ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #23 : ตอนที่ 21 : อดีตที่ตามหลอกหลอน

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 65


    ในเช้าวันต่อมา นาวินและพรรคพวกยังคงตามติดความเคลื่อนไหวของอากิระ หลังจากที่ตัวของเขาเดินทางไปสะสางเรื่องอะไรบางอย่าง นาวินให้ภาภินแกะรอยอากิระจากโทรศัพท์และเครื่องติดตามของอากิระ และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของภาภินก็ได้เบาะแสของอากิระแล้ว เขารีบวิ่งมาบอกทุกคนอย่างรวดเร็ว

    “พี่วิน ทุกคนครับ เจอตัวพี่อากิระแล้วครับ เขาอยู่ที่โกดังแถวดอนเมืองหน่ะครับ ไม่รู้ไปทำอะไรที่นั่น ผมพยายามจะแฮ็กกล้องวงจรปิดดูแล้ว แต่กล้องแถวนั้นเสียหมดเลย ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “อืม อย่างน้อยก็น่าจะรู้แล้วว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหล่ะนะ” นาวินตอบไป

    “อืม ผมจะส่งโดรนไปช่วยเขาก็แล้วกัน” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็วอบอกกับลูกน้องของเขาในทันที

    “ไม่เข้าใจ เขาจะไปทำอะไรของเขากันนะ??” เสี่ยวหลงถามอย่างสงสัย

    “ใช่ ปกติหมอนั่นไม่ค่อยรู้จักใครที่ไหนนี่ แล้วหมอนั่นไปหาใครกันหล่ะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “เอาเถอะ คงไม่มีใครรู้หรอก นอกจากหมอนั่น” พัตติยาพูดขึ้น

    “หรือว่า เรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับอดีตหัวหน้าของเขา ที่เขาเคยบอกหล่ะครับ??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย

    “เออ นั่นสิ น่าจะเป็นไปได้ หมอนั่นเองก็อยากรู้เหตุการณ์ทั้งหมดนี่” ฮารุพูดขึ้น

    “แล้วนี่ เราจะไม่ไปช่วยพี่เขาเหรอคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย

    “คงไม่ต้องหรอก ฉันเชื่อว่าหมอนั่นต้องรอดกลับมาได้แน่ๆ” เวียนพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ตอนนี้เราจะเอายังไงกันต่อหล่ะ??” โจไซอาห์ถามอย่างสงสัย

    “คงต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่เราไปทำงานของเราหน่ะ คงต้องรอเวลานั้น” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “หวังว่าพี่อากิระคงจะกลับมาทันนะ จะได้มีกำลังเสริม” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เอาน่า อากิระเก่งอยู่แล้ว คงไม่โดนพวกมันเล่นงานหรอก” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “นั่นสิ อากิระเก่งจะตาย ใครจะสู้พี่แกได้หล่ะ” นายลืมพูดขึ้น

    “แล้วเรามีแผนสองหรือเปล่าหล่ะ เผื่อหมอนั่นจะโดนดีเข้า??” ลันโทสถามอย่างแปลกใจ

    “แต่คุณดันเต้ก็ส่งโดรนไปช่วยแล้วนี่ครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “เออนี่ แล้วคุณอีสครินน่าเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “หลายวันแล้วนี่ยังไม่คุยกับใครเลย คุณลูอีสก็กำลังเฝ้าอยู่หน่ะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “งานนี้คงต้องทำแข่งกับเวลาแล้วสินะ ถ้าพวกมันเกิดรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ พวกมันคงระดมสรรพกำลังมาที่นี่แน่นอน” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “ให้พวกมันมาเถอะ ฉันจะยิงพวกมันซะให้หมดเลย” ฮารุพูดขึ้น

    “นี่ เย็นไว้ก่อนเถอะ คราวที่แล้วพวกเราก็เกือบตายเพราะไอ้บ้านั่นนี่” เวียนพูดขึ้น

    “พลังของโซนิคเป็นพลังคลื่นเสียง แล้วพลังเพิ่มเติมของมัน สามารถใช้ได้แค่วันละ 2 พลัง คงต้องรู้ให้ได้ว่าวันนั้นมันจะใช้พลังอะไร” นาวินพูดขึ้น

    “เราคงอ่านใจมันไม่ได้ คงต้องไปดูเอาหน้างานหล่ะครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “อืม จะว่าไป ช่วงนี้พวก UNASO ที่พี่สั่งให้ผมจับตา มันไม่เคลื่อนไหวอะไรมาซักพักแล้วครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “หรือว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ ประมาทไม่ได้นะคะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ปัญหาคือเราไม่มีสายของเราที่อยู่ที่นั่นหน่ะสิ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “เออใช่ อัญชัน เธอเคยบอกว่าเพื่อนของเธอทำงานให้ UNASO นี่ เราติดต่อเขาได้หรือเปล่า??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย

    “ไม่ได้ผลหรอก ถึงยังไงหมอนั่นคงไม่ทรยศพวกตัวเองหรอก” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ช่างมันเถอะ เราสู้ด้วยตัวเองก็ได้นี่หน่า” ลันโทสพูดขึ้น

    “ครับ แต่ว่าเราจะสู้ยังไงหล่ะครับ??” นายลืมถามไป

    “เห็นคุณอีสครินน่าบอกว่า ถ้าเปิดกล่องหทัยราชันย์ได้ ก็สามารถต่อสู้กับมันได้นี่ครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เราคงต้องให้อีสครินน่าทำอะไรให้เรียบร้อย” ดันเต้พูดขึ้น

    “เฮ้อ ก็ขอให้เป็นอย่างงั้นเถอะค่ะ” ลาลินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนโทรติดต่อดันเต้เข้ามาทางโทรศัพท์ของเขา ตัวของดันเต้เชื่อมต่อโทรศัพท์ต่อเข้ากับจอโปรเจ็กค์เตอร์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทุกคนได้เห็น

    “สวัสดีค่ะทุกคน!!” เสียงของเบ็ตตี้ดังขึ้น

    “สวัสดีครับคุณเบ็ตตี้ เป็นยังไงบ้างครับ??” ลันโทสถามไป

    “ก็อย่างที่บอกไป ตอนนี้เรากำลังโดนหนักเลยค่ะ ดูเหมือนว่าพวกมันส่งกองกำลังใหม่มาจัดการเรา”

    “กองกำลังใหม่ พวกนั้นเป็นตัวอะไรกันครับ มนุษย์ดัดแปลงอย่างงั้นเหรอครับ??” ดันเต้ถามอย่างสงสัย

    “ยิ่งกว่ามนุษย์ดัดแปลงอีกค่ะ มันแนบเนียนเหมือนกับมนุษย์จริงๆ ฉันจะส่งตัวอย่างชิ้นเนื้อของพวกมันไปให้เมื่อเจอกันค่ะ” 

    “ห่ะ จะส่งเนื้อมาให้พวกเราทำไมกันหล่ะครับ??” นายลืมถามไป

    “มันสามารถเอามาวิจัยชิ้นส่วนเนื้อเยื่อได้นะ” ภาภินพูดขึ้น

    “ค่ะ เราจะลองวิจัยดูก็ได้นะคะ ถ้ามีเวลาพอ” ฮารุพูดขึ้น

    “เรารับจะมือพวกมันได้ยังไงกันหล่ะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “พวกมันสามารถฟื้นฟูตัวเองได้แม้จะโดนยิงหนัก เราต้องใช้ระเบิดและแยกเนื้อเยื่อพวกมันออกมา” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “โห นี่มันมนุษย์ดัดแปลงรุ่นไหนกันเนี่ย??” นายลุ้นถามไป

    “ไม่น่าเชื่อว่าเทคโนโลยีของมันจะล้ำหน้าไปขนาดนี้” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ก็แน่หล่ะ พวกมันเป็นองค์กรระดับไหนแล้ว” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ไอ้พวกนี้มันต้องเป็นหน่วยรบใหม่ของ The Green แน่นอนครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “พวกมันคงต้องใช้หน่วยรบนั่นบุกจัดการคาราวานของเราทั้งหมดแน่ๆ เราคงต้องป้องกันมันให้ถึงที่สุด เราคงต้องพึ่งพวกคุณแล้วหล่ะค่ะ” เบ็ตตี้บอกกับทุกคนไป

    “ได้เลย เอาไงก็เอากันอยู่แล้วครับ!!” โลร็องต์พูดอย่างตื่นเต้น

    “เฮ้ย ใจเย็นน่า ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้” ลูโดวิกพูดปรามน้องของเขาไป

