NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #31 : ▲ [D.Gray man] White & Dark lord (Tyki x Allen) - Part 10 (1)

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 65


    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)









                   ความจริงที่ว่ามนุษย์และปีศาจเกลียดชังกันไม่เคยเปลี่ยนไป แรงกดดันจากคนในตระกูลอันแข็งแกร่งทำให้อเลนหายใจลำบาก การหลับใหลของหัวหน้าตระกูลถูกคาดโทษว่ามีเขาเป็นต้นเหตุ อโพคริฟอสจะปรากฏตัวที่นี่ไม่ได้เลยหากไม่มีคนนำทางเข้ามา

     

    เพราะทีกี้ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องของเขาฟัง เรื่องทุกอย่างถึงได้บานปลายขนาดนี้

     

    “เธอตั้งใจเรียกเจ้านั่นมากวาดล้างโนอางั้นสิ” โนอาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพรางกอดอก ใช้ดวงตาคู่คมสีทองจ้องเขม็งมายังเจ้าของผิวขาวจัด

     

            ความรู้สึกเหมือนโดนริบอากาศหายใจ อเลนเข้าใจมันได้ดีตั้งแต่พบกันครั้งแรก พวกเขาไม่ได้ยอมรับมนุษย์ เหมือนกับที่ศาสนจักรไม่ยอมรับโนอา ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ

     

            ไม่มีใครรู้เรื่องคำสาปในตัวเขานอกจากทีกี้ เลือดในกายที่พร้อมจะก่อให้เกิดสงครามได้ทุกเมื่อหากเลือกก้าวขาไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

     

            ไม่รู้เลยว่าทีกี้จะตื่นขึ้นมาอีกเมื่อไร ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าเขาจะหลับไปตลอดกาลหรือเปล่า ดังนั้นจะว่าสาเหตุทั้งหมดเกิดจากเด็กหนุ่มก็คงไม่ผิด ถ้าไม่มีอเลนตั้งแต่แรก ปีศาจนั่นคงเข้าถึงตัวผู้นำตระกูลได้ยากขึ้น

     

            จิตสังหารที่รุนแรงแผ่ออกมาจากเหล่าพี่น้อง พวกเขาพร้อมจะฆ่าคนจากโลกมนุษย์ให้ตายได้ในตอนนี้ หากไม่สบจังหวะกับปลายเท้าจากคนที่รู้จักกันดีก้าวเข้ามายั้งได้ทัน

     

            น่าประหลาดที่โร้ดกับไวส์ลี่เลือกที่จะปกป้องศัตรูในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน คนทั้งคู่ดูอ่อนเยาว์กว่าคนอื่นๆ แต่อเลนไม่รู้หรอกว่าในโลกปีศาจแห่งนี้มีความลับอะไรซ่อนไว้ พวกเขาแสดงสีหน้าราวกับเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างดี

     

    “พูดไปพวกนายก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่การฆ่าโซลเมทของทีกี้ก็เหมือนฆ่าหมอนั่นให้ตายทั้งเป็น”

     

     

     

     

     

     

    “ผมจะกลับไปที่โลกมนุษย์ครับ”

     

            บรรยากาศแห่งความตึงเครียดดูจะไม่จบลงง่ายๆหากอเลนไม่ตัดสินใจเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง แม้จะไม่ใช่ข้อสรุปที่น่าพอใจจากตระกูลเก่าแก่แห่งโลกปีศาจ อาจเพราะพวกเขายังเกรงใจไวส์ลี่ที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่างอยู่บ้าง จึงได้ยอมถอนทัพกลับไปก่อน

     

            เป็นเพราะโร้ดช่วยเจรจาให้ สุดท้ายจึงจบที่โดนกักบริเวณไม่ให้พบกับทีกี้โดยเด็ดขาด รถไฟเที่ยวเร็วที่สุดที่จะพาเขาเดินทางกลับไปยังที่ที่จากมาได้ใช้เวลาเตรียมการประมาณหนึ่งอาทิตย์ จนถึงตอนนี้อเลนใช้ชีวิตอยู่เพียงในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่แม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนเดินไปประกบไปเหมือนเงาตามตัว

     

