองออกเพราะความเมา

     

           ซาวามูระไม่นั่งกับเขาเลย แต่กลับกำลังหัวเราะคิ้กค้ากพร้อมจิ้มสตอว์เบอรี่อันหนึ่งเข้าปากอยู่กับคู่หูยาคุชินั่น แล้วดูสายตาเจ้าพิชเชอร์ซานาดะนั่นสิ ทำตาหวานเชื่อมพร่ำเพรื่อแบบนั้นกับทุกคนเลยไหมนะ จังหวะที่สายตาของเขาบังเอิญไปสบเข้ากับซาวามูระ เห็นแต่ตาขวางๆ เหมือนแมวของหมอนั่นตอบกลับมาทุกที

     

    ไม่เท่าเทียมเลย

     

           มิยูกิดันตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ท่ามกลางความงุนงงของคนรอบตัว ก่อนสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะถัดไปอีกสองตัว น้ำหนักตัวที่โถมลงมากับกลิ่นแอลกอฮอล์ทำให้ซาวามูระสะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ๆ เส้นผมสีน้ำตาลก็เข้ามาคลอเคลียกับไหล่ของเขา พร้อมกับแขนยาวที่โอบไหล่อย่างถือวิสาสะ

     

    “คุยอะไรน่าสนุกดี ขอฉันนั่งด้วยคนสิ” เสียงน่าฟังของมิยูกิยานคางจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ซาวามูระรีบดันใบหน้าและลำตัวของอีกฝ่ายออก แต่ดูเหมือนเจ้าแว่นนี่จะตัวใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะโข

     

    “มิยูกิ คาซึยะ ทำอะไรของนายเนี่ย ออกไปเลยนะ!

     

    เขาพยายามใช้เสียงตะโกนอัดข้างหูจนอีกฝ่ายคิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่เจอกันหลายปีแต่ดันทักทายกันแบบนี้งั้นหรือ มันเป็นวัฒนธรรมที่ฝั่งตะวันตกทำเป็นปกติหรือเปล่า ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็คือญี่ปุ่นนะ

     

    “สวัสดีแคชเชอร์อิเคเม็ง มีคนเยอะๆ น่าสนุกดีนะ” กลายเป็นว่าโทโดโรกิก็เอ่ยทักทายอย่างตื่นเต้นไปด้วย

     

    “สนุกกับผีสิ ช่วยฉันเอาหมอนี่ออกไปที”

     

    “ที่จริงหมอนี่ก็ไม่ได้เมาขนาดลุกไม่ขึ้นนี่ ใช่ไหมล่ะแคชเชอร์มิยูกิ”

     

    “เมื่อกี๊ยังลุกเดินมาถึงนี่ได้อยู่เลย”

     

    เป็นเสียงของซานาดะที่เอ่ยทักทาย เจ้าของชื่อมิยูกิชะงัก เขาเอนตัวกลับมานั่งตัวตรงได้แป๊บหนึ่ง มองหน้าพิชเชอร์ที่มีความสูงไล่เลี่ยกัน ก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนไหล่ของคนข้างตัวอีกครั้ง

     

    “ใครว่าเดินไหว ฉันมึนหัวจะตายอยู่แล้ว” ซาวามูระทั้งผลักทั้งดันคนใส่แว่นออกแต่ก็ยังไม่เป็นผล

     

    สุดท้ายคนตัวสูงก็เปลี่ยนเป้าหมายมาทิ้งตัวลงบนตักนิ่มของรุ่นน้องแทน เล่นเอาเจ้าตัวโวยวายเสียงดังลั่นร้าน

     

    “แบบนี้สบายกว่าเยอะเลย ราตรีสวัสดิ์”

     

    “ไม่ตลกเลยนะ ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย เมาจนสมองไหลไปแล้วหรอ!” นิ้วเรียวหยิกไปที่ใบหน้าคมคายนั้นก่อนดึงจนแก้มยืดออก แม้คิ้วของเจ้าตัวจะขมวดเข้าหากันเพราะเจ็บ แต่ก็ไม่ยอมเปิดเปลือกตาออก

     

    ไม่นานนักลมหายใจของร่างนั้นก็เริ่มสม่ำเสมอ ดูเหมือนจะตั้งใจมาหาที่นอนจริงๆ

     

    “ล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย”

     

     

     

     

     

     

    “ขอร้องล่ะรุ่นพี่คุราโมจิ ผมไหว้ก็ได้ พาหมอนี่กลับไปที”

     

           เวลาผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดซาวามูระก็ย้ายหัวของรุ่นพี่แว่นมาวางบนเก้าอี้ของร้านได้ เจ้าตัวนอนหลับอุตุหมดสภาพแคชเชอร์อิเคเม็งที่ใครๆ ก็เรียกกัน งานพบปะจบลงเนื่องจากเวลาที่จวนจะผ่านเป็นวันใหม่ เหลือสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่กำลังไล่เก็บซากนักเบสบอลที่พากันหมดสภาพไปแล้ว

     

    “นายเห็นฉันมีบ้านอยู่ที่นี่หรือไง แค่ห้องฉันก็อัดกันสามคนแล้ว” เสียงจากรุ่นพี่ผมเขียวตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

     

    คุราโมจิที่มาจากต่างจังหวัดเช่าโรงแรมเป็นการเฉพาะกิจไว้ และห้องของเขาก็มีมาสึโกะกับรุ่นพี่ยูกิที่เมาคอพับไปอีกคนเป็นผู้เข้าพักในคืนนี้ เมื่อรู้ตัวว่าการร้องขอไม่ประสบผลสำเร็จ ดวงตาโตของพิชเชอร์ก็รีบตวัดมองไปที่ร่างหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี

     

    “คาเนมารู้ววว!

