ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา

ลำดับตอนที่ #3 : สัญญาเดิมพันสิบปีกับเฒ่าประหลาด

  • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 48


ตอนที่ 3 สัญญาเดิมพันสิบปีกับเฒ่าประหลาด



    งุ้ยเลี่ยงแชกับจิวอวงยี้ บรรลุถึงบ้านไม้หลังหนึ่ง ปลูกสร้างอยู่เชิงหน้าผา ดูแล้วเรียบง่ายแต่งดงามอย่างวิจิตร ที่นี้เป็นที่พำนักของบัณฑิตมือวิเศษเจี่ยซิงเห๋อ  จิวอวงยี้เปิดประตูเข้าไปเห็นเจี่ยซิงเห๋อนักจิบน้ำชาสนทนากับคังหมิ่นอยู่ก่อนแล้ว จึงไปก้มกายคาราวะต่อเจี่ยซิงเห๋อ เรียกตั่วซือแป๋ คำหนึ่ง เจี่ยซิงเห๋อเห็นนางคาราวะชดช้อยงดงาม ต้องลูบเคราหัวร่อ กล่าวว่า

“นับวัน เจ้ายิ่งคับคล้ายละม้ายเหมือนคังหมิ่น”

งุ้ยเลี่ยงแช เดินเข้ามาทรุดนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งยกน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียว กล่าวแทรกขึ้นว่า

“เพียงกิริยาคับคล้ายแต่นิสัยไม่คล้าย หากอวงยี้จัดจ้านเหมือนเช่นนางเราคงต้องคลั่งใจตายเป็นแน่”



คังหมิ่นไม่ได้ว่ากระไรส่งยิ้มหยาดเยิ้มให้ กล่าวอย่างอ่อนหวาน

“หากเป็นเช่นเราท่านไฉน ต้องคลั่งใจตาย”

งุ้ยเลี่ยงแช เค้นเสียง เฮอะ ไม่ได้ตอบคำ



ความจริงงุ้ยเลี่ยงแชหลงรัก คังหมิ่น มาเนิ่นนานเพียงแต่หวั่นเกรงนิสัยเจ้าชู้ยั่วยวนของนาง สร้างความหวาดระแวงในใจ แม้นางไม่ได้มั่วสุ่มสัมพันธ์สวาทกับผู้ใด แต่ด้วยนิสัยของนางที่เป็นเช่นนี้ต้องอดหวาดระแวงไม่ได้ ภายหลังหากแต่งงานอยู่กินกันแล้ว อาจเป็นที่ทะเลาะเบาะแว้งไม่สิ้นสุดจึงไม่กล้าบอกรักต่อนาง แต่ความอัดอั้นนี้ไม่อาจเก็บกักไว้มิดชิด บางคราแสดงออกในวาจาประชดประชัน คังหมิ่นเองก็ทราบความในใจของมัน เวลานางมีภัยกรำกราย หากมีมันอยู่ด้วย มันกลับเสี่ยงตายต้านภัยแก่นางโดยไม่คิดชีวิต แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนิสัย ทั้งสองจึงอยู่ในลักษณะเช่นนี้ตลอดมา



คังหมิ่นเห็นจิวอวงยี้ เหงื่อพราวเกาะเต็มใบหน้าเรือนผมยุ่งเหยิง ต้องฉุดดึงนั่งลง ใช้มือลูบศีรษะจัดแต่งเรือนผมซับเหงื่อบนใบหน้าจิวอวงยี้ พร้อมทั้งว่ากล่าวติเตียน

“เจ้าออกไปกับยี่เฮียทีไร ล้วนแต่กลับมามีสภาพเช่นนี้”

  คังหมิ่นมีนิสัยรักสวยรักงาม เมื่อเห็นจิวอวงยี้อยู่ในสภาพนี้ไม่อาจทนทานได้ จึงบ่นออกไปหลายคำ



งุ้ยเลี่ยงแชต้องค้อนชำเลืองมองดูนางแต่ไม่ได้กล่าวว่ากระไร บัณฑิตมือวิเศษ เมื่อเห็นผู้คนมากันครบแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าว

“ยี่ตี๋ ซาม่วย อีกเจ็ดวันจะครบกำหนดนัดหมายของพวกเรากับเฒ่าแซ่เต็กแล้ว พวกท่านจำได้หรือไม่”

ทั้งสองผงกศีรษะรับ งุ้ยเลี่ยงแช กล่าวขึ้นว่า

“ไหนเลยจะจำไม่ได้ความอัปยศครั้งนั้น เราไม่อาจลืมเลือนโดยเด็ดขาด เฒ่าประหลาดนั้นทำให้เราต้องอยู่แต่บนเขานับสิบปี”

จิวอวงยี้พอฟังต้องบังเกิดความสงสัย สะกิดกล่าวถามคังหมิ่น

“ซาซือแป๋ เป็นเรื่องราวใด”



ทั้งหมดพอได้ยินต้องสบตากันเหมื่อนนึกขึ้นได้ เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่ได้บอกต่อจิวอวงยี้  บัณฑิตมือวิเศษจึงกล่าวบอกต่อนาง

