คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : ▼ [Daiya no ace] Don't make him mad (Miyuki x Sawamura) - Part 2
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
“ขอโทษนะ ฉันไม่สนใจฟอร์มแบตเตอรี่กับนาย”
แม้สีหน้าของคู่สนทนาจะประหลาดใจอย่างมาก แต่ไม่นานคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมาชนกัน ดวงตมคู่โตฉายแววไม่เป็นมิตรเหมือนแมวที่เขาเคยเห็น ขาทั้งสองข้างรีบร้อนพาตัวเองกลับเข้าไปในร้าน
“บุหรี่น่ะ เลิกได้ก็ดีนะ”
มิยูกิรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยานั้นไม่น้อย ทำได้เพียงยืนเกาศีรษะตัวเองด้วยความงุนงง
โดนเกลียดเข้าแล้วสินะ…
เรื่องมันก็ผ่านมานาน… สามปีมาแล้ว พอรู้ตัวว่ามันนานเกินไปที่จะรู้ตัว
มิยูกิพบกับซาวามูระครั้งแรกตอนที่เรย์จังพาเด็กคนนั้นมาที่เซย์โดว ไม่รู้ว่าเป็นคนซื่อตรงหรือซื่อบื้อ เด็กคนนั้นดันไปตกปากท้าทายรุ่นพี่ปีสามเข้า นั่นเป็นความประทับใจแรกที่มิยูกิรู้สึกว่า เด็กคนนี้ตลกชะมัด
และเขาก็ได้รู้ว่าซาวามูระเป็นพวกซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง คิดอะไรก็แสดงออกมาหมด และชายหนุ่มรู้สึกสนุกที่ได้เห็นการโวยวายจากหมอนั่น ความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งมีแค่เพียงกับซาวามูระคนเดียวเท่านั้น
มันก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีนักหรอก แต่ก็เผลอทำจนเป็นนิสัยไปแล้ว
มิยูกิเป็นคนชอบวางแผนและคิดอะไรอยู่ในหัววุ่นวายไปหมด ด้วยนิสัยขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวร่าเริงเดี๋ยวจริงจัง เขามีเพื่อนคนเดียวคือคุราโมจิที่เข้าใจบุคลิกแปลกประหลาดนั้น และเป็นตัวเขาที่เหมือนจะเข้าสังคมกับใครก็ได้ แต่ชีวิตส่วนตัวกลับเลือกไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร
ซาวามูระเป็นคนเดียวที่เผลอหลุดบุคลิกที่สองไป พอมีครั้งที่หนึ่งก็มีครั้งที่สองสามตามมา
ทุกคนบอกว่าเขาเก่งทั้งด้านความรู้และกีฬา สมรรถภาพทางกายที่มีก็โกงคนอื่นทุกอย่างจนน่าอิจฉา
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาและซาวามูระเหมือนกันคือ ‘ความซื่อบื้อ’
มิยูกิสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ยกเว้นก็เพียงความรู้สึกของตัวเองที่เขาไม่เคยเข้าใจ อาจเพราะซาวามูระเป็นพวกซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง ในวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ถึงได้รู้ว่าหมอนั่นคิดอย่างไรกับเขา
