ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวน้อยผู้มั่งคั่ง (จบแล้ว) มี E-BOOK

    ลำดับตอนที่ #29 : ศัตรูหัวใจ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    ตอนที่ 29 ศัตรูหัวใจ

    ณ จวนลับใจกลางเมืองหลิงหลง

    ฉินฉินกำลังนั่งรอสหายก่อนเวลานัดพบอยู่ริมบ่อปลาเล็ก ๆ จวนลับแห่งนี้นางซื้อไว้สำหรับพักผ่อนยามเหนื่อยจากการทำงาน วันไหนไม่อยากนั่งรถม้ากลับหมู่บ้านก็จะมานอนพักที่แห่งนี้

    ที่เรียกว่าจวนลับเพราะภายนอกอาจจะดูเหมือนเรือนร้างไปนิด ไหนจะกำแพงสูงชันติดสัญลักษณ์สุสานบรรพบุรุษเหลียนเอาไว้อีก

    ใครเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าด้านในมีแต่หลุมฝังศพไม่มีของให้ขโมย

    อีกสองเดือนจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ฉินฉินต้องการทำอะไรบางอย่าง คาดหวังว่าฤดูหนาวปีแรกหลังจากมาเกิดใหม่ ต้องเปิดประสบการณ์ให้นางได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างได้แน่

    เมื่อฤดูหนาวมาถึงชาวบ้านที่เตรียมเสบียงไว้ไม่พอ ต้องเดินฝ่าพายุหิมะมาขอความช่วยเหลือในเมือง ทว่าพอมาถึงกลับต้องรอต่อแถวรับถ้วยข้าวต้มที่มีแต่น้ำข้าวกลับไปให้คนที่รออยู่ที่บ้านกิน บางคนทนไม่ไหวแข็งตายระหว่างทางก็มี

    ด้วยเหตุนี้ฉินฉินจึงสั่งหยุดกิจการทั้งหมด และนำของที่พอจะบริจาคได้ออกมาแจกจ่าย ส่วนตัวนางอยู่แต่ในจวนไม่กล้าออกมา ด้วยกลัวว่าจะเจอภาพติดตาที่น่าสลดหดหู่เหล่านั้น

    ปีนี้นางตั้งใจจะช่วยเหลือทุกคนให้เต็มที่ จะไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นอีก

    ฤดูหนาวปีนี้ทุกคนจะต้องรอด!

    พ่อบ้านชราของจวนฉินฉินหรืออ้ายหลานเซียง เขาเคยเป็นคนรับใช้ของขุนนางตำแหน่งสูงในเมืองหลวงมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ทั้งครอบครัวของเขาถูกขายให้พ่อค้าทาส

    ทว่าไม่มีใครกล้าซื้อตัวพวกเขา เพราะกลัวจะเผลอไปมีเรื่องกับท่านผู้นั้นเข้า มีเพียงฉินฉินที่ชี้ทางสว่างให้

    ทุกคนในครอบครัวนี้จึงรอดตายจากการถูกทรมาน

    พ่อยบ้านชราเดินมาหยุดยืนอยู่นอกศาลารายงานคุณหนูของตน

    "คุณหนูนายท่านว่านหลงและภรรยามาถึงแล้วขอรับ"

    "ให้พวกเขาเข้ามาเจ้าค่ะท่านลุง"

    ฉินฉินไม่กดหัวทาสที่มีฐานะต่ำกว่า และให้เกียรติทุกคนตามลำดับอาวุโสเสมอ

    "ขอรับ"

    พ่อบ้านชรารับคำสั่งแล้วเดินกลับทางเดิมไปทำหน้าที่ ไม่นานว่านหลงก็ประคองหยางมี่ที่กำลังท้องโตเดินเข้ามา

    ฉินฉินเดินไปต้อนรับคนทั้งคู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    "ว่านหลงเจ้าก็เหลือเกินนะ หยางมี่ท้องโตใกล้คลอดเช่นนี้ยังจะพานางออกมาด้วยอีก"

    ว่านหลงหันไปหอมแก้มภรรยาเพิ่มความอิจฉาตาร้อนให้คนที่ยังไม่มีคู่เพิ่มมากขึ้นไปอีก

    หยางมี่ไม่น้อยหน้า หันไปประคองแก้มสามีมาจูบตอบเช่นกัน พลางยกมือลูบท้องด้วยแววตาอ่อนโยนลงมาก

    "เด็กคนนี้ไม่ดื้อเหมือนคนพี่ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รบกวนข้าเลยสักนิด ข้าอยากมาพบเจ้าเองจึงขอออกมาด้วย อย่าไปดุท่านพี่เลยนะ"

    "จ้ะ..แตะต้องไม่ได้เลยนะสามีเจ้าเนี่ย"