“อวงยี้ เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่ได้บอกต่อเจ้า เอาเถอะ วันนี้จะให้เจ้าทราบ”

ทอดถอนใจคราหนึ่งก่อนเล่าขึ้น

“เมื่อสิบปีก่อนเราได้รับรายงานว่า มีคนผู้หนึ่งมาอาศัยอยู่เชิงเขาหุบเขาสิ้นชีพ ตามกฎของพวกเรา ผู้ที่ล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตล้วนต้องถูกสังหาร แต่คนผู้นี้เล่นงานคนของเราบาดเจ็บระเนรนาดกลับมา คนพวกนี้ล้วนเป็นมือดีชาวมิจฉาชีพของหุบเขาเรา แต่ล่ะคนมีชื่อกระเดื่องดังไม่น้อย คนผู้นั้นเมื่อทำร้ายพวกมันได้ถึงเพียงนี้ย่อมไม่ธรรมดา

เราทั้งสามจึงลงไปที่เชิงเขาสืบเสาะดู พบกระท่อมไม้หลังหนึ่งเพิ่งปลูกสร้างไม่นาน แต่ยังไม่พบเห็นผู้คน เราเขาไปในบ้านรื้นค้นสิ่งของ เพื่อพบสิ่งของอันใดบ่งบอกที่มาของมัน



เราทั้งสามพบหีบเหล็กใบหนึ่งดูแล้วเป็นที่น่าสงสัยจึงเปิดออกดูไม่คาดว่า ภายในบรรจุของสองสิ่ง เป็นดาบเล่มหนึ่งดาบเล่มนี้ บางประดุจแผ่นกระดาษส่องประกายสีทองแวววาวในลำตัวดาบมีเส้นสีแดงจางๆคล้ายโลหิตสายหนึ่งมีความลี้ลับอย่างยิ่ง แต่เรากลับจดจ่องอยู่ที่เสื้อสีดำที่วางอยู่คู่กัน เราเมื่อหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาต้องตื่นเต้นยินดี ที่แท้เสื้อตัวนั้นเป็นเกาะไหมดำที่ถักทอจากตัวไหมพิสดารแห่งเขาคุนลุ้น ในแผ่นดินนี้นับว่าอาจมีเพียงตัวเดียว เรายังไม่ทันชื่นชมลองสวมใส่ มันก็กลับมาแล้ว



พบเห็นมันเป็นคนชราผมขาวโพลนผู้หนึ่ง แต่ร่างกายยังกำยำล่ำสันประดุจหนุ่มฉกรรจ์ มือข้างขวามีเพียงนิ้วมือสามนิ้ว มันผู้นี้ล่วงล้ำเขาเขตของเรามีโทษสมควรตายอยู่แล้วยิ่งครอบครองของวิเศษเช่นนี้ยิ่งไม่อาจปล่อยไว้ จึงลงมือคิดเข่นฆ่ามัน”

จิวอวงยี้รับฟัง ตั่วซือแป๋ เล่าถึงการช่วงชิงสิ่งของฆ่าคนกลับเห็นเป็นเรื่องปกติ ตามกฎการช่วงชิง หากเป็นของวิเศษเลิศล้ำไม่อาจปล่อยไว้ได้ มิเช่นนั้น อาจชักนำเภทภัยในภายหลัง ฟังตั่วซือแป๋เล่าต่อไปว่า



“เราทราบมาก่อนว่าคนผู้นี้มีฝีมือไม่ต่ำทราม อีกทั้งบุคลิกท่าทีของมันก็บ่งบอกเป็นยอดฝีมือ พอเราลงมือก็ใช่ฝ่ามือยมทูตจัดการต่อมัน ไม่คาดว่าไม่ถึงห้าสิบกระบวนท่าเราก็โดนมันฟาดทำร้ายใส่หัวไหล่คราหนึ่ง ทั้งยังช่วงชิงเสื้อไหมดำไปจากมือเรา”

จิวอวงนี้พอฟังว่าตั่วซือแป๋ถูกทำร้ายหนึ่งฝ่ามือทั้งยังโดนช่วงชิงของไปจากมือท่านต้องตื่นเต้นสงสัย ครุ่นคิดขึ้น’ตั่วซือแป๋เราฉายาบัณฑิตมือวิเศษ มีเพลงฝ่ามือรวดเร็ว คนผู้นั้นสามารถช่วงชิงสิ่งของจากมือท่านได้ นับว่ามีส่วนเหนือธรรมดา” จึงกล่าวถามว่า

“เฒ่าชรานั้น มีฝีมือรวดเร็วกระนั้นรึ”

บัณฑิตมือวิเศษผงกศีรษะรับ กล่าวตอบว่า

“ไม่เพียงรวดเร็ว กำลังภายในยังกล้าแข็งพิสดาร เพียงโบกสะบัดฝ่ามือก็สลายท่วงท่าของเราไปกว่าครึ่งแล้ว โอ.. ชื่อบัณฑิตมือวิเศษยามนี้ไหนเลยกล่าวเรียกหาได้”