เพราะชายหนุ่มไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาที่เคยชินกับการมีซาวามูระคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวจึงตอบปฏิเสธไปแบบไร้เยื่อใย เวลานั้นมิยูกิมีเพียงความรู้สึกสับสนอยู่ในใจ เขาไม่ได้โกรธซาวามูระ แต่ก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าทำไมจึงเลือกตอบไปแบบนั้น เพียงแค่อยากหลุดออกจากสถานการณ์นั้นให้เร็วๆ ก็เท่านั้น
เขาไม่มีความคิดจะปิดกั้นช่องทางติดต่อกับซาวามูระ ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม และเจ้าตัวไม่รู้ว่าสามปีที่ผ่านมาเด็กคนนั้นจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปแล้วหรือยัง
คุราโมจิคือเพื่อนที่เป็นธุระให้ทุกอย่าง…
อาจเพราะเจ้าตัวเป็นอีกคนหนึ่งที่สนิทกับซาวามูระด้วย เด็กคนนั้นสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ของเซย์โดว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนรายล้อมอยู่ตลอด แต่เจ้านั่นกลับวางใจที่จะแชร์ความรู้สึกด้วยกับใครไม่กี่คนเท่านั้น
มิยูกิไม่รู้ว่าคุราโมจิรู้เรื่องราววันนั้นได้อย่างไร แต่คนหัวเขียวกลับมีสีหน้าหงุดหงิดพร้อมจะกินหัวเข้ามาหาเขา พร้อมกล่าวว่ารู้รายละเอียดที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เพราะซื่อบื้อ ซาวามูระเคยไม่รู้ตัวว่าตัวเองคิดอย่างไรกับเขา หลายครั้งที่มิยูกิตั้งใจแกล้งปฏิเสธการชวนฟอร์มแบตเตอรี่จากคนน้อง แล้วก็ได้สายตาละห้อยเหมือนลูกหมาตอบกลับมา แต่เจ้านั่นก็ใช่ว่าจะง้อเขาเสียเมื่อไร
ยิ่งตอนที่ได้รู้จักรุ่นพี่คริส หมาน้อยที่เคยป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขากลับไปกระดิกหางให้เจ้าของคนใหม่แทน นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขัดใจอยู่ลึกๆ แต่ไม่เคยได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
ซาวามูระใช้เวลานานถึงสองปี กักเก็บช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันจนถึงที่สุด เจ้าตัวจึงเพิ่งรู้ตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อเขามันไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาทั่วไป
“นายไม่รู้หรอว่ากว่าหมอนั่นจะรู้ตัวมันใช้เวลานานขนาดไหน” คุราโมจินั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า หลังเหตุการณ์สารภาพนั้นเกิดขึ้นไม่กี่วัน เพื่อนผมเขียวก็เรียกเขามาพบกันที่ร้านคาเฟ่ในเมือง
ก็เพราะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนน่ะสิ… จะบอกว่าใครๆ ก็ดูออกอย่างนั้นหรือ
“พูดเหมือนนายรู้นะ”
คุราโมจิเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนแว่นแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เขาถอนหายใจยาวๆ ใส่อย่างไม่เกรงใจ
เพราะว่าสนิทกับคนทั้งคู่ถึงได้รู้… รู้ละเอียดถึงขั้นว่าสองคนนี้มันซื่อบื้อเหมือนกันด้วย
“เจ้านั่นตาบวมเป่งเลย”
“….”
เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงผลกระทบว่าหลังจากพูดแบบนั้นไปจะเกิดอะไรขึ้น พิธีจบการศึกษาทำให้ต้องแยกย้ายกับเพื่อนและทีมเบสบอล มันค่อนข้างรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนอะไรหลายอย่างที่เคยมีขาดหายไป ข้อความที่เคยส่งไปแหย่เด็กนั่นบางคราวในเวลานี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะกดพิมพ์ส่งไป เหมือนตัดความสัมพันธ์กันไปดื้อๆ เท่านั้น
“รู้สึกแย่ใช่ไหม ไม่รู้จะจัดการคำพูดตัวเองยังไง” อดีตช็อตสต็อปพูดแทงใจดำ มิยูกิมองคนตรงหน้าที่มีสีหน้าจริงจังกว่าปกติแล้วเกาศีรษะงงๆ
“…มันก็ใช่”
ยังเอาออกจากหัวไม่ได้… ใบหน้าของเด็กนั่นยังติดตา แต่เขากลับไม่กล้าติดต่อไปหาทุกช่องทาง
“ฉันคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่อยากให้นายลองไปทบทวนความรู้สึกตัวเองดีๆ”
“ซาวามูระต่างจากคนอื่นยังไง …ลองไปคิดดู ว่าทำไมนายถึงชอบแกล้งหมอนั่นนัก”
“พูดอะไรของนาย ฉันแค่แกล้งเพราะอยากแกล้งแค่นั้น” แม้ใบหน้าจะยังสับสน แต่มิยูกิกลับตอบคำถามนั้นไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่ผ่านการกลั่นกรองมาก่อน ส่งให้คนฟังที่ตั้งใจรอคำตอบหงุดหงิดอย่างมาก
“อยากเตะนายตอนนี้เลยว่ะ ไม่ได้บอกว่าให้ตอบตอนนี้ซักหน่อย”
ในตอนนั้นมิยูกิยังประมวลผลอะไรไม่ได้มากนัก ในหัวของเขามีเพียงความรู้สึกสับสนราวกับถูกเมฆฝนมาบดบังเอาไว้
“เวลาไม่ได้มีให้นายตลอดไปหรอกนะ… จะไปจากญี่ปุ่นแล้วนี่”
“อืม… เซ็นสัญญาเป็นโปรไปแล้วน่ะ”
แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ในตอนนี้… คือมันไม่มีเวลาเหลืออยู่แล้วต่างหาก
ชีวิตหลังจบมัธยมปลายของเขาดำเนินไปอย่างยากลำบาก ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ภาษา กายภาพ และอะไรอีกหลายอย่างทำให้มิยูกิต้องเผชิญกับการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ ชีวิตในฐานะแคชเชอร์และแบตเตอร์ในต่างแดนของเขาไม่ได้ราบรื่นเท่าไรนัก ความแตกต่างของระดับเบสบอลม.ปลายกับมืออาชีพมันมีระยะทางมากโข
เขาใช้เวลาสองสามปีกว่าอะไรทุกอย่างจะเริ่มอยู่ตัวและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ พองานวิ่งเข้าชนก็กลายเป็นว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนั้นจนไม่ทันได้รู้ตัว
ความเหงาเข้ามาจู่โจมหลายครั้งตอนที่เขาอยู่คนเดียว รสชาติของการเป็นผู้ใหญ่ทำให้เริ่มรู้ตัวว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต คนที่เคยรู้จักเริ่มติดต่อกันน้อยลง บุหรี่กลายเป็นที่พึ่งยามเครียดนานๆ ครั้งของเขา ใบหน้าโง่ๆ ของใครคนหนึ่งลอยขึ้นมากวนใจอยู่บ่อยๆ ในตอนที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง
ไม่น่าไปพูดแบบนั้นใส่หมอนั่นเลยแท้ๆ…
