ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่ 17.2
นางติดค้างอยู่ในห้องลับหลายวัน ล้วนอาศัยปลาลี้ฮื้อแดงประทังชีวิต จนปลาในแอ่งน้ำร่อยหลอเบาบาง ครุ่นคิดถึงลู่ซุนได้จากนางไปแล้ว เสียงสตรีชนบทก็ไม่ได้ยินอีก คิดไปจากที่แห่งนี้ก็กระทำไม่ได้ เหลือบแลเห็นกองตำราแผ่นกระดาษที่เคยรื้อค้น ยามไร้เรื่องราวกระทำพลันหยิบฉวยขึ้นมาอ่านดู พบว่าเป็นกาบกวีโครงกลอนหลายสมัย แผ่นกระดาษพวกนั้นกลับเป็นแผ่นภาพหาได้ยาก
ดูจากสิ่งของเหล่านี้ต้องคาดเดาว่าบุรุษสตรีที่นอนทอดกายเป็นโครงกระดูกทั้งสองนี้มีรสนิยมสูงส่งเพียงใด ครุ่นคิดว่าแผ่นภาพบทกวีเหล่านี้มีค่าไม่น้อยหากตั่วซือแป๋ บัญฑิตมือวิเศษ พบเห็นคงต้องหยิบติดไม้ติดมือกลับไปเป็นแน่ แต่นางไม่ใคร่ชอบการเล่าเรียนมาแต่ไหนแต่ไร ยามปกติไหนเลยเคยสนใจบทกวีโครงกลอน แต่ยามนี้ต่อให้เป็นหนังสือไร้สาระเล่นหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่มีสิ่งใด นางอ่านบทกลอนกวีผ่านไปหลายเล่ม จนมาที่เล่มหนึ่งพบเห็นแผ่นหนังพับเหน็บไว้ในตำรา พอคลี่ออกเห็นเป็นแผนผังแผ่นหนึ่ง พินิจดูต้องแตกตื่นยินดี รีบนำคบไฟมาส่องดูใกล้ๆ ที่แท้แผนผังฉบับนี้เป็นแผนผังก่อสร้างห้องลับใต้ดินแห่งนี้ พิเคราะห์แล้วห้องลับใต้ดินนี้ไม่ถึงกลับทึบตันเสียทีเดียวหากแต่ยังมีห้องลับเชื่อมต่อออกไปอีก รีบหันไปทางกำแพงหินด้านซ้าย หากเป็นตามที่แผนผังแผ่นนี้บ่งบอก ทางเชื่อมต่อย่อมอยู่ทางกำแพงนี้ ใช้มือลูบคำไปตามตัวกำแพง จนสะดุดกับหินก้อนหนึ่งที่นูนออกมาจากก้อนอื่นเล็กน้อย พอออกแรกผลัก หินก้อนนนั้นก็จมหายเข้าไปในตัวกำแพง เผยให้เห็นห่วงสลักเหล็กวงหนึ่ง จิวอวงยี้ต้องร้องออกมาอย่างยินดี
“กลไกลอยู่ที่นี่จริงๆ”
พลันออกแรงดึงหวงสลัก กำแพงพลันลั่นครื้นแยกตัวออกเป็นช่องทางปรากฏให้เห็นประตูบานหนึ่ง จิวอวงยี้ยินดียิ่งรีบผลักประตูออกโดยเร็ว พบเห็นภายในมืดสนิท เมื่อนำคบเพลิงยื่นส่องเข้าไปเห็นเป็นห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง สองฝั่งเป็นชั้นวางอาวุธหลากหลายชนิดอยู่เรียงราย ตรงกลางเป็นลานว่างโล่ง
เหนือขึ้นไปสุดห้องโถงเป็นแท่นนั่งศิลา พร้อมโต๊ะเก้าอี้รับแขกสี่ห้าตัว จากสภาพที่เห็นคาดเดาว่าห้องนี้คงมีไว้ฝึกวิทยายุทธ์อย่างแน่นอน
เมื่อเข้าไปสำรวจโดยทั่ว นอกจากสิ่งที่เห็นในที่แรกแล้วยังมีภาพวาดแขวนประดับอยู่รอบห้องโถงโดยทั่ว จิวอวงยี้สาดแสงไฟไปยังภาพหนึ่ง เห็นเป็นสตรีผู้งามล้ำประดุจเทพธิดาถือกระบี่คู่อยู่ในมือ ที่ปลายกระบี่ของนางมีเงี่ยงคล้ายตะขอเล็กๆทั้งสองเล่ม กระบี่ของนางกลับเป็นกระบี่คู่ปลายตะขอ ท่าร่างแผ่วพริ้วนุ่มนวล กำลังร่ายรำเพลงกระบี่คู่ดูราวกับสามารถมีชีวิตเคลื่อนไหว ภาพพวกนี้ล้วนใช้หมึกสีน้ำมัน อีกทั้งจิตกรผู้วาดยังบรรจงวาดด้วยความปราณีต แต่ที่ผิดแปลกสงสัยคือใบหน้าของสตรีในภาพวาดแม้งดงามเด่นล้ำหากแต่เรือนผมของนางกลับขาวโพลนทั้งศีรษะ จิวอวงยี้ต้องครุ่นคิดสงสัย หรือจิตกรผู้ที่วาดนี้ลืมแต่งแต้มสีผมให้กลับนาง และสตรีผู้นี้มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนางในจิตนาการของจิตกรที่ครุ่นคิดขึ้นเอง ที่ใต้ภาพยังมีข้อความเขียนไว้
“ค่ำคืนจันทร์กระจ่าง เงาทอดสลางกลางแอ่งน้ำ สั่นไหว มวลเมฆคล้อยบดบังเงาจันทรา แสงจันทร์สะท้อนดาราส่องแทน”
จิวอวงยี้จดจำออกบทความนี้คือบทความชมจันทร์ของ หลี่จิงยอดกวีในอดีต ที่เพิ่งอ่านพบในตำรากวีในห้องลับ พอจดจำความหมายได้ หลี่จิงผู้นี้ คิดชมจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ชมดูได้เพียงประเดี๋ยวก็ถูกเมฆก้อนหนึ่งลอยอ้อยอิ่งบดบังดวงจันทร์ไว้ไม่ไปไหน หากแต่ดวงดาวยังสุขสะกาวสดใสจึงเปลี่ยนจากชมจันทร์มาชมดวงดาวแทน แม้ทราบความหมายของบทกลอนบทนี้หากแต่ไม่ทราบว่ามันเกี่ยวข้องอันใดกับภาพสตรีที่รำกระบี่ในภาพนี้ ยามงงงันสงสัยจึงไปชมดูอีกภาพหนึ่ง ในภาพถัดมาเห็นเป็นสตรีคนเดียวกันร่ายรำกระบี่อีกท่วงท่าหนึ่ง กระบี่ที่ดูยาวกว่าขวางป้องหน้าอก กระบี่ที่สั้นกว่าเล็กน้อยจับพลิกด้ามลำตัวกระบี่ขนานข้อสอกไขว้มือซุกงำไว้ด้านหลัง ย่อกายอย่างชดช้อยคล้ายทำการคาราวะ จิวอวงยี้เพ่งพินิจพบว่ากระบวนท่านี้เป็นท่ารับในท่ารับแฝงการรุก หากเราเผชิญกับกระบวนท่านี้ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ความคิดนี้หากยังไม่บังเกิดก็แล้วไป แต่พอบังเกิดแล้วคล้ายกลับถูกดึงดูดเข้าสู้ภาพวาดต่อสู้กับสตรีในภาพวาดนั้น คิดใช้ฝ่ามือยมทูติในมือซ้ายคว้าจับแย่งชิงกระบี่ยาว มือขวาปาดขวางกั้นกระบี่สั้นที่ซุกงำอยู่ด้านหลัง กระบี่ยาวพลันเลื่อนลงต่ำปัดขวางออกใส่มือซ้ายของนาง หมุนตัวหลบมือขวา กระบี่สั้นในมือพลันพลิกขึ้นจี้เข้าใส่ฝีข้าง จิวอวงยี้แตกตื่นยิ่งรีบเอี้ยวตัวหลบลงต่ำ กวาดสองมือออกด้วยท่ากรงเล็บหมาป่าจู่โจมใส่ช่วงล่าง ร่างสตรีในภาพวาดพลันลอยขึ้น สองกระบี่ในมือจี้ออกโดยพร้อมเพียงทิ้มแทงใส่ข้อมือทั้งสองข้าง จิวอวงยี้รีบหดมือกลับพลิกตัวหงายขึ้นฟาดฝ่ามือออกจูโจมด้านบน เงากระบี่สั้นพลันปาดขวางรวดเร็ว ฟันใส่ข้อมือของนางที่ฟาดขึ้นยังด้านบน จิวอวงยี้แตกตื่นจนเหงื่อโทรมกาย คิดหดมือกลับก็ไม่ทันการณ์ มือข้างนี้นับว่าไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว ถึงกลับร่ำร้องอย่างลืมตัว
“อย่าได้ตัดมือข้าพเจ้า”
ทรุดร่างลงนั่ง เหงื่อไหลชะโลมกาย สองมือสั่นระริก ต้องรีบยกสองมือขึ้นมาดู พบเห็นยังเป็นปกติต้องงงงันอยู่ชั่วครู่ พอตั้งสติได้มองออกไปโดยรอบพบว่าตนมาอยู่ยังภาพที่ห้าแล้ว จิวอวงยี้ทั้งแตกตื่นทั้งพลั่นพลึง เพียงแค่ห้ากระบวนท่าในภาพวาดก็สามารถมัดมือมัดเท้านางจนไม่สามารถต่อสู้พลิกแพลงอันใดได้ อีกทั้งยังต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง คาดเดาว่าในภาพวาดเหล่านี้คงแฝงแนวทางกระบี่ลึกล้ำซุกซ่อนอยู่ ตนเองไม่ประมาณตนคิดแก้กระบวนท่ากระบี่เหล่านี้จนเกือบเป็นเหตุให้ธาตุไฟเข้าแทรก
ภายหลังถึงกลับไม่กล้าคิดเปรียบเทียบวิชาอีก จิวอวงยี้ดูภาพวาดเหล่านี้จนหมดรวมแล้วทั้งสิ้นหกสิบสี่ภาพ แต่ล่ะภาพมีคำกลอนบทกวีอยู่ด้านล่างภาพ คำกลอนบทกวีเหล่านี้บางเข้าใจบางไม่เข้าใจ ที่เข้าใจก็ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอันใดกับภาพวาด ครุ่นคิดจนวินเวียนศรีษะตาลาย จึงไม่ชมดูอีก พลางเห็นแท่นวางกระบี่ที่ใต้ภาพสุดท้ายจัดวางด้วยกระบี่คู่ปลายตะขอสองเล่ม กระบี่ตะขอด้ามยาวยังมีความยาวสั่นกว่ากระบี่ธรรมดาอยู่ครึ่งเซี๊ยะ กระบี่ตะขอสั้นก็สั้นกว่ากระบี่ตะขออีกเล่มหนึ่งเพียงครึ่งเซี๊ยะ คมกระบี่ส่องประกายแวววาว ลำตัวกระบี่เป็นเหล็กซ้อนกันเป็นชั้นจนถึงปลาย เล่มยาวนับได้หกชั้น เล่มสั้นนับได้ห้าชั้น ดูแล้วที่ตัวกระบี่นี้กลับไม่ได้เป็นเหล็กหลอมชิ้นเดียวกัน หากแต่แบ่งกันหลอมเป็นชิ้นส่วนนำมาประกอบกัน ดูแล้วเป็นที่พิศดารอย่างยิ่ง ทดลองจับขึ้นถือในมือ ทั้งน้ำหนักทั้งสมดุลนับว่าพอเหมาะอย่างยิ่ง ทดลองฟันใส่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ยังไม่ทันออกแรงเพียงวาดกระบี่ลง เก้าอี้ตัวนั้นกลับผ่ากลางแยกออกเป็นสองท่อน จิวอวงยี้ทั้งแตกตื่นทั้งยินดีนับว่ากระบี่คู่นี้เป็นกระบี่วิเศษที่หาได้อยาก พลันหยิบฉวยขึ้นมาทั้งสองเล่ม ทดลองทำตามภาพวาด ร่ายรำกระบี่คู่ออก คราแรกยังรู้สึกขัดเขินไม่สอดคล้อง แต่พอผ่านไปสองสามเที่ยว เพลงกระบี่รู้สึกไหลลื่นประดุจสายน้ำกระบี่ซ้ายขวาในมือแยกซ้ายจู่โจมขวา ปกป้องหน้ารุกไล่หลัง เงากระบี่ปกคลุมสี่ทิศแปดทาง ถึงกลับร่ายรำจนลุ่มหลง
ผู้ฝึกวิชาบู๊ยามสามารถก้าวข้ามความสำเร็จสู่ระดับเหนือความคาดคิด ในใจย่อมคึกคะนอง ถึงกลับหลงลืมตน หมกมุ่นอยู่กับมักขาวิชาบู๊ที่ค้นพบ จิวอวงยี้เองยามนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้จะร่ายร่ำจนครบหกสิบสี่ภาพไปหลายเที่ยวแล้วแต่ยังไม่อาจหยุดมือ ยิ่งใช้ออกยิ่งรู้สึกว่าเพลงกระบี่ชุดนี้พลิกแพลงได้หลากหลาย บางคราถึงกลับไม่เรียบเรียงใช้ออกตามความนึกคิด พลันเห็นเงาคนไหววูบเข้าด้านหน้าสองฝ่ามือแย่งชิงกระบี่ของตน ต้องกวัดแกว่งกระบี่ปัดป้องจู่โจมรุกไล่ หักหาญกว่าร้อยกระบวนท่าเงาฝ่ามือกลับกลายเป็นเงาอาวุธ เสียงติงตังกระทบโสตประสาทมิได้ขาด จิวอวงยี้เมื่อร่ายรำกระบี่จนถึงระดับหนึ่งถูกกระตุ้นโดยสิ่งรอบข้าง ยามนี้ต้องจู่โจมกระบี่อย่างเกรี่ยวกราด รุกไล่จนเงาคนผู้นั้นถดถอย พลันรู้สึกเย็นซาบซ่านทั้งศรีษะคล้ายถูกน้ำสาดใส่ ต้องงงงันวูบ ที่หน้าอกพลันถูกกระทบอย่างรุนแรงสติสัมปชัญญะพลันขาดห้วงไป
ความคิดเห็น