     

    “ตรงนี้ก็สองคนแล้วเว้ย” พอจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทุกข์กันมาตั้งแต่มัธยมปลายอย่างผู้จัดการทีมก็เป็นอันได้รับการตอบปฏิเสธกลับมาทันที สภาพคาเนมารุเองก็กำลังแบกโอคุมูระกับฟุรุยะอยู่ด้วยความทุลักทุเล

     

    “ไม่เอาอะ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย!” ซาวามูระหันกลับไปมองคนผมเขียวด้วยสายตาเหมือนลูกหมา

     

    รุ่นพี่ก็รู้เรื่องราวระหว่างเขากับเจ้าหมอนี่ดี มันต้องไม่ลงเอยแบบนี้สิ

     

    “มีแค่นายที่ดูแลเจ้านั่นได้อะ หมอนั่นมาจากต่างประเทศไม่มีที่พักด้วย โทษทีนะซาวามูระ”

     

    เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าแว่นนี่ไม่มีเพื่อนคบ

     

    เขาลำบาก แต่ทุกคนก็ลำบากเหมือนกันไม่ได้คิดกันไว้เลยสินะว่าหลังจากจบงานจะกลับกันอย่างไร

     

    ซาวามูระทอดมองคนตัวสูงที่นอนหลับปุ๋ยอยู่พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย


    เขาควรจะทำอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ดีนะ

     

     

     

     

     

     

    “เฮ้ เจ้าสี่ตา ตื่นมาเดินเองเดี๋ยวนี้เลยนะ ตัวนายโคตรหนักเลย!

     

           พิชเชอร์ทีมชาติที่ใครๆ ต่างก็รู้จักกำลังเซไปซ้ายทีขวาที เมื่อสภาพคนที่ใช้เขาเป็นขาเดินแทนดันมีขนาดตัวต่างกันมากไปหน่อย นิ้วเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของอีกฝ่าย หวังจะควานหากระเป๋าสตางค์หรือมือถือซักเครื่อง

     

    “อย่าล้วง อย่าล้วงงง” เสียงที่เขาเคยคิดว่ามันน่าฟังพูดยานคาง พลางกระชับวงแขนมาล็อคคอคนข้างตัวให้แน่นขึ้น

     

    ซาวามูระรีบดันใบหน้าหล่อของอีกฝ่ายออกห่างพร้อมว่ากลับ

     

    “ไม่ล้วงมันก็หยิบมือถือนายไม่ได้สิ!

     

    ก็ไม่ได้อยากมายืนทำอะไรพิลึกๆ แบบนี้ซักหน่อย

     

    “ที่อยู่นายอยู่ไหนเนี่ย บ้านนายก็อยู่ในเมืองไม่ใช่หรือไง” มิยูกิเป็นเด็กในเมือง เขาจำได้ดี เจ้าตัวอยู่กับพ่อที่โรงแปรรูปโลหะชื่อเดียวกันกับนามสกุล

     

    ในที่สุดคนตัวเล็กกว่าก็พยายามคว้ามือถือเครื่องหนึ่งออกมาได้สำเร็จ แบตเตอรี่เจ้ากรรมก็ดันร้องเตือนและสิ้นชีพลงอย่างถูกจังหวะ และสิ่งที่ใครๆ สมัยนี้ต่างก็ทำเป็นเรื่องปกติคือการไม่พกกระเป๋าสตางค์ซาวามูระถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง

     

     

    จบแล้วชีวิตนี้







              

    มาอัพพาร์ทสองแล้วค่าา มาดูฝั่งมิยูกิกันบ้างดีกว่าว่าคิดอะไรในใจ
    ในเรื่องเราว่าน้องไล่ตามอิหมีเยอะไปค่ะ หมั่นไส้ 
    ให้มันรู้บ้างว่าตอนที่โดนน้องเมินบ้างจะเป็นยังไง5555555

    แต่มิยูกิกับซาวามูระอยู่ด้วยกันแล้วจะให้มันหวานแหววปกติไม่ได้ค่ะ
    มันจะต้องมีเรื่องวุ่นวายอะไรซักอย่างตามมา
    จริงๆ ไรเตอร์ชอบบุคลิกอิหมีในฟิคนี้มากๆ เลยค่ะ อ่อนโยน ซื่อบื้อ แล้วก็ฉลาดในคนเดียวกัน
    มีความขี้งอนเหมือนหมาน้อยอยู่ในตัว มาแบบเวอร์ชันที่ความคิดโตขึ้นมากกว่าม.ปลายแล้ว
    มาดูซิว่าจะลงเอยกันยังไงนะ

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)


    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×