ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Psyche ] โลก ฝัน จิต (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #3 : [ Riley ] : No place to hide

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 60






    Psyche

    Chapter  3  : No place to hide



    [  Riley   ]




           ไรลีย์กำลังนับจำนวนศพ และรู้ทันทีว่ามีคนรอดไปหนึ่ง



    ใบหน้าสวยหวานไร้อารมณ์ ไม่แสดงความหงุดหงิดใดๆทั้งสิ้น ในเมื่อเหลืออีกหนึ่งคน แค่ต้องหาให้เจอ เธอเฝ้าดูกลุ่มนี้มาได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาหลบอยู่ในห้างวอล์มาร์ท ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มีอาหาร เสื้อผ้า ห้องน้ำ สบู่ ยารักษาเบื้องต้น ครบครัน แม้แต่อุปกรณ์สำหรับนอนอย่าง ผ้าห่ม หมอน หรืออุปกรณ์เอาตัวรอดต่างๆ เช่น มีดทำครัว เชือก หรืออุปกรณ์กีฬาบางอย่างก็ใช้เป็นอาวุธได้ หัวหน้าของพวกเขา หรืออีกนัยหนึ่ง คนที่ค่อนข้างมีสติ เหตุผล และมุ่งมั่นจะมีชีวิตรอดที่สุด เป็นคนเดียวที่คิดหาอาวุธ และคิดว่าอยากจะออกไปจากที่นี่ ลงใต้ เธอได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น ทางใต้มีกองกำลังผู้รอดชีวิตที่อยากจะโต้กลับ นั่นเป็นภารกิจต่อไปของเธอพอดี



    และเมื่อเธอไปถึง จะไม่มีใครเหลือ การเป็นสเกาต์ หมายความว่า หน้าที่ของเธอคือ ลาดตระเวน สำรวจ  สอดส่องอย่างลับๆ คล้ายกับสายลับ เธอไม่จำเป็นต้องสู้ ทักษะพวกนั้นพอมี แต่ไม่เก่งเหมือนพวกโซลเยอร์ หรือระดับสูงกว่านั้น เธอแค่หาข้อมูล ค้นจนเจอผู้หลบหนี และรายงานกลับไป ที่เหลือปล่อยให้ฝ่ายอื่นจัดการ



    ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ไรลีย์เคยเป็นแค่ครูสอนดนตรีให้เด็กระดับชั้นมัธยมศึกษา ชีวิตของเธอวนไปเหมือนเข็มนาฬิกา เติบโตจากเมืองเล็กๆอย่าง ไรย์ ในอีสต์ซัสแซ็กส์ของอังกฤษ แม้จะเป็นเมืองเล็กสวยขึ้นชื่อ อยู่ห่างจากชายฝั่งแค่สองไมล์ คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว แต่ก็น่าเบื่ออย่างเหลือเชื่อ มีงานแจ๊สจัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม นั่นล่ะเธอถึงได้รู้สึกสนุกขึ้นมาหน่อย อย่างปีก่อน มีนักร้องและวงดนตรีแจ๊สชื่อดังมางาน ไรลีย์จะตื่นเต้นอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วก็กลับสู่ความว่างเปล่าอย่างเคย



    เรื่องแปลกและตื่นเต้นเกิดขึ้นในฤดูหนาวปีเดียวกันนั้น เริ่มจากรอยแตกบนพื้นถนนไฮสตรีทที่กลายเป็นหัวข้อใหญ่ให้นักข่าวท้องถิ่นหยิบมาเขียนได้ไม่รู้จักจบ บ้างว่าเป็นเพราะโครงสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการสอบปากคำวิศวกร เรื่อยไปจนถึงนายกเทศมนตรี แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า พวกเขาสร้างถนนเส้นนั้นอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีข้อผิดพลาด สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติล้วนๆ นักธรณีวิทยาจึงเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอันดับต่อไป ตั้งสมมติฐานไปสารพัด ทันทีทันใด ในเทศกาลอีสเตอร์ ฝนดาวตกก็เทลงมาจากฟ้า โดยไม่มีประกาศล่วงหน้าจากนักดาราศาสตร์ ทั่วโลกมองเห็นเหมือนกัน ดาวสว่างจ้า ตกลงมาเป็นสาย ไรลีย์ได้ยินว่ามีดาวดวงหนึ่งตกลงไปในร่องถนนที่แตก กลางย่านชุมชน หน้าร้านขายของที่ระลึกและเครื่องเขียนพอดิบพอดี