    “ยังไงก็ขอบคุณพวกคุณมากๆนะคะ งานนี้ถ้าเราได้อาวุธมา พวกเราก็จะเป็นต่อพวกมัน เอาหล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ เอาไว้เจอกันวันส่งของก็แล้วกัน” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นสัญญาณก็ถูกตัดไปในทันที

    “เฮ้อ ช่วงนี้งานของเราเยอะนะคะเนี่ย” ลาลินพูดขึ้น

    “ใช่ หวังว่าอากิระจะกลับมาทันนะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “นั่นสิ ตอนนี้เราคงต้องเตรียมอาวุธกันก่อน” อัญชันพูดขึ้น

    “ด็อกเตอร์ครับ ตอนนี้โดรนของคุณถึงไหนแล้วครับ??” นาวินถามดันเต้ไป

    “อ้อ เดี๋ยวผมจะดูให้ แล้วค่อยคุ้มกันอากิระเอง” ดันเต้พูดขึ้น

    “เดี๋ยวผมจะลองไปแกะรอยพี่อากิระก่อนนะครับ” ภาภินพุดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับไปในทันที จากนั้นไม่นาน ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมอาวุธกันอย่างรวดเร็ว ในระหว่างทาง พวกเขาก็คุยกันไปด้วย

    “เออนี่ พวกนายว่าพี่อากิระจะกลับมาเมื่อไหร่??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย

    “นี่ อย่าบอกนะว่านายจะพนันอีกแล้ว??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย

    “ฉันไม่เอาหรอก ยังไงก็แพ้นายอยู่ดีหว่ะ” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “นี่ พวกนายสองคนยังมามีกะจิตกะใจมาพนันอะไรตอนนี้เนี่ย จริงๆเลย??” ฮารุพูดพลางปวดกบาลไป

    “อืม คุณวินคะ ถ้าอากิระไม่กลับมา คุณจะไปช่วยเขาหรือเปล่า??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “ผมคิดไว้แบบนี้ ถ้าตอนเย็นเขาไม่กลับมา ผมจะไปช่วยเอง” นาวินพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นผมจะไปด้วยก็แล้วกัน” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ฉันไปด้วย เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “พวกผมก็จะขอไปช่วยด้วยเหมือนกัน” ลันโทสพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง ตอนนี้ก็คงต้องเชื่อในตัวอากิระเขาก่อนสิครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “นั่นสิคะ หนูเชื่อว่าพี่เขาต้องรอดกลับมา” ลาลินพูดขึ้น

    “เออ ใครจะกลับมาหล่ะพี่ ผมรออยู่??” นายลืมพูดขึ้น ทำเอาทุกคนถึงกับเดินหนีนายลืมด้วยอาการเบื่อหน่าย ส่วนตัวของนายลืมเองก็แปลกว่าทุกคนหนีไปทำไม

     

    ที่ห้องของเสี่ยวหลง ในตอนนั้นตัวของเสี่ยวหลงได้คว้าเอาปืนพกเลเซอร์ของดันเต้ที่ชาร์จแบตเต็มเตรียมพร้อม รวมถึงเสื้อเกราะนาโนที่ดันเต้ให้เขามา โดยที่ในตอนนั้น อัญชันก็เดินเข้ามาในห้องของเสี่ยวหลงเพื่อคุยด้วย

    “เฮ้ เสี่ยวหลง เป็นยังไงบ้าง??”

    “อัญชัน เธอยังจำสมัยที่อากิระฝึกการยิงปืนให้พวกเราได้หรือเปล่า??” เสี่ยวหลงถามอย่างสงสัย

    “อ้อ จำได้สิ ตอนนั้นเรายังไม่เคยยิงเข้าเป้าได้ซักครั้ง” อัญชันพูดขึ้น

    “ใช่ๆ ฉันนี่หัวเสียแทบจะปาปืนทิ้งเลย” เสี่ยวหลงพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูหน้าห้องเสี่ยวหลง เสี่ยวหลงเปิดประตูรับไป แล้วก็พบว่าเป็นนาวินกับเวียนนั่นเอง

    “อ้าว พี่วิน พี่เวียน มีอะไรหรือเปล่าครับ??” เสี่ยวหลงถามไป

    “ไม่มีอะไรหรอก พี่เป็นห่วงพวกเราเลยมาดูหน่ะ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เอาของอะไรบางอย่างให้กับเสี่ยวหลงในทันที

    “เอ้านี่ ด็อกเตอร์เขาฝากมาให้กับนาย เห็นนายชอบใช้มันนี่” นาวินพูดขึ้น จากนั้นเสี่ยวหลงก็รับของนั่นมาอย่างรวดเร็ว มันคือกระบองสองท่อนซึ่งตัวของด็อกเตอร์ได้ดัดแปลงมัน เสี่ยวหลงลองเอามันมาควงอย่างรวดเร็ว

    “โห มันเบามากเลยครับพี่” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เห็นด็อกเตอร์บอกว่ามันแข็งแรงมาก และมันสามารถกลับมาหามือของเจ้าของได้ด้วย” นาวินพูดขึ้น 

    “โห ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอคะ??” อัญชันถามไป

    “ขอบคุณมากนะครับ ว่างๆผมจะลองใช้มันดูครับ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เออนี่ พวกนายเป็นห่วงเรื่องของอากิระอยู่ใช่หรือเปล่า??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “ใช่ค่ะ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า” อัญชันพูดขึ้น

    “พี่เชื่อนะว่าเขาจะต้องกลับมาได้ หมอนี่มันกระดูกเหล็ก” นาวินพูดขึ้น

    “ผมก็อยากเชื่อแบบนั้นครับ แต่ผมเคยปล่อยให้เขาตายมาครั้งนึงแล้ว ผมไม่อยากจะทำพลาดอีกแล้ว” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เออนี่ นายเป็นแฟนอากิระแล้ว ใช่หรือเปล่า??” นาวินยิงคำถามใส่เสี่ยวหลง ทำเอาเสี่ยวหลงถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาก็ตอบกลับ

    “จะว่าอย่างงั้นก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอกครับพี่ ผมกับอากิระ เราเป็นมากกว่านั้นครับ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นพี่ก็เข้าใจแล้ว ยังไงก็ดูแลกันให้ดีก็แล้วกันนะ” นาวินพุดขึ้นพลางแตะไหล่เสี่ยวหลงไป

    “เออนี่พี่ แล้วพี่จะไปช่วยอากิระยังไงหล่ะคะ??” อัญชันถามไป

    “ตอนนี้พี่ให้ภาภินแกะรอยสัญญาณจากโทรศัพท์ของเขาแล้ว โดรนของด็อกเตอร์ก็กำลงตามเขาไป ถ้าเกิดมีอะไรผิดปกติ เราจะรีบไปช่วยเขา” นาวินพูดขึ้นกับทั้งคู่ไป ทั้งอัญชันและเสี่ยวหลงต่างก็มองหน้ากันไป

     

    ทางด้านของอีสครินน่า ในตอนนั้นตัวของเธอก็ยังคงร่ายบริกรรมคาถาแบบไม่หลับไม่นอน โดยที่ตัวของลูอีสก็ยังคงเฝ้าเธอ ในขณะเดียวกัน พัตติยาก็เดินไปหาลูอีสเพื่อไปคุยกับเขา

    “คุณลูอีสคะ ไปพักก่อนก็ได้นะคะ” พัตติยาพูดไป

    “อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ผมไหวอยู่แล้ว”

    “แล้วนี่ คุณอีสครินน่ายังไม่ขยับอะไรเลยเหรอคะ??” พัตติยาถามไป

    “เกือบสองสามวันแล้ว ยังไม่มีแม้แต่จะเรียกผมเลยครับ”

    “อืม เอาเถอะ ฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้” พัตติยาพูดขึ้น

    “ว่าแต่ วิธีที่คุณอีสครินน่าทำจะได้ผลเหรอครับ??” ลูอีสถามอย่างสงสัย

    “ฉันเชื่อว่าเธอต้องทำได้ ไม่ต้องห่วงไปหรอก”

    “ครับ ตอนนี้ผมจัดเวรยามไว้หมดแล้ว ไม่ต้องกังวลไปนะครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “ยังไงก็รบกวนคุณแล้วนะคะ ถ้าอยากได้อะไรก็บอกนะคะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ครับผม ขอบคุณมากครับ”