เขาพาตัวเองเข้าสู่เส้นทางโปรเพลย์เยอร์ที่มีชื่อเสียงดังไปทั่วโลก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบสอบถามข่าวสารของเด็กคนนั้นผ่านคนรู้จักอยู่ตลอด ซาวามูระเป็นนักเบสบอลทีมชาติพร้อมฟุรุยะคู่แข่งของเขา ซ้ำยังมีโอคุมูระติดสอยห้อยตามมาเป็นแบตเตอรี่ด้วย
โอคุมูระ โคชู…
ได้ยินชื่อนี้ทีไรแล้วมิยูกิก็รู้สึกขัดใจนิดหน่อย ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไม…
ถ้าให้ถามว่าทำไมถึงชอบแกล้งซาวามูระนัก แต่ก่อนก็คงตอบว่าเพราะอยากแกล้ง ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แต่ถ้าให้ขยายความซักหน่อย คงเพราะสนุกที่ได้ยินเสียงโวยวายของหมอนั่นล่ะมั้ง
นึกๆ ดูแล้วก็เป็นรุ่นพี่ที่นิสัยเสียใช้ได้ แต่ใบหน้าของเจ้านั่นตอนโวยวายมันตลกดี มีบางครั้งที่เผลอคิดไปว่าใบหน้าแดงๆ นั่นมันน่ารักดี
อีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้ซาวามูระยอมพูดคุยและเห็นเขาพิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อย
มิยูกิเพิ่งตระหนักกับตัวเองได้หลังจากผ่านไปนานพอสมควร ว่านั่นคือพฤติกรรมของ ‘เด็ก’ ที่มักจะแกล้งคนที่ตัวเองชอบเพื่อเรียกร้องความสนใจ และเขาก็เป็นคนแบบนั้นจริงๆ
เขารู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยตอนที่ซาวามูระสนใจรุ่นพี่คริสอย่างออกนอกหน้าจนกลายเป็นการเมินตัวเขา แต่ตอนนั้นก็ยังไม่สามารถอธิบายตัวเองได้อยู่ดีว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นการแกล้งซาวามูระจึงเป็นสิ่งเดียวที่หยุดทำไม่ได้
“มิยูกิ คาซึยะ!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อ-นามสกุลเต็ม และคำพูดคำจาไม่เคารพแบบนั้น ซาวามูระแสดงออกแค่กับเขาคนเดียว กับรุ่นพี่คนอื่นกลับสุภาพด้วยราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า นั่นเป็นความพิเศษที่หมอนั่นมอบให้เขาคนเดียวหรือเปล่านะ…
เขาไม่ได้เข้าหาหรือสนิทกับคนอื่นได้ง่ายขนาดนั้น เพราะมันไม่รู้จะทำวิธีไหนแล้วนี่…
จนกระทั่งช่วงเวลาที่อยู่ปีสาม เขาได้รับบทบาทกัปตันทีมมา ด้วยภาระและอำนาจในการตัดสินใจทำให้มีเวลาร่วมกับหมอนั่นน้อยลง และซาวามูระก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องนั้น แม้เจ้าตัวจะได้เป็นเอซของทีมสมใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องอยากฟอร์มแบตเตอรี่กับเขาพร่ำเพรื่ออีกต่อไป
แต่ก็นะ… เป็นเพราะเขาเป็นแคชเชอร์หลักของทีม
ไม่ว่าอย่างไรเอซก็ต้องฟอร์มแบตเตอรี่กับเขาอยู่แล้ว… นั่นทำให้รู้สึกชนะขึ้นมานิดหน่อย
จนการปรากฏตัวของโอคุมูระเกิดขึ้น จริงอยู่ว่ามิยูกิซื่อบื้อเรื่องความรู้สึกของตัวเอง แต่เขาก็พอรับรู้ได้ว่ารุ่นน้องปีหนึ่งคนนั้นมีความรู้สึกพิเศษให้กับซาวามูระ แม้วิธีแสดงออกจะแปลกๆ แต่สายตาของเด็กคนนั้นกลับมีพิชเชอร์ในใจอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น
