ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #3 : พลับพลึงดอกที่ 2 สัปเหร่อผู้มีเสน่ห์

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 67


    ภพธร หรือที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่า สัปเหร่อภพ นั้น เขาคือหนุ่มใหญ่ที่มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ใครเห็นต่างก็พากันมองจนเหลียวหลังทั้งชายและหญิง แม้ปีนี้เขาจะมีอายุจะล่วงเลยเข้าเลขสี่แล้ว แต่รูปร่างหน้าตาและร่างกายกลับยังคงเหมือนชายหนุ่มที่อายุสามสิบต้นๆ

    แม้ว่าเขาจะเป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่มากมายในหมู่บ้าน แต่กลับไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้ามาทอดสะพานหรือเข้าใกล้หนุ่มใหญ่คนนี้เลยแม้แต่น้อย

    สืบเนื่องมาจากอาชีพของเขาในตอนนี้คือสัปเหร่อหรือก็คือคนส่งวิญญาณที่ต้องคลุกคลีอยู่กับศพของคนตายที่มีทุกเพศทุกวัย แต่นอกเหนือจากอาชีพที่ทำอยู่แล้วอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้สาวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้น่าจะเป็นเพราะตาคมดุคู่นั้นของเขามากกว่า

    นอกจากดวงตาของหนุ่มใหญ่จะคมดุแล้ว สายตายามที่จ้องมองอะไรนิ่งๆ ของเขายังน่ากลัวดุจพญาเสือก็ไม่ปาน แม้คนอื่นๆ จะพูดบอกว่าดวงตาของเขาดุเพียงใดนั้น หากแต่เมื่อได้มองไปยังบุตรสาว สายตาคู่นั้นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสายตาอ่อนแสงที่มองด้วยความรักสุดหัวใจ

    ภพธรมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนชื่อว่าพลับพลึง ลูกสาวคนสวยที่เขาและภรรยาตั้งใจทำให้เกิดมาด้วยความรัก แต่น่าเสียดายที่ผู้เป็นภรรยาของเขานั้นอายุสั้น ตายไปตั้งแต่พลับพลึงอายุได้ห้าขวบจึงไม่ได้อยู่ดูการเติบโตในแต่ละช่วงวัยของลูกสาวตัวน้อยที่เธอเฝ้ารอมานาน
     

    “พลับพลึงไปไหน?”

    “ไปซักผ้าจ่ะ” เสียงเย็นๆ ของวิญญาณสาวตนหนึ่งที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านเอ่ยตอบ

    “ไปกับใคร?”

    “น้องไปกับพี่กระถิน”

    “ไปนานรึยัง” ภพธรเอ่ยถามวิญญาณสาวพร้อมกับเดินขึ้นบ้านตรงเข้าไปในครัว ผีสาวที่เห็นแบบนั้นก็ลุกขึ้นเดินตามและตอบคำถามกลับไป

    “พึ่งจะไปเมื่อไม่นานมานี้เอง”

    “อือ” หนุ่มใหญ่รับคำก่อนจะหากับข้าวที่ลูกสาวทำไว้มากิน ส่วนวิญญาณสาวก็กลับไปนั่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้านเช่นเดิมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถามอะไรต่อแล้ว
     

    “ไปไหนจ๊ะ?” วิญญาณสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสัปเหร่อหนุ่มใหญ่กำลังเดินออกจากบ้าน

    “ไปช่วยพลับพลึงมันซักผ้า”

    “ฉันไปด้วยได้มั้ย?”

    “จะไปก็ตามมา ไม่ต้องมาขอกูหรอก” ภพธรตอบ ผีสาวที่ได้รับคำตอบเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นและลอยตัวตามหลังสัปเหร่อหนุ่มใหญ่ไปในทันที

    ภพธรใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงน้ำตกจุดประจำที่ลูกสาวจะมาซักผ้า บรรยากาศที่น้ำตกแห่งนี้ไม่ว่าจะมากี่ครั้ง มันก็ยังคงเย็นสดชื่นอยู่เสมอ ความเย็นของสายน้ำที่เมื่อได้มารวมกับป่าไม้ร่มรื่น ทำให้ที่แห่งนี้น่าอยู่มากกว่าที่ไหนๆ

    พอมาถึงหนุ่มใหญ่จึงเห็นว่าบุตรสาวกำลังซักผ้าอย่างขะมักเขม้น โดยที่รอบกายนั้นถูกรายล้อมไปด้วยเด็กสาววัยรุ่นในหมู่บ้าน คาดเดาได้จากสายตาก็รู้ว่ากลุ่มสาวๆ พวกนี้น่าจะมาหาเรื่องบุตรสาวของตนมากกว่าจะมาพูดคุยหยอกล้อ นอกจากกลุ่มของวัยรุ่นสาวในหมู่บ้านแล้วก็ยังมีเหล่าภูตผีอีกสามสี่ตนที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย

    หนุ่มใหญ่ไม่รอช้า รีบเดินตรงรี่เข้าไปหาบุตรสาวทันที การมาของภพธรทำให้ชายหนุ่มหนึ่งในกลุ่มนั้นที่บังเอิญเห็น รีบหันมากระทุ้งสีข้างของเพื่อนให้หันมามองตาม

    เมื่อเหล่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นเห็นว่าคนที่มาเป็นใคร พวกเขาจึงรีบหลบทางให้กับหนุ่มใหญ่คนนี้และเดินหนีจากไปในทันที เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าสัปเหร่อคนนี้หวงลูกสาวมากเพียงใด

    การจากไปของพวกหนุ่มๆ ทำให้รอบตัวของพลับพลึงเหลือเพียงแค่เหล่าวิญญาณและหญิงสาวในหมู่บ้านอีกสามคนเท่านั้น

    “ทำอะไรกัน” ภพธรไม่รอช้า เมื่อเข้ามาในระยะที่ใกล้กับบุตรสาวแล้ว เขาจึงเอ่ยถามเสียงเข้มออกมาในทันที

    “อ้าวพ่อจ๋า กลับมาแล้วหรอ?” พลับพลึงที่เห็นว่าผู้มาใหม่คือพ่อของตัวเองก็รีบทักทายกลับเสียงใสพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ซึ่งรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับจุดที่หญิงสาวกำลังซักผ้าต่างเกิดอาการตาพร่าไปตามๆ กัน แต่เคลิบเคลิ้มได้เพียงไม่ทันไรก็ต้องหุบยิ้มลงและรีบหันหน้าหนีมองไปทางอื่นแทน เพราะพวกเขาดันหันไปเจอสายตาน่ากลัวของสัปเหร่อประจำหมู่บ้านเข้า

    “พวกมึงมาทำอะไรกันตรงนี้” ภพธรไม่ได้ตอบคำถามของบุตรสาว แต่เลือกที่จะหันไปถามเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับพลับพลึงแทน

    “มะ มา พวกฉันมา...” หนึ่งในนั้นที่เขาจำได้ว่ามันชื่อ ดอกอ้อเอ่ยตอบเสียงติดๆ ขัดๆ

    “พวกมันแค่มาชวนคุยเรื่องไร้สาระจ่ะพ่อ ไม่มีอะไรหรอก” ไม่รอให้พวกนั้นพูด พลับพลึงที่ไม่อยากให้มีเรื่องราวและไม่อยากให้พ่อของตนเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กจึงได้เอ่ยตัดบทไปแทน

    “แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกมันกำลังจะกลับแล้ว” ทางด้านเด็กสาวสามคนนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของพลับพลึงที่เอ่ยไล่พวกตนทางอ้อม ก็พากันก้มหัวให้หนุ่มใหญ่และรีบเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากตรงนั้นในทันที

     

    “กูบอกมึงแล้วไงอีดอกอ้อ ว่ามันไม่มีอะไรมึงก็ไม่เชื่อ” เสียงของเด็กสาวหนึ่งในนั้นพูดออกมา

    “เกือบโดนน้าภพหมายหัวทั้งกลุ่มแล้วมั้ยล่ะ” ซึ่งประโยคเหล่านี้ภพธรและพลับพลึงไม่ได้ยินเนื่องจากอยู่ไกล แต่ก็ได้เป็นเหล่าผีแถวนั้นมาฟ้องให้ฟัง ภพธรจึงอดที่จะถามหาความจริงจากปากของลูกสาวไม่ได้ ด้วยรู้ว่าประโยคที่เอ่ยมาเมื่อครู่นั้นมีความจริงแค่เพียงนิดเดียว ลูกสาวเขาไม่ได้โกหกก็แค่บอกไม่หมดเท่านั้น

     

    “ตกลงพวกดอกอ้อมันมาทำอะไร” ภพธรเอ่ยถามในขณะที่มือก็เอื้อมไปช่วยบุตรสาวหยิบจับกางเกงของตนออกมาซัก

    “ดอกอ้อมันชอบพี่กระทิงจ่ะพ่อ แต่พี่กระทิงมันตามหนู ดอกอ้อกับเพื่อนมันเลยมาถามเฉยๆ ว่าหนูชอบพี่เขารึเปล่า”

    “แล้วตอบไปว่ายังไง” ปากถามบุตรสาว มือซักผ้า หากแต่หูก็ตั้งใจฟังคำตอบ

    “หนูไม่ได้คิดอะไรกับพี่กระทิงมันจริงๆ นะ ตอนเด็กพ่อจำไม่ได้หรอว่ามันน่ะคือคนที่ปล่อยข่าวลือว่าหนูเป็นคนบ้าจนไม่มีใครเล่นด้วยนะ หนูจะไปชอบมันได้ยังไง” พลับพลึงตอบคนเป็นพ่อ หากแต่มือที่กำลังซักผ้ากลับขยี้จนเนื้อผ้าแทบจะขาดออกจากกัน ภพธรที่เห็นว่าเสื้อตัวที่บุตรสาวกำลังซักอยู่เป็นเสื้อตัวโปรดที่ภรรยาเคยซื้อให้ก็รีบแย่งเอาซักเอง เพราะกลัวจะมันเสียหาย

    “พอๆ ไม่ต้องซักแล้ว”

    “อ้าว?”

    “ไม่ต้องมาอ้าว ดูสิขยี้แรงจนเกือบจะขาด นี่มันเสื้อที่แม่ซื้อให้พ่อนะ ไปไป! ไปซักแค่เสื้อผ้าตัวเองก็พอ” พูดจบก็รีบค้นหาเสื้อผ้าของตนในตะกร้าเพื่อเอามาซักเองในทันที

    “ชิ! คนหลงเมีย” พลับพลึงแกล้งมองค้อนใส่พ่อตัวเอง ก่อนจะโดนมะเหงกลูกใหญ่เข้าที่หน้าผากสวย

    “นี่แหนะ!!”

    “โอ๊ย! พ่ออย่าทำหนู” หญิงสาวเอามือกุมตรงบริเวณที่โดนมะเหงกจากพ่อเอาไว้ก่อนจะทำหน้าตาน่าสงสารใส่ “พ่อจ๋าใจร้าย”

    “เย็นนี้อยากกินปลามั้ย” แต่ภพธรกลับไม่ได้สนใจท่าทางขี้เล่นนั้นและเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องไปแทน ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะเพียงได้ยินคำว่าปลา ดวงตากลมโตก็ลุกวาวในทันที

    “หนูอยากกินปลา” หญิงสาวพูดเสียงตื่นเต้น ตาเปล่งประกาย จนภพธรที่เห็นแบบนั้นก็อมยิ้มกับท่าทางที่ดูเหมือนเด็กของลูกสาวทั้งที่โตเป็นสาวแล้ว

    จากนั้นสองพ่อลูกจึงช่วยกันซักผ้าต่อจนเสร็จ หลังซักผ้าเสร็จแล้วภพธรจึงได้ลงไปจับปลาในน้ำตก เพื่อนำมาให้บุตรสาวเอาไปทำเป็นกับข้าวกินในตอนเย็น

    ขณะที่กำลังจับปลาอยู่นั้นเสื้อผ้าของเขาที่ใส่มาก็เริ่มเปียกชื้นเป็นจุดๆ ทำให้เห็นรูปร่างภายใต้ร่มผ้ารำไร สาวๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพอกันหน้าแดงไปหมด ยกเว้นก็แต่พลับพลึงที่นั่งจ้องมองตาเขม็งเพราะคนเป็นพ่อจับปลาไม่ได้สักที

    “พ่อจ๋า หนูจะกินปลาเย็นนี้นะ”

    “อยากกินก็รอหน่อยสิ พ่อกำลังจับมันอยู่นี่ไง” ภพธรตอบกลับ ไม่ใช่ว่าเขาจับปลาไม่เป็นหรือจับปลาไม่เก่ง หากแต่เวลานี้เป็นช่วงสายๆ ปลาจึงไม่ค่อยออกมาหากิน ทำให้ต้องมองหาดีๆ กว่าจะเจอแต่ละตัว

    หลังได้ฟังคำตอบของผู้เป็นพ่อ หญิงสาวก็นั่งเท้าคางรออย่างใจเย็นอยู่บนโขดหินใกล้ๆ เช่นเดิม หากจะถามว่าซักผ้าเสร็จแล้วทำไมไม่ไปตากผ้าที่บ้านมานั่งรอทำไม คำตอบก็คือผู้เป็นพ่ออยากไปช่วยตากด้วยเพื่อให้งานเสร็จเร็วๆ แต่หญิงสาวกลับคิดว่าหากไปตากตอนนี้แล้วค่อยกลับมาดูพ่อจับปลาอีกทีก็น่าจะทัน

    “พ่อจ๋า งั้นหนูกลับไปตากผ้าก่อนนะ ช้ากว่านี้เดี๋ยวแดดหุบผ้าไม่แห้ง” หญิงสาวบอกเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นเดินถือตะกร้าออกไปทันที ไม่ได้รอคำตอบ

    “พ่อไม่ต้องตามมานะ หนูไปตากแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมาใหม่”

    “ไม่ต้องมาแล้วก็ได้ รออยู่ที่บ้านนั่นแหละ”

    “ได้เลยจ้า” พลับพลึงตอบกลับ แล้วเดินจากไปพร้อมกับวิญญาณผีเจ้ากรรมนายเวรประจำตัว

     

    “วันนี้จะจับได้สักตัวมั้ยจ๊ะ” เสียงผีสาวที่ตามมาจากบ้านเอ่ยถาม

    “เฮ้อ” หนุ่มใหญ่ถอนหายใจออกมา เนื่องจากตอนนี้เขายังไม่สามารถจับปลาได้เลยสักตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

    “ให้ช่วยมั้ย” เสียงวิญญาณชายหนุ่มที่เป็นผีเร่ร่อนแถวนั้นเอ่ยถาม

    “ไม่ต้อง”

    “ตามใจแล้วกัน” ผีหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่แถวนั้นเพื่อสอดส่องสาวๆ ที่กำลังซักผ้ากันอยู่ เหตุผลที่มองก็เพราะสาวๆ พวกนี้ไม่ได้รู้ตัวกันเลยเสื้อที่พวกหล่อนใส่มานั้นได้เปียกจนเกือบจะเผยรูปร่างภายใต้ร่มผ้าอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นตั้งใจหรือไม่รู้ตัวจริงกันแน่ แต่เท่าที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนว่าส่วนใหญ่จะตั้งใจเปียกมากกว่า

    และเหตุผลก็คงไม่พ้นสัปเหร่อหนุ่มใหญ่ที่มีใบหน้าหล่อเหลาคนนี้

    หากไม่ได้ตั้งใจก็นับว่าพวกหล่อนนั้นไว้ใจชายคนนี้มากเลยทีเดียว แต่ผีหนุ่มคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลแรกมากกว่า เพราะขนาดบุตรสาวของสัปเหร่อหนุ่มคนนี้มาซักผ้าด้วยกัน เสื้อผ้าของเจ้าหล่อนยังเปียกชื้นแค่บางจุดเล็กๆ เท่านั้น

    “สาวๆ พวกนั้น จ้องลุงตาเป็นมันเลยนะ” ผีหนุ่มอดที่จะพูดตามสิ่งที่เห็นไม่ได้ แม้ภาพตรงหน้าจะดูเจริญหูเจริญตา แต่มันก็เกินพอดีไปนิดหน่อย

    “ผมว่าลุงเปลี่ยนที่หาปลาเถอะ” ผีหนุ่มเสนอ ซึ่งภพธรเองก็เห็นด้วยในครั้งนี้ เพราะพอจะสังเกตได้บ้าง ว่าตั้งแต่ที่เสื้อผ้าของเขาเปียกน้ำจนเห็นกล้ามเนื้อแน่นใต้ร่มผ้า เหล่าหญิงสาวๆ ก็มาจากไหนกันไม่รู้เยอะแยะมากมาย จนปลาที่มีอยู่น้อยนิดต่างพากันหนีหายไปหมด

    “มึงนำไปแล้วกัน” เขาเอ่ยบอกผีหนุ่มเสียงเบา หากแต่อีกฝ่ายกลับได้ยินอย่างชัดเจน

    “จัดให้เลยลุง” ผีหนุ่มตอบ ก่อนจะลอยตัวนำหน้าไปยังจุดที่เขาเห็นว่ามีปลาชุกชุม

    ภพธรเดินตามหลังผีหนุ่มออกไปโดยมีผีสาวเดินตามหลัง ท่ามกลางสายตาเสียดายและสงสัยของสาวๆ ที่อยู่ตรงนั้นว่าหนุ่มใหญ่กำลังจะเดินไปไหน

    “มึงชื่ออะไรไอ้หนุ่ม” ภพธรเอ่ยถามผีหนุ่มหลังจากที่พวกเขาเดินห่างไกลจากกลุ่มชาวบ้านที่มาซักผ้าแล้ว

    “ผมชื่อเอก ส่วนชื่อจริงผมจำไม่ได้ น่าจะทองเอกมั้งครับ” ผีหนุ่มเอ่ยตอบ

    “เท่าที่กูเห็น มึงน่าจะไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ย มึงเป็นคนที่ไหน แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่”

    “ถ้าดูจากการแต่งตัว ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนจากหมู่บ้านทางเหนือ ส่วนสาเหตุที่มาอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นเพราะร่างของผมถูกนำมาทิ้งไว้แถวๆ นี้นั่นแหละ”

    “ร่างมึงอยู่ตรงไหน กูจะได้ไปเอามาทำพิธีให้” ภพธรเอ่ยอย่างมีจิตกุศล

    “ผมไม่รู้หรอกลุง หลังจากโดนดักทำร้ายแล้วสลบไป ตื่นมาอีกทีผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” ผีหนุ่มตอบกลับเสียงเศร้า

    “มึงแน่ใจนะว่ามึงตายแล้วน่ะ”

    “ผมก็ไม่แน่ใจหรอก แต่เท่าที่จำได้ ผมโดนพวกมันกระหน่ำตีด้วยไม้หน้าสามกันไม่ยั้งเลย ถ้าผมรอดมาได้โดยที่ตอนนี้แค่วิญญาณหลุดออกมา ร่างกายผมก็น่าจะพิการไปแล้วล่ะ”

    “แล้วมึงจำหน้าคนที่ทำร้ายมึงได้มั้ย”

    “ไม่ได้อ่ะ ผมจำอะไรไม่ได้เลยและผมก็มั่นใจมากด้วยว่าผมไม่รู้จักพวกมัน” คำตอบของผีหนุ่มทำให้หนุ่มใหญ่ถึงกับถอนหายใจเพราะมันไม่มีข้อมูลอะไรเลยที่จะทำให้เขาเจอศพหรือร่างของคนตรงหน้า

    “แล้วมึงได้กลิ่นอะไรบ้างมั้ย” ภพธรถามเพราะแม้จะไม่รู้ว่าร่างอยู่ที่ไหน แต่วิญญาณมักจะได้กลิ่นของสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ร่างของตัวเองเสมอ

    “กลิ่นหรอ?อืมมม เหมือนว่าผมจะได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่าง แต่ผมก็นึกไม่ออกนะว่ามันเป็นกลิ่นอะไร อาจจะต้องใช้เวลาสักพักอ่ะ กว่าผมจะนึกออก” เอกเอ่ยตอบ ก่อนจะหยุดเดินเพราะได้พาภพธรมายังจุดที่มีปลาชุกชุมแล้ว “ตรงนี้แหละลุง ปลาเยอะเลย”