            วันพรุ่งนี้การเดินทางจะเกิดขึ้นแล้ว การไม่ได้เจอทีกี้ทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มใจ ต่อให้เป็นห่วงแค่ไหนก็ไม่อาจพบหน้าคนที่คิดถึงได้ คนรับใช้ยังให้คำตอบเหมือนเดิมในทุกๆวันว่าเจ้าของคฤหาสน์ยังคงหลับสนิทดั่งเจ้าชายนิทรา

     

            อเลนรู้ดีตั้งแต่แรกว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ฉลาด การกลับไปของเขาครั้งนี้อาจจะหมายถึงการเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง เขาไม่สามารถไว้ใจใครในศาสนจักรได้อีกแล้ว

     

            และสิ่งที่คนจากโนอาต้องการมีเพียงการทำให้พลังของหัวหน้าตระกูลเสถียรพอที่จะไม่แยกออกเป็นสอง ถึงแม้สิ่งนั้นจะแลกมากับการหลับใหลแบบไม่มีวันตื่น หลายยุคสมัยที่บรรณาการมีประโยชน์เพียงเท่านั้น และพวกเขาก็เพิ่งจะประสบความสำเร็จครั้งแรก

     

            กระเป๋าเดินทางใบเดียวกันกับที่ถือมาจากโลกมนุษย์ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย จะเหลือก็เพียงให้เขาก้าวขึ้นรถม้าที่จะนำไปสู่สถานีรถไฟก็เท่านั้น ท้องฟ้าในวันใหม่มืดหม่นเหมือนกับความรู้สึกในใจ อเลนก้าวขาขึ้นสู่ยานพาหนะยักษ์คนเดียวโดยไร้ผู้ติดตาม บนโบกี้รถไฟไร้วี่แววของทั้งมนุษย์และปีศาจ เขาจับจองที่นั่งฝั่งหนึ่งและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย

     

            ไม่รู้เลยว่าด้วยรถไฟสายนี้จะนำพาคนจากโลกอีกฝั่งมา หรือพาคนจากโลกปีศาจออกไปมากมายเพียงใด เป็นหลักฐานให้เห็นว่าในอดีตทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยใช้ชีวิตร่วมกัน จนกระทั่งความบาดหมางได้เกิดขึ้น

     

            เหมือนก้อนเนื้อในอกกำลังถูกบดขยี้ เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนจนกระทั่งทิวทัศน์ของโลกปีศาจเริ่มห่างจากสายตา ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาเผลอมีใจไปให้ชายผู้นั้น ผลกระทบของมันมากมายเสียจนรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังเอ่อคลอ สายสัมพันธ์แบบนี้มันคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไรกันนะ

     

    เธอจะกลับไปตอนนี้ไหม ถ้าตกลงฉันจะสั่งให้หยุดรถเดี๋ยวนี้

     

            น้ำเสียงที่คุ้นหูปลุกให้ร่างบางสะดุ้งจากภวังค์ ขายาวของใครคนหนึ่งก้าวมาหยุดยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม การแต่งกายด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าช่างคุ้นตา ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีอำพันคู่สวยทำให้น้ำตาที่กลั้นมาตลอดทางร่วงเผาะลงมาตามแก้มใส

     

    “คุณ ตั้งแต่เมื่อไร” มือเล็กรีบยกขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างรีบร้อน สบเข้ากับจังหวะที่แขนแกร่งคว้าร่างของเขาไปอยู่ในอ้อมกอด ความอบอุ่นที่เขาถวิลหา เป็นทีกี้ตัวจริงที่มีสติเต็มร้อย และระดับพลังเสถียรแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งทำให้ก้อนสะอื้นยิ่งพรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม

     

            ไม่มีใครบอกเขาเลยว่าผู้ชายคนนี้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ทีกี้จะรู้หรือเปล่าว่าเขาลำบากใจมากขนาดไหนที่ต้องก้าวออกมาทั้งแบบนั้น


    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

     

    “ผมไม่ควรอยู่กับคุณอีกแล้วครับ” หากฝืนอยู่ต่อไป อโพคริฟอสก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง คราวหน้าศาสนจักรจะให้ความร่วมมือกับมันเต็มที่เพื่อกวาดล้างโนอาให้หายไป

     

            อเลนไม่รู้เลยว่าตอนที่เขากลับไปยังโลกฝั่งนั้นแล้วเขาจะทำอะไร จะหนีอโพคริฟอสไปได้อีกนานแค่ไหนหรือมีวิธีรับมือกับมันอย่างไร แม้แต่ความตายก็ยังไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม

     

            คนอายุมากกว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ยังไม่ได้คลายอ้อมกอดออก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่ในใจ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีความรู้สึกพิเศษให้แก่กัน ทีกี้ปฏิบัติกับเขาอย่างดีสมกับสถานะเจ้าสาวของโนอา แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงให้ได้ยิน ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันเช่นนั้น

     

    “คุณตอบคำถามผมอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”

     

    ทิฐิที่เคยมีต่อฝ่ายตรงข้าม จนถึงตอนนี้มันเปลี่ยนไปหรือยัง

     

    “หน้าที่ของบรรณาการ คือทำให้พลังของคุณคงที่แค่นั้นใช่ไหม”

     

            อเลนกลัวคำตอบที่กำลังจะได้ยิน เขาเห็นความไหววูบในดวงตาสีสวยของอีกฝ่าย มือหนาคลายอ้อมกอดให้หลวมลงจนกลายเป็นการยืนประจันหน้า ทั้งสองฝ่ายต่างก็จ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนต้องการค้นเข้าไปให้เห็นความจริง

     

    ใช่ วัตถุประสงค์มีเพียงแค่นี้

     

    “เธอไม่จำเป็นต้องเป็นบรรณาการอีกต่อไปแล้ว

     

            รู้สึกราวกับโดนฟาดด้วยฝ่ามือแรงๆมาบนใบหน้า ทีกี้เคยบอกว่าพลังของเขาเสถียรขึ้นมาได้เพราะความสัมพันธ์ในคืนนั้น ความคิดในหัวกำลังพันกันยุ่งเหยิง คำว่าไม่จำเป็นทำให้อเลนเข้าใจว่าตัวเองหมดประโยชน์แล้ว

     

    นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีเขาอีกต่อไปแล้วสินะ

     

    ไม่น่าปล่อยให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นเลยนี่เขากำลังหวังคำตอบแบบไหนกันแน่

     

    “ผมอยากกลับไปที่โลกมนุษย์ คุณปล่อยผมกลับไปได้ไหมครับ”

     

     

     

     

     

     

            บรรยากาศในตู้เหล็กดำเนินไปอย่างน่าอึดอัด เหมือนกับวันแรกที่คนทั้งคู่พบกัน พวกเขาเอาแต่เงียบโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ อเลนรู้สึกได้ถึงดวงตาสีทองที่จ้องมองมาตลอดเวลา แต่เขาก็ทำได้เพียงเบนสายตาออกไปข้างทาง

     

     ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้น เมื่อไรก็ตามที่รถไฟเข้าจอดเทียบชานชาลาสถานะก็จะกลับมาเป็นคนไม่รู้จักกันอีกครั้ง

     

    “หนุ่มน้อย เธอยังเชื่อเรื่องโซลเมทอยู่หรือเปล่า”

     

     เป็นคนอายุมากกว่าที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ย้ายสายตาออกไปจากที่เดิม

     

    “โซลเมทของคุณไม่ใช่ผมตั้งแต่แรกนี่ครับ”

     

     แต่เป็นรินารีที่โดนสลับตัว เพราะแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เลย

     

    “เป็นเธอตั้งแต่แรกต่างหาก”

     

    ….

     

    “เพราะรู้ว่าเป็นเธอ ฉันถึงได้ยอมให้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ไปโลกฝั่งนั้นตั้งแต่แรก”

     

            ดวงตาสีขี้เถ้ากำลังสั่นไหวและแววตานั้นปกปิดความเจ็บปวดเอาไว้ไม่มิด ทีกี้กำลังต้องการอะไรจากเขาถึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาตอนนี้


    “พยายามพูดให้ผมอยากกลับไปอยู่หรอครับ”

     

    “ใช่

     

    “แต่ถ้าเธอตัดสินใจแล้วฉันคงจะไม่ห้าม”

     

            ริมฝีปากสีหวานเม้มเข้าหากันแน่น นิ้วเรียวกำเข้าหาชายเสื้อของตัวเองแน่นจนเป็นรอยยับ อเลนรู้สึกเหมือนโดนเล่นกับความรู้สึกซ้ำไปซ้ำมา เขาเหมือนลูกแก้วในกล่องปิดที่โดนเขย่าซ้ำๆอยู่แบบนั้น