    ทุกอย่างเปลี่ยน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก โลกใบนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากไดโนเสาร์ ไปสู่สิ่งมีชีวิตอื่น จากลิง ไปสู่มนุษย์ยุคหิน จักรวรรดิไบเซนไทน์หายสูญ โรมันรุ่งเรืองและล่มสลาย ยุคเรอนาซองส์เป็นเพียงภาพฝันหวานของจิตรกรและนักประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับขณะนี้ ยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยน



    แต่ตอนนี้ เธอต้องหาเขาคนนั้นให้เจอ หลังจากพลิกดูหน้าศพครบทั้งหมด เธอได้คำตอบว่าใครหายไป คนที่เป็นหัวหน้านั่นเอง รอดไปได้หรือว่าแอบหนีไปก่อน มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเหยียดหยัน มนุษย์ ไม่ว่ายังไงก็เป็นมนุษย์ เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ชีวิตตัวเอง ต่อให้บอกว่ารักหรือเป็นคนดีแค่ไหน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจะฉายแววออกมา ทุกคนทำได้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตาย การหนีและละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังคือกฎข้อแรกของการเป็นผู้รอดชีวิต



    ไรลีย์ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร และเธอไม่ได้สนใจ สิ่งสำคัญคือสะกดรอยตาม ร่างบางก้าวเท้าเดินสำรวจบริเวณห่างจากกองศพ ถ้าเหลืออยู่คนเดียว จะหนีเตลิดไปที่ไหนได้ เธอพยายามกลับไปคิดแบบมนุษย์ ถ้าเธอเป็นเขา หวาดกลัว สติแตก เห็นทุกคนตายหมด หนีออกไปคนเดียว เธอจะไปไหน? จากความเงียบฉี่ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ที่ไหนดัง เธอกระโดดเข้าหาข้อสรุปว่าเขาเดินเท้า เขาจะยังอยู่ในเมืองหรือไม่? ไม่น่าไปไหนได้ไกลในสภาพจิตใจแบบนั้น ต่อให้เขาเป็นผู้ชาย และท่าทางเป็นคนจิตแข็ง ต้องมีหวาดหวั่นกันบ้าง เขาหลบอยู่ในวอล์มาร์ทมาเกือบเดือน คิดว่าตัวเองปลอดภัย เป็นไปได้ไหมว่า เขาจะเปลี่ยนวิธีคิด มาอยู่กลางแจ้งแทน แต่เขาไม่อยู่กลางถนนแน่ เป็นเป้านิ่งเกินไป



    แมคเคย์ครีก พาร์ค



    ห่างจากที่นี่แค่ประมาณยี่สิบนาทีถ้าเดินด้วยเท้าในสภาพจิตใจสมบูรณ์ แต่ถ้าวิ่งเตลิดเปิดเปิง อาจจะไปถึงเร็วหรือช้ากว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขาเรียกสติตัวเองกลับมาได้แค่ไหน ที่นั่นมีลำธารเล็กๆ น้ำสะอาด พอดื่มได้ ต้นไม้สูงๆจำนวนมากที่จะบดบังตัวเขาได้ เหมาะกับการซ่อนตัวตามลำพัง