สีหน้าพลันรันทดหดหู่นิ่งงันลงชั่วครู่ งุ้นเลี่ยงแช จึงเล่าสืบต่อไปว่า

“ตอนนั้นเราเห็น ตั่วซือแป๋เจ้า พลาดพลั้งเสียทีโดนทำร้าย ทราบว่าคนผู้นี้เป็นยอดคนงำประกาย จึงชักชวนซาซือแป๋เจ้าลงมือโดยพร้อมเพียง เราใช้วิชาคว้าจับกรงเล็บเหยี่ยวคู่ นางใช้ฝ่ามือเข็มอสรพิษ มันทราบว่าบนปลายนิ้วของซาซือแป๋เจ้าหนีบเข็มเล็กละเอียดมีพิษร้ายแรง จึงจดจ่องแต่ฝ่ามือของนาง เราสบโอกาส คว้าได้จุดเส้นกลางหลังของมันคิดพุ่งพลังสยบคนผู้นี้ให้ได้รับความเจ็บปวด พอพลังแผ่พุ่งออกเรากลับโดนพลังของมันสะท้อนกระเด็นกระดอนปลิวติดผนังห้อง เฮอะ ที่แท้เฒ่าประหลาดนั้นสามารถโคจรพลังปกป้องชีพจรได้จึงไม่เกรงกลัวกรงเล็บของเรา”



คังหมิ่นกล่าวเสริมว่า

“เรากลับโดนมันใช้เสื้อไหมดำตัวนั้น รัดข้อมือทั้งสองข้างฝ่ามือเข็มอสรพิษไม่อาจใช้ออก เมื่อฝ่ามือทั้งสองข้างของเราใช้การไม่ได้ เราจึงทิ้งตัวแนบชิดติดตัวมัน อวงยี้เจ้าเดาออกหรือไม่ขบวนท่าต่อไปของเราจะใช้ขบวนท่าใด”



จิวอวงยี้หน้าแดงวูบ ก่อนกล่าวตอบว่า

“พญางูรัดเหยื่อ”



คังหมิ่นหัวเราะเสียงสดใส

“ถูกต้องแล้ว เราใช่ขาข้างหนึ่งเกี่ยวรัดเอวมัน ขาอีกข้างหนึ่งรัดท่อนขามัน เอี้ยวตัวไปด้านหลังของมันใช้แขนสองข้างของเราที่ถูกรัดข้อมือไว้คล้องรอบศีรษะมัน หมายบิดให้กระดูกมันให้หักสะบั่น ท่านี้เมื่อใช้ออกยากนักจะมีผู้คนหลุดลอดได้ ไม่คาดว่าเราแม้ออกแรงโอบรัดบิดกระดูกมันโดยแรง ยังไม่สามารถทำให้กระดูกมันหักลงได้ มันพลิกตัวหมุนตัวอย่างพิสดาร ก็สามารถแก้ไขหลุดรอดออก มันบังเกิดโทสะหน้าแดงฉาดกล่าวด่าเราเป็นหญิงไร้ยางอาย สะบัดเสื้อไหมดำออกจากข้อมือเราเหวี่ยงเราล้มลงกับพื้น”

นางเล่าจบก็ถอนหายใจยาวก่อนเปรยขึ้น

“เราลงมือใช้ขบวนท่านี้ไม่สามารถจัดการเฒ่าตายด้านนั้นได้นับว่าขาดทุนจริงๆ”



วิชาพญางูรัดเหยื่อของคังหมิ่นนับว่าเป็นไม้ตายแขนงหนึ่งที่ร้ายกาจ ยามใช้ลำตัวต้องแนบชิดใช้ขาเกี่ยวรัดสองแขนโอบกอด อาศัยกล้ามเนื้ออ่อนยุ่นแข็งแกร่งประดุจงูเหลือมของนางผนวกกำลังภายในรัดศัตรูให้กระดูกหักหายใจไม่ออก นางกล่าวว่าขาดทุนเนื่องจากนางเป็นสตรีต้องโอบรัดเกี่ยวตวัดรัดขา ร่างชิดแนบแน่นกับบุรุษผู้หนึ่ง



งุ้ยเลี่ยงแชเค้นเสียง เฮอะ คล้ายกับไม่พอใจกล่าวต่อคังหมิ่นว่า

“ท่านกลัวขาดทุน ก็ไม่เห็นต้องใช้ท่านี้ต่อมัน”



คังหมิ่นคล้ายมีโทสะเล็กน้อย เชิดปากสูงกล่าวว่า

“หากเราไม่รั้งมันด้วยขบวนท่านี้ ตอนนั้นมันหากตามติดคิดร้ายท่าน ดูว่าผลจะเป็นอย่างไร”



งุ้ยเลี่ยงแชพลันได้คิดจำต้องเงียบเสียงลง บัณฑิตมือวิเศษเล่าต่อไปว่า

“ยามนั้นพวกเราคาดคิดว่ามันมีกำลังภายในสูงเยี่ยมหากใช้วิชาหมัดเท้าทำร้ายมันย่อมไม่เป็นผล จึงพากันแสดงอาวุธกรุ่มรุมมันโดยพร้อมเพียง ยี่ซือแป๋เจ้าไม่เคยพกพาอาวุธ เราจึงคว้าดาบทองในหีบส่งให้มัน ตำหนิที่ดาบทองนั้นเบาบางอ่อนไหว ใช้ไม่ถนัดมือยี่ซือแป๋เจ้าพอร่ายร่ำเพลงดาบออกจู่โจมได้สิบกว่ากระบวนเพลงพบว่าไม่เป็นท่า จึงเหวี่ยงดาบทิ้งไปหยิบคาดเหล็กมาใช้แทน พอมันเห็นดาบทองตกลงพื้นก็หยิบฉวยขึ้นมา ดาบทองนี้เมื่ออยู่ในมือมันกลับเปล่งอนุภาพไพศาล  คุกคามพวกเราจนมือไม้ปั่นป่วน