    ทำไมถึงมาบอกกันช้าจังเลยนะ ล้อเหล็กกำลังจะเข้าจอดเทียบที่ชานชาลาแล้วแท้ๆ

     

            เสียงหวูดดังขึ้นราวกับจะขาดใจ รถไฟกระตุกเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งก่อนที่ตู้เหล็กจะนิ่งสนิท มือบางคว้าหูกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาถือ เขาลุกขึ้นยืนและเตรียมจะก้าวลงจากประตู เพื่อความปลอดภัยของคนตรงหน้า มันมีทางเลือกให้อยู่แค่ไม่กี่ทาง

     

    การมีอยู่ของเขาจะเป็นหรือตายก็แย่ทั้งนั้น

     

    “ผมกลับไปไม่ได้แล้วครับ” ต่อให้ทีกี้จะเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร

     

    “…เข้าใจแล้ว ฉันจะไปส่งเธอก็แล้วกันนะ”

     

            สีหน้าของหัวหน้าตระกูลโนอาเปลี่ยนเป็นความเรียบสนิท สีหน้าที่ยากจะอ่านความรู้สึกของคนจากโลกปีศาจที่ไม่ว่าใครต่างก็เกรงกลัว ความสัมพันธ์ของพวกเขาต่างก็สร้างบาดแผลให้กันและกันตั้งแต่วันแรก จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เปลี่ยนไป

     

            อเลนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้จะหาที่พักได้หรือไม่ เขาไม่มีที่ให้กลับไป ทำได้เพียงแค่เดินเลียบสถานีต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานคงขอตัวแยกกันกับคนตัวสูง ต่อให้ในใจไม่ได้อยากทำแบบนั้นก็ตาม

     

            แต่ปลายเท้าทั้งคู่ก็พลันชะงักเมื่อเห็นเงาลางๆของใครคนหนึ่งที่จ้ำอ้าวเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ชายผมยาวที่ประกาศกร้าวตั้งแต่วันแรกที่เด็กหนุ่มถูกส่งตัวไปแทนบรรณาการตัวจริงว่าจะมาช่วยเขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

     

    “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ครับ”

     

     

     

     

     

     

            คันดะ ยูขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าเซ่อซ่าของอีกฝ่าย นิสัยไม่ชอบขอความช่วยเหลือใครของอเลนเป็นแบบนี้มาโดยตลอด และมันทำให้เขาหงุดหงิดทุกครั้ง ดวงตาสีน้ำทะเลทอดมองสภาพคนผมขาวที่สีหน้าอมทุกข์จนไม่ว่าใครก็ดูออก ข้างหลังมีร่างสูงของชายจากตระกูลโนอาที่เขาเองก็ไม่ชอบตั้งแต่พบหน้าครั้งแรก

     

    “ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว คิดจะแบกปัญหาไว้คนเดียวไปจนถึงเมื่อไร”

     

            อเลนไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้ใครฟัง เด็กหนุ่มไม่ไว้ใจใครก็ตามแม้แต่คันดะที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก อีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่ดีแต่ก็ถูกเลี้ยงดูมาจากศาสนจักรมาเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของการบอกว่ารู้เรื่องทั้งหมดนั่นเพื่ออะไร ต้องการกำจัดหรือช่วยเหลือ ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่คันดะรู้จะมีขอบเขตถึงตรงไหน

     

    “ไม่ต้องห่วง เจ้าเด็กนี่ไว้ใจได้น่าอเลน”

     

            เจ้าของเรือนผมสีขาวเผลอปล่อยกระเป๋าเดินทางจากมืออย่างกะทันหันเมื่อใครอีกคนปรากฏตัว มือก็พลันสั่นระริกเหมือนริมฝีปากจนเลือกคำพูดออกมาไม่ถูก ดวงตาที่เคยร้องไห้เพราะทีกี้ไปครั้งหนึ่งกลับมามีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง

     

    “อาจารย์ นี่คุณ.. อาจารย์ยังไม่ตาย” เจ้าของใบหน้าน่ารักน้ำตาไหลพรากจนคนมองอดไม่ได้ที่จะสับมือลงไปกลางกระหม่อมด้วยความหมั่นไส้ ชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีแดงยาวไม่เป็นทรงขมวดคิ้วยุ่ง เครื่องแบบที่เขาสวมใส่เป็นชุดสีดำทั้งตัวเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่มันไม่มีตราของศาสนจักรประดับอยู่บนอกอีกต่อไปแล้ว

     

            จะไม่ให้ร้องไห้ได้อย่างไรเมื่อคนที่ทิ้งกองเลือดขนาดมหึมาเอาไว้ ซ้ำยังหายไปอย่างไร้ร่องรอยร่วมปีมายืนอยู่ตรงหน้า อาจารย์เพียงคนเดียวที่เด็กหนุ่มให้ความเคารพกระชากแขนของเขาให้ห่างจากโนอา ก่อนจะใช้ดวงตาสีแดงจ้องเข้ามาราวกับอยากบีบคอให้ตายเสียตรงนั้น

     

    “ทำไมแกถึงกลับมาที่นี่อีก”

     

            อเลนสะอึกสะอื้นจะพูดจาไม่ได้ศัพท์ ครอส มาเรียนมองภาพลูกศิษย์ที่ยกมือมาลูบศีรษะตัวเองทั้งน้ำตา สลับกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่ปริปากพูดอะไรมาตั้งแต่แรก พอจะประเมินสถานการณ์ได้คร่าวๆว่าคนทั้งคู่คงเพิ่งเดินทางมาถึงและเจ้าเด็กหัวขาวคงไม่มีที่ไปอยู่เป็นแน่

     

    “ผมเป็นคนขอให้เขาพากลับมาเองครับ”

     

            เห็นท่าทางเหมือนอยากจะคว้าปืนขึ้นมาลั่นไกใส่ทีกี้ของอาจารย์ อเลนจึงรีบตอบความสงสัยนั้น แต่นั่นยิ่งทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนหงุดหงิดมากกว่าเดิม ดวงตาสีชาดจ้องเขม็งไปยังโนอาที่ตีสีหน้าเรียบนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่

     

    “แล้วแกก็พากลับมาง่ายๆแบบนี้น่ะหรอ” น้ำเสียงโมโหของครอสทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเปลี่ยนเป็นความงุนงง

     

    “เด็กโง่! แกบีบคั้นเขาจนกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

     

            คนผมแดงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาเลื่อนสายตามามองอเลนที่ดูจะตกใจไม่ต่างกัน ก่อนจะกลับมาจ้องเขม็งที่หัวหน้าตระกูลโนอาอีกครั้ง

     

    “ฉันขอเวลาคุยกับโนอาสักหน่อย คันดะพาอเลนออกไปก่อน”

     

           ท่าทีของอดีตเสนาธิการดูอ่อนลง เขายืนรอจนเอ็กโซซิสต์หนุ่มทั้งสองเดินห่างออกไป พลางหยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดขึ้นมาจุดไฟและชี้ปลายด้านที่กำลังลุกไหม้ไปยังศัตรูแห่งศาสนจักร

     

    “ฉันมีเวลาไม่มากนัก เพราะที่โลกมนุษย์กำลังตามล่าอเลน วอล์คเกอร์อยู่เหมือนกัน”

     

    “ว่ายังไงนะ”

     

            ทีกี้ไม่รู้จักชายคนนี้ แต่ความรู้สึกกำลังบอกเขาว่าคนๆนี้รู้อะไรมากกว่าที่คิด ดวงตาสีทองหรี่มองท่าทางผ่อนคลายแม้ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างไม่เข้าใจนัก ดูเหมือนจะเป็นคนที่อเลนให้ความไว้วางใจมากพอสมควร

     

    “สรุปสั้นๆเลยแล้วกัน ฉันรู้เรื่องโซลเมทระหว่างแกทั้งสองคนตั้งแต่แรก”

     

    “เจ้าอเลนทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้แกเป็นอันตราย”

     

    ….

     

    “ส่วนแกจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือเปล่าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”

     

            เรื่องโซลเมทที่ชายหนุ่มเพิ่งรู้ก็ตอนได้พบกับอเลนครั้งแรก แต่ชายผมแดงกลับบอกว่าตัวเองรู้เรื่องทุกอย่างมาก่อน ซ้ำร้ายพอพูดจบประโยคก็รีบสับเท้าออกไปโดยทิ้งให้เขายืนงงอยู่คนเดียว ทีกี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหนักๆและสางผมที่เคยปกปิดใบหน้าไปด้านหลังด้วยความหงุดหงิด

     

    เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ ไวส์ลี่

     

     

     

     

     

     