    “เออนี่ คุณกินอะไรหรือยังคะ ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้ ตรงนี้ฉันจะเฝ้าเองค่ะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมกินตรงนี้ก็ได้ครับ” ลูอีสตอบไป

    “ค่ะ ถ้าอย่างงั้นก็ตามสบายนะคะ เดี๋ยวฉันจะให้คนเอาอะไรมาให้กินค่ะ” พัตติยาพูดขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    ณ โกดังแห่งหนึ่งในย่านดอนเมือง โกดังร้างซึ่งรอบข้างมีแต่ความเงียบเหงา ไม่มีสัญญาณอะไรของสิ่งมีชีวิตเลย แต่ในวันนั้น อากิระซึ่งขี่มอไซค์มาจอดบริเวณพงหญ้าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ชักปืนของเขาออกมา จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปยังโกดัง แต่ตัวของเขาไม่เข้าไปที่ด้านหน้า เขาปีนกำแพงข้ามไป จากนั้นก็ค่อยๆลงจากกำแพงอย่างเบาๆ 

    “บ้าเอ้ย หวังว่าจะไม่มีใครเห็นตอนนี้นะ”

    อากิระพยายามย่องเข้าไปตรงกลางโกดัง จากนั้นก็ชักปืนออกมาด้วย เขาเล็งปืนไปทางนั้นทีทางนี้ที เพื่อมองดูรอบโกดังว่ามีอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น

    “เรากำลังรอคุณอยู่เลย คุณอากิระ!!”

    อากิระหันไปตามต้นทางของเสียง แล้วก็พบว่ามีชายสวมฮู้ดคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง โดยมีชายหญิงคู่หนึ่งยืนขนาบข้างเขาไปด้วย

    “ลดปืนลงก่อนดีกว่า อากิระ”

    “เฮ้อ วันนี้กูขอเชื่อตัวเองก่อน มีอะไรก็รีบว่ามา??” อากิระถามไป

    “นายไม่อยากรู้เรื่องของผู้พันจอห์นอย่างงั้นเหรอ??”

    “เรื่องอะไรต้องเชื่อมึงด้วยวะ??” อากิระถามอย่างสงสัย

    “เอาน่า ลองฟังดูก่อนสิ เชิญนั่ง!!” 

    “ไม่เอา กูขอยืนดีกว่า มีอะไรก็รีบพูดมา!!” อากิระพูดขึ้น

    “นี่ ชักจะมากเกินไปแล้วนะ!!” ลีน่าตะโกนออกมา

    “เย็นไว้ก่อน เดี๋ยวก็คุยกันไม่รู้เรื่องพอดี” เดวิดพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ นายยังจำวันที่นายหนีตายได้หรือเปล่าหล่ะ??” โซนิคถามไป

    “ใครจะไปลืมหล่ะ วันนั้นไอ้คริสเตียลมันต้องการจะปิดปากผู้พัน เพราะผู้พันรู้อะไรเยอะไปหน่ะสิ” อากิระพูดขึ้น

    “ไม่เลย พวก ไอ้คริสเตียลมันก็แค่หมา มันถูกสั่งให้วิ่งมันก็วิ่ง ถูกสั่งให้กัดมันก็กัด แกรู้มั้ย วันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นภาพก็ย้อนกลับไปในวันที่ตัวโซนิคถูกจับไปทดลอง

     

    “ตู้ม!!”

    หลังจากที่เสียงร้องของโซนิคดังขึ้น บรรดานักโทษชายที่ถูกจับมัดในห้องก็เกิดระเบิดและแหลกเหลวเป็นจุล ส่วนตัวของโซนิคเองหลังจากที่ได้ใช้พลังก็ถึงกับอ่อนล้า แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะมันคือผลกระทบจากพลังของเขา

    “เยี่ยม วิเศษมาก!!” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาด้านในเพื่อดูโซนิคที่ทำได้แค่จ้องมองเธอในตอนนั้น

    “คุณ The Green ครับ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “จะว่าไป หมอนี่มันก็พลังสูงนะ ฉันขอจองตัวมันก็แล้วกัน ว่าแต่ เรื่องของผู้พันจอห์นสัน นายจะเอายังไง??” The Green ถามไป

    “อ้อ ผมเชื่อว่าเขาจะไม่เป็นภัยคุกคามอะไรแน่นอนครับ” คริสเตียลตอบไป

    “ฉันไม่ต้องการแค่ความเชื่อนะ นายเองก็น่าจะรู้นะ ว่าควรต้องทำยังไง” The Green พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง ทำเอาตัวของ The Green ถึงกับแปลกใจเล็กน้อย

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย??” The Green ถามอย่างสงสัย และในขณะเดียวกันนั้นเอง ทหารคนหนึ่งก็รีบมารายงานอะไรบางอย่างกับคริสเตียลอย่างรวดเร็ว

    “นายครับ แย่แล้วครับ ผู้พันจอห์นสันหักหลังเรา พวกนั้นเอากองกำลังอิสระบุกที่นี่แล้วครับ!!”

    “งั้นเหรอ รีบนำกำลังไปสกัดพวกมันไว้ก่อน เร็ว!!” คริสเตียลพูดขึ้น 

    “รีบหนีไปจากที่นี่ เอาตัวของหมอนั่นไปด้วย” The Green พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบหนีออกจากแล็ปทดลองอย่างรวดเร็ว

     

    “หลังจากนั้น ฉันหนีรอดมาได้หลังจากการส่งตัว ฉันกบดานอยู่ในฮ่องกงพักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางกลับมายังสหรัฐ เพราะฉันได้ข่าวเรื่องผู้ให้ความช่วยเหลือผู้เกิดใหม่ จากนั้นฉันก็ตามล่ากลุ่มผู้เกิดใหม่พวกนั้นเรื่อยๆ เพื่อเอาพลังมาเป็นของฉัน” โซนิคพูดขึ้น

    “อ้อ แกก็เลยมาเจอกับด็อกเตอร์ดันเต้ แล้วก็หลอกใช้เขาเนี่ยนะ??” อากิระถามไป

    “ฉันไม่มีทางเลือก” โซนิคพูดขึ้น

    “แกจะมาบอกฉันแค่นี้อย่างงั้นเหรอ??” อากิระถามอย่างสงสัย 

    “ฉันมายื่นข้อเสนอให้นาย ฉันอยากให้นายช่วยพูดกับคนที่ชื่อนาวินให้ฉันหน่อย เขาน่าจะฟังนาย ฉันอยากเจอกับเขา ฉันมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะพูดกับเขา”

    “ไม่มีทาง เขาไม่มีทางมาเจอกับไอ้บ้าอย่างแกแน่ๆ แล้วถ้าแกคิดว่าเขาจะร่วมมือกับแก ฝันไปเถอะ!!” อากิระพูดขึ้น

    “แล้วแกไม่กลัวพวกเรางั้นเหรอ??” ลีน่าถามอย่างสงสัย

    “พลังที่แกขโมยมา วันนี้ใช้ได้แค่สองอย่าง แกคงต้องใช้พลังควบคุมจิตใจ จากนั้นก็เหลืออีกแค่พลังเดียว และแกจะไม่ใช้พลัง Superhuman แน่ๆ เพราะว่าฉันสะท้อนความเจ็บปวดไปหาแกได้ แกก็เคยโดนแล้วนี่” อากิระพูดขึ้น 

    “เฮ้อ ฉลาดตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว!!” เดวิดพูดขึ้นพลางตบมือไป จากนั้นโซ่แหที่อยู่บนหัวอากิระก็หล่นลงมา แต่อากิระรู้ตัวก่อนเลยกระโดดหลบได้ จากนั้นก็ยิงปืนใส่โซนิคในทันที แต่โซนิคก็หลบได้ จนเดวิดและลีน่าต้องยิงตอบโต้เขา

    “พวกเรา จับมาให้ได้!!” เดวิดวอสั่งคนของเขา จากนั้นอากิระก็รีบวิ่งออกจากโกดัง โดยที่คนของเดวิดก็ไล่ตามอากิระไปอย่างรวดเร็ว อากิระรีบวิ่งไปที่มอไซค์ของเขา แต่ลีน่าก็เล็งปืนใส่รถของอากิระแล้วยิงเข้าที่ยางล้ออย่างรวดเร็ว

    “ปังๆๆๆๆ!!”

    ยางรถของอากิระพัง จากนั้นไฟก็ค่อยๆลุกท่วมตัวรถ อากิระยิงตอบโต้และรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่ในตอนนั้นเอง ซุปเปอร์คาร์คันหนึ่งก็ขับเข้ามาในพื้นที่ จากนั้นคนขับซึ่งก็คือซูซาคุก็ชักปืนออกมาแล้วยิงใส่กลุ่มของลีน่าในทันที

    “ปังๆๆๆๆ!!”