    ไรลีย์ค่อนข้างพอใจกับข้อสรุปของตัวเอง คิดว่ามีความเป็นไปได้มาก อย่างน้อยน่าจะลองไปดูหน่อย หญิงสาวจึงเริ่มเดินทาง แต่เดินไปได้ไม่ไกล ท้องร้องโครกคราก เธอเกลียดความอ่อนแอปวกเปียกของมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิงที่ชื่อไรลีย์ เฮย์ส ดูเหมือนจะไร้ศักยภาพทางร่างกายและมีความอดทนต่อสิ่งแวดล้อมต่ำสุด เนื่องจากตอนนั้นไม่ได้มีตัวเลือกให้เธอมากนัก สเกาต์คือตำแหน่งสำคัญที่ต้องการกำลังคนเป็นจำนวนมาก เธอรับอาสา เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด แม้จะขัดกับสภาพร่างกายนี้ก็ตาม แต่จะทำอย่างไรได้ นี่เป็นร่างกายของเธอแล้ว เธอต้องดูแล รักษา และหาทางอยู่กับมันให้ได้ เพราะท้องร้อง หมายถึง หิว เธอจึงต้องแวะเข้าไปตามบ้านที่ถูกทิ้งร้าง เปิดตู้ในครัว หาอาหารกระป๋องที่ยังไม่หมดอายุ



    เมื่อท้องอิ่ม เธอเดินทางต่อ ใช้เวลาไม่นานมาถึงที่หมาย ที่นี่เป็นสวนสาธารณะ จุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง อนุญาตให้นำสุนัขเข้าไปได้ เธอเห็นป้ายบอกอยู่ด้านหน้า เมื่อไม่มีคนดูแลมาเกือบสี่เดือน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ถนนจะสกปรกเลอะเทอะไปด้วยขยะ เธอเดินลึกเข้าไป ออกจากทางเดินเส้นหลัก เข้าไปในดงต้นไม้ คนที่กำลังหนี ไม่มีทางเดินอยู่บนทางเรียบๆ





                  เธอใช้เวลาตลอดวัน ก้มศีรษะลงต่ำ หารอยเท้า ร่องรอยอะไรก็ได้ของผู้ชายคนนั้น จนเย็นย่ำ เรื่อยไปจนถึงเวลากลางคืน เธอจำเป็นต้องสวมแว่นตามองในที่มืด ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ พยายามสังเกตควันไฟ แต่พอนึกอีกที เขาอาจจะยังมีไฟฉายที่ใช้งานได้ติดตัว คงยังไม่จำเป็นต้องจุดกองไฟเล็กๆ หญิงสาวจึงเปลี่ยนแผนใหม่ มนุษย์ต้องใช้น้ำ เธอตัดสินใจเดินไปที่ลำธาร หาต้นไม้เหมาะๆที่มีกิ่งแข็งแรงพอ ปีนขึ้นไป และเฝ้ารออยู่บนนั้น



    ไรลีย์โชคดีในเช้าวันต่อมา เธอเห็นผมหยักศกสีดำยุ่งๆที่ดูคุ้นตา กับร่างกายกำยำของชายหนุ่มที่สวมแจ็กเก็ต แต่วินาทีต่อมา เธอต้องประหลาดใจ เพราะมีคนอื่นอยู่กับเขาด้วย ผู้หญิงอีกคน ท่าทางปราดเปรียว ไรลีย์ขมวดคิ้ว เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อน เธออยู่ในนอร์ธแวนคูเวอร์มาเกือบเดือน ตามหาคนจนหมดบัญชีรายชื่อ ทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ทั้งชาวเมือง แม้แต่พวกไร้บ้าน เธอจำไม่ได้ว่ามีหน้าตาของผู้หญิงคนนี้ในฐานข้อมูล ไรลีย์หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ถ่ายรูปสองคนนั้น และส่งข้อความให้หน่วยโซลเยอร์ จริงๆหน้าที่จะหมดลงเพียงแค่นี้ เธอสามารถหลบฉากไปได้ทันที หรือจะรอดูผลลัพธ์ก็ได้ แต่ด้วยความสงสัยบางอย่าง ทำให้เธอสนใจพวกเขาขึ้นมา



    “เรื่องกองกำลังในอเมริกา นายแน่ใจแค่ไหน?” ผู้หญิงคนนั้นถาม ขณะกดขวดน้ำลงไปในลำธารเพื่อเติมน้ำให้เต็ม