            ชื่อของคนที่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาตั้งแต่แรกถูกเอ่ยขึ้น ประโยคแกมออกคำสั่งของทีกี้ถูกปล่อยเบลอเหมือนพูดอยู่คนเดียวได้ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อก็ปรากฏตัวออกมาจากหลังกำแพงพร้อมใบหน้าปั้นปึง

     

    “อ๋า อุตส่าห์ตามมาเงียบๆแล้วแท้ๆ”

     

    นายตามมาเพราะเรื่องที่เจ้าหัวแดงนั่นว่าใช่ไหมล่ะสีหน้าของทีกี้น่ากลัวทุกครั้งตอนที่กำลังหงุดหงิด ไวส์ลี่คิดว่ามันดูน่าเกรงขามเหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลที่เขาเป็นอยู่ดี

     

    ใช่แล้ว เขาแอบขึ้นรถไฟมาด้วยตั้งแต่แรก แต่อเลนมัวแต่เศร้าอยู่จนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

     

            เป็นความจริงที่สายเลือดโนอาทุกคนจะมีพลังพิเศษอะไรบางอย่าง สำหรับเด็กหนุ่มเพียงแค่ได้มองตา สิ่งที่อยู่ในหัวของคนๆนั้นก็ไหลเข้ามาราวกับจอภาพฉายหนัง ทุกคนในตระกูลล้วนรู้ความสามารถนั้นดี เว้นก็เพียงแต่อเลนที่เขาไม่เคยเล่าให้ฟัง

     

    “สิ่งที่อเลน วอล์คเกอร์กำลังทำคือแบกทุกอย่างไว้กับตัวเอง เด็กนั่นปกป้องตัวเองแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

     

    “ปกป้องจากอะไร”

     

    “นายก็รู้อยู่แล้วนี่ อโพคริฟอสกับศาสนจักรต้องการพลังของเขาเพื่อกำจัดโนอา”

     

    “แต่อเลนไม่ได้เลือกอยู่ฝั่งศาสนจักรตั้งแต่แรก นายคิดว่าเขาจะโดนอะไรต่อไปล่ะ”

     

            ทีกี้เคยเข้าใจว่าอเลนตั้งใจเรียกอโพคริฟอสมาที่โลกปีศาจเพื่อทำลายเขา แต่สิ่งที่พบเห็นมาโดยตลอดคือเด็กหนุ่มที่พยายามวิ่งหนีการพบเจอกับเจ้านั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ประโยคที่ว่า กำลังโดนตามล่า ของครอส มาเรียนกลับมาวนซ้ำในความคิดอีกครั้ง

     

    “ทั้งที่กำจัดโนอาได้แต่เด็กนั่นไม่เลือกทำ ดันเอาตัวเองมาไว้กับโนอาแทนซะอย่างนั้น”

     

    “แล้วฉันก็พาเขากลับมาส่งให้ศาสนจักรถึงที่เลยอะนะ”

     

            เด็กหนุ่มเอาแต่เก็บงำปัญหาไว้กับตัวเองคนเดียว เขาเองก็แย่ที่หัวอ่อนเชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่อยากอยู่กับตัวเองต่อไปแล้ว อาวุธสังหารจากศาสนจักรดูเหมือนจะสร้างบาดแผลในใจให้เจ้าตัวมากกว่าที่เห็น

     

    “ถูกเผงเลย” ไวส์ลี่ว่าพร้อมดีดนิ้วประกอบ

     

            ถ้าคนทั้งคู่ไม่ปากแข็งแล้วยอมพูดกันมากกว่านี้ อะไรๆมันก็จะง่ายขึ้น แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ทำได้แค่ต้องหาวิธีรับมือต่อไป พลันความรู้สึกขนลุกเกลียวก็ตีเข้ามาเมื่อเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาอันน่ากลัวจากคนตัวสูงตรงหน้า

     

    “รู้ตัวใช่ไหมว่าเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังช้าเกินไป”

     

     

     

     

     

     

    “ทำอะไรงี่เง่าชะมัด คิดว่าตัวเองจะหนีอโพคริฟอสไปได้ตลอดชีวิตหรือไง”

     

            เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อาจารย์ที่รู้เรื่องทุกอย่างอย่างไรก็ต้องโมโหที่เขาตัดสินใจแบบนี้แน่นอน แม้จะอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อยว่าอย่างน้อยตอนนี้ยังมีคนๆนี้กับคันดะช่วยเป็นกำลังเสริม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะเอาชนะเจ้านั่นได้