    “เฮ้ย พวกเรา หลบก่อน!!” ลีน่าตะโกนออกมา จากนั้นเธอก็รีบไปหลบที่ถังขยะ และในขณะเดียวกัน โดรนลำหนึ่งก็บินเข้ามาในพื้นที่ จากนั้นก็สาดปืนกลใส่พวกของลีน่าอย่างรวดเร็ว คนของลีน่าตายไปมากมาย ส่วนตัวของลีน่าก็รีบยิงสวนและหนีเข้าไปในโกดังอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้น ซูซาคุก็โผล่หัวออกมาจากรถ แล้วตะโกนบอกอากิระ

    “ขึ้นรถ เร็ว!!”

    อากิระไม่มีทางเลือกเลยจำใจต้องรีบขึ้นรถไป จากนั้นซูซาคุก็ขับถอยหลังและออกไปจากโกดังในทันที ลีน่ารีบหนีเข้าไปในโกดัง และไปเจอกับโซนิคและเดวิดซึ่งยืนรออยู่

    “ลีน่า เป็นยังไงบ้าง??” เดวิดถามอย่างแปลกใจ

    “มีคนมาช่วยมัน มันหนีไปแล้ว!!” ลีน่าพูดขึ้น 

    “เฮ้อ ฉันพอสัมผัสได้ว่ามันเป็นใคร ดูเหมือนว่าอากิระมันจะไม่โง่ คงต้องเล่นแรงกว่านี้หน่อยแล้วหล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “แล้วคุณจะทำยังไงครับ??” เดวิดถามอย่างสงสัย

    “ฉันจะจัดการเรื่องนาวินด้วยตัวเอง รีบไปจากที่นี่เถอะ เดี๋ยวตำรวจมันก็คงจะตามมาแล้ว” โซนิคพูดขึ้น

    “ทางนี้ค่ะที่รัก” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบพาโวนิคออกไปจากโกดังอย่างรวดเร็ว

     

    ที่รถของซูซาคุ ตัวของเธอขับรถพาอากิระไปยังเส้นทางนอกเมือง แต่ไม่นานนัก อากิระก็คุยกับผู้หญิงคนนั้นต่อในทันที

    “นี่ คุณเป็นใคร ทำไมถึงมาช่วยผม??”

     “เธอเหมือนกับคนที่ฉันรู้จักมาก ฉันขอถามอะไรเธอหน่อย ตอนเด็กๆ เธอเคยถูกทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าหรือเปล่า??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย

    “ก็ใช่ ผมถูกทิ้งที่บ้านเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ว่าแต่ทำไมคุณรู้ดีจังเลย??” อากิระถามไป

    “แล้วตอนที่เธอเกิดมา มีอะไรติดตัวหรือเปล่า??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย ในตอนนั้นอากิระก็เอาผ้าผืนหนึ่งที่ตัวของเขาหวงมากออกมา จากนั้นก็ยื่นให้ซูซาคุไป

    “เอ้านี่ อยากจะทิ้งตั้งนานแล้ว” อากิระพูดขึ้น จากนั้นซูซาคุก็ดูผ้าผืนนั้นอย่างรวดเร็ว ผ้าผืนนั้นมีการปักลายอย่างปราณี ด้วยข้อความชื่อของอากิระ ทำเอาซูซาคุถึงกับหายสงสัย

    “ต้องไม่ผิดแน่ๆ เธอนั่นเอง!!” ซูซาคุพูดขึ้นพลางหยุดรถ อากิระแปลกใจเล็กน้อย เขาเลยชักปืนของเขาออกมา

    “เฮ้ย นี่จะทำอะไรวะ??” 

    “เธอคือลูกชายของสึบากิ น้าสาวของฉัน ตอนนี้เธอเสียชีวิตไปแล้ว เธอฝากให้ฉันตามหาเธอ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “จะตามหาผมไปทำไม ในเมื่อแม่ผมเลือกจะทิ้งผมเอง??” อากิระถามไป

    “แม่เธอไม่ตั้งใจจะทิ้งเธอเลยนะ แม่ของเธอมีปัญหากับทางตระกูล จึงต้องทิ้งเธอไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่แม่ของเธอเสียใจทุกวันเลย จนวาระสุดท้าย แม่ของเธอทิ้งสมบัติทุกอย่างไว้ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่จะสืบทอดตระกูลสายของเธอได้” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ผมไม่อยากฟัง แม่เลือกจะทิ้งผมเอง ผมโตมาได้ด้วยตัวผมเอง ผมไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว” อากิระพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เปิดประตูรถออกไป แต่ซูซาคุพยายามจะยื้อเขาไว้

    “อากิระ นายจะไปไหน??”

    “ผมมีอะไรต้องสะสาง อย่าตามหาผมอีกเลย” อากิระพูดขึ้น

    “อากิระ แม่นายรักนายมากนะ ถ้านายได้สติแล้ว อ่านจดหมายนี่ซะ แล้วถ้ามีอะไร โทรหาฉัน” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ยื่นจดหมายอะไรบางอย่างให้อากิระ อากิระรีบหยิบมา จากนั้นก็เดินออกไปจากรถของวูซาคุอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันจะปิดประตูรถให้เธอด้วยซ้ำ

    “อากิระ แม่นายรักนายมากนะ”

     

    กลับมายังฐานทัพของหน่วย UNASO ในวันนี้คริสเตียลได้นัดประชุมกำลังคนเพื่อดำเนินภารกิจสกัดการขนส่งอาวุธของกลุ่มผู้เกิดใหม่ คริสเตียลประชุมกับทุกคนเพื่อนัดแนะแผนการทั้งหมดในทันที

    “เอาหล่ะ เราเชื่อว่าพวกผู้เกิดใหม่กำลังจะขนส่งอาวุธกันที่นี่ งานนี้พวกมันระดมกำลังมากมายมาคุ้มกันพื้นที่แน่ๆ งานนี้เราต้องใช้อาวุธหนักทั้งหมดที่เรามี” คริสเตียลพูดขึ้น

    “กำลังของพวกมันมีคร่าวๆเท่าไหร่คะ??” เวอร์รีนถามอย่างสงสัย

    “เท่าที่เรารู้ พวกมันน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1 พันแน่ๆ อาวุธครบมือด้วย” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่างานนี้ ตัวใหญ่ๆของพวกมันน่าจะมารวมตัวกันหมดแน่ๆ” รูกิพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นงานนี้ก็งานช้างเลย เรามีกำลังไม่ถึง 500 ด้วย” รูกี้พูดขึ้น

    “แต่ไม่ต้องห่วง งานนี้เรามีกองกำลังพิเศษมาร่วมกับเราด้วย พวกเขาจะตามมาสมทบกับเรา” คริสเตียลพูดขึ้น

    “กองกำลังพิเศษอย่างงั้นเหรอคะ ใครกัน??” กาลีน่าถามอย่างสงสัย

    “นี่ ไม่ต้องรู้เยอะถึงขนาดนั้นหรอก จะเอาไปบอกใครเหรอจ๊ะ??” วูฟถามพลางส่งสายตาให้กาลีน่าไป

    “งานนี้เราคงต้องใช้อาวุธหนักด้วยนะครับ เต็มอัตราเลย” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ใช่ เรื่องอาวุธ ตอนนี้พวกเราเตรียมพร้อมแล้วหล่ะ”  คริสเตียลพูดขึ้น

    “อืม ผมว่างานนี้พวกของนายนาวินคงต้องไปช่วยคุ้มกันแน่ๆ” จ่าชัยพูดขึ้น

    “จริงด้วย งานนี้คงต้องปะทะกันสนุกแน่ๆ” ยูริพูดไป

    “ถ้าเกิดคนพวกนั้นมาด้วย ผมว่าเราคงต้องใช้คนเยอะกว่านี้ครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “งานนี้เรามีกองกำลังที่พอจะรับมือได้อยู่แล้วหล่ะ ไม่ต้องห่วงไป” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ครับ แล้วแผนของเราเป็นยังไงหล่ะครับ??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย

    “เราจะนำกำลังดักพวกมันที่ด้านหน้าโกดัง เมื่อขบวนรถพวกมันมาถึง เราจะโจมตีพวกมันด้วยทุกอย่างที่มีเลย” คริสเตียลพูดขึ้น