ภายหลังเกิดประกายดาบควบคุมสี่ทิศแปดทางรุกไล่เราจนถอยร่นชิดติดผนัง ยี่ซือแป๋เจ้าแม้มีฝีเท้าว่องไวยังไม่อาจหลุดรอด ตอนนั้นเราทราบดีว่าหากมันต้องการชีวิตพวกเราก็ไม่ยากเย็นแล้ว แต่มันพลันหยุดมือเก็บดาบกับเสื้อไหมดำลงหีบเหล็ก กล่าวไล่พวกเราไป โอ..ในชีวิตพวกเราทั้งสามไหนเลยเคยพ่ายแพ้แบบหมดท่าเช่นนี้มาก่อน เรายังไม่จากไปในบัดดล กล่าวถามชื่อแซ่มัน มันตอบว่าชื่อเต็กอุ้น ในชีวิตพวกเราไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เรากล่าวขอบคุณต่อมันที่ยั้งมือไว้ไมตรี แต่ของวิเศษนี้ไม่อาจไม่แย่งชิงภายหลังจะมาใหม่ มันกล่าวถามเราว่า จะอย่างไรก็ไม่อาจวางมือหรอกรึ เราบอกต่อมันว่าไม่อาจวางมือ มันถอนใจครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวออกมา เช่นนั้นเรามาพนันกัน เราถามว่าพนันสิ่งใด มันตอบเราว่า หากพวกเราสามารถหยิบฉวยของของมันไปภายในเจ็ดวันได้ถือว่าพวกเราชนะ ชั่วชีวิตนี้ไม่คิดทวงถาม แต่หากไม่ได้ พวกเราต้องทำตามความต้องการมันประการหนึ่ง หลังจากพนันครั้งนี้แล้วอีกสิบปีให้หลังค่อยเริ่มตนพนันใหม่อีกครา เรายังไม่ตอบตกลงในบัดดล กริ่งเกรงเราพ่ายแพ้หากมันให้เราตัดมือตัดเท้าทำลายสังขารย่อมย่ำแย่ยิ่ง แต่เมื่อคิดแล้วหากมันต้องการเช่นนั้นย่อมกระทำได้ไยต้องเพิ่มหัวข้อพนันให้ยุ่งยากมันย่อมไม่ต้องการชีวิตของพวกเราอย่างแน่นอน อีกทั้งศักดิ์ศรีของพวกเราหากไม่รับการท้าทายช่วงชิงของออกจะเสื่อมเสียถึงเกียรติภูมิที่สั่งสมมาจึงตกปากรับคำ”



จิวอวงยี้พอฟังถึงตอนนี้จึงพอคาดเดาได้ จึงกล่าวว่า

“แต่ภายในเจ็ดวันนั้น ซือแป๋ ทั้งหลายก็ไม่อาจช่วงชิงมาได้”



ทั้งหมดมีสีหน้าสลดลง ผงกศีรษะรับอย่างเงียบงัน จิวอวงยี้จึงกล่าวถามต่อ

“ตั่วซือแป๋ แล้วมันให้พวกท่านกระทำสิ่งใด”



งุ้ยเลี่ยงแชพลันกล่าวตอบแทน

“มันกล่าวตำหนิพวกเราฆ่าคนมากไป ภายในสิบปีนี้ห้ามฆ่าคนแม้แต่คนเดียว เฮอะ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจึงต้องอยู่แต่บนหุบเขา หากลงสู่เบื้องล่างเจอศัตรูแต่ห้ามเราฆ่ามัน ไยไม่ใช่รอให้มันมาเชือดเฉือนตามใจ”



จิวอวงยี้จึงเข้าใจในบัดดล สิบปีมานี้ซือแป๋พวกตนไม่เคยออกนอกหุบเขาแม้แต่ก้าวเดียวเนื่องจากสาเหตุนี้ จะอย่างไรศัตรูของพวกท่านคงไม่กล้าบุกรุกรังควานถึงถิ่น



บัณฑิตมือวิเศษสะบัดพัดจีบออก โบกเบาๆ กล่าวว่า

“ที่เราเรียกพวกเจ้ามาพร้อมหน้าวันนี้ ก็เพื่อกำหนดแผนการ ช่วงชิงของเฒ่าแซ่เต็กนั่น อวงยี้งานนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”

จิวอวงยี้รู้สึกตื่นเต้นน่าสนุก อีกทั้งยังได้ทดสอบวิชาที่นางร่ำเรียน จึงรับคำอย่างยินดี ทั้งหมดจึงประชุมวางแผนภายในห้องอย่างเงียบงัน