     

    “ตอนนี้ศาสนจักรกำลังพลิกแผ่นดินตามล่าแกอยู่”

     

    “อย่างนั้นหรอครับ”

     

            และไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะหนีพ้นจากกองกำลังเอ็กโซซิสต์ที่กระหายในอำนาจถึงขั้นเลือกจบที่ความตายของเขาด้วยเช่นกัน คิดไว้อยู่แล้วว่าการกลับมาโลกมนุษย์คราวนี้ต้องลำบากแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าศาสนจักรจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่คิด

     

    “การกลับมาที่นี่ไม่มีอะไรปลอดภัยซักอย่าง แกเป็นห่วงเจ้าโนอานั่นมากขนาดนั้นเลยหรอ” การอยู่กับโนอาจะปลอดภัยกับอเลนมากกว่า แต่เพราะเจ้าตัวกลัวอโพคริฟอสมากเกินไปถึงได้ไม่รู้ว่าเจ้านั่นทำอะไรโนอาไม่ได้หากมีพลังเพียงครึ่งเดียว

     

            ดวงตาสีขี้เถ้าเลื่อนไปจับจ้องเจ้าของเสียงทุ้มอีกคนที่เอ่ยสนทนาด้วย ใครจะไปคิดว่าในเวลาแบบนี้จะมีคนอื่นที่รู้เรื่องของเขานอกจากอาจารย์อยู่ด้วย

     

    “ทำไมคันดะถึงอยู่ที่นี่ด้วยครับ นายจะโดนตามล่าไปด้วยไม่ใช่หรือไง”

     

    “เคยบอกแล้วว่าจะมาช่วยไม่ว่าวิธีไหน” การช่วยเหลืออเลนก็เหมือนการหันหลังให้ศาสนจักร ประโยคนี้ที่คันดะเคยพูดมันมีความหมายแฝงอยู่ตั้งแต่แรก แต่ทำไมเจ้าตัวถึงยอมออกตัวช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้

     

    “ถ้าไม่เจอเสนาธิการครอส ฉันจะรู้เรื่องทั้งหมดนี่หรอ”

     

            อเลนไม่เคยรู้มาก่อนว่าคันดะไปหาอาจารย์ที่เขาพยายามตามหามาตลอดเจอได้อย่างไร เพราะไม่กล้าไว้ใจใคร จึงเกิดเป็นความรู้สึกผิดต่อเจ้าของผมหางม้าที่ปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่พอสมควร

     

     

     

     




              

    ทีแรกกะว่าจะรวมเป็นพาร์ทเดียวจบเลย
    แต่ไม่ไหวจริงๆค่ะ ขนาดหั่นครึ่งตอนแล้วยังยาวขนาดนี้
    ชีวิตวัยทำงานมันหาเวลาว่างยากจริงๆค่ะ;-;
    สำหรับตอนนี้อาศัยว่าเก็บเล็กผสมน้อยจนรวมเป็นตอนได้
    แต่ส่วนที่เหลือจะรีบมาอัพให้นะคะ อีกแค่ครึ่งตอนก็จะจบแล้วว


    ตอนนี้ก็คือเนื้อหาเข้าเค้า Toxic relationship จัดๆเลย อ่านแล้วปวดหัวแทน
    ในเนื้อเรื่องรู้สึกเลยว่าทั้งอเลนกับทีกี้เป็นคนเก็บงำปัญหาไว้กับตัวเอง
    ไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง แต่พี่ทีกี้เราจะเป็นคนที่ทนไม่ไหวและระเบิดออกมาก่อน
    ยังไงอเลนก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือคนอื่นบ้างสิเนอะ;-;
    ในชีวิตจริงถ้าไม่มีคนรอบข้างคอยมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
    ก็จะเข้าใจผิดแล้วก็ทำร้ายกันแบบนั้นซ้ำๆไปนะ


    ว่ามาซะยาว ขอแอบหั่นตอนแบบตัดฉับนิดนึงนะคะ
    ไม่รู้จะไปแบ่งตรงไหนดี เพราะมันต่อกันหมดเลย55555
    ตอนหน้าจะจบแล้วค่ะ พอๆได้แล้วกับบทอโพคริฟอสเถอะเนอะ

    แล้วพบกันตอนจบค่ะ





    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×