    “แล้วอาวุธของพวกมัน จะเอายังไงหล่ะครับ??” รูกี้ถามไป

    “เราต้องเก็บอาวุธไว้ รอจนกว่าตำรวจท้องที่จะมาถึง” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ผมไม่ค่อยไว้ใจตำรวจท้องที่เท่าไหร่เลยครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “นั่นสิ พวกนี้อาจจะรับส่วยจากพวกมันก็ได้” ยูริพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราจะติดต่อทางรัฐบาล ให้ส่งกองปราบมาจัดการเรื่องอาวุธก็แล้วกัน” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ถ้าเป็นเรื่องหลักฐาน ฉันจะจัดการเองค่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “งานนี้คงต้องทุ่มทุกอย่างที่มีหล่ะค่ะ” รูกิพูดขึ้น

    “ก็เหมือนกับที่เราเคยทำอยู่แล้วนี่นะ” กาลีน่าพูดขึ้น

    “ว่าไงว่าตามกันเลยครับท่าน!!” วูฟพูดขึ้น 

    “แล้วเราจะออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “เอาไว้เตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวเราจะออกลุยกันอีกไม่นานนี่แหละ เอาหล่ะ เลิกประชุมได้” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นตัวของกาลีน่าก็เริ่มสงสัยคำพูดของคริสเตียล เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังพิเศษ เธอได้แต่สงสัย 

    “กาลีน่า วันนี้เธอดูจะมีคำถามเยอะไปหน่อยนะ” วูฟถามไป

    “ทำไม ฉันสงสัยไม่ได้หรือไง??” กาลีน่าถามไป

    “กองกำลังพิเศษ จะมีหน่วยรบพิเศษมาร่วมด้วยกับเรางั้นเหรอ??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย

    “อืม เห็นทีงานนี้พวกเขาคงจะเล่นแรงแล้วหล่ะ” จ่าชัยพูดขึ้น

    “หวังว่าพวกมันจะจัดการไอ้พวกผู้เกิดใหม่ได้นะ” รูกี้พูดขึ้น

    “อย่าเพิ่งไปหวังอะไรเลยตอนนี้ เราคงต้องใช้ทุกอย่างที่มีไปก่อน” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “นั่นสิ งานของเรางานนี้แค่ขัดขวางการขนส่งอาวุธของพวกมันนี่” รูกิพูดขึ้น

    “ถ้าเราจัดการรถของพวกมันไม่ให้ไปต่อได้ ก็น่าจะพอแล้วหล่ะ” ยูริพูดขึ้น

    “ใช่ งานนี้คงหนักหน่อย ยังไงก็ต้องจัดการให้ราบคาบ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “แล้วทำไมเราถึงไม่ขอให้คุณโซนิคเขาช่วยหล่ะ??” กาลีน่าถามไป

    “เอ้า แล้วหมอนั่นมาเกี่ยวอะไรด้วยหล่ะ??” วูฟถามอย่างสงสัย

    “คุณคริสเตียลสั่งไว้ ไม่ต้องบอกให้เขารู้ ก็คือไม่ต้องบอก” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ใช่ แล้วเธอก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เวอร์รีนพูดขึ้น กาลีน่าได้ยินก็ยิ้มแสยะ จากนั้นก็เดินออกไปในทันที

    “ไม่ผิดอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย” รูกิพูดขึ้น

    “ผมว่าเราต้องจัดการอะไรกับเธอแล้วแหละ” ยูริพูดขึ้น

    “แต่ว่าตอนนี้เธอมีโซนิคคุ้มหัวอยู่ ทำอะไรเธอตอนนี้ พวกนั้นต้องสงสัยแน่ครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “เอาเป็นว่าถ้าเกิดยัยนั่นมีปัญหา ฉันจะจัดการเอง” รูกี้พูดขึ้น

    “เอาเถอะ ตอนนี้เราแยกย้ายกันไปก่อนดีกว่า ที่เหลือก็ค่อยว่ากันแล้วกันครับ” จ่าชัยพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนต่อ กาลีน่าเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว และในระหว่างที่เธอกำลังอยู่ล้างหน้าอยู่ จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งถืออาวุธเข้ามาในห้องน้ำของเธอ จากนั้นก็มาล้างหน้าที่อ่างล้างหน้าใกล้ๆเธอด้วย เธอเป็นเจ้าหน้าที่ที่มาใหม่ และดูเหมือนว่ากาลีน่าจะไม่คุ้นด้วย

    “นี่ เธอเป็นเจ้าหน้าที่ด้วยเหรอ??” หญิงสาวคนนั้นถามไป และในตอนนั้นเอง ตัวของกาลีน่าก้สังเกตเห็นสายไฟอะไรบางอย่างที่ต่อเข้าที่หมวกจักรกลของเธอ ในตอนนั้นเธอก็ทำเป็นเดินหนีออกไปด้านนอก แต่ความจริงแล้ว ตัวของเธอก็เอาเข็มฉีดยาซึ่งบรรจุยาอะไรบางอย่างออกมา จากนั้นก็ทิ่มเข้าไปที่คอของหญิงสาวคนนั้นในทันที

    “ฉึก!!”

    หญิงสาวคนนั้นขัดขืนเล็กน้อย แต่ด้วยฤทธิ์ยาก็ทำให้เธอถึงกับสลบไป จากนั้นไม่นานนัก กาลีน่าก็ค่อยๆแบกร่างของหญิงสาวคนนั้นออกไปในทันที

     

    กลับมายังห้องขังของเพี้ยน ตัวของเพี้ยนยังคงนั่งอยู่ในห้องอยู่คนเดียว โดยที่ในตอนนี้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวของเขาถูกดักฟังโดยเจ้าหน้าที่ของโซนิค แล้วก็บันทึกทุกอย่างที่โซนิคพูดเอาไว้ด้วย

    “แหม่ เอาเครื่องบันทึกเสียงมาติดไว้ในห้อง ทำขนาดนี้กะอยากจะรู้เรื่องราวต่อจากนี้ใช่ม้า??” เพี้ยนพูดขึ้น และในตอนนั้น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้องก็ฟังอย่างตั้งใจ

    “เออ รีบๆพูดซะทีไอ้ปัญญาอ่อน” 

    “นี่ เมื่อไหร่เราจะฆ่ามันได้ซะทีเนี่ย??” เจ้าหน้าที่อีกคนถามอย่างสงสัย

    “คุณโซนิคสั่งไว้ ให้จับตาดูมัน แล้วฟังคำพูดของมันทุกคำ”

    “เออ เอที่สบายใจเลย” เจ้าหน้าที่อีกคนตอบไป

    “ถ้าอยากจะให้เราพูด เราพูดให้ก็ได้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณโซนิคกำลังหัวเสียเพราะจับตัวคุณอากิระไม่ได้ กลับมาเขาต้องอารมณ์บูดแน่ๆ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “คุณโซนิคพยายามกล่อมให้นาวินมาเป็นพวก เพราะอะไรหน่ะเหรอ พวกเขาสองคนนี้มีสายสัมพันธ์บางอย่างที่พวกเขามองไม่เห็นหน่ะ” เพี้ยนพูดขึ้น และเจ้าหน้าที่ก็พยายามบันทึกคำพูดของเพี้ยนไว้

    “ตอนนี้เรายังไม่บอกหรอกว่าเป็นความสำคัญอะไร แล้วอีกเรื่อง ตอนนี้มีคนกำลังเปิดกล่องหทัยราชันย์ ถ้าไม่รีบทำอะไรซักอย่าง พลังนั่นจะออกมา แล้วรับรองว่าเรื่องนี้จบไม่สวยแน่” เพี้ยนพูดขึ้น

    “พลังอะไรของมันนะ??” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามไป

    “เฮ้ยนี่ ไม่ต้องถามฉันหรอก มันยิ่งกว่าเกินกว่าคนแบบพวกคุณจะจินตนาการนะ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เฮ้ย มันรู้ด้วยว่าเรากำลังนินทามัน นี่มันเป็นผู้วิเศษเหรอ??” เจ้าหน้าที่คนเดิมถามไป

    “ก็เพราะแบบนี้ คุณโซนิคถึงบอกให้ดูแลมันให้ดียังไงหล่ะ” 

    “เออ เอาที่สบายใจเลย” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดขึ้น

    “เอาน่า ทนกับเราไม่นานหรอก อีกไม่นาน สงครามใหญ่คงได้เกิดแน่ๆ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เฮ้ย สงครามใหญ่อะไรของมันวะ??” เจ้าหน้าที่คนเดิมถามไป

    “เอาน่า เดี๋ยวนายก็รู้เอง” เพี้ยนพูดขึ้นเพราะเขารู้ว่าเจ้าหน้าที่กำลังตั้งคำถามนี้กับเพี้ยน

    “เออ อย่าให้ฉันต้องไปง้างปากมันเองเลยนะเว้ย!!” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดอย่างหัวเสีย จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกเพื่อไปสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะเป็นอะไรไปมากกว่านี้

     

    ณ ย่านก่อสร้างแห่งหนึ่งในกรุงเทพ วันที่แสนจะสงบอีกวันหนึ่ง ในช่วงนั้นบรรดาคนงานพากันไปพักผ่อนหลังจากที่ทำงานหนักกันมานาน และบริเวณบ้านพักนั้น มีโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับพวกคนงานใช้ทานอาหารกัน บรรดาคนงานมานั่งทานอาหารกัน จากนั้นก็คุยกันไป

    “บ้าเอ้ย เมื่อไหร่จะมีงานใหม่มาอีกเนี่ย??”