    สองวันให้หลังจิวอวงยี้อดข้าวอดอาหาร ร่างกายซูบซีด เดินทางลงสู่เชิงเขาเปลี่ยนผ้าเป็นหญิงสาวชนบท ใช้ขี้เถ้าถูทาใบหน้า สะพายห่อผ้าคล้ายหญิงสาวรอนแรมไร้ที่พึ่งพิง พอใกล้ถึงบ้านของเฒ่าแซ่เต็ก ล้วงยามารับประทานเม็ดหนึ่ง ยาเม็ดนี้เป็นยาพิษสลายพลังผู้รับประทานไม่สามารถโคจรพลังได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เฒ่าแซ่เต็กมีฝีมือสูงเยี่ยมเพียงใด  หากนางไม่รับประทานยาเม็ดนี้มันย่อมดูออกว่านางมีวิชาฝีมือ พอถึงหน้ารั่วบ้านแสร้งร้องออกมาคำหนึ่ง ก็ฟุบร่างลงนอนหงายกับพื้น คล้ายหมดสติ จิวอวงยี้นอนหงายร่างตากแดดอยู่ครู่ใหญ่ ยังไม่เห็นผู้คนออกมา ต้องหรี่ตาขึ้นดู  พอดีเห็นประตูแง้มออก รีบหลับตาลง ครุ่นคิดขึ้นอย่างขุ่นเคือง ‘เฒ่าผู้นี้เสียทีเป็นยอดฝีมือเราร้องไปตั้งนาน ยามนี้จึงพึ่งได้ยิน ทิ้งให้เราต้องนอนตากแดดอยู่ช่วงใหญ่”



    เฒ่าแซ่เต็กก้าวพ้นประตูออกมาในมือถือจอบถือเสียม พบเห็นสตรีนางหนึ่งมานอนหมดสติอยู่หน้ารั่วบ้าน เห็นใบหน้านางมอมแมมซูบซีดคล้ายไม่ได้รับประทานอาหารมาหลายวัน จึงเข้าไปเขย่าตัวกล่าวเรียก จิวอวงยี้แสร้งลืมตาอย่างอิดโรย จากนั้นก็ฟุบหมดสติไปอีกครา ครานี้นางไม่ได้เสแสร้ง นางอดอาหารมาสองวันร่างกายอ่อนล้า ทั้งต้องมานอนตากแดดเป็นเวลานาน อีกทั้งไม่สามารถโคจรพลังได้พลันเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาจริงๆ เฒ่าแซ่เต็กเห็นเช่นนั้นต้องรีบพานางเข้าไปในบ้าน จัดแจงให้นางนอนลงบนแคร่ไม้ หาน้ำให้นางดื่มรับประทาน ก่อนหายเข้าไปยังด้านหลัง จิวอวงยี้พอได้รับความชุ่มชื่นก็ดีขึ้นเล็กน้อย ค่อยลืมตาขึ้น ได้ยินเสียง ฉู่ ฉี่ โลหะกระทบกัน พร้อมกลิ่นการปรุงอาหาร ทราบว่าเฒ่าประหลาดนั่นเข้าไปปรุงอาหารอยู่ภายใน  รีบกวาดสายตาโดยรอบ เห็นบ้านหลังนี้ไม่กว้างมากมีเพียงห้องโถงที่นางนอนอยู่ ติดกับห้องครัวที่มันหายเข้าไป กับห้องเล็กๆด้านขวามือ มีผ้าม่านเบาบางกันไว้ คาดว่าเป็นห้องนอนของมัน



พอดีผ้าม่านในห้องครัวเลิกวูบทราบว่ามันกำลังออกมา ต้องแสร้งทำเป็นไม่ได้สติต่อ หรี่ตาน้อยๆคอยสังเกตุการณ์ เห็นเฒ่าชราถืออาหารสองสามอย่างจัดวางบนโต๊ะกลางห้อง จากนั้นก็คว้าจอบเสียมเดินออกไป จิวอวงยี้นอนรอเป็นเวลานานมันยังไม่เข้ามา นางอดอาหารสองสามวันเป็นที่หิวโหยยิ่ง นาสิกสูดได้กลิ่นอาหารยั่วยวน ท้องพลันร้องโครกครากอยู่ภายใน ต้องครุ่นคิดเดือดดาด ‘ตาเฒ่านั้นไม่ทราบไปทำสิ่งใด ปานนี้ยังไม่มาปลุกเรารับประทานอาหาร’



กลิ่นอาหารรบกวนสมาธิอยู่ช่วงใหญ่ รู้สึกสับสนกระวนกระวาย พลันลุกขึ้นกล่าวกับตัวเองเบาๆอย่างหงุดหงิด

“รับประทานก็รับประทาน ยังกลัวว่าท่านกล่าวว่าเป็นปีศาจตะกระตะกรามอันใด”