ตอนที่รู้ว่าคนทั้งคู่ฟอร์มแบตเตอรี่ด้วยกันมาหลายปี มิยูกิอยากกลับญี่ปุ่นไปเสียตอนนั้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้ากลับไป จะกลับไปในฐานะอะไร… ก็ปฏิเสธเขาไปแล้วนี่
ตอนนี้ความรู้สึกของซาวามูระจะเป็นอย่างไร… จะเกลียดเขาไปแล้วหรือยังนะ
“คุราโมจิ ฉันจะทำยังไงดี”
ตอนที่เพิ่งเข้าใจความรู้สึกตัวเอง เขาติดต่อกลับไปหาเพื่อนตัวเล็กและโดนสวดกลับมายับว่ารู้ตัวช้าเกินไปแล้ว ก็มีแต่เจ้าหมอนี่ที่เขาเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ และยังติดต่อกับซาวามูระอยู่เท่านั้น
ผ่านไปหลายปีเขาก็ยังสลัดเรื่องของเด็กเสียงดังคนนั้นออกไปจากหัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าเจ้านั่นทำอะไรกับเขาไว้ แต่เพราะตารางแข่งที่ชนกันอยู่บ่อยๆ โอกาสที่จะได้นัดพบปะกันจึงมีน้อยนัก
มิยูกิตัดสินใจบากหน้าไปชวนคนรู้จักในวงการเบสบอลเพื่อหาข้ออ้างในการรวมตัวกันอีกครั้ง นอกจากเหตุผลนี้เขาก็ไม่รู้จะเจอกับซาวามูระได้อย่างไรแล้ว
ไม่ว่าเขาจะฟอร์มแบตเตอรี่กับคนที่เก่งจากทุกมุมโลกมาอย่างไร ใบหน้าโง่ๆ ละหุ่นเพรียวของเด็กนั่นก็ซ้อนทับกันอยู่ทุกครั้ง มิยูกิครุ่นคิดหลายต่อหลายครั้ง… มีคนๆ เดียวเท่านั้นที่เขาอยากฟอร์มแบตเตอรี่ด้วย
“โดนเกลียดเข้าแล้วอะ”
กลับมาที่วงรียูเนียนของศิษย์เก่าเซย์โดว มิยูกิกระดกแอลกอฮอล์ลงคอเรื่อยๆ โดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาหัวใจที่แหลกสลายของเขาได้ คุราโมจิที่เห็นภาพนั้นได้แต่ดันหัวเพื่อนตัวสูงที่เริ่มเลื้อยมาพิงตัวเองออกเพราะความเมา
ซาวามูระไม่นั่งกับเขาเลย แต่กลับกำลังหัวเราะคิ้กค้ากพร้อมจิ้มสตอว์เบอรี่อันหนึ่งเข้าปากอยู่กับคู่หูยาคุชินั่น แล้วดูสายตาเจ้าพิชเชอร์ซานาดะนั่นสิ ทำตาหวานเชื่อมพร่ำเพรื่อแบบนั้นกับทุกคนเลยไหมนะ จังหวะที่สายตาของเขาบังเอิญไปสบเข้ากับซาวามูระ เห็นแต่ตาขวางๆ เหมือนแมวของหมอนั่นตอบกลับมาทุกที
ไม่เท่าเทียมเลย…
มิยูกิดันตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ท่ามกลางความงุนงงของคนรอบตัว ก่อนสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะถัดไปอีกสองตัว น้ำหนักตัวที่โถมลงมากับกลิ่นแอลกอฮอล์ทำให้ซาวามูระสะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ๆ เส้นผมสีน้ำตาลก็เข้ามาคลอเคลียกับไหล่ของเขา พร้อมกับแขนยาวที่โอบไหล่อย่างถือวิสาสะ
“คุยอะไรน่าสนุกดี ขอฉันนั่งด้วยคนสิ” เสียงน่าฟังของมิยูกิยานคางจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ซาวามูระรีบดันใบหน้าและลำตัวของอีกฝ่ายออก แต่ดูเหมือนเจ้าแว่นนี่จะตัวใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะโข
“มิยูกิ คาซึยะ ทำอะไรของนายเนี่ย ออกไปเลยนะ!”
เขาพยายามใช้เสียงตะโกนอัดข้างหูจนอีกฝ่ายคิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่เจอกันหลายปีแต่ดันทักทายกันแบบนี้งั้นหรือ มันเป็นวัฒนธรรมที่ฝั่งตะวันตกทำเป็นปกติหรือเปล่า ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็คือญี่ปุ่นนะ
“สวัสดีแคชเชอร์อิเคเม็ง มีคนเยอะๆ น่าสนุกดีนะ” กลายเป็นว่าโทโดโรกิก็เอ่ยทักทายอย่างตื่นเต้นไปด้วย
“สนุกกับผีสิ ช่วยฉันเอาหมอนี่ออกไปที”
“ที่จริงหมอนี่ก็ไม่ได้เมาขนาดลุกไม่ขึ้นนี่ ใช่ไหมล่ะแคชเชอร์มิยูกิ”
“เมื่อกี๊ยังลุกเดินมาถึงนี่ได้อยู่เลย”
เป็นเสียงของซานาดะที่เอ่ยทักทาย เจ้าของชื่อมิยูกิชะงัก เขาเอนตัวกลับมานั่งตัวตรงได้แป๊บหนึ่ง มองหน้าพิชเชอร์ที่มีความสูงไล่เลี่ยกัน ก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนไหล่ของคนข้างตัวอีกครั้ง
“ใครว่าเดินไหว ฉันมึนหัวจะตายอยู่แล้ว” ซาวามูระทั้งผลักทั้งดันคนใส่แว่นออกแต่ก็ยังไม่เป็นผล
สุดท้ายคนตัวสูงก็เปลี่ยนเป้าหมายมาทิ้งตัวลงบนตักนิ่มของรุ่นน้องแทน เล่นเอาเจ้าตัวโวยวายเสียงดังลั่นร้าน
“แบบนี้สบายกว่าเยอะเลย ราตรีสวัสดิ์”
“ไม่ตลกเลยนะ ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย เมาจนสมองไหลไปแล้วหรอ!” นิ้วเรียวหยิกไปที่ใบหน้าคมคายนั้นก่อนดึงจนแก้มยืดออก แม้คิ้วของเจ้าตัวจะขมวดเข้าหากันเพราะเจ็บ แต่ก็ไม่ยอมเปิดเปลือกตาออก
ไม่นานนักลมหายใจของร่างนั้นก็เริ่มสม่ำเสมอ ดูเหมือนจะตั้งใจมาหาที่นอนจริงๆ…
“ล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย”
“ขอร้องล่ะรุ่นพี่คุราโมจิ ผมไหว้ก็ได้ พาหมอนี่กลับไปที”
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดซาวามูระก็ย้ายหัวของรุ่นพี่แว่นมาวางบนเก้าอี้ของร้านได้ เจ้าตัวนอนหลับอุตุหมดสภาพแคชเชอร์อิเคเม็งที่ใครๆ ก็เรียกกัน งานพบปะจบลงเนื่องจากเวลาที่จวนจะผ่านเป็นวันใหม่ เหลือสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่กำลังไล่เก็บซากนักเบสบอลที่พากันหมดสภาพไปแล้ว
“นายเห็นฉันมีบ้านอยู่ที่นี่หรือไง แค่ห้องฉันก็อัดกันสามคนแล้ว” เสียงจากรุ่นพี่ผมเขียวตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
คุราโมจิที่มาจากต่างจังหวัดเช่าโรงแรมเป็นการเฉพาะกิจไว้ และห้องของเขาก็มีมาสึโกะกับรุ่นพี่ยูกิที่เมาคอพับไปอีกคนเป็นผู้เข้าพักในคืนนี้ เมื่อรู้ตัวว่าการร้องขอไม่ประสบผลสำเร็จ ดวงตาโตของพิชเชอร์ก็รีบตวัดมองไปที่ร่างหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี
“คาเนมารู้ววว!”
“ตรงนี้ก็สองคนแล้วเว้ย” พอจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทุกข์กันมาตั้งแต่มัธยมปลายอย่างผู้จัดการทีมก็เป็นอันได้รับการตอบปฏิเสธกลับมาทันที สภาพคาเนมารุเองก็กำลังแบกโอคุมูระกับฟุรุยะอยู่ด้วยความทุลักทุเล
“ไม่เอาอะ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย!” ซาวามูระหันกลับไปมองคนผมเขียวด้วยสายตาเหมือนลูกหมา
รุ่นพี่ก็รู้เรื่องราวระหว่างเขากับเจ้าหมอนี่ดี มันต้องไม่ลงเอยแบบนี้สิ
“มีแค่นายที่ดูแลเจ้านั่นได้อะ หมอนั่นมาจากต่างประเทศไม่มีที่พักด้วย โทษทีนะซาวามูระ”
เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าแว่นนี่ไม่มีเพื่อนคบ…
เขาลำบาก แต่ทุกคนก็ลำบากเหมือนกัน… ไม่ได้คิดกันไว้เลยสินะว่าหลังจากจบงานจะกลับกันอย่างไร
ซาวามูระทอดมองคนตัวสูงที่นอนหลับปุ๋ยอยู่พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาควรจะทำอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ดีนะ…
“เฮ้ เจ้าสี่ตา ตื่นมาเดินเองเดี๋ยวนี้เลยนะ ตัวนายโคตรหนักเลย!”
พิชเชอร์ทีมชาติที่ใครๆ ต่างก็รู้จักกำลังเซไปซ้ายทีขวาที เมื่อสภาพคนที่ใช้เขาเป็นขาเดินแทนดันมีขนาดตัวต่างกันมากไปหน่อย นิ้วเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของอีกฝ่าย หวังจะควานหากระเป๋าสตางค์หรือมือถือซักเครื่อง
“อย่าล้วง อย่าล้วงงง” เสียงที่เขาเคยคิดว่ามันน่าฟังพูดยานคาง พลางกระชับวงแขนมาล็อคคอคนข้างตัวให้แน่นขึ้น
ซาวามูระรีบดันใบหน้าหล่อของอีกฝ่ายออกห่างพร้อมว่ากลับ
“ไม่ล้วงมันก็หยิบมือถือนายไม่ได้สิ!”
ก็ไม่ได้อยากมายืนทำอะไรพิลึกๆ แบบนี้ซักหน่อย…
“ที่อยู่นายอยู่ไหนเนี่ย บ้านนายก็อยู่ในเมืองไม่ใช่หรือไง” มิยูกิเป็นเด็กในเมือง เขาจำได้ดี เจ้าตัวอยู่กับพ่อที่โรงแปรรูปโลหะชื่อเดียวกันกับนามสกุล
ในที่สุดคนตัวเล็กกว่าก็พยายามคว้ามือถือเครื่องหนึ่งออกมาได้สำเร็จ แบตเตอรี่เจ้ากรรมก็ดันร้องเตือนและสิ้นชีพลงอย่างถูกจังหวะ และสิ่งที่ใครๆ สมัยนี้ต่างก็ทำเป็นเรื่องปกติคือการไม่พกกระเป๋าสตางค์… ซาวามูระถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
จบแล้วชีวิตนี้…
มาอัพพาร์ทสองแล้วค่าา มาดูฝั่งมิยูกิกันบ้างดีกว่าว่าคิดอะไรในใจ
ในเรื่องเราว่าน้องไล่ตามอิหมีเยอะไปค่ะ หมั่นไส้
ให้มันรู้บ้างว่าตอนที่โดนน้องเมินบ้างจะเป็นยังไง5555555
แต่มิยูกิกับซาวามูระอยู่ด้วยกันแล้วจะให้มันหวานแหววปกติไม่ได้ค่ะ
มันจะต้องมีเรื่องวุ่นวายอะไรซักอย่างตามมา
จริงๆ ไรเตอร์ชอบบุคลิกอิหมีในฟิคนี้มากๆ เลยค่ะ อ่อนโยน ซื่อบื้อ แล้วก็ฉลาดในคนเดียวกัน
มีความขี้งอนเหมือนหมาน้อยอยู่ในตัว มาแบบเวอร์ชันที่ความคิดโตขึ้นมากกว่าม.ปลายแล้ว
มาดูซิว่าจะลงเอยกันยังไงนะ
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)
ความคิดเห็น