    “งั้นกูจะไปจับปลาก่อนแล้วกัน ระหว่างนี้มึงก็ค่อยๆ คิดเรื่องของตัวเองไป แต่ถ้าคิดไม่ออกก็ถามอีดาวเรืองเผื่อว่ามันจะพอช่วยมึงได้” เอ่ยบอกก่อนจะเดินลงไปในน้ำเพื่อหาปลาให้บุตรสาวเอาไปทำข้าวเย็นกิน

     

    แล้วหลังจากนั้นภพธรก็จับได้ปลาตัวใหญ่มาถึงสองตัว โดยที่ตัวแรกจะเป็นของเขากับลูกสาว ส่วนตัวที่สองจะเอาไปทำบุญให้กับเหล่าภูตผีวิญญาณที่อยู่แถวบ้านและที่เลี้ยงไว้ ความจริงก็ไม่อยากให้พวกมันกินหรอก แต่ลูกสาวของเขาดันเป็นคนชอบทำกับข้าว ยิ่งได้ยินไอ้ผีพวกนั้นยกยอว่าทำกับข้าวอร่อย ทีนี้ก็ทำให้พวกมันกินตลอดโดยเหตุผลที่บุตรสาวยกเอามาบอกก็คือ

    ‘ถือว่าทำบุญให้คนอดอยากไงพ่อ’ นั่นแหละเขาถึงได้ยอมใจอ่อน แบ่งอาหารทุกมื้อให้วิญญาณพวกนั้น

    น่าแปลกเพราะต่อให้เขาและบุตรสาวนั้นสามารถที่จะมองเห็นวิญญาณได้ แต่กลับไม่เคยได้เห็นวิญญาณของผ้าแพรแม่ของพลับพลึงและภรรยาของเขาเลยสักครั้ง ในงานศพของภรรยาสุดที่รักที่เขาเป็นคนทำพิธีให้เองนั้น ลูกสาวตัวเล็กของเขานั้นไม่เคยถามคำถามที่ดูแปลกๆ สำหรับเขาเลยสักครั้ง นอกจากถามว่า

    'หนูจะไม่ได้ยินเสียงแม่จ๋าแล้วใช่มั้ยจ๊ะพ่อ'

    คิดมาถึงตรงนี้ภพธรก็อดที่จะรู้สึกเศร้าไม่ได้ ยังดีที่หน้าตาของบุตรสาวเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเขากับผู้เป็นภรรยา ยามเมื่อได้มองหน้าบุตรสาวก็จะเห็นเป็นใบหน้าของผ้าแพรแทรกขึ้นมา ทำให้เขาพอที่จะบรรเทาอาการคิดถึงอีกฝ่ายลงไปได้บ้าง

    "เฮ้อ"

    “ถอนหายใจแรงขนาดนั้น เดี๋ยวก็อายุสั้นหรอกลุง” เสียงของเอกทักขึ้น เมื่ออยู่ดีๆ เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจมาจากคนที่จับปลาได้แล้วถึงสองตัว

    “จับปลาไปให้น้องคนสวยกินมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรอลุง?”

    “กูไม่ได้เบื่อ”

    “ไม่เบื่อก็น่าจะเหนื่อย”

    “กูไม่ได้เหนื่อย”

    “...”

    “แต่กูแค่คิดเฉยๆ”

    “คิดอะไรอ่ะลุง?”

    “เป็นแค่ผีเฉยๆ ก็พอนะมึง ไม่ต้องริเป็นผีขี้เสือกอย่างอีกระถิน”

    "คริคริ" ได้ยินประโยคเปรียบเปรยที่ภพธรพูดออกมา คนที่รู้เรื่องราวดีอย่างผีดาวเรืองก็หัวเราะออกมาเสียงเย็นๆ ต่างกับเอกที่แม้จะรู้ว่ากระถินที่อีกฝ่ายพูดถึงคือวิญญาณผีสาวที่ตามติดลูกสาวของคนตรงหน้าออกไป แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าผีสาวคนนั้นขี้เสือกยังไง

    ก็แค่สนใจทุกอย่างรอบตัวมากกว่าคนทั่วไปเฉยๆ เอง

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×