ความจริงนางคิดแสร้งเป็นสาวชนบทเรียบร้อยมีชีวิตอาภัพ คิดร่ำไห้พรรณนาเรียกร้องความสงสารจากมัน แต่ไม่คาดว่ามันพอช่วยเหลือนางก็ไม่ได้แยแสสนใจอีก อาหารที่จัดไว้ก็ไม่ได้จัดวางใกล้ตัวนางแสดงการเชื้อเชิญ กลับจัดวางตรงโต๊ะกลางบ้าน ทั้งยังมีแค่ชามตะเกียบเพียงชุดเดียว เมื่อเจ้าของบ้านไม่ได้เชื้อเชิญ ไหนเลยหญิงสาวชนบทผู้เรียบร้อยจะสามารถรับประทานได้ ยามนี้นางหิวโหยสาหัส คาดว่ามันยังไม่กลับมาในบัดดล จึงคิดรับประทานก่อนค่อยไปปรุงมาให้มันใหม่



พอพลุ้ยข้าวเข้าปากได้เพียงสองสามคำ ประตูพลันเปิดออกมันถือจอบถือเสียมเดิมกลับเข้ามา จิวอวงยี้ต้องชะงักค้างกลางคันทำสีหน้าไม่ถูก คิดเป็นหญิงสาวเรียบร้อยแต่รับประทานข้าวของในบ้านมันโดยไม่ได้รับอนุญาตออกจะเกินเลยไป ค่อยๆลดตะเกียบออกจากมุมปาก วางลงข้างชามอย่างแช่มช้า กลอกส่ายตาเหลือบแลดูมันสีหน้ากระอักกระอวยอย่างยิ่ง



เฒ่าชราผู้นี้คล้ายไม่เห็นนางก็ปานเดินตรงไปยังห้องครัว หยิบถ้วยชามมาอีกชุดหนึ่งนั่งลงรับประทานตรงข้ามนาง จิวอวงยี้ต้องร่ำร้องในใจอย่างอึดอัด ‘เพ้ย  ท่านไฉนไม่กล่าวทักทายเราซักคำ เช่นนี้เราไหนเลยกล้ารับประทานต่อไปได้’ แต่แล้วครุ่นคิดสืบต่อ ‘คนแปลกหน้าอยู่ในบ้านท่าน ท่านกลับไม่กลัวเกรงเราแผ่พิษใส่อาหาร พอมาถึง กลับกล้ารับประทาน”

ครุ่นคิดแล้วรู้สึกคนผู้นี้ประหลาดพิกล ดังนั้นแสร้งสะอึกสะอื้นขึ้น น้ำตาหลังไหล เรียกร้องความสนใจ เห็นมันเหลือบแลขึ้นดูคราหนึ่งต้องสะอึกสะอื้นมากขึ้นกว่าเดิม เฒ่าแซ่เต็กพลันกล่าวขึ้นน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เรื่องราวไว้ค่อยว่ากล่าว ยามนี้รับประทานก่อน”



จิวอวงยี้เมื่อได้ฟังต้องงงงันวูบ ภายนอกแม้ยังสะอึกสะอื้น แต่ในใจเค้นเสียง เหอะ เหอะ คับแค้นขุ่นข้องต่อเฒ่าประหลาดนี่ยิ่งนัก เห็นมันรับประทานต่อโดยไม่แย่แสสนใจ ท่าทีเรียบเฉยเย็นชายากจะเข้าถึง ตนเองไม่สามารถทำอย่างไรต่อไปได้ ยามนี้หิวโหยสาหัส ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอย่างเงียบงัน เฒ่าแซ่เต็กหลังจากรับประทานเสร็จ ลุกขึ้นไปยังม้าโยกหน้าบ้านเอนกายพักผ่อนพริ้มตาคล้ายหลับไหล  จิวอวงยี้ครุ่นคิดเดือดดาล คาดว่าแผนการไม่สามารถดำเนินต่อไปได้แล้ว มันไม่มีท่าทีแยแสสนใจ หากรั้งอยู่แทนที่จะเป็นหญิงสาวชนบทเรียบร้อยกลายเป็นหญิงสาวหน้าด้านแล้ว จึงคว้าห่อผ้าเดินออกจากบ้าน คิดกลับไปวางแผนการกับเหล่าบรรดาซือแป๋ใหม่



ขณะเดินผ่านม้าโยก พลันได้ยินเสียงเฒ่าชรากล่าวถาม

“หายดีแล้วรึ  คิดไปยังที่ใด”



จิวอวงยี้ชะงักเท้าลง นัยน์ตาปรากฏแววลิงโลดยินดี ข่มสีหน้าเป็นเศร้าหมองแสร้งสะอื้นไห้ขึ้น กล่าวตอบ

“ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ.. “

พลางหันมาย่อกายลงคำนับคุกเข่ากล่าวต่อไปว่า

“ได้รับการช่วยชีวิตจาก เล่าเอี้ยจือ(คำยกย่องผู้ชรา) เป็นที่สำนึกขอบคุณยิ่งภายภาคหน้าหากมีโอกาส ต้องตอบแทนคุณ”

เห็นมันยังไม่กล่าวว่ากระไร ทั้งยังไม่ขยับจากม้าโยกมาพยุงนางลุกขึ้น จิวอวงยี้จำต้องลุกขึ้นเองกล่าวเดินจากออกมาอย่างช้าๆ เฒ่าชราเห็นนางกำลังจะจากไป ถอนหายใจยาวคราหนึ่งก่อนกล่าวว่า