    ฉินฉินมองบนหลีกทางให้คนท้องเดินไปนั่งด้านในสุด หยางมี่ท้องลูกคนที่สองแล้ว ส่วนลูกคนแรกของพวกเขาเป็นบุตรชาย

    ย้อนไปหลังจากเกิดเรื่องในคืนนั้น หญิงสาวก็ตั้งครรภ์ทันทีสร้างความปีติยินดีให้กับครอบครัวทั้งสองตระกูลยิ่งนัก

    พอรู้ว่าหลานคนแรกของตระกูลมาเกิด โดยมีฉินฉินเป็นตัวตั้งตัวตี ก็ไม่พากันรู้สึกโกรธแต่กลับพากันส่งของขวัญมาขอบคุณเสียมากมายจนแทบไม่มีที่เก็บ

    อนุจางที่มีความอิจฉาอยู่เต็มอกได้แอบวางยาขับเลือดใส่ถ้วยยาบำรุงร่างกายให้หยางมี่กิน ดีที่หมอช่วยไว้ได้ทัน หลังจากวันนั้นว่านหลงก็หย่าขาดกับอนุภรรยาทุกคน และตั้งมั่นรักแต่ภรรยาคนเดียว

    ยามนี้กลายเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บไปแล้ว

    ระหว่างรอผู้อื่นมา สองสามีภรรยาก็พากันหยอดคำหวานไปมา นั่นยิ่งทำให้ฉินฉินรำคาญจนเท้ากระตุก ต้องยืดเส้นยืดสายถีบว่านหลงตกน้ำ

    ตู้ม

    ว่านหลงตะเกียกตะกายอยู่นาน เขาเผลออมลูกปลาในปาก เมื่อรู้ตัวก็รีบยืนขึ้นเหนือน้ำ แล้วพ่นมันออกมาก่อนจะหันไปจ้องหน้าตัวการที่ทำร้ายตน

    "เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก! หากวันไหนไม่มีเรื่องกับข้าจะกินไม่อิ่มนอนไม่หลับใช่หรือไม่"

    ฉินฉินไม่สนใจเขากลับเดินมานั่งแทนที่ชายหนุ่มยังที่ว่างข้าง ๆ หยางมี่ที่กำลังปิดปากหัวเราะด้วยความสะใจ

    มีเพียงคนเดียวที่ปราบสามีนางได้ คือฉินฉินสหายของเขาเท่านั้น

    "ดูสิไม่เจอกันตั้งนานเจ้าเปลี่ยนไปเยอะเลย ดูงดงามขึ้นมาก ผิวพรรณเปล่งปลั่ง หากออกแรงบีบเกรงว่าจะมีน้ำนมไหลออกมา"

    หยางมี่ลูบแขนฉินฉินที่เปลี่ยนไปมาก สหายที่อายุน้อยกว่านางดูสวยหวานซ่อนคน ผิวพรรณดีถึงไม่แต่งหน้าก็ฆ่าสตรีที่อยู่รอบ ๆ ได้

    "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หรือเป็นเพราะท่านพ่อชอบทำอาหารบำรุงร่างกายให้ข้ากินทุกวัน พี่ใหญ่เองก็สรรหาแต่ของดี ๆ จากอีกฝั่งทะเลมาให้ข้าประทินผิว ไป ๆ มา ๆ มันก็ออกมาเป็นเช่นนี้เอง"

    ว่านหลงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วกำลังเดินเข้ามา หันไปสบตากับภรรยาของตนอย่างมีเลศนัย

    คนทั้งคู่อมยิ้มมุมปาก...ดูเหมือนสหายของพวกเขายังคงไม่รู้ตัวสินะ

    สหายทั้งสามคนคุยกันสักพัก สหายอีกคนอย่างจางหมินก็เดินสะอึกสะอื้นตาบวมเป่งเข้ามาสวมกอดฉินฉินแน่น

    "ฮึก...เขาทิ้งข้าอีกแล้ว..ข้าหมดตัวอีกแล้ว..ไอ้พวกผู้ชายหลายใจ"

    ฉินฉินทำได้แค่ยกมือลูบหลังสหาย แม้จะพยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์

    "ถูกผู้ชายทิ้งอีกแล้วสิ เจ้าควรจะชินได้แล้วนะ..เจ้าเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ยังไม่เลิกนิสัยเปลี่ยนผู้ชายทุกเที่ยงคืนอีก ไม่มีชายใดทนเห็นคนของตนหลับนอนกับบุรุษอื่นได้หรอกนะ"

    จางหมินเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตาเมื่อถูกดุ

    "เจ้าต้องปลอบใจข้าสิ..ข้าอกหักมานะ"

    ฉินฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะจับไหล่บอบบางของสหายรักให้หันมาเผชิญหน้ากันแล้วจ้องตาเขา

    "เจ้าอกหักทุกวันจนข้าปลอบใจเจ้าไม่ไหวแล้ว...ร้องไห้ตอนเช้า ฟ้ามืดเจ้าก็ออกไปล่าเหยื่อคนใหม่ หายเศร้าเสียเถิดไอ้เพื่อนทรยศ!..รู้ทั้งรู้ว่าข้ายังไม่มีใครพวกเจ้าอย่ามาแสดงความรักให้ข้ารับรู้ได้หรือไม่!"

    จางหมินเห็นท่าทางหัวเสียของสหายรัก อารมณ์พลันดีขึ้นมาทันควัน อย่างน้อยก็ยังมีคนโชคร้ายกว่าเขา

    ทว่านางมีของดีอยู่ตรงหน้า ซ้ำยังมีตัวเลือกตั้งมากมาย แต่นางยังคงไม่สึกรู้ตัวอีก

    โง่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก..หุหุหุ

    ฉินฉินเห็นสหายทั้งสามคนเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็ให้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจึงเหวี่ยงใส่พวกเขาทันที

    "ยิ้มอะไรของพวกเจ้ากันฮะ..สนุกนักหรือที่เห็นข้าทุกข์”

    จางหมินกลอกตาแล้วหยิบขนมมายัดปากสหาย

    "เจ้าก็มีแล้วเช่นกัน มีตั้งสามคน เมื่อไหร่จะรู้ตัวเสียทีเล่า”

    “ข้าสงสารพวกเขาจริง ๆ”

    ฉินฉินงุนงงมากกว่าเดิม เจ้าบ้านี่มันพูดอะไร..สามคนอะไรกัน ข้าไปมีตัวเลือกตั้งแต่ตอนไหน

    "พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกัน"

    เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากบนกำแพง เรียกสายตาคนทั้งสี่ที่นั่งอยู่ในศาลาให้หันไปมองพร้อมกัน

    จางหมินอมยิ้มพลางพูดในใจ...นี่อย่างไรเล่าคนที่สอง

    ฉินฉินเห็นคนมาใหม่ไม่เข้าทางประตูดี ๆ กลับเลือกปีนกำแพงเข้ามาไม่รู้ควรจะโกรธดีหรือไม่

    "เหยียนซือเจ้าเป็นโจรหรือ ทำไมต้องมาปีนกำแพงบ้านผู้อื่นด้วย"

    ยังจำได้หรือไม่บุรุษปากหมานามว่าเหยียนซือ เขาเป็นบุตรของท่านลุงเหยียนที่ทำการค้าจัดหาไก่วัตถุดิบหลักของไก่ขอทานให้ฉินฉิน

    ตอนแรกคนทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากินกันไม่ลงมานาน ทว่านานวันเข้าบิดาของเขาเกิดป่วยทำงานต่อไม่ไหว บุตรชายเพียงคนเดียวจำต้องมารับช่วงต่อแทน วันเวลาผ่านไปต้องเจอหน้ากันทุกวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉินฉินก็กลายเป็นเพื่อนสนิทเหยียนซือไปโดยปริยาย

    เหยียนซือเดินลัดเลาะตามกำแพงจนมาถึงศาลา สิ่งแรกที่เขาทำคือยีหัวหญิงสาวให้ยุ่งเหมือนที่เคยเป็นประจำ

    "เจ้าไม่ใช่คนอื่น เจ้าคือคนสำคัญของข้า"

    ฉินฉินไม่เข้าใจหมายหมายที่ซ่อนอยู่ นางปัดมือเขาออกแล้วจัดผมตนเองให้กลับมาเรียบร้อยดังเดิม

    "เจ้ามาสาย..ทำไมหรือ..ระหว่างทางเจอคนสวยเข้าให้หรือ"

    เหยียนซือรับน้ำชาที่หยางมี่รินให้ยกขึ้นดื่มรวดเดียว แล้วหันมาส่งยิ้มให้คนถาม

    "เจ้าหึงข้าหรือ"

    ฉินฉินไม่เล่นด้วย นางยกมือกอดอกทำหน้ากวนใส่เขา

    "หึงกับผีสิ..มาถึงแล้วก็นั่งลงเสีย ในเมื่อมากันครบแล้ว ข้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน"

    เหยียนซือไม่ขัดใจนาง เขาเดินมานั่งเบียดกับนางใกล้ชิดจนเกินงาม โดยไม่สนใจสายตาล้อเลียนที่อีกสามคนในศาลาส่งมาล้อเขา

    จางหมินปิดปากหัวเราะ...

    "ข้าสงสารเจ้าจริง ๆ เหยียนซือ เจ้าคงต้องพยายามให้มากกว่านี้..นางฉลาดทุกเรื่องเว้นแต่เรื่องของความรัก"

    "ข้าเห็นด้วยกับเจ้า หากเป็นเรื่องความรักของคู่อื่นนางให้คำปรึกษาได้ดี แต่พอเป็นเรื่องของตนเองกลับโง่เข้าขั้นมึนไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น"

    ว่านหลงมองหน้าชายหนุ่มที่แอบหลงรักสหายของตน

    เหยียนซือทำหน้ามึนยกมือพาดไหล่ฉินฉินอย่างเคยชิน หญิงสาวไม่นึกขัดขืนเพราะนางไม่ใช่คนหัวโบราณเสียหน่อย อีกอย่างทุกคนที่อยู่ในนี้ต่างสนิมสนมกันเหมือนพี่น้อง จะมีอะไรน่าอายกัน

    เหยียนซือก้มลงมองหญิงสาวสายตาอ่อนโยน

    "ข้ารอได้"

    ฉินฉินรู้สึกเหมือนถูกแบ่งแยกออกมาจากกลุ่ม

    นางไม่เข้าใจที่พวกเขาคุยกันสักนิด

    "พวกเจ้าคุยอะไรกัน อธิบายให้ข้าฟังทีสิ"

    "เฮ้อ.."

    ทั้งว่านหลงและจางหมินต่างถอนหายใจพร้อมกัน มีเพียงเหยียนซือที่ยิ้มมุมปากก้มหน้ามองหญิงสาวที่เงยหน้าขึ้นมองตนพอดี

    สีหน้าของนางเต็มไปด้วยคำถาม

    "ไม่มีอะไร พวกข้าคุยกันตามประสาบุรุษเท่านั้น..แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรหรือถึงเรียกพวกข้ามารวมตัวกันเช่นนี้"

    ฉินฉินนึกขึ้นได้ว่าตนเองเรียกพวกเขามาเพื่อปรึกษาหาวิธีรับมือกับภัยฤดูหนาว เวลาผ่านมานานแล้วยังไม่เข้าเรื่องกันเสียที มัวแต่คุยเล่นกันอยู่ได้

    "ฤดูหนาวนี้ข้าอยากช่วยชาวบ้าน ไม่อยากให้ใครต้องมาอดอยากอีก จึงเรียกพวกเจ้ามาปรึกษา"

    ว่านหลงยกมือลูบคางสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ทางการเองก็กำลังหาวิธีรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอยู่พอดี...

    "คงต้องช่วยเท่าที่จะช่วยได้เหมือนทุกปี"

    ฉินฉินร้องโวยวายขึ้นมาเมื่อไม่พอใจในคำตอบของเขา

    "เจ้าบ้า! เจ้าจะยึดติดอยู่แต่กรอบเดิม ๆ ไปทำไมกัน มีอีกตั้งมีหลายวิธีที่จะทำให้ชาวบ้านไม่อดตาย เจ้าทำงานราชการมาตั้งหลายปี ประสบการณ์ไม่สอนให้ฉลาดขึ้นเลยหรือ"

    ว่านหลงชินแล้วกับสหายปากจัด นางมักหาเรื่องตำหนิเขาเป็นประจำ

    "แล้วเจ้าเล่ามีความคิดดี ๆ อยู่ในใจแล้วอย่างนั้นหรือ"

    ฉินฉินยกยิ้มเหมือนนางร้าย ทุกคนขนลุกไปทั้งตัว เพราะทุกครั้งที่นางทำสีหน้าเช่นนี้มักจะมีภัยพิบัติพัดมาเสมอ

    "ข้ามีอยู่แล้วแต่ไม่อาจทำคนเดียวได้ คงต้องให้พวกเจ้าช่วยอีกแรง"

    จางหมินส่ายหน้าไม่รอฟังประโยคต่อจากนี้

    "ข้าขอปฏิเสธได้หรือไม่"

    "หึหึหึ..ใครถอนตัว เตรียมตัวตายได้เลย!"

    ฉินฉินหัวเราะในลำคอพลางส่งสายตาอาฆาตให้เขา แล้วแกล้งกลอกตาแลบลิ้นใส่สหาย โดยไม่สนว่าหน้าตาตนเองจะเป็นอย่างไร ขอแค่สนุกไว้ก่อน

    "โอ้! ไม่นะ"

    จางหมินกรีดร้องออกมาเหมือนโลกกำลังจะแตก

    เขารู้สึกสิ้นหวังยิ่งกว่าถูกบุรุษบอกเลิกเสียอีก

    รู้เช่นนี้ไม่น่ามาเลย ฮือ ๆ ๆ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×