    “เออ ตอนนี้ก็กำลังรออยู่ อย่าเพิ่งโวยวายไปเลย” คนงานอีกคนตอบกลับไป แต่ในตอนนั้นเอง

    “ตุ๊บ!!”

    จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างตีเข้ามาที่หัวของคนงานคนนั้น คนงานที่เหลือก็โดนไม้ฟาดเข้าที่หน้าเรียงตัว จากนั้นคนฟาดก็พากันลากคนงานไปที่บริเวณด้านหลังแนวก่อสร้าง จากนั้นก็ลากพวกมันขึ้นรถตู้อย่างรวดเร็ว และขับออกไปจากพื้นที่โดยไม่มีใครรู้

    รถตู้คันนั้นขับมาจอดที่พงหญ้าแห่งหนึ่ง คนงานถูกลากออกจากรถและไปมัดติดกับต้นไม้ และไม่นานนัก พวกคนงานก็ตื่นขึ้นมาหลังจากที่สลบไป

    “ทุกคนคะ มันตื่นแล้ว!!” แก้วบอกกับทุกคนไป และในตอนนั้นเอง ไคก็หยิบมีดออกมา แล้วแทงไปที่ขาของมัน

    “อ๊าค!!”

    “เฮ้ย แกเป็นใครวะ จับพวกเรามาทำไม??” คนงานอีกคนที่ถูกมัดถามไป

    “ฉันมีเกมให้แกเล่น เกมง่ายๆ คือพวกฉันถามอะไร พวกแกต้องตอบตามจริง” ไคพูดขึ้น

    “เมื่อหลายวันก่อน ใครเป็นคนจ้างแก ให้จัดการเก็บผู้หญิงคนนี้??” เกเบรียลถามมันไป แล้วก็ให้แก้วโชว์หน้าให้พวกมันดู

    “แก้ว ใช่ไอ้สองคนนี้หรือเปล่า??” เบลถามอย่างสงสัย

    “ใช่ ไอ้สองคนนี้แหละ มันพยายามฆ่าฉัน” แก้วพูดขึ้น

    “พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่รู้จริงๆ” คนงานพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นไคก็ดึงมีดออกมาแล้วแทงขามันไปอีกข้าง

    “พวกแกตอบผิด!!” ไคพูดขึ้น

    “บอกมาซะดีๆ ไม่อย่างงั้น พวกแกจบไม่สวยแน่ๆ” เกเบรียลพูดขู่มัน

    “เรารับงานจากนายหน้า ฉันมีเบอร์โทรศัพท์ของมันอยู่” คนงานพูดขึ้น จากนั้นตัวของเบลก็ค้นเอาโทรศัพท์ของพวกมันออกมาอย่างรวดเร็ว

    “เบอร์ไหนกันแน่วะ??” เบลถามอย่างสงสัย

    “เบอร์ที่ลงท้ายด้วย 8468 หน่ะ” คนงานพูดขึ้น จากนั้นไคก็หยิบเอาโทรศัพท์มา จากนั้นก็โทรไปที่เบอร์นั้นในทันที และเมื่อปลายสายรับสาย ตัวของไคก็ชักปืนออกมาแล้วยิงคนงานทั้งสองคนตายคาที่ จากนั้นก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว จะยิงมันทิ้งทำไมคะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “เราตามแกะรอยสัญญาณมือถือมันได้ ไม่ต้องห่วงหรอก คุยกับมันตอนนี้มันก็ไม่บอกอะไรอยู่ดี” ไคพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ไอ้สองตัวนี้ก็ม่องแล้ว เอายังไงต่อหล่ะ??” เกเบรียลถามไป

    “คงต้องทำลายศพมันไปก่อนหน่ะ” เบลพูดขึ้น

    “ใช่ แล้วก็รถตู้คันนี้ ทำลายทิ้งด้วย เอาฝังดินไว้ยิ่งดี” ไคพูดขึ้น

    “โห ขุดดินกันนานเลยนะ” แก้วพูดขึ้น

    “เดี๋ยวพวกเราสองคนจัดการรถกับศพเอง” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ส่วนเธอไค เธอไปสืบแล้วกันว่าไอ้คนนั้นมันกบดานที่ไหน” เบลบอกกับไคไป

     

    กลับมายังที่กบดานของมิกิ ในวันนั้นมิกิเองก็นั่งเล่นคอมอย่างสบายใจ ในวันนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามาหาเธอ ตัวของมิกิรีบรับสายในทันที

    “ฮัลโหล ว่าไงคุณเบ็ตตี้??”

    “คุณมิกิ เราลองไปค้นสถานที่ที่คุณบอกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันจะรู้ตัวแล้ว มันย้ายของหนีไปกันหมดเลย” 

    “ไอ้พวกนี้มันมืออาชีพ มันคงไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้เรารู้แน่” มิกิพูดขึ้น

    “แต่ตอนนี้เรากำลังให้คนตามรอยอยู่ ไม่ต้องห่วงไป”

    “ก็รีบหน่อยเถอะ ถ้าเกิดว่ามันไปขอความคุ้มครองจากตำรวจ พวกคุณก็หมดสิทธิ์จับ” มิกิพูดขึ้น

    “เรื่องตำรวจ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจัดการได้”

    “แล้วนี่ ฉันจะออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่กัน??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “ฉันกำลังดำเนินการอยู่ แต่คราวนี้ทางการคุมเข้มเรื่องการเข้าออกพรมแดนมากขึ้นกว่าปกติ งานนี้ดูเหมือนว่าพวกมันจะเอาจริงแล้วหล่ะ”

    “เอาเถอะ ตอนนี้ฉันกำลังรออยู่นะ” มิกิพูดขึ้น

    “ฉันรู้ ฉันไม่ลืมข้อตกลงของเราหรอกค่ะ”

    “หวังไว้อย่างงั้น เอาเป็นว่าขอให้โชคดีแล้วกันค่ะ” มิกิพูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบวางสายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะตะโกนโวยวายออกมา

    “ไอ้พวกระยำเอ้ย!!”

     

    ณ โกดังแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพ หลังจากที่เซนและคิฮาระถูกจับมา ตัวของเซนถูกจับมัดไว้ที่เก้าอี้ จากนั้นก็มีคนเอาถุงที่คลุมหัวของเซนออกมา เซนถึงกับแปลกใจว่าตัวของเขาอยู่ที่ไหน

    “เฮ้ย พวกมึงเป็นใครวะ ปล่อยกูนะเว้ย!!”

    ไม่มีใครตอบรับเซนและซักคน และในขณะเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดกาวน์คล้ายหมอก็เดินมาหาเซนที่กำลังงุนงงอยู่

    “คุณอยู่กับคิฮาระมานานแค่ไหนแล้ว??”

    “แล้วทำไมกูต้องบอกวะ??” เซนถามกลับไป

    “เอาน่า เผื่อว่านายอยากจะเจอกับเธออีก” 

    “เดี๋ยวๆๆ แกอย่าทำอะไรเธอนะ ไม่อย่างงั้นฉันฆ่าพวกแกหมดแน่!!” เซนตะโกนออกมา

    “สภาพอย่างคุณจะไปฆ่าใครได้ แต่เอาเถอะ คุณรู้แค่ว่าคิฮาระ ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่คุณคิด” 

    “ไม่เหมือนยังไงวะ ว่าแต่แกเป็นใครวะ??” เซนถามกลับไป

    “ฉันชื่อซาร่า ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์”

    “นักวิทยาศาสตร์อะไรวะ กูไม่มีอะไรให้มึงทดลองหรอก” เซนพูดขึ้น

    “ไม่ใช่คุณ แต่เป็นคิฮาระต่างหาก นี่ ปล่อยเขาก่อน” ซาร่าสั่งลูกน้องของเธอ จากนั้นพวกเขาก็แก้เชือกให้เซน จากนั้นก็จับเขาใส่กุญแจมือไปด้วย

    “ฉันจะพาคุณไปพบกับคิฮาระ” ซาร่าพูดขึ้น จากนั้นก็พาเซนเดินไปยังที่แห่งหนึ่ง ในห้องทดลองห้องหนึ่ง ซึ่งภาพที่เซนเห็นก็คือ คิฮาระกำลังถูกดองอยู่ในโหลอะไรบางอย่าง เซนพยายามจะเข้าไปหาคิฮาระ แต่เซนก็ถูกบรรดาลูกน้องของซาร่ากันตัวไว้ก่อน

    “เฮ้ย อะไรกันวะ คิฮาระ เธอได้ยินหรือเปล่า??” เซนตะโกนออกไป

    “คิฮาระไม่ใช่แบบที่นายคิดหรอก เธอเป็นมนุษย์ดัดแปลง” ซาร่าพูดขึ้น

    “มนุษย์ดัดแปลง อะไรกัน ดัดแปลงอะไร??” เซนถามอย่างสงสัย

    “องค์กรของเรา กำลังสร้างมนุษย์ที่มีพลังผู้เกิดใหม่แบบคุณ ตัวของคิฮาระ เธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกอุบัติเหตุตาย เราเลยทดลองกับร่างของเธอ แต่ผลงานของเธอเป็นผลงานที่ผิดพลาด และเธอก็หนีออกมาจากห้องทดลองของเรา” 

    “นี่ พวกคุณรู้จักพวกผู้เกิดใหม่ด้วยเหรอ??” เซนถามอย่างสงสัย

    “ยิ่งกว่ารู้อีก เราพยายามศึกษาพวกมันอยู่ เพื่อสร้างมนุษย์ที่สามารถเอาชนะกาลเวลาและอายุขัยได้”

    “แล้วคิฮาระ เธอตายแล้วอย่างงั้นเหรอ??” เซนถามอย่างสงสัย และจู่ๆ ในตอนนั้นคิฮาระก็เกิดลืมตาขึ้นมา ตัวของเธอเมื่อได้เห็นเซนก็ถึงกับตื่นแล้วพยายามจะทุบโหลออกไป

    “คิฮาระ แข็งใจไว้นะ!!” เซนพูดขึ้นและพยายามดิ้น

    “โห นึกว่าจะเสียเธอไปตลอดกาลแล้วนะเนี่ย ดูเหมือนว่านายจะช่วยเธอได้ เอาแบบนี้ ถ้านายทำงานให้กับเรา ฉันสัญญาว่านายจะได้อยู่กับคิฮาระไปตลอด” ซาร่าพูดกับเซนไป

    “นี่ พวกแกแน่ใจนะ ว่าถ้าฉันยอม พวกแกจะไม่ทำอะไรเธอ??” เซนถามไป

    “แน่นอน ตอนนี้เราพยายามจะหาทางทำให้เธอกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ที่นายแล้วหล่ะ” ซาร่าพูดขึ้น

    “ได้ๆ พวกแกอยากให้ฉันทำอะไรก็บอกมาสิ!!” เซนตะโกนออกมา

    “เอาไว้ฉันจะบอกทีหลังก็แล้วกันนะ” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินปลีกวิเวกออกไป จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาใครบางคน

    “คุณ The Green คะ โปรเจ็กค์ P-20 ของเราได้ผลเกินคาดเลยค่ะ”

     

    กลับมาที่บ้านของสส.สุรสิงห์ ในวันนั้นตัวของเขากลับมาบ้านด้วยสภาพที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ โดยที่ในวันนั้นเลขาของเขาก็นั่งดื่มเหล้ากับเขาไปด้วย โดยที่เลขาก็โอบไหล่ของ สส.คนนั้นไว้ราวกับว่าทั้งคู่เป็นผัวเมียกัน

    “ท่านคะ ท่านเครียดเรื่องคุณแสนอยู่เหรอคะ??”

    “เฮ้อ ฉันไม่รู้จะพูดยังไงแล้วสิ” สิงห์พูดขึ้น

    “ค่ะ ฉันเข้าใจค่ะท่าน แต่ว่าถ้าคุณแสนกลายเป็นผู้เกิดใหม่แล้ว เขาก็อาจจะแก้แค้นสำเร็จก็ได้นะคะ”

    “ผมรู้ แต่ว่ามันต้องแลกกับอะไรที่มันแย่มาก ผมรู้กลไกของมัน ผมเลยได้เป็นห่วงไงหล่ะ” สิงห์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ หญิงสาวร่างอวบวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปืนกระบอกหนึ่ง 

    “อ้อ ในที่สุดสิ่งที่ฉันคิดก็เป็นจริง!!”

    “คุณวิภา คุณใจเย็นๆก่อนนะ” สิงห์พูดขึ้น

    “นอนกับมันมากี่ครั้งแล้วหล่ะ คราวนี้ฉันไม่ปล่อยมันไว้แล้ว” วิภาพูดขึ้น ในขณะที่เลขาก็หลบอยู่หลังสิงห์

    “ส่งมันมาให้ฉัน แล้วฉันจะไม่ฟ้องหย่าคุณ!!”

    “คุณใจเย็นๆก่อนสิ อย่าทำอะไรวู่วามนะ” สิงห์พูดขึ้น

    “อย่าลืมสิ พ่อฉันทำให้คุณมีวันนี้ได้ ไม่อย่างงั้น คุณอย่าหวังว่าจะมีวันนี้เลย!!” วิภาพูดขึ้น 

    “พ่อคุณตายไปแล้ว เลิกเพ้อซักทีเถอะ!!” สิงห์พูดขึ้น

    “เฮ้อ คิดเหรอว่าพ่อฉันตายแล้ว คุณจะไปแรดกับใครก็ได้ อย่าลืมสิฉันยังมีเส้นสายในรัฐบาลอยู่นะ ได้ยินว่าเพิ่งจะลาออกจากพรรคนี่ หมดบารมีแบบนี้ จะทำอะไรได้??” วิภาพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ตัวของนายแสนก็เดินเข้ามาในบ้าน แล้วก็พบกับภาพแม่ของเขาที่กำลังถือปืนอยู่

    “ม๊า มาทำอะไรที่นี่เนี่ย??”

    “แสน แกต้องไปกับฉัน พ่อแกมันไม่มีอนาคตอะไรแล้ว!!” วิภาพูดขึ้น

    “อย่าบังคับลูกนะ อย่าให้มันจบแบบนี้!!” สิงห์พูดขึ้น

    “ม๊า ม๊าใจเย็นก่อนนะ” 

    “แสน ไม่ต้องพูด แกต้องมากับฉัน!!” วิภาพูดขึ้น จากนั้นแสนก็พยายามมาขวางทางปืนของแม่เขาไว้

    “ม๊า ผมขอร้อง อย่าทำอะไรแบบนี้เลย”

    “มันทำลายหัวใจฉัน ทำลายหัวใจคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา แกหลีกไปเดี๋ยวนี้ อย่าไปปกป้องพ่อระยำแบบนี้เลย ไอ้สิงห์ ลูกต้องอยู่กับกู ได้ยินมั้ย??” วิภาพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง เลขาของเขาก็พยายามจะวิ่งหนีไปด้านหลัง วิภาเลยยิงไล่หลังเลขาไป แต่วิภายิงพลาดไปโดนแขนของลูกชายเธอ 

    “ปัง!!”

    “ลูกแม่!!” วิภาตะโกนออกมาราวจะขาดใจ แต่จู่ๆแขนของเขาก็คายเอากระสุนปืนออกมา และแขนของแสนก็กลายสภาพกลายเป็นแขนของผีร้าย วิภาแทบจะเป็นลมเมื่อได้เห็นภาพนั้น และในตอนนั้น จู่ๆ นายแสนก็วิ่งไปหาแม่เขาอย่างคนไร้สติ จากนั้นก็ค่อยๆกินร่างของแม่เขาอย่างหิวกระหาย

    “เฮ้ย อะไรวะเนี่ย??” สิงห์ตะโกนออกมาอย่างแปลกใจ แสนกินแม่ของเขาจนแทบไม่เหลือแม้แต่กระดูก จากนั้นไม่นาน ตัวของแสนก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว เลขาที่ได้เห็นภาพนั้น ก็รีบวิ่งมาหาสิงห์ในทันที

    “ท่านคะ นี่มันอะไรกันคะเนี่ย??”

    “ระยำเอ้ย ไอ้แสนมันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย??” 

    “เอายังไงต่อดีคะท่าน??” เลขาถามไป

    “จัดการทำความสะอาดที่นี่ก่อน ปิดปากคนของวิภาที่อยู่ข้างนอกด้วย ปิดเรื่องนี้ไว้ อย่าให้แสนมันรู้เด็ดขาด” นายสิงห์พูดไป

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ วิบัติพยายามทำพิธีเพื่อช่วยเหลือเมืองผา ซึ่งวิญญาณของเขาตอนนี้ถูกทำลายไปบางส่วน วิบัติจึงใช้คาถาอะไรบางอย่างร่ายออกมา แต่ไม่ทันไร จู่ๆ ตัวของเมืองผาเองก็ถึงกับล้มลงไปอย่างรวดเร็ว สร้างความประหลาดใจให้กับวิญญาณตนอื่นๆ

    “นายท่านขอรับ!!” วิญญาณตนหนึ่งพูดขึ้น แต่วิบัติตอบกลับอย่างใจเย็น

    “มิต้องห่วง เมืองผาปลอดภัยแล้ว ข้าต้องหาพลังของผู้เกิดใหม่เพิ่มให้เขา” วิบัติพูดขึ้น

    “แล้วท่านจักไปหาจากที่ใดเล่า พวกของท่านนาวินหรือ??” วิญญาณตนนั้นถามไป

    “มิใช่ดอก เอาแค่พวกปลายแถวก็ได้ พวกกลุ่มต่อต้านอย่างไรเล่า” วิบัติพูดขึ้น

    “งั้นหรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นกระผมจะจัดการให้ขอรับ”

    “เออ เพลานี้มีข่าวอันใดหรือไม่??” วิบัติถามกลุ่มผีพวกนั้นไป

    “มีข่าวมาว่าไอ้โซนิคมันจักขอนัดเจรจาอันใดบางอย่างกับอากิระขอรับ”

    “อืม ส่งพวกเราไปติดตามดู ดูว่าไอ้โซนิคมันคัดจักทำอันใดของมันกันแน่” วิบัติพูดขึ้น 

     

    กลับมายังฐานทัพของหน่วย UNASO หลังจากที่โซนิคพลาดเรื่องการจับตัวอากิระ เขาก็กลับมาพักในห้องของเขา โดยที่ตัวของโซนิคได้เรียกให้คริสเตียลมาคุยกับเขาด้วย เพื่อมอบหมายภารกิจใหม่ให้กับเขา และเมื่อคริสเตียลเข้ามาในห้อง เขาก็คุยกับโซนิคในทันที

    “ท่านโซนิค เรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ??” 

    “ตอนนี้หาตำแหน่งใหม่ของนาวินได้หรือยัง??” โซนิคถามไป

    “ยังเลยครับ ถ้าดันเต้ยังอยู่ เราคงตามตัวมันได้ยากครับ” 

    “เออ เอาเถอะ ตอนนี้เราต้องรีบตามหามันให้เจอ ไม่อย่างงั้น ทุกอย่างมันจะสายเกินไป!!” โซนิคโวยวายออกมา

    “ครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เองครับ” 

    “เออ รีบไปจัดการเถอะ อย่าให้ฉันต้องโมโหเด็ดขาด” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ไล่คริสเตียลออกไปอย่างรวดเร็ว ตัวของคริสเตียลก็เดินออกไปในทันที

    “เราจะเอายังไงต่อดีคะที่รัก??” ลีน่าถามโซนิคไป

    “ไอ้เพี้ยนคนนั้นมันพูดอะไรบ้างหรือยัง??” โซนิคถามไป

    “อ้อ ผมจะไปถามเจ้าหน้าที่ให้ครับ” เดวิดพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ กาลีน่าก็เปิดประตูเข้ามาในห้องของโซนิคอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นเธอก็แบกร่างของหญิงวางไว้ตรงหน้าโซนิค ทำเอาทุกคนในห้องถึงกับตกใจ

    “เฮ้ย นี่เธอทำบ้าอะไรเนี่ย??” ลีน่าถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ นี่เธอเอาใครมาที่นี่เนี่ย??” เดวิดถามเสริม

    “ผู้หญิงคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เราคิด” กาลีน่าพูดขึ้น

    “อะไรของเธอ บอกฉันมาหน่อยสิ” โซนิคพูดขึ้น กาลีน่าได้แต่ยิ้มมุมปากให้โซนิค

     

    กลับมายังฐานของดันเต้ พระอาทิตย์ใกล้จะตกจากท้องฟ้าแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าอากิระยังไม่กลับมา กลุ่มของนาวินเองก็ยังคงรออากิระอยู่อย่างงั้น แต่ดูเหมือนว่าบางคนไม่อยากจะรอแล้ว

    “เราจะไปช่วยพี่อากิระดีมั้ยพี่??” นายลืมถามไป

    “เดี๋ยวก่อนสิ รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า” ฮารุพูดปรามไป

    “นี่ก็ใกล้จะ 6 โมงแล้วนะ ไปตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ยังไม่กลับมาเลย” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “เดี๋ยวก็คงกลับมาหล่ะมั้ง??” อินเนสซ่าถามไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของอากิระเองก็เดินกลับเข้ามาหาทุกคนอย่างรวดเร็ว ซึ่งในตอนนั้นทุกคนก็รีบไปหาอากิระในทันที โดยเฉพาะเสี่ยวหลงและอัญชันที่รีบไปกอดเขา

    “อากิระ นายหายไปไหนมา ฉันเป็นห่วงแทบแย่??” เสี่ยวหลงถามไป

    “นั่นสิ เรากำลังรอนายกลับมานะเว้ย!!” อัญชันพูดเสริม

    “ไม่มีอะไรหน่ะ ไปสะสางเรื่องอะไรนิดหน่อย” อากิระพูดขึ้น

    “ดีใจที่นายกลับมานะ” นาวินบอกกับอากิระไป

    “เอาหล่ะ ไหนๆพี่อากิระก็กลับมาแล้ว ก็ครบองค์ประชุมซะที” ภาภินพูดขึ้น

    “นั่นสิ เราต้องออกลุยในอีกไม่กี่วันนี่นะ” เวียนพูดขึ้น

    “เฮ้อ งานนี้คงต้องลุยเละแน่นอน เชื่อได้เลย” โลร็องต์พูดขึ้น

    “พวกมันคงต้องใช้สรรพกำลังทั้งหมดโจมตีเราอย่างหนักแน่ๆ แต่เอาเถอะ เราสู้มันได้อยู่แล้ว” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “แล้วถ้าไอ้บ้าคนนั่นโผล่ออกมาหล่ะ??” นายลุ้นถามไป

    “นั่นสิคะ หมอนั่นน่ากลัวจะตาย เก่งกว่าพวกเราด้วย” ลาลินถามเสริม

    “โซนิคงั้นเหรอ คงไม่ต้องกลัวไปหรอก เราต้องเดาให้ได้ว่ามันจะใช้พลังอะไร” ดันเต้พูดขึ้น

    “ไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นมันต้องการอะไรกันแน่ คอยดูเถอะ จะยิงให้ตายเหมือนหมาเลย” ลันโทสพูดขึ้น

    “ใจเย็นครับ เราคงต้องวางแผนกันให้รัดกุมก็พอครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “อืม เอาเป็นว่าเราไปพักกันก่อนดีกว่าค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวค่อยว่ากัน” พัตติยาพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น อากิระก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

    “พี่วิน ไอ้บ้าโซนิคนั่น มันอยากจะเจรจากับพี่ แต่พี่ไม่ต้องไปตามที่มันบอกก็ได้นะ” อากิระพูดขึ้น ทำเอาทุกคนที่ได้ยินถึงกับแปลกใจ

    “อะไรกัน ทำไมต้องเป็นคุณวินหล่ะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “ผมกับมันต้องมีอะไรบางอย่างสัมพันธ์กันแน่ๆ ถ้ามันกล้าท้า ผมก็กล้าไป ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันจะทำอะไรผม” นาวินบอกกับทุกคนไป

    ====================================================================

    นาวินจะไปพบกับโซนิคหรือไม่ และเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×