ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่ 28 : สงครามสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 65


    โดรนบินของดันเต้เดินทางกลับมายังฐานทัพเพื่อมารวมตัวกับคนอื่นๆ หลังจากที่โดรนของดันเต้ลงจอดเรียบร้อยแล้ว พวกของนาวินที่อยู่ในโดรนก็ลงจากโดรนกันอย่างรวดเร็ว โดยที่ด้านล่าง อีสครินน่ารวมถึงซูซาคุก็กำลังรอพวกเขา นาวินและคนอื่นๆรีบเดินเข้าไปพบกับซูซาคุในทันที

    “อ้าว พี่ซู กลับมาแล้วเหรอครับ??” อากิระถามไป

    “อ้อ กลับมาแล้วหล่ะ ด็อกเตอร์คะ ฉันได้ของกลับมาแล้วค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ข้อมูลเป็นยังไงบ้างครับ??” นาวินถามไป

    “ฉันตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว มันเป็นข้อมูลการออกปฏิบัติการนอกกฎหมายของ UNASO ทุกอย่าง ถ้าข้อมูลพวกนี้ถูกเผยแพร่ รับรองว่าพวกมันโดนเล่นงานทั้งองค์กรแน่” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เรากลับไปที่ด้านล่างดีกว่าครับ จะได้คุยกันต่อ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันลงไปยังชั้นใต้ดินอย่างรวดเร็วเพื่อไปคุยกันถึงเรื่องแผนการต่อด้านล่าง ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงกัน โดยที่ดันเต้ก็ได้เอาเครื่องฉายภาพตามที่ซูซาคุขอมาติดตั้งไว้ด้วย หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย ซูซาคุก็ดำเนินการโชว์หลักฐานให้ทุกคนได้ดูในทันที

    “เอาหล่ะทุกคน นี่คือวีรกรรมของพวก UNASO จากที่ฉันได้รวบรวมมา” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ฉายภาพข้อมูลที่เธอเก็บไว้มาตลอดให้ทุกคนได้ดู และเมื่อทุกคนได้ดูจบ พวกเขาก็มาคุยกันในทันที

    “โห ถ้าเกิดข้อมูลพวกนี้ถูกปล่อยออกไป พวกมันก็จบเห่สิครับ” ภาภินพูดอย่างตื่นเต้น

    “แต่ว่า พวกนั้นมีอิทธิพลสูง เราจะทำอะไรได้เหรอคะ??” ลาลินถามไป

    “ถึงมันจะมีอิทธิพล แต่ข่าวนี้จะโดนแพร่ไปทั่วโลก และสื่อทุกสำนักต้องขุดคุ้ยเรื่องนี้แน่ๆ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราน่าจะติดต่อกับพวกนั้นไปเลยนะคะ” เวียนพูดขึ้น 

    “นั่นสิคะ อย่างน้อยพวกมันก็คงไม่กล้าจะหักหลังเรานะ” ฮารุพูดขึ้น

    “นั่นสิ คุณซู คุณช่วยติดต่อกับพวกมันให้เราที” นาวินพูดกับซูซาคุ

    “ได้สิ เรื่องนั้นฉันจะจัดการเอง ฉันรู้ว่าต้องคุยกับใคร” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เอาหล่ะครับ ปัญหาก็คือ ตอนนี้เราจะเอายังไงต่อกับโซนิคหล่ะ??” อินเนสซ่าถามไป

    “ตอนนี้ก็ต้องรอดู ว่ามันจะเคลื่อนไหวยังไงต่อ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ผมว่านะ พวกมันคงจะเตรียมจู่โจมใหญ่แน่ๆ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ก็ใช่นะ แต่ว่ามันจะโจมตีที่ไหนหล่ะ??” โลร็องต์ถามไป

    “มันก็ต้องโจมตีใจกลางเมืองสิ จะเป็นที่ไหนได้หล่ะ??” ลูโดวิกถามเสริม

    “เราอยากจะโจมตีพวกมัน แต่ว่าพวกเราไม่รู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหนหน่ะสิ” ซีโร่พูดขึ้น

    “พวกมันคงเก็บตัวกันดีมาก งานนี้คงต้องฝากนายแล้วหล่ะ ภาภิน” ลันโทสพูดกับภาภิน

    “อืม ตอนนี้คุณเบ็ตตี้ก็ยังไม่ติดต่ออะไรมาเลย ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะบอกนะครับ” ดันเต้พูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้ทุกคนก็ไปพักกันก่อนเถอะครับ ถ้าเรามีอะไรคืบหน้าค่อยมาว่ากันก็ได้” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “นั่นสิคะ พวกคุณก็เหนื่อยกันมาเยอะแล้ว” อัญชันพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของอีสครินน่าก็เกิดอาการอะไรบางอย่างเข้า พัตติยาลองถามเธอไปในทันที

    “อีสครินน่า เป็นอะไรเหรอ??” พัตติยาถามไป

    “ฉันว่า มีเทพบางองค์เริ่มปรากฏตัวแล้ว” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ไม่ว่ามันจะเป็นเทพองค์ไหนก็ให้มันมา พวกเราจะสู้ให้ถึงที่สุดแน่นอน” นาวินบอกกับทุกคนไป ก่อนที่จะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ก่อนที่พวกเขาจะรับมือกับศึกสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น

     

    ในห้องของนาวิน ในวันนั้นตัวของนาวินและเวียนก็ร่วมรักกันในห้องอย่างหวานชื่น หลังจากเสร็จกิจ พวกเขาทั้งคู่ก็มานอนกอดกันในทันที

    “คุณวินคะ ฉันอยากอยู่กับคุณจนวินาทีสุดท้ายเลย”

    “ผมก็เหมือนกัน ต่อให้ผมต้องตายผมก็ไม่กลัวอะไรแล้วหล่ะ” นาวินพูดขึ้น

    “แล้วคุณจะจัดการกับโซนิคยังไงหล่ะคะ??” เวียนถามไป

    “ถ้าถามผม ผมจะแบ่งพลังหทัยราชันย์กับมัน และวัดกันให้จบไปเลย” นาวินพูดขึ้น

    “ฉันเชื่อว่าคุณต้องทำได้นะคะ” เวียนพูดขึ้น

    “ผมรู้ครับ แต่ตอนนี้เราอย่าเพิ่งคิดถึงอนาคตอะไรเลย ตอนนี้ผมต้องการแค่คุณคนเดียว” นาวินพูดขึ้นพลางจูบหน้าผากเวียนไป

    “ค่ะ ฉันก็อยากอยู่กับคุณค่ะ ฉันไม่สนอะไรแล้ว” เวียนพูดขึ้นพลางรุกนาวินหนักขึ้น

    “มาเลยครับคุณเวียน” นาวินพูดขึ้น 

    “ค่ะคุณวิน ฉันรักคุณ ฉันต้องการแค่คุณคนเดียว” เวียนพูดขึ้น จากนั้นก็รุกนาวินมากขึ้นหนักกว่าเดิม และนาวินก็ตอบรับด้วยความยินดี

     

    ที่ห้องของอากิระ ในตอนนั้นอากิระก็นอนกอดกับเสี่ยวหลงหลังจากที่อากิระกลับมา 

    “อากิระ ฉันอยากอยู่กับนายแบบนี้ให้นานจัง” เสี่ยวหลงพูดพลางกอดอากิระแน่นขึ้น 

    “เออ ฉันรู้น่า” อากิระพูดขึ้น

    “ว่าแต่ นายคิดว่าเรื่องนี้จะจบยังไงหล่ะ??” เสี่ยวหลงถามไป

    “ไม่รู้สิ แต่ฉันก็ต้องทำให้ดีที่สุดหล่ะนะ” อากิระพูดขึ้น

    “ฉันรู้ว่านายต้องทำได้อยู่แล้ว” เสี่ยวหลงพูดขึ้น 

    “แต่ฉันคงทำไม่ได้ถ้าไม่มีนาย” อากิระพูดขึ้นและกุมมือของเสี่ยวหลงไว้

    “นายก็มีฉันอยู่ตลอดนั่นแหละ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เฮ้อ ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเยอะนะ” อากิระพูดขึ้น

    “แต่เอ๊ะ หรือว่า อยากรู้สึกดีขึ้นกว่านี้หล่ะ??” เสี่ยวหลงพูดพลางลูบไล้ไปตามตัวของอากิระ

    “บ้าเอ้ย นี่ทำอะไรของนายเนี่ย??” อากิระถามไป

    “เอ้า ก็อยากให้รู้สึกดีกว่านี้ไง” เสี่ยวหลงบอกกับอากิระไป

     

    ในห้องของอัญชัน ในตอนนั้นทั้งอัญชันและพัตติยาก็ร่วมรักด้วยกันและนอนกอดกันโดยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันบนเตียงไปด้วย

    “นี่ คุณพัตติยา จบเรื่องนี้คุณจะเอายังไงต่อคะ??” อัญชันถามพัตติยาไป

    “อืม ฉันว่าฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะออกจากวงการ” พัตติยาพูดขึ้น

    “อืม ฉันเข้าใจนะคะ ถ้าคุณจะออกจากวงการจริงๆ” อัญชันพูดปลอบใจพัตติยา

    “ฉันอยากเป็นตัวฉันเอง แล้วเธอเป็นคนเดียวที่รักฉันไม่ว่าจะเป็นยังไง” พัตติยาพูดขึ้น แลอัญชันก็กอดพัตติยาแน่นขึ้นไปอีก

    “ค่ะ ฉันจะรักคุณไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” อัญชันพูดขึ้น

    “ถึงมันจะโกหก แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้ฟังมันนะ” พัตติยาพูดขึ้น จากนั้นเธอก็กุมมืออัญชันไว้ ส่วนอัญชันเองก็กอดพัตติยามากขึ้นไปอีก

     

    ทางด้านของคนอื่นๆ ฮารุฝึกยิงปืนไฟของเธอโดยใช้เป้าซ้อมของดันเต้ เพื่อที่จะฝึกปรือฝีมือให้มีมากขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนอื่นๆก็ตามมาดูฮารุยิงเป้าซ้อมมือไปด้วย

    “โย่ว พี่ฮารุ พี่ยิงเป้าซ้อมด้วยเหรอ ทุกทีเห็นแต่ขี่มอเตอร์ไซค์??” โลร็องต์ถามไป

    “อ้อ ต้องฝึกไว้หน่ะ เพราะศึกสุดท้ายคงจะหนักแน่ๆ” ฮารุพูดขึ้น

    “จริงด้วย ผมว่างานนี้คงได้มีศึกหนักแน่ๆ” ลูโดวิกพูดขึ้น จากนั้นก็หยิบเอาปืนเลเซอร์ของดันเต้มาซ้อมยิงบ้าง ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็เดินออกมาจากห้องของเขาในสภาพค่อนข้างอ่อนเพลีย ในตอนนั้นลาลินต้องรีบไปประคองเขามา

    “ภิน ไม่เป็นอะไรนะ??” ลาลินถามภาภินด้วยความเป็นห่วง

    “อ้อ ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันพยายามจะสืบหาที่อยู่ของพวกมัน แต่พวกมันเก็บตัวกันดีมาก ตอนนี้พวก UNASO กำลังปิดกรุงเทพและค้นหาพวกมันอย่างหนักเลย” ภาภินพูดขึ้น

    “โห ทำไมพวกมันถึงเก็บตัวกันเก่งจริงๆ??” นายลุ้นถามไป

    “ก็เพราะพวกมันไม่ใช่มนุษย์แบบเรายังไงหล่ะ” ฮารุพูดขึ้น จากนั้นก็ชาร์จลูกไฟและยิงเป้าไป เสียงระเบิดทำเอาทุกคนถึงกับตกใจ

    “โห โคตรแรงเลยพี่!!” โลร็องต์พูดอย่างตื่นเต้น

    “นั่นสิพี่ แล้วอีกอย่างนะพี่ พี่ลองแนะนำมอเตอร์ไซค์ให้ผมหน่อยสิ” ภาภินบอกกับฮารุไป

    “เออ จริงด้วย ผมเองก้อยากมีมอเตอร์ไซค์สวยๆเก็บไว้เหมือนกัน” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “แต่ปัญหาคือ พวกนายต้องมีเงินกันก่อนนะ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “โธ่ เราคงหาเงินได้ไม่เก่งเท่าพวกนายหรอก” ลาลินพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถ้าเกิดว่าเรารอดไปได้ ฉันจะเลือกให้พวกนายเอง” ฮารุพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ตัวของภาภินเองก็เริ่มจะอ่อนเพลียมากขึ้นหลังจากที่ใช้พลังของเขา ทำเอานายลุ้นต้องหาเก้าอี้ให้ภาภินนั่ง

    “ภิน ฉันว่านายพักก่อนเถอะ” ลาลินพูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันก็หลับไปเองแหละ” ภาภินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบเอายาอะไรบางอย่างขึ้นมา และในตอนนั้นนายลุ้นก็ดูยาที่ภาภินกินด้วย

    “ยากระตุ้น มันจะไม่อันตรายกับร่างกายเหรอ??” นายลุ้นถามไป

    “กลัวอะไรหล่ะ พวกเรามันก็ตายกันไปแล้วนี่” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เออ จริงด้วย จะตายอีกรอบก็คงไม่แปลกสินะ” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “เออใช่ ว่าแต่ ตอนนี้คุณซูจะทำยังไงต่อหล่ะ??” ฮารุถามไป

    “อืม ผมว่า ตอนนี้เธอน่าจะกำลังเจรจากับพวก UNASO แน่นอนครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “แต่ผมไม่ค่อยไว้ใจพวกมันเท่าไหร่” โลร็องต์พูดขึ้น

    “ทำไงได้ เราไม่มีทางเลือกสินะ ไม่อย่างงั้น พวกมันคงกัดเราไม่ปล่อย” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “เฮ้อ ก็ขอให้คุณซูทำได้นะคะ” ลาลินพูดขึ้น