“เจ้าเมื่อไม่มีที่ไป ก็พำนักอยู่ก่อน เมื่อมีลู่ทางค่อยว่ากล่าว เราอยู่ตัวคนเดียวมานานไม่ใคร่เจรจา อย่าได้ตำหนิถือสา”



จิวอวงยี้ในใจปิติยินดียิ่ง แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า สะอึกสะอื้นรับคำแผ่วเบา เฒ่าชราลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เข้าไปยังห้องนอนของตน รื้อที่นอนออก นำที่นอนสะอาดผืนหนึ่งปูแทน กล่าวบอกต่อนางให้พักผ่อนในที่นี้ ส่วนเฒ่าชรานำที่นอนไปปูที่แคร่ไม้กลางห้องโถง จิวอวงยี้กล่าวขอบคุณเกรงอกเกรงใจหลายคำ มันคล้ายกับไม่ได้ยิน นางต้องครุ่นคิด ว่าเฒ่าผู้นี้มีนิสัยประหลาดจริงๆ สำรวจภายในห้องพบเห็นหีบเหล็กใหญ่วางข้างเตียง พอเปิดออกดูสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี ภายในบรรจุเสื้อสีดำตัวหนึ่งดาบสีทองเล่มหนึ่ง จิวอวงยี้ต้องร้องในใจอย่างปิติ ‘นี่ไม่ใช่ของวิเศษสองสิ่งนั่นหรอกรึ ไฉนเฒ่าประหลาดนั่นถึงได้ชะร่าใจปานนี้ ให้ผู้คนมาอาศัยอยู่ในห้องของตนแต่ไม่เอาของสำคัญออกติดมือไปด้วย หากเราคิดหยิบฉวยไปตอนนี้ไยไม่ง่ายดายยิ่ง’ แต่แล้วพลันฉุกคิดขึ้น ‘นี่ยังไม่ต้องรีบร้อน รอให้ถึงเวลานัดหมายค่อยลงมือ ให้ท่านไม่สามารถกล่าวโต้แย้งอันใดได้เสื่อมเสียถึงเกียรติภูมิซือแป๋เรา’ จัดเก็บวางสิ่งของเข้าที่เดิมอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง



ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันสองวันสามคืน จิวอวงยี้อาสาทำงานบ้านปรุงอาหารเป็นการทดแทนคุณ เฒ่าชราก็ไม่กล่าวว่ากระไรปล่อยให้นางทำ มันกลับไม่เคยซักถามประวัตินางทั้งชื่อแซ่ก็ไม่กล่าวถาม พูดคุยกันน้อยนิดคล้ายต่างคนต่างอยู่

บางคราจิวอวงยี้สังเกตุพบว่า เฒ่าประหลาดผู้นี้จ่องมองตน มีแววตาแปลกประหลาดบ่อยครั้ง อดหนาวเหน็บไม่ได้ครุ่นคิดว่า ตนเองเผยพิรุธออกไปหรือไม่ หรือเฒ่าประหลาดนี้เกิดจิตราคะ ต้องระแวดระวังมากกว่าเดิม พอค่ำคืนกำลังเคลิบเคลิ้มได้ยินเสียงข่มสะอื้นกระทบประสาทหู เสียงสะอื้นนี้ความจริงแผ่วเบา แต่นางเป็นทายาทสามมหาโจรแห่งยุค ได้รับการฝึกประสาทสัมผัสทั้งห้าให้มีความปราดเปรียวเหนือธรรมดา ค่อยๆลืมตาเงี่ยหูฟังพบว่าเสียงมาจากห้องโถงที่ชายชรานอนอยู่ จึงเดินไปที่ริมประตูแง้มผ้าม่านขึ้นดู ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่าง เห็นเฒ่าชรานั่งอยู่โต๊ะตัวกลางบ้าน ในมือถือป้ายสถิตวิญญาณสองป้าย ใบหน้าฟุบลงกับท่อนแขน หัวไหล่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นระลอก



จิวอวงยี้พอเห็นก็คาดเดาออก มันอยู่ตัวคนเดียว คงรำลึกถึงญาติสนิทของตนที่เสียชีวิต บังเกิดความเศร้าเสียใจ เห็นมันเศร้าเสียใจปานนี้ หวนนึกถึงอดีตของนางถูกผู้คนสังหารสูญเสียคนทั้งครอบครัวไร้ญาติขาดมิตรดุจเดียวกัน อดหดหู่พลอยหลั่งน้ำตาไม่ได้  พอนางสะอื้นขึ้น เฒ่าชรารีบลุกขึ้นตวาด

“เป็นผู้ใด”



จิวอวงยี้ตระหนกขึ้นชั่วขณะทราบว่ามันรู้สึกตัว คนผู้นี้มีประสาทปราดเปรียวไม่แพ้นาง แม้อยู่ในภาวะเศร้าโศกยังจำแนกสิ่งผิดปกติได้ จึงเลิกผ้าม่านออกก้าวเดินออกมา กล่าวเสียงสั่นเครือทั้งน้ำตาว่า

“เป็นข้าพเจ้า”



เฒ่าชราพลันนั่งลงกล่าวเสียงกระโชก

“เจ้าร่ำไห้ล้อเลียนเราผู้ชรารึ”