    “ฉันได้ยินจากวิทยุ” ผู้ชายบอก



    “ยังมีวิทยุใช้งานได้หรือ?” เธอถามอย่างแปลกใจ



    “แน่นอนสิ” เขาพยักหน้า “เธอคิดว่าพวกมันติดต่อสื่อสารกันได้ยังไง? ดาวเทียมทุกดวงไม่ได้ดับ คลื่นวิทยุไม่ได้หายไปไหน แค่ถูกควบคุมโดยพวกมัน ถึงมีแต่ข้อความส่งผ่านทางวิทยุว่า ขอให้ผู้หลบหนี เข้ามอบตัว เราสัญญาว่าพวกคุณจะปลอดภัยและมีความสุขในยูโทเปีย กลุ่มในอเมริกาแฮ็กใช้สัญญาณดาวเทียมเพื่อกระจายข่าว และมีผู้รอดชีวิตในแคนาดานี่แหละ ส่งข่าวผ่านคลื่นวิทยุ”



    ไรลีย์เห็นความไม่แน่ใจในแววตาของผู้หญิงคนนั้น ก่อนที่เธอจะพูดต่อ “ครั้งสุดท้ายที่นายได้ข่าวคือเมื่อไหร่?”



    “สามวันก่อน” เขาตอบ “ฉันตัดสินใจว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง ติดอยู่ที่นี่ไม่มีความหมายหรอก โบ สักวันเราต้องถูกจับได้ เธอก็เห็น พวกมันยังลาดตระเวนอยู่”



    “แต่เราใช้รถไม่ได้” เธอบอก “มันเสียงดัง และเราก็อยู่บนถนนเส้นหลักไม่ได้เด็ดขาด” ไรลีย์เห็นฝ่ายชายกลั้นลมหายใจ ก่อนจะผ่อนออก คล้ายๆกับว่าหัวเสียและไม่เห็นด้วยนัก ฝ่ายพูดหญิงพูดต่อ “ฉันพูดจริงนะ แค่เดินเท้าในเมืองยังเสี่ยงเลย และเราก็เหลือกันอยู่แค่สองคน สมมติเราตัดสินใจไปด้วยรถ ยังไงพวกมันก็ตามเจอ แล้วยังไงต่อล่ะ? ขับหนีพวกมันหรอ? นายอาจจะเคยเป็นนักแข่ง แต่เรากำลังพูดถึงการขับหนีทหารที่มีอาวุธสงครามครบมือ”



    “แล้วเธอจะแนะนำยังไงล่ะ? เดินไปหรือไง แคลิฟอร์เนียอยู่ห่างจากที่นี่เป็นพันไมล์ คงใช้เวลาเป็นเดือนกว่าเราจะไปถึง ด้วยเท้า” ท่าทางเขาอารมณ์เสีย ใจร้อน ไรลีย์คิดว่าถ้าเขาบินได้ เขาก็คงบินไปเองแล้ว



    “ก็ยังดีกว่าฆ่าตัวตายกลางถนน” เธอยักไหล่ “ถ้าสบโอกาสเหมาะ เราค่อยใช้รถเป็นบางครั้ง ทุ่นแรงไป แต่ต้องอยู่ในช่วงที่ขับผ่านป่า หรืออะไรแบบนั้น” ไรลีย์ที่แอบฟังอยู่ ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับฝ่ายหญิงมากกว่า การเดินนั้นคล่องตัว หลบหลีกง่าย ถ้ามีโอกาสดีๆค่อยขโมยรถ แล้วขับไป สลับกับการเดินเป็นระยะ “แล้วนายจะเอายังไงล่ะ? ฉันก็ตั้งใจว่าจะออกจากแคนาดาอยู่แล้ว ลงใต้ไปดูสักหน่อย ก็ไม่เลว แต่ฉันไม่ไปด้วยรถทันทีแน่ๆ นายจะทำตามแผนของฉัน หรือจะไปคนเดียว ก็เรื่องของนายแล้ว”



    พวกเธอไม่ได้ไปจากที่นี่หรอก ไรลีย์คิดในใจ มองพวกเขาตกลงอะไรกันอีกนิดหน่อย สุดท้ายความคิดของผู้หญิงคนนั้นเป็นฝ่ายชนะ เพราะเข้าท่ากว่าเห็นๆ พวกเขากำลังจะออกเดิน ไรลีย์ไม่อยากเสี่ยงคลาดสายตา ไม่รู้พวกเขาจะแวบไปไหนได้อีก เธอไม่แน่ใจว่าพวกโซลเยอร์อยู่ห่างจากที่นี่แค่ไหน อาจใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะมาถึง พวกเขาอาจจะออกจากแมคเคย์ครีกนี้ไปแล้วก็ได้ หญิงสาวรอให้พวกเขาเดินห่างออกไปพอสมควร จึงลงจากต้นไม้อย่างเงียบเชียบที่สุด เธอตั้งใจรักษาระยะห่างให้มากพอจนไม่เป็นที่สังเกต และอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า โชคดีที่ดินชื้นมากพอจะทำให้ไม่เกิดเสียงใดๆระหว่างเดิน ถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง ก็เลิกพูดกันเรื่องแอบสะกดรอยตามได้เลย เพราะเสียงกรอบแกรบของใบไม้จะดัง ยังไงก็ได้ยินเสียง



    “หยุดก่อน” อยู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมา ทำให้ไรลีย์ต้องหยุดด้วย และหมอบลงต่ำ ใช้รากไม้และพงหญ้าบังตัวเธอเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำเงินมองตรงออกไปอย่างระแวดระวัง



    “มีอะไรหรอ?” ผู้ชายถาม



    หญิงสาวยกนิ้วชี้ข้างซ้ายขึ้นแตะริมฝีปาก มือขวาลดลงไปที่เอว ดึงปืนแบเร็ตต้าออกมาถือไว้ ไรลีย์เห็นพวกเขาส่งสายตากันเงียบๆ ราวกับสื่อสารได้ผ่านความคิด เขาดึงปืนออกมาเช่นกัน เวรแล้วไง ไรลีย์กัดริมฝีปาก พยายามควบคุมการหายใจ ไม่ใช่เธอหรอก จะได้ยินเสียงเธอได้ยังไง เธอยังไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย ผู้หญิงคนนั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดกล่าวชมสัญชาตญาณของมนุษย์คนหนึ่งที่ล้ำเลิศพอๆกับสัตว์ป่า ไรลีย์ขยับตัวไม่ได้แน่ เพราะถ้าขยับ ก็ต้องเกิดเสียง เห็นเงา พงหญ้าไหว เธอต้องปักหลักอยู่ตรงนี้ เงียบที่สุด



    หรือต้องใช้อีกวิธี



    เธอเล่นละครไม่เป็น แสดงอารมณ์ก็ไม่เก่ง ไม่มีใครในพวกเธอสามารถแสดงอารมณ์ได้ดีเยี่ยมอย่างมนุษย์ พวกเธอไม่จำเป็นต้องฝึก หรือขุดความสามารถเหล่านั้นที่ลืมเลือนไปนานออกมาใช้ใหม่ เพราะไม่ได้จะไปหลอกล่อมนุษย์ ไม่ใช่สายลับที่ต้องเข้าไปล้วงข้อมูล พวกเธอแค่ตามล่า เอาตัวไป หรือฆ่าทิ้งตรงนั้น แต่ในเมื่อเธอกำลังจนตรอก และผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ทุกที พร้อมปืนในมือ พวกเขามีกันสองคน เธอมีแค่คนเดียว ต่อให้เธอหลบอยู่ ชักปืนและเล็งยิงผู้ชาย จะเปิดเผยที่อยู่ตัวเอง ทำให้อีกคนยิงเธอทิ้งได้ทันที  



    หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า จำเป็นต้องหยิบโทรศัพท์กับปืนออกมาวางทิ้งและโกยดินกลบ เธอไม่ควรจะมีโทรศัพท์ที่ยังใช้งานได้ติดตัวถ้าจะเล่นบทบาทนี้ จากนั้นยีผมตัวเองให้กระเซิง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสุดชีวิตที่จะแสดงอารมณ์กลัวออกมาให้มากที่สุด นึกถึงหน้าพวกมนุษย์เอาไว้ เวลาที่พวกมันกลัว มันทำหน้ายังไงกัน หายใจยังไง แววตาเป็นอย่างไร



    ไรลีย์เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกโต รื้นน้ำเล็กน้อยจากการบีบเต็มที่ เธอกำลังสบกับดวงตาสีดำ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คิ้วรกกับปอยผมหยักศก ปากกระบอกปืนชี้ตรงมาทางเธอ ไรลีย์บังคับให้น้ำตาไหลลงไปบนแก้ม เขาจ้องเธอนิ่งก่อนจะลดปืนลง นัยน์ตาเลื่อนจากเธอไปมองอีกคน แล้วก็ส่งเสียงเรียก เธอได้ยินเสียงผู้หญิงเดินมา และได้เห็นหน้ากันอย่างชัดเจน พวกเขาลดปืนลงทั้งคู่



    “เป็นอะไรไหม?” ผู้ชายถามขึ้นก่อน “ลุกไหวหรือเปล่า”



    ไรลีย์พยักหน้าหงึกหงัก ยังไม่พูดอะไร พยายามทำเหมือนตัวเองสับสนและหวาดกลัวเข้าไว้ เธอมองมือของเขาที่ยื่นออกมาให้จับ แสร้งทำเป็นไม่ไว้ใจ



    “เราไม่ใช่พวกมัน” เขาพูดต่อ “เธอปลอดภัย”



    ไรลีย์มองพวกเขาสลับกัน ทำสายตาที่คิดว่าดูใสซื่อที่สุด ผู้ชายดูเชื่อสนิทใจ แต่ผู้หญิงยังทำหน้าตาสงสัย และเป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้ ฝ่ายหญิงเป็นคนขยับคนแรก ดึงตัวเธอลุกขึ้นยืน ใช้มือทั้งสองข้างแตะๆตามเอวและสะโพก ค้นหาอาวุธหรือวัตถุอันตรายอย่างอื่น เมื่อไม่พบก็ดูจะโล่งใจ แต่ก็ยังมองอย่างระแวงอยู่ดี ไม่น่าล่ะ หล่อนถึงรอดมาได้นาน เพราะท่าทางเข้มแข็ง ว่องไว ประสาทสัมผัสดีเลิศ สัญชาตญาณเหมือนสัตว์ป่า ปล่อยให้เป็นมนุษย์ต่อไปก็น่าเสียดาย แต่คนที่จะเลือกไม่ใช่เธอ สเกาต์แค่ตามหา หน้าที่ในการเลือกคน เป็นของหน่วยที่มีอำนาจเหนือกว่า ไรลีย์ไม่รู้วิธีการเลือก บางครั้งพวกเขาแค่มองก็รู้แล้วว่าใช้ได้หรือไม่ได้ ถ้าใช้ได้ก็เอาตัวไป ใช้ไม่ได้ก็ยิงทิ้งตรงนั้นเลย



    “เธอชื่ออะไร?” ผู้หญิงเป็นคนถาม



    “ไรลีย์” เธอตอบออกไปด้วยเสียงเบาอย่างกล้าๆกลัวๆ



    “ฉันโบ นี่เบลค” หญิงสาวผมสีน้ำตาลแนะนำอย่างง่ายๆ ชี้ไปทางผู้ชายอีกคนด้วย “พวกเราเกือบยิงเธอตายแล้ว ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม?”



    ไรลีย์ส่ายหน้าอีกครั้ง เธอไม่เป็นอะไรหรอก พวกเขาต่างหาก ระวังให้ดีเถอะ ไอ้พวกโง่







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×