    “เออใช่ ว่าแต่ หลังจบเรื่องนี้ พวกนายจะไปทำอะไรกันต่อ??” นายลุ้นถามคนอื่นๆไป

    “อืม ของฉันยังไม่ได้คิด แต่ของนายคงต้องเปิดบ่อนแน่ๆ” โลร็องต์พูดขึ้น

    “แต่เปิดก็ดีนะ ทำแบบที่ Las Vegas ไง” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ถ้านายเปิด อย่าลืมบอกฉันด้วยหล่ะ ฉันจะไปเล่นบาร์คาร่าหน่อย” ฮารุพูดขึ้น

    “ได้เลย พวกพี่เป็นแขก VIP ไปเลย” นายลุ้นพูดขึ้น

    “แต่ว่า งานนี้พวกเราจะรอดไปได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ” ลาลินพูดขึ้น

    “ยังไงพวกเราก็ต้องมองโลกในแง่ดีไว้นะ” ภาภินพูดขึ้น จากนั้นตัวของภาภินกินยาไปอย่างรวดเร็ว

     

    ในห้องพักของโจไซอาห์ ตัวของเขานอนกอดกับอินเนสซ่าในห้อง จากนั้นก็จูบอินเนสซ่าจากด้านหลัง พวกเขาพยายามใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุด

    “คุณอินเนสซ่า ผมอยากจะบอกกับคุณมานานแล้ว” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “มีอะไรเหรอคะ??” อินเนสซ่าถามไป

    “จบเรื่องนี้ เราสองคนไปอยู่ด้วยกันดีมั้ยครับ??” โจไซอาห์ถามไป

    “อย่าว่าแต่จบเรื่องเลย ตอนนี้ฉันก็อยากอยู่กับคุณค่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น ทำเอาโจไซอาห์ถึงกับกอดอินเนสซ่ามากขึ้น

    “ผมจะดูแลคุณเองนะ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ฉันรู้ว่าคุณต้องทำได้อยู่แล้ว” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “เสียดายที่เราสองคนมีลูกกันไม่ได้แล้ว” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอแค่เราสองคนอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็พอแล้ว” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “นั่นสินะ ขอแค่มีคุณ ผมก็ไม่สนอะไรแล้วหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ค่ะ กอดฉันนานๆเลยนะคะ” อินเนสซ่าบอกกับโจไซอาห์ไป

     

    ทางด้านของอีสครินน่า ในตอนนั้นตัวของเธอก็กำลังยืนดูกล่องหทัยราชันย์ซึ่งในตอนนี้กำลังเปล่งแสงสีแดงไป ในขณะเดียวกัน ตัวของลันและซีโร่ก็เดินเข้ามาหาอีสครินน่าในห้อง ซึ่งในตอนนั้นลูอีสก็ตามมาด้วย

    “อ่า คุณอีสครินน่าครับ คุณดันเต้ถามหาอยู่หน่ะครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “อ้อ ฉันเข้าใจแล้วหล่ะ เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเอง” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “หู้ว มันสวยมากเลยครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “แน่นอน แต่ความสวยนั่นมันก็มีอะไรต้องแลก” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ตอนนี้ก็เหลือแค่เลือดของโซนิคสินะครับ ถึงจะเปิดมันได้” ลูอีสพูดขึ้น

    “ถ้าเป็นอย่างงั้น พวกมันคงต้องมีข้อต่อรองกับเราแน่ๆ” ลันโทสพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ แต่ปัญหาคือเราไม่มีทางเลือกหน่ะสิครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ก็อย่างที่บอก พลังมันมีสองส่วน และเมื่อทั้งคู่ได้รับมันมาแล้ว มันจะปลดปล่อยพลังทุกอย่าง และมันจะมหาศาลเกินกว่าที่ใครจะรับได้” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ผมว่า กรุงเทพคงจะเละไปเป็นแถบๆแน่นอน” ลันโทสพูดขึ้น

    “ผมว่าที่นี่จะปลอดภัย ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “แต่พวกเราจะไม่หลบซ่อนแบบนี้แน่นอนครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ฉันรู้ ตอนนี้ความหวังก็อยู่ที่พวกนายแล้วก็คุณนาวิน ถ้าเราหยดโซนิคไม่ได้ โลกใบนี้ล่มสลายแน่นอน” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ตอนนี้ผมได้ข่าวมาว่า พวกผู้เกิดใหม่ที่เคยทำงานกับคุณเบ็ตตี้ ไปทำงานให้โซนิคกันหมดแล้วครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ก็แน่หล่ะ ไอ้พวกนี้มันก็ทำเพื่อเงินนั่นแหละ” ลันโทสพูดขึ้น

    “แต่พวกคุณก็จัดการกับพวกมันได้นี่ครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “งานนี้คงจะรอไม่ได้แล้วหล่ะ เอาหล่ะ ฉันจะไปหาด็อกเตอร์ก่อนนะ” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปด้านนอกในทันที โดยที่คนอื่นๆก็เดินตามเธอไปติดๆ

     

    ทางด้านของซูซาคุ หลังจากที่ซูซาคุโทรศัพท์เพื่อเจรจาต่อรองกับพวก UNASO เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นดันเต้ก็มาเจอกับเธอ และซูก็คุยกับด็อกเตอร์ในทันที

    “อ้าว ด็อกเตอร์คะ”

    “คุณซู เป็นยังไงบ้างครับ??” ดันเต้ถามไป

    “ฉันติดต่อกับ The Green โดยตรง เธอรับปากว่าจะสงบศึกกับพวกเราแล้วค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อ้อ ถ้าอย่างงั้นก็ดีสิครับ” ดันเต้พูดขึ้น

    “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด็อกเตอร์คงจะเหนื่อยมากเลยสินะคะ หลังจากที่โดนทางการสหรัฐตามล่าตัวหน่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น และดันเต้ก็เปลี่ยนสีหน้าไปเลย

    “ผมทำใจได้แล้วหล่ะ ผมเลือกมาทางนี้ตั้งแต่ต้น แล้วผมก็ไม่เสียใจเลยที่ผมได้ทำ” ดันเต้พูดขึ้น

    “หลังจบเรื่อง ฉันจะทำเรื่องส่งไปทางทำเนียบขาว เกี่ยวกับเรื่องของคุณเอง” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ขอบคุณครับ แต่ผมเองก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน ผมรู้ดี” ดันเต้พูดขึ้น

    “เอาเถอะค่ะ อย่างน้อยมันก็ยังพอล้างมลทินให้คุณได้” ซูซาคุพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ดันเต้ก็รับโทรศัพท์จากใครบางคน และคำพูดของใครคนนั้น ก็ทำให้ดันเต้ถึงกับตกใจ

    “จริงเหรอ ได้ๆ เดี๋ยวฉันบอกกับคนอื่นๆ” ดันเต้พูดขึ้นและวางสายในทันที

    “ใครโทรมาเหรอคะ??” ซูซาคุถามไป

    “คงต้องเรียกทุกคนมาพบก่อน เพราะเรื่องนี้สำคัญมากครับ” ดันเต้พูดขึ้น 

    “ถ้าอย่างงั้น ฉันจะไปเรียกคนอื่นเองค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ไปเรียกคนอื่นๆให้มารวมตัวกันในทันที 

     

    และที่ห้องโถง หลังจากที่ทุกคนมารวมตัวกันตามที่ดันเต้บอกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็รอฟังดันเต้อย่างใจจดใจจ่อ และไม่นานนัก ดันเต้ก็พูดขึ้นมาในทันที

    “เอาหล่ะครับทุกคน สายข่าวของผมยืนยันมาแล้ว ตอนนี้โซนิคได้ข่มขู่ทำเนียบข่าวและสหประชาชาติแล้ว พวกเขาบอกว่าถ้าไม่ได้เงิน พวกเขาจะทำลายโลกนี้ให้ราบคาบ” ดันเต้พูดขึ้น

    “ห่ะ นี่พวกมันข่มขู่ทำเนียบขาวได้ด้วยเหรอครับ??” นาวินถามอย่างตื่นเต้น

    “ได้แน่นอน โซนิคมันเป็นตัวอันตรายเลย” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ถ้าเป็นแบบนี้ โลกนี้คงไม่เหลือแน่” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ถ้ามันทำลายโลกได้หมด แล้วมันจะเหลืออะไรหล่ะครับ??” อากิระถามกลับไป

    “โซนิคมีพลังการ Reset อยู่ หมอนั่นมันสามารถใช้พลังให้ทุกอย่างกลับคืนมา ยิ่งตอนนี้มันมีพลังมากขึ้น มันคงจะทำอะไรก็ได้” อีสครินน่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงประหลาดอะไรบางอย่างดังลอยมา เข้าหูพวกเขาอย่างรวดเร็ว

    “ทุกท่าน ข้าคือวิญญาณของวิบัติ ข้ามีเรื่องต้องบอกพวกท่าน!!”

    “ห่ะ วิบัติเหรอ เกิดอะไรขึ้นหล่ะ??” นาวินถามไป

    “อ้ายผิวดำนั่นมันจับข้าได้ มันให้ข้ามาบอกกับท่าน มันบอกว่าให้พวกท่านเอาพลังหทัยราชันย์ไปพบกับพวกมัน มิเช่นนั้น พวกมันบอกว่าจักทำลายโลกให้สิ้น เพลานี้ท่านวิบัติกำลังระดมวิญญาณเพื่อเข้าต่อตีกับพวกมัน ข้ามาบอกแค่นี้” หลังจากพูดจบ เสียงโหยหวนนั่นก็ค่อยๆหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำเอาทุกคนต้องรีบมาคุยกันในทันที

    “นี่มันคงจะเดินเกมแล้วสินะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “แบบนี้ เราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วนะคะ” อัญชันพูดขึ้น

    “เรายกพวกไปถล่มมันเลยดีกว่า!!” ฮารุพูดขึ้น

    “จริงด้วย ลุยกับพวกมันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย” พัตติยาพูดขึ้น

    “ฉันก็อยากจะพูดนะ แต่ตอนนี้เราไม่เหลือทางเลือกอะไรแล้วหล่ะ” เวียนพูดขึ้น

    “ถ้าพวกคุณสู้ พวกเราก็พร้อมครับ!!” ลันโทสพูดขึ้น

    “ผมยังไงก็ได้ทั้งนั้น เป็นไงเป็นกัน” ซีโร่พูดขึ้น

    “ครั้งนี้ผมไม่ขออยู่ที่นี่แล้วนะ ผมขอไปด้วย” ภาภินพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราก็ไปกันให้หมดเลยสิคะ” ลาลินพูดขึ้น

    “พวกมันจะต้องระดมผู้เกิดใหม่มาเป็นร้อยแน่ๆ ว่ามั้ย??” โจไซอาห์ถามไป

    “แล้วยังไงหล่ะพี่ ก็มีแต่พวกปลายแถวทั้งนั้น” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ใช่ แต่ปัญหาคือพวกมันมีมากกว่าเราหน่ะสิ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “แต่ผมไม่หยุดแค่นี้หรอกครับ ผมจะสู้ให้ตายไปข้างเลย” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เกมนี้ผมจะไม่ขอทำนายอะไรก็แล้วกันนะ ให้พวกพี่ลุ้นกันเองแล้วกัน” นายลุ้นพูดขึ้น

    “พวกคุณจะออกเดินทางกันเลยหรือเปล่าครับ??” ลูอีสถามไป

    “เราต้องติดต่อกับโซนิคก่อนครับตอนนี้” นาวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาดันเต้ ดันเต้รีบรับสายในทันที แต่เสียงของปลายสายทำให้พวกเขาต้องแปลกใจ

    “นี่ แกรู้เบอร์พวกเราได้ยังไงกัน??”

    “ได้ รอเดี๋ยว” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้นาวินในทันที นาวินหยิบโทรศัพท์มาแล้วคุยกับปลายสาย

    “ฮัลโหล”

    “สวัสดีคุณนาวิน ผมโซนิคเอง คุณรู้นะว่าผมต้องการอะไร??”

    “ได้ แกจะให้พวกเราไปเจอที่ไหนหล่ะ??” นาวินถามไป

    “อนุสาวรีย์ชัย เวลา 5 โมงเย็น ผมให้คนไปเคลียร์พื้นที่ตรงนั้นแล้ว เอาของที่ผมอยากได้มาด้วย ไม่อย่างงั้น อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ” โซนิคพูดขึ้น

    “ได้ กูจะไปเจอกับพวกมึงแน่!!” นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็วางสายในทันที

    “ทุกคนครับ อนุสาวรีย์ชัย 5 โมงเย็น ศึกสุดท้ายของพวกเรา เราหันหลังกลับไม่ได้แล้วครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป 

     

    ณ ฐานที่มั่นของคริสเตียล หลังจากที่พวกเขาบุกไปยังตำแหน่งเป้าหมายที่พวกเขาได้รับรายงานว่าเป็นที่กบดานของโซนิค แต่พวกเขากลับไม่เจอโซนิคและกองกำลังของพวกนั้นเลยแม้แต่เงา ทำเอาพวกนั้นต้องรีบเดินทางกลับมาฐานทัพเพื่อวางแผนกันต่อ รวมถึงไปเยี่ยมแสงจันทร์ที่ถูกยิง และในห้องพักฟื้นของแสงจันทร์ ตัวของแสงจันทร์โทรหาใครบางคนในห้อง และหลังจากที่คริสเตียลและคนในทีมกลับมา แสงจันทร์ก็วางสายโทรศัพท์ในทันที

    “เฮ้ แสงจันทร์ เป็นยังไงบ้าง??” คริสเตียลถามไป

    “อ้อ ตอนนี้โอเคขึ้นแล้วครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “ก็ดี ตอนนี้พวกเรากำลังมีปัญหา สายข่าวของเราบอกมาว่า ตอนนี้โซนิคมันข่มขู่จะเอาเงินจากทางการสหรัฐแล้ว ได้ยินว่ารวมๆ เกือบพันล้านเหรียญเลย” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “นั่นก็หมายถึง ตอนนี้พวกมันกำลังเดินเกมแล้ว เรารอต่อไปไม่ได้แล้ว” จ่าชัยพูดขึ้น

    “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ขนาดนี้” ยูริพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาคริสเตียล คริสเตียลรับสายอย่างรวดเร็ว

    “ครับผม”

    “ห่ะ นี่คุณไปเจรจากับพวกมันเหรอครับ??” 

    “เอาที่คุณสบายใจเลยครับ” คริสเตียลพูดขึ้นและวางสายไปอย่างหัวเสีย

    “มีอะไรหรือเปล่าคะ??” เวอร์รีนถามอย่างแปลกใจ

    “คุณ The Green มีข้อตกลงกับพวกของไอ้นาวิน สั่งห้ามไม่ให้เราทำอะไรพวกนั้น” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ห่ะ อะไรกัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้หล่ะ??” รูกี้ถามไป

    “เราไม่มีทางเลือก พวกนั้นมีข้อมูลที่จะแฉองค์กรเรา” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ผมว่า คุณ The Green ต้องการให้พวกนั้นรับมือโซนิคมากกว่า” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “แต่ผมว่า ปล่อยให้พวกเขาจัดการไปดีกว่าครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “อืม เรื่องนี้ผมก็เห็นด้วยนะครับ พวกเขาน่าจะจัดการโซนิคได้” จ่าชัยพูดเสริม

    “แต่ว่า จะให้พวกมันได้หน้าไปอย่างงั้นเหรอ??” รูกี้ถามไป

    “แล้วถ้าคุณไป คุณจะหยุดโซนิคได้อย่างงั้นเหรอ??” ยูริถามกลับไปบ้าง

    “งานนี้เราคงไม่เหลือทางเลือกแล้วสินะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “นั่นสิ เจ็บใจจริงๆ ฉันว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของซูซาคุแน่ๆ เพราะมีแต่เธอที่มีข้อมูลของพวกเรา” คริสตียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ฮาเวิร์ดก็ได้รับแจ้งอะไรบางอย่างผ่านทางวิทยุ หลังจากที่ฮาเวิร์ดได้รับข้อมูล เขาก็มารายงานคริสเตียลอย่างรวดเร็ว

    “ท่านครับ เบื้องบนรายงานมาว่า โซนิคได้นัดพบกับนายนาวิน ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครับ”

    “อนุสาวรีย์ชัย ได้ข่าวว่าตอนนี้กำลังโดนโจมตีหนักเลยนี่” จ่าชัยพูดขึ้น

    “หรือว่า พวกมันจะไปเคลียร์พื้นที่ เพื่อไปเจรจาอะไรบางอย่างครับ??” แสงจันทร์ถามไป

    “เป็นไปได้ ฉันว่างานนี้คงใกล้จะจบเรื่องแล้วหล่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “หรือไม่ เราก็ฆ่าพวกมันทั้งคู่ก็จบเรื่อง” รูกี้พูดขึ้น

    “พูดอย่างกับว่าเราทำได้ง่ายๆอย่างงั้นหล่ะ” ยูริพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไงก้ต้องลองดู เราทำกันมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันจะไม่จบแค่นี้หรอก พวกเรา เตรียมกำลังพลให้พร้อม จับตายโซนิค!!” คริสเตียลออกคำสั่งไป หลังจากนั้น กองกำลังของเขาทั้งหมดก็เตรียมอาวุธและกระสุนเต็มอัตราศึกเพื่อลุยในศึกสุดท้าย 

    “ผมอยากไปด้วยครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “นายอยู่ที่นี่แหละ พวกเราจัดการเอง นายยังมีครอบครัวนะ” เวอร์รีนตอบกลับไป

    “เอาหล่ะ คำถามคือ เราจะทำยังไงกับนายนาวินหล่ะ??” ยูริถามคนอื่นไป

    “ไอ้นาวิน ฉันจัดการมันเอง” รูกี้พูดขึ้น

    “เออ ถ้านายจัดการไม่ได้ นายอาจจะตายก็ได้” จ่าชัยบอกกับรูกี้ไป

    “เอาเถอะ ถึงยังไงก็ต้องลองดู” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “เออ ถ้าพวกนายเจอกาลีน่า ฉันขอจัดการเอง” ยูริพูดขึ้น

    “ฉันว่า นายจะปล่อยเธอไปมากกว่า” จ่าชัยพูดแซวไป

    “เฮ้อ ถ้านายปล่อยมันไป ฉันจะจัดการนางเอง ฉันไม่ปล่อยมันหรอก กับสิ่งที่มันทำกับรูกิ” เวอร์รีนพูดขึ้น นั่นทำเอาแสงจันทร์ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปเลย

    “โห เห็นใจแสงจันทร์มั้งเซ่” รูกี้พูดขึ้น

    “พวกคุณอยากจะทำอะไรก็ทำเถอะครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “นายไม่ต้องห่วง พวกเราจะจัดการเรื่องนี้ พักผ่อนให้สบายเถอะ” ฮาเวิร์ดพูดกับแสงจันทร์และแตะไหล่เขาไป

    “เอาหล่ะทุกคน งานนี้ฉันขอเร็วแรง เป้าหมายหลักของเราคือโซนิค จับตายมันได้ทันทีที่เจอ” คริสเตียลบอกกับทุกคน จากนั้นก็ใส่กระสุนเข้าไปในรังเพลิงปืนของเขาอย่างแน่วแน่

     

    กลับมายังบ้านพักซึ่งเป็นแหล่งกบดานของเพี้ยน ในขณะที่ตัวของเพี้ยนกำลังนอนพักอยู่บนเตียง แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากหน้าห้องของเพี้ยน ตัวของเพี้ยนรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

    “ถึงเวลาแล้วสินะไรท์ วันตัดสินชะตา”

    เพี้ยนพูดขึ้น จากนั้นเพี้ยนก็ไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดขึ้น

    “เออ เดี๋ยวขอเตรียมตัวก่อนนะ” เพี้ยนพูดขึ้นราวกับว่าเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ตัวของเพี้ยนเข้าไปในฟห้องน้ำไม่นานนัก เพี้ยนก็เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว

    “อืม ไปกันเลย ฉันรู้โซนิคกับรอฉันแล้ว”

    ลูกน้องของโซนิคฟังเพี้ยนอย่างงงๆ แต่เขาก็พาเพี้ยนไปในทันที จนกระทั่งพวกเขาก็ลงมาที่ด้านล่าง ซึ่งกลุ่มของโซนิคกำลังยืนรออยู่แล้ว ในตอนนั้นตัวของเพี้ยนเห็นโซนิคก็พูดขึ้นในทันที

    “ศึกสุดท้ายของนายแล้วสินะ??”

    “แน่นอน ฉันถามแกหน่อยสิ แกคิดว่าใครจะชนะ??” โซนิคถามเพี้ยนไป

    “อืม ไม่บอกหรอก บอกไปก็ไม่ลุ้นหน่ะเส่!!” เพี้ยนพูดขึ้น

    “นี่ ตอบไปดีๆสิวะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “เอาน่าลีน่า แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้สนุก” เดวิดพูดขึ้น

    “เฮ้อ อย่าไปเชื่อดวงมากเลย เชื่อตัวเองดีกว่า” กาลีน่าพูดขึ้น

    “พูดไปนะพี่สาว วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของพี่สาวก็ได้” เพี้ยนพูดขึ้น ในตอนนั้นกาลีน่าแทบจะไปฟาดปากกับเพี้ยน แต่โซนิคก็ห้ามไว้ก่อน

    “นี่ ถามหน่อย แล้วฉันต้องทำยังไงถึงจะชนะนาวินได้??” โซนิคถามไป

    “อืม เรื่องนี้ต้องอยู่ที่ตัวพี่เองแล้วหล่ะ” เพี้ยนพูดขึ้นพลางกอดอกไป

    “ค่ะที่รัก ถ้างานนี้จบแล้ว เราจะสบายไปทั้งชาติเลย” ลีน่าพูดขึ้น

    “ฉัน เราขอเงินรายปีกับมันปีละ 5 ล้านเหรียญ แถมยังมีเงินก้อนใหญ่อีก แล้วพวกมันก็ต้องยกเกาะในอเมริกาใต้ให้เราด้วย” เดวิดพูดขึ้น

    “เฮ้อ ฉันไม่สนเงินหรอก ขอแค่ส่งไอ้ภาภินมาให้ฉัน” กาลีน่าพูดขึ้น

    “ไม่ได้หรอก เธอมีความดีความชอบ ฉันเตรียมเงินไว้ให้เธอแล้ว“ โซนิคพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ พอเราไปถึงแล้ว เราจะทำตามแผนกันเลย กาลีน่า งานนี้ฉันไม่อยากให้เธอพลาด” ลีน่าพูดขึ้น

    “ได้เลย เธอก็รู้ฝีมือฉันแล้วนี่” กาลีน่าตอบไป

    “งานนี้อาจจะมีมือที่สามมาด้วย ต้องระวังนะครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วง ถึงยังไงพวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้ แล้วตอนนี้ทางทำเนียบขาวตอบกลับมาหรือยัง??” โซนิคถามไป

    “ตอนนี้พวกเขาขอเวลาประชุมก่อนครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “เฮ้อ คงถ่วงเวลาให้พวก UNASO จัดการกับเราให้ได้หน่ะสิ แต่เราจะทำให้พวกมันรู้ว่ามันจะไม่มีทางสมหวัง” ลีน่าพูดขึ้น

    “ถ้าเราจัดการพวก UNASO ได้ทั้งหมด งานนี้พวกมันก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว” กาลีน่าพูดขึ้น

    “แล้วถ้าเกิดฉันได้พลังทั้งหมดจากไอ้นาวิน และพวกของมัน งานนี้ฉันจะกลายเป็นมหาเทพที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ พลังความเป็นอมตะของไอ้นาวินที่ฉันต้องการ เอาหล่ะ บอกพวกเราให้เตรียมพร้อม เราจะไปลุยสมรภูมิสุดท้ายนี่กัน” โวนิคพูดขึ้น

    “อู้ว น่ากลัวจริงๆ ยังไงก็ขอให้โชคดีก็แล้วกันเน้อ” เพี้ยนพูดขึ้น จากนั้นไม่นาน กองกำลังของโซนิคที่เหลือก็เตรียมอาวุธกันจนเต็มอัตราศึก จากนั้นพวกเขาก็ออกไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ก้านนอกในทันที

    “อู้ว งานนี้จะต้องสนุกแน่เชียว” เพี้ยนพูดขึ้น

    “นี่ เงียบๆหน่อย หูจะแตกตายอยู่แล้ว!!” ลีน่าตะโกนบอกเพี้ยนไป

    “เย็นไว้ เดี๋ยวหมอนั่นก็ทำนายให้เธอตายหรอก” เดวิดพูดขึ้น

    “อนุสาวรีย์มีตึกอยู่ ฉันจะไปซุ่มอยู่แถวนั้น แล้วคอยดูเผื่อว่ามีใครมากวน” กาลีน่าพูดขึ้น

    และอีกด้านหนึ่ง ด้านนอกบ้านของโซนิค กลุ่มของแก้วที่กำลังดักซุ่มดูสถานการณ์อยู่ด้านนอก ไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นประตูรั้วของบ้านเปิด จากนั้นขบวนรถก็ค่อยๆเคลื่อนที่ออกมาจากบ้าน

    “ทุกคน มันออกมาแล้ว” ไคบอกับทุกคนไป

    “คุณเบล มันมีกันเยอะเลย” แก้วบอกกับเบลไป ในขณะที่เธอบอกขบวนรถมากมายที่ขับออกมา

    “รถของไอ้โซนิคอยู่ไหนวะเนี่ย??” เบลถามอย่างสงสัย 

    “เออ คันนั้นหรือเปล่า??” เกเบรียลถามและชี้ไปยังรถเก๋งสีขาวคันหนึ่งซึ่งขับมากลางขบวน

    “น่าจะเป็นไปได้ มันต้องมีคนคุ้มกันรถด้วย” ไคพูดขึ้น

    “แล้วเราจะเอายังไงต่อหล่ะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “ก็ตามพวกมันไปสิ!!” เบลพูดขึ้น

    “เดี๋ยว ใจเย็น ให้คันสุดท้ายไปก่อน” เกเบรียลพูดห้ามเบลไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็เห็นรถคันสุดท้ายขับออกไปเรียบร้อยแล้ว

    “เฮ้ย มันออกไปแล้ว รีบไปเถอะ!!” เบลพูดขึ้น 

    “โอเค ถ้าอย่างงั้นตามมาเลย” ไคพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้ง 4 คนก็รีบออกจากป่าข้างทาง แล้วรีบไปที่รถที่พวกเขาจอดไว้ในทันที

    “พวกมันจะไปไหนกันนะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “ก็คงต้องตามมันไปดูแล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็รีบไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว โดยที่ไคเป็นคนขับรถ และเมื่อเธอสตาร์ทรถแล้ว รถของพวกเขาก็ไล่ตามขบวนของโซนิคไปในทันที

    “นี่ รักษาระยะห่างหน่อยนะ เดี๋ยวมันรู้ตัว” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วง ฉันพอจะจับจังหวะได้อยู่” ไคพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ตัวของเธอก็เบรกรถก่อนอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนอื่นๆถึงกับแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

    “ไค นี่มันอะไรกันเนี่ย??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ เดี๋ยวมันก็หายไปหรอก” เบลถามเสริม

    “มันจะส่งคนมากวาดเรา ฉันต้องเบรกแล้วให้มันไปก่อน ไม่ต้องห่วง ฉันตามมันไปได้” ไคพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ค่อยๆขับรถและแกะรอยตามไปอย่างรวดเร็ว

    “โห รู้ได้ยังไงคะเนี่ย??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “คือว่า ความสามารถของไคคือมองเห็นอนาคตหน่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “เออ จริงด้วย ทำไมฉันลืมไปเลยหล่ะ??” เบลถามอย่างสงสัย

    “ไม่ต้องห่วง ฉันพอเดาได้ว่าถึงยังไงมันก็ต้องเข้ากรุงเทพแน่ๆ แต่แค่ไม่รู้ว่าจะไปไหน” ไคพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง แก้วก็เปิดวิทยุของรถอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นก็มีข่าวแทรกเข้ามา

    “ขณะนี้มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ปิดเส้นทางซึ่งจะใช้เดินทางไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ...”

    “เออ คิดเหมือนฉันมั้ยทุกคน??” แก้วถามคนอื่นๆไป

    “ต้องเป็นที่นั่นแน่นอน ฉันเอาหัวเป็นประกันเลย” เกเบรียลพูดขึ้น

    “อืม อย่างน้อยเราก็รู้ว่าพวกมันไปที่ไหน” เบลพูดขึ้น

    “อนุสาวรีย์ชัย ฉันรู้ทางลัด” ไคพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็บึ้งรถต่อไปอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังจังหวัดระยอง บริเวณสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งมิกิได้รอใครคนหนึ่งเดินทางมาหาเธอ และไม่นานนัก รถแวนคันหนึ่งก็มาจอดที่ด้านหน้ารถของเธอ จากนั้นคนขับรถก็เดินลงมาจากรถ เดินไปหามิกิในทันที

    “หวัดดีมิกิ”

    “เชน ลูกๆนายสบายดีนะ??” มิกิถามไป

    “ก็ดี ไหนหล่ะ ที่บอกว่าจะพาฉันหนี??” 

    “ตามฉันมาแล้วกัน” มิกิพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ไปขึ้นรถ และขับรถนำทางให้เชนและครอบครัวเดินทางในทันที พวกเขาขับรถกันไปไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงบ้านพักของเบ็ตตี้ พวกเขาทั้งคู่จอดรถไว้ที่หน้าบ้าน โดยที่ลูกน้องของเบ็ตตี้ก็เดินมารับพวกเขา ทั้งมิกิและเชนลงจากรถ แล้วมาคุยกับลูกน้องของเบ็ตตี้ในทันที

    “มากันแล้วเหรอครับ??”

    “ใช่ คนนี้ไงที่มีข้อมูล” มิกิพูดขึ้น 

    “อืม ขอดูข้อมูลหน่อยครับ” ลูกน้องของเบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นเชนก็เอาฮาร์ดดิสก์พกพาให้กับลูกน้องของเบ็ตตี้ 

    “แล้วไหนหล่ะ ที่บอกจะพาครอบครัวฉันหนี??” เชนถามไป

    “คุณเบ็ตตี้ให้พวกเราไปส่งคุณที่ท่าเรือ เรามีเรือจะพาคุณไปสิงคโปร์ จากนั้นคุณก็ไปต่อเครื่องได้” ลูกน้องของเบ้ตตี้พูดขึ้น

    “แล้วนี่ เบ็ตตี้หายไปไหนหล่ะ??” มิกิถามไป

    “ไม่ทราบเหมือนกันครับ เธอบอกว่าเธอจะไปทำธุระ เธอให้พวกเราไปส่งคุณ แล้วก็เตรียมเงินให้พวกคุณแล้วครับ” ลูกน้องของเบ็ตตี้พูดขึ้น

    “ดี ฉันอยากจะพาครอบครัวฉันไปให้เร็วที่สุด” เชนพูดขึ้น

    “ครับ ถ้าอย่างงั้นก็ตามพวกเรามาเลยครับ” ลูกน้องของเบ้ตตี้พูดขึ้น จากนั้นทั้งมิกิและเชนก็กลับไปขึ้นรถของเธออย่างรวดเร็ว และเตรียมเดินทางออกจากประเทศไทย

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งมุ่งหน้าเดินทางไปยังที่ในซักแห่งในใจกลางกรุงเทพ รถของ The Green เดินทางไปที่ไหนซักแห่ง โดยที่ตัวของเธอก็กดโทรศัพท์มือถือโทรหาใครบางคน แล้วต่อเข้ากับบูลธูทอย่างรวดเร็ว และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็เริ่มการสนทนาในทันที

    “ฮัลโหล คุณนอร์ตัน ได้ยินหรือเปล่า??”

    “คุณ The Green เดินทางเป็นยังไงบ้างครับ??” 

    “โอเคดี ฉันต้องบอกนายอะไรบางอย่าง”

    “ครับผม เรื่องอะไรครับ??”

    “ฉันเชื่อว่าไอ้ซัลลิแวนมันต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ในองค์กรของเรา”

    “ห่ะ จริงเหรอครับ คุณรู้ได้ไงครับ??”

    “ยัยเชอร์รี่มันจะฆ่าฉัน มันสารภาพกับฉันว่า ซัลลิแวนเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”

    “เออ ยัยนั่นอาจจะอ้างชื่อคุณซัลลิแวนก็ได้หล่ะมั้งครับ??”

    “เอาเถอะ ถึงยังไงฉันก็ไม่ปล่อยมันไว้แน่” 

    “ครับ ผมเข้าใจครับ เอาเป็นว่าเราจะกักตัวเขาเอาไว้ ถ้าคุณต้องการนะครับ”

    “ดี ฝากจัดการด้วย อย่าให้มนหนีไปไหนได้” The Green พูดทิ้งท้ายไว้ จากนั้นเธอก็วางสายโทรศัพท์ไปในทันที

     

    ณ ถ้ำของวิบัติ ในวันนี้ตัวของวิบัติระดมกองกำลังวิญญาณมามากมายนับร้อยเพื่อเตรียมเข้าสู้ศึกในครั้งนี้ โดยตัวของวิบัติเองจะคุมวิญญาณอยู่ที่ถ้ำของเขาเป็นหลัก และในวันนั้นเอง ตัวของวิบัติกำลังนั่งท่องมนต์อะไรบางอย่างต่อหน้าของเมืองผา ซึ่งเมืองผาในตอนนั้นก็กำลังนั่งสมาธิอยู่ต่อหน้าวิบัติด้วย 

    “วิ๊บ!!”

    แสงสีดำอะไรบางอย่างเปล่งออกมาจากร่างกายของเมืองผา โดยที่เหล่าวิญญาณบริวารของวิบัติก็ยืนดูอย่างตื่นเต้น

    “โห นี่หน่ะหรือ สองวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง??”

    “นั่นสิ ข้าเองก็เพิ่งจักเคยเห็น”

    หลังจากนั้น จู่ๆ ร่างกายของวิบัติก็ล้มลงไปนอนลงดื้อๆ พร้อมกับวิญญาณของเมืองผาที่ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับยืนขึ้น ให้เหล่าวิญญาณบริวารได้เห็น

    “พวกเจ้าทั้งหลาย เราจักไปทำสงคราม!!” เสียงนั้นเป็นเสียงของวิบัติที่ออกมาจากร่างของเมืองผา เหล่าวิญญาณบริวารของวิบัติที่ได้ยินดังนั้นก็เฮกันดังลั่น

    “วิบัติ เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่นะ??” เสียงของเมืองผาออกมาจากร่างของวิบัติ

    “มีเพียงวิธีนี้ เราถึงจักพอสู้กับมันได้ แลอีกอย่าง เราสองคนจักมิพรากจากกันแล้ว” วิบัติบอกเมืองผาไป

    “ได้เลย ข้าจักร่วมรบกับเจ้า ไม่ว่าจักเป็นเยี่ยงไร” วิบัติบอกกับเมืองผาไป

     

    ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งในตอนนี้บรรดากองกำลังผู้เกิดใหม่ซึ่งโซนิคได้ว่าจ้างมาก็ได้เข้ายึดพื้นที่อย่างสมบูรณ์ บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหารพยายามใช้กำลังเข้ายึดพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะกลุ่มเจ้าหน้าที่ไม่สามารถบุกเข้าไปได้เลย และไม่นานนัก รถของโซนิคก็ขับเข้ามายังบริเวณพื้นที่อนุสาวรีย์ชัย พวกเขาลงจากรถ จากนั้นก็มาคุยกับหัวหน้ากลุ่มผู้เกิดใหม่ที่คุมพื้นที่อย่างรวดเร็ว

    “คุณโซนิคครับ!!”

    “อืม เป็นยังไงบ้าง นี่ก็ใกล้จะ 5 โมงเย็นแล้วนะ??” โซนิคถามไป

    “อ้อ เรายังไม่เห็นพวกมันเลยครับ” ชายหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างบินมาจากบนฟ้า จากนั้นก็รีบตะโกนออกมาในทันที

    “ยานบินข้าศึกกำลังมา!!” ในตอนนั้นเมื่อโซนิคได้ยินก็พูดขึ้น

    “มันมาแล้ว กาลีน่า เตรียมพร้อม!!” โซนิคพูดขึ้น กาลีน่าได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปยังตึกสูงบริเวณนั้นในทันที ส่วนตัวของโซนิคเองก็ยืนรอกลุ่มของนาวินที่กำลังนั่งยานมาจอด หลังจากที่ยานของนาวินและพรรคพวกร่อนลงจอดเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของนาวินก็เดินลงมาคุยกับโซนิคอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้เผชิญหน้ากันแล้ว

    “สวัสดีครับคุณนาวิน เจอกันอีกแล้วนะครับ” โซนิคพูดขึ้น

    “อืม ผมก็มาแล้ว มีอะไรก็พูดกันเลยดีกว่า” นาวินตอบกลับไป

    “โห นี่คุณนาวินเหรอเนี่ย องอาจสมคำรำลือจริงๆ” เพี้ยนพูดอย่างตื่นเต้นตอนที่ได้เจอกับนาวิน

    “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าเทพเมริออนอยู่ที่นี่ด้วย” อีสครินน่าที่เห็นเพี้ยนก็พูดขึ้น

    “เออ มันเป็นใครกันหล่ะ??” พัตติยาถามไป

    “อืม ถ้าจะเปรียบเทียบในเมืองไทย ก็เหมือนกับฤๅษีในสมัยโบราณนั่นหล่ะ เทพองค์นี้มีหน้าที่สั่งสอนและเผยแพร่ความรู้ต่อมนุษย์ที่อยู่ใต้การปกครอง” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “หวังว่าพวกคุณจะนำของที่ผมต้องการมาด้วยนะ” โซนิคพูดขึ้น

    “คิดว่าผมจะให้มันง่ายๆอย่างงั้นเหรอ??” นาวินถามกลับไป

    “อืม สถานการณ์แบบนี้ ผมว่าคุณคงไม่มีทางเลือกมาแล้วหล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    และอีกด้านหนึ่ง จุดซุ่มยิงของกาลีน่า ในตอนนั้นกาลีน่าตั้งปืนสไนเปอร์ไว้เพื่อช่วยยิงคุ้มกันโซนิค กาลีน่าส่องกล้องไปยังกลุ่มของนาวิน แต่ในตอนนั้นเอง ตัวของกาลีน่าก็เจอกับภาภินที่ยืนอยู่แถวนั้น ทำเอาตัวของเธอถึงกับเล็งปืนไปที่ภาภินในทันที

    “ฉันเจอแกแล้ว!!”

    กาลีน่ากำลังจะเหนี่ยวไก แต่ในตอนนั้น ตัวของเธอก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง เธอลองเล็งปืนออกไปอีกด้านหนึ่ง และในตอนนั้น ตัวของเธอก็เจอกลุ่มของคริสเตียลที่ค่อยๆลอบสังหารกลุ่มผู้เกิดใหม่บริเวณนั้น พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่พลซุ่มยิงตั้งกำลังพลอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้น

    “บ้าเอ้ย จะมาอะไรตอนนี้วะ??”

    กาลีน่ายังคงลังเลว่าเธอจะยิงใคร เธอกลัวว่าถ้าไม่ยิงในตอนนี้จะเป็นการปล่อยภาภินไป แต่ในตอนนี้ กลุ่มของคริสเตียลก็พยายามจะเล็งปืนเพื่อสังหารกาลีน่าด้วย

    “คุณโซนิค ฉันขอโทษ”

     

    “คุณจะเอายังไงต่อ คุณนาวิน??” โซนิคถามนาวินต่อไป 

    “ถ้าอยากจะลุย ก็ลุยเลย..” นาวินยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้น

    “ปัง!!”

    ในตอนนั้นกระสุนปืนเฉียดแขนของโซนิคไปนิดเดียว ทำเอาตัวของโซนิคเซไปเล็กน้อย ตัวของนาวินเองก็ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

    “หาที่หลบเร็ว!!” นาวินตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปหาที่หลบอย่างรวดเร็ว กาลีน่าเห็นภาภินที่วิ่งหนีตามนาวิน เธอจึงพยายามจะยิงเขา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่โดนเลย

    “ปังๆๆๆๆ!!”

    ตัวของฮารุเองเมื่อเห็นวิถีกระสุนก็รู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวของเธอเลยวิ่งไปกาลีน่าในทันที ส่วนตัวของภาภินเองก้ตามฮารุไปด้วย กลุ่มของโซนิคเองในตอนนั้นก็หาที่หลบอยู่แถวนั้น ลีน่าเองในตอนนั้นก็หยิบปืนพลุขึ้นมาแล้วยิงขึ้นฟ้าในทันที

    “ดูเหมือนไอ้พวก UNASO มันจะมาร่วมวงด้วยนะครับ” เดวิดบอกกับโซนิคไป

    “นั่นสิที่รัก แต่ตอนนี้เราเรียกพวกเรามาหมดแล้วค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “ดี มาจบเกมนี้กันเลย!!” โซนิคตะโกนออกมา

    ==================================================================

    ศึกสุดท้ายระหว่างนาวินและโซนิคจะเป็นอย่างไร อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×