มันรู้สึกมีโทสะที่มีผู้คนพบเห็นมันยามนี้จึงกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล จิวอวงยี้ส่ายศีรษะย่อกายเป็นเชิงขออภัยกล่าวคำว่ามิกล้า พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวของนางที่ถูกผู้คนสังหารทั้งครอบครัวออกมา เมื่อพบเห็นมันร่ำไห้ต่อหน้าป้ายวิญญาณจึงหวนนึกถึงเป็นเหตุให้ร่ำไห้ตาม แต่ไม่ได้กล่าวถึงว่าตอนนั้นนางยังเยาว์วัย เฒ่าชราย่อมเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ย่อมเกิดขึ้นไม่นาน



เฒ่าแซ่เต็กนั่งฟังจนจบ เห็นแววตานางยามบอกเล่ามีประกายคับแค้น สีหน้าซุ่มเสียงรันทด คล้ายกับภาพเหตุการณ์นั่นเวียนวนอยู่ในห้วงสมองตลอดเวลา จึงมีท่าทีอ่อนลง เงียบงันอยู่ชั่วครู่ ชี้นิ้วไปยังป้ายสถิตวิญญาณทั้งสอง กล่าวบอกอย่างสร้อยเศร้า

“นั่นภรรยาเรา และนั่นบุตรตรีเรา”

จิวอวงยี้เพ่งมองดูป้ายสถิตวิญญาณทั้งสอง เห็นป้ายหนึ่งเขียนว่า จุ้ยเส็ง นี้คงเป็นภรรยามัน อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า

คงซิมไช้ นี้คงเป็นบุตรตรีมัน ไม่คาดคิดว่าเฒ่าประหลาดนี่ก็มีภรรยากับบุตรสาว จิวอวงยี้จึงกล่าวถามด้วยความอยากรู้

“ทั้งสองไฉนจึงเสียชีวิต”

เฒ่าแซ่เต็กถอนหายใจยาว ประกายตาแตกซ่าน ยามนี้มันดูชราภาพลงไร้วี่แววของยอดฝีมือ กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือเฉื่อยชา

“เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดของเรา เราทั้งสามเคยอาศัยอยู่เทือกเขาหิมะติดชายแดนทิเบต ที่นั้นเราอยู่กันอย่างมีความสุขหลายปี แต่มีอยู่ปีหนึ่งเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง หิมะถล่มถลาย กลบฝังนางทั้งสองจมใต้กองหิมะ เราแม้พยายามช่วยเหลือแต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนทั้งสองได้”



เล่าถึงตอนนี้ไม่อาจสะกดกลั้นใจต่อไปได้ สองตาแดงกร่ำ มือที่ถือป้ายวิญญาณสั่นระริก เงียบงันไร้วาจา จิวอวงยี้รู้สึกเห็นใจอย่างแท้จริง เอื้อมมือไปกุมมือเฒ่าแซ่เต็กกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน

“เล่าเอี้ยจือ ถนอมตัวให้มากไว้เรื่องราวผ่านมานานแล้ว อย่าเศร้าได้เสียใจมากจนเกินไป”

นางแม้ปลอบกล่าวมันเช่นนี้ แต่เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวของตนอดสะทกสะท้อนไม่ได้



เฒ่าแซ่เต็กกล่าวน้ำเสียงแหบพร่า

“ยามนั้น คงซิมไช้อายุคงประมาณเจ้าได้ เสื้อผ้าที่เราให้เจ้าใส่ก็เป็นของนาง”

จิวอวงยี้พบประกายตาที่มองมาครั้งนี้เหมือนทุกครั้งที่จ่องมองนาง ต้องเข้าใจในบัดดล ครุ่นคิดขึ้น ’ที่แท้ที่ท่านจ่องมองเราบ่อยครั้งเพราะคิดถึงบุตรสาวนี่เอง เรากลับเข้าใจว่าท่านมีจิตคิดบัดสี’ เมื่อคิดแล้วต้องหน้าแดงขึ้นวูบหนึ่งด้วยความระอาย จิวอวงยี้เมื่อล่วงรู้ความคิดมันเช่นนี้ เกิดปฏิญาณวูบหนึ่ง ชักชวนเฒ่าชรากล่าวถึงความหลังของบุตรสาว เฒ่าแซ่เต็กเมื่อนึกถึงห้วงเวลาที่มีความสุขกลับเล่าออกมาได้อย่างมากมาย ทั้งสองสนทนากันหลายชั่วยาม จนท้องฟ้าแทบสาง จิวอวงยี้เห็นว่าสมควรพักผ่อนได้แล้วจึงพยุงเฒ่าแซ่เต็กลุกขึ้นไปยังแคร่ไม้ บอกกล่าวให้พักผ่อนอย่างอ่อนโยน ทำตัวประดุจบุตรสาวปรนนิบัติบิดา เฒ่าแซ่เต็กคล้ายกับไม่มีเรียวแรงขัดขืน มันยามนี้คล้ายเป็นเพียงคนแก่ชราผู้หนึ่งทำตามนางอย่างว่าง่าย

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture