คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ยกที่ 1
1
ครอบครัวฉันเป็นทนายกันเสียส่วนมาก ป้า พ่อ ลุง พี่ มีแต่แม่ที่เป็นหมอ เลยไม่แปลกที่ใครๆต่างก็คิดว่าฉันคงเลือกเป็นไม่ว่าอย่างใดก็อย่างนึง ก็จริงแต่ฉันอยากเป็นหมอที่เป็นนักวิจัยมากกว่า จะได้วิจัยหาเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยรักษาคนได้ จะได้รักษาคนได้ทีละมากๆ เคยคิดจะเป็นหมอเหมือนกัน แต่คนไข้เจอฉันคงไม่ค่อยอยากจะหายเท่าไหร่ พาลจะทรุดหนัก ช่วยไม่ได้ที่ฉันไม่ได้มีคารมดีเหมือนชาวบ้าน ฉันมันก็คนด้านชาแบบนี้แหละ
และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงมองฉันเหมือนว่าฉันแปลกประหลาดนัก ฉันแค่มีความฝันเป็นของตัวเอง ไม่ได้แตกต่างไปจากใครเลย ฝันมากก็ต้องพยายามมากหน่อย แค่ชอบที่จะตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือ ชอบที่จะศึกษาเรื่องราวต่างๆให้ตัวเองมีความรู้เข้าไว้ พอลิฟได้ยินมันบอกว่าฉันเหมือนเฮอร์ไมโอนี่ใน แฮรี่ พอตเตอร์ เลย เพียงแต่ฉันด้านชาและสวยน้อยกว่าเยอะ...ไม่ต้องห่วงฉันเอาพจนานุกรมฟาดหัวหมอนั่นไปแล้ว ถึงฉันไม่สวย แต่ไม่มีใครชอบฟังคนอื่นวิจารณ์ตัวเองหรอใช่ไหม?
ฉันอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน สถานที่ที่ซึ่งสงบสุขพอจะทำให้ฉันสามารถจดจ่ออยู่กับตำราเรียนได้บ้างในโรงเรียนที่มีนักเรียนกว่าสี่พันคนที่แหกปากร้องเป็นลิงกันทั้งวันแบบนี้ อ่านไปสักพักเล่มในมือก็จบ ฉันคงต้องหาเล่มต่อมาอ่าน ฉันเดินไปที่ชั้นหนังสือ
ห้องสมุดของโรงเรียนนี้เป็นสถานที่ซึ่งวิเศษและยิ่งใหญ่มาก ที่นี่ใหญ่กว่าห้องสมุดประจำจังหวัดเสียอีก หนังือของที่นี่ชั้นสูงจนบางทีต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปเอา หนังสือศาสตร์ชีวะในมือฉันเองก็เหมือนกัน แต่ว่าด้วยความสูง 178เซ็นติเมตรของฉันแล้วมันไม่น่าจะเกินเอื้อมเท่าไหร่ฉันไม่อยากเสียเวลาไปลากบันไดมาก
ฉันยืดตัวขึ้นแต่สุดท้ายก็พบว่ามันไกลเกินเอื้อมจริงๆ ตอนนั้นเองมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา หมอนั้นยิ้มกว้าง ยักคิ้วให้ฉัน ฉันใช้เวลาสักพักก็จำได้ว่าหมอนั้นคือไอ้บ้าป้ายรถเมย์เมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
หมอนั้นเดินเอามือล้วงกระเป๋ามาที่ฉันก่อนมองขึ้นไปบนชั้นหนังสือ
“เดี๋ยวช่วยนะ” แล้วหมอนั้นมองฉันเหมือนเสียใจที่ฉันเกิดมาเตี้ยกว่าแล้วก็เอื้อมมือขึ้นไป...
แต่มันก็ยังไม่ถึงอยู่ดีนั้นแหละ หมอนี่สูงห่างฉันไม่กี่เซ็นเองยังจะมาอวดดี ฉันเลยเดินไปลากบันไดมาอย่างจำยอม ก่อนปีนขึ้นไปแล้วหยิบหนังสือออกมา
ฉันมองนายนันที่มองขึ้นมาด้วยสายตาไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก ทำหน้าเหมือนหมาโดนแย่งกระดูกไม่มีผิด ฉันเลยทำเหมือนตานั้นไม่มีตัวตน แล้วเดินออกมา
วันนี้เป็นอีกวันที่เราต้องประชุมคณะกัน ฉันที่มีหน้าที่เป็นเลขายิ่งยุ่ง เพราะต้องคอยจดและแจกจ่ายงาน
“ส้ม...พี่ว่าส้มน่าจะมาช่วยงานทางพี่หน่อยเรื่องเวทีน่ะเราขาดคนแต่พี่ว่าวันงานจริงๆส้มไม่น่าจะติดงานอะไร”พี่เบ๊นซ์อดีตประธานบอก ตอนนี้พี่เบนซ์แวะมาช่วยลิฟตัดสินใจแบ่งงานบ่อยๆ ส่วนพี่คณะคนอื่นก็แวะเวียนมาดูแลบ้าง
“คะ”ฉันบอกบางๆเพียงครู่ให้พี่เบ๊นซ์ ไม่รู้ทำมองพี่เบนซ์แล้วทำให้อดยิ้มไม่ได้พี่เบ๊นซ์ดูเป็นคนที่เป็นผู้ใหญ่และใจดี
...เวทีใหญ่ ที่พวกเราต้องไปจัดแหละตกแต่งให้สมเกียรติโรงเรียน ทุกทีโรงเรียนเราแต่งเวอร์เหมือนต้องการให้คนทั้งจังหวัดมาดู ไม่สิคนทั้งประเทศมากกว่า ฉันเหนื่อยใจจนเส้นเลือดบนหัวมันแล่นตุบๆ คนพวกนี้ไม่เสียดายเงินพ่อแม่บ้างหรือไงนะ
“ผมว่าคอนเซ็ปปีนี้เรากำหนดงบประมาณดีไหม?”ฉันหันหน้าควับไปมองนายพงที่นั่งข้างๆ หมอนั้นยิ้มบางให้ทุกคน ก่อนหันมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน ผ่านมาสองอาทิตย์ความร้าวฉานของฉันกับนายพงเริ่มเป็นที่ประจักร
เริ่มตั้งแต่หมอนั้นมาแย้งที่ประจำของเหรัญญิกที่นั่งข้างๆฉันไป เขาก็เริ่มทำตัวให้ฉันรำคาญอยู่เรื่อย ตั้งแต่สัปหงกจนหัวมาชนหัวฉันบ้าง แถมยังมีหน้ามาว่าฉันสูงเกินไปอีก คอยเหน็บแนมจิกกัดฉันเรื่องฉันไม่มีหัวใจอยู่เรื่อย ถึงเราจะเถียงกันไม่ดังมาก แต่มันก็พอจะทำให้คนรอบข้างผิดสังเกตเพราะปรกติไม่ค่อยมีใครมายุ่งกับฉันนักหรอก...
“จะดีหรอพง ด้วยศักดิ์ศรีของโรงเรียนเรา จะน้อยหน้าโรงเรียนอื่นไม่ได้นะ” ปากฉันกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ดูพูดเอาเถอะ...แต่ยัยนี่ท่าทางจะรวย
นายพงยิ้ม
“ไม่หรอก เราแค่อยากเห็นอะไรสนุกๆ ลองจินตนาการว่าทุกคนมาช่วยกันทำความอลังการจากพวกของรีไซเคิลแล้วเราว่ามันน่าภูมิใจดี อีกอย่างช่วงนี้ชาวบ้านเขาติเตียนกันหนาหูว่าโรงเรียนใช่งงกับกีฬาสีเกินไป ถ้าเราลองมาพิสูจน์ให้พวกโรงเรียนข้างนอกเห็นว่าเราสามารถทำอะไรที่สร้างสรรค์และมีสมองได้ด้วยตนเองมันก็เท่ห์ดีใช่ไหมล่ะ!”หมอนั้นว่า ทุกคนในห้องเงียบไปอึดใจก่อนเริ่มปรึกษากันจนกลายเป็นเสียงจอแจ
“เอาอย่างนี้...”ลิฟพูดขึ้นพร้อมเคาะโต๊ะเบาๆให้ทุกคนหันไปสนใจ“ใครเห็นด้วยกับพงบ้าง”
ทุกคนค่อยๆทยอยกันยกมือขึ้น ฉันมองคนอื่นที่ค่อยๆพากันยอกมือขึ้น ในห้องคณะมีทั้งหมด 32 คน นายพงจำเป็นต้องได้16คนขึ้นไปเพื่อ ให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อเสนอของเขา ลิฟ และพี่เบ๊นซ์ยกมือขึ้น ฉันอดยิ้มภูมิใจในตัวพี่เบ๊นซ์ไม่ได้
คนเริ่มยกขึ้นเรื่อยๆจาก 1 เป็น 5 จาก 5 เป็น 10...11....12 มี 16คนพอดี...
ฉันอดผิดหวังในเด็กโรงเรียนเราไม่ได้ที่ไม่ได้มีจิตสำนึกในการช่วยสังคมเลย ตอนแรกว่าจะไม่ออกแรงแล้วเชียว...
ฉันยกมือขึ้น
นายพงฉันมามองฉันก่อนอมยิ้มจนเห็นลักยิ้ม หมอนั้นยักคิ้วกวนๆ ฉันไม่ได้สนใจอะไร ก็แค่เห็นด้วยนั้นแหละจะยิ้มอะไรนักหนา
“ส้มกินไหม?”หมอนั้นนั่งลงข้างๆฉันและยื่นไอศกรีมที่กินไปแล้วมาตรงหน้าฉัน ฉันนั่งอยู่ที่สวนของโรงเรียนรอเวลาเรียนพิเศษ
ฉันถอดหูฟังออก มองไอศกรีมโคนที่หมอนั่นเล็มหน้าไปแล้วฝั่งหนึ่งอย่างแหยงๆ ถึงเป็นจะเป็นรสกาแฟที่ฉันชอบก็เถอะ
“ไม่เอา ขี้ปากนายกินไปแล้ว”ฉันบอก
“โหยไรวะ พวกผู้ดี”นายพงแบะปาก มองฉันด้วยหางตาอีกครั้ง อีกครั้ง!! มันจะมากไปแล้วนะ
...ฉันฉุนกึกหันไปมองหมอนั้น รู้สึกเหมือนคิ้วกระตุก เส้นเลือดเต้นตุบๆ คำนี้ไอ้ลิฟก็เคยพูด และฉันทำยังไงน่ะหรอ ฉันไม่พูดกับหมอนั้นหนึ่งอาทิตย์ ฉันมองนายพงหัวจรดเท้า นายคิดดีแล้วใช่ไหม..
“มองทำไม? พวกผู้ดีไม่ชอบกินไอศกรีมขี้ปากชาวบ้านไม่ใช่หรอ?”
“เอามานี่”
“อะไร?”หมอนั้นหันมาอ้าปากกินไอศกรีมค้างไว้ น่าเกลียดชะมัด
“เอาไอศกรีมมา”ฉันบอกเสียงจริงจัง นายพงยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ยื่นไอศกรีมมาตรงหน้าฉัน
ฉันรับไอศกรีมมาก่อนหมุนไปในมุมที่หมอนั้นยังไม่ได้กัด ก่อนกัดลงไปเพียงเล็กน้อยระวังไม่ให้โดนที่ๆหมอนั้นเคยกัดไปแล้ว ฉันถอนปากออกและมองสภาพไอศกรีมดูผลงานการกัดตนเอง ก่อนพอใจที่มันไม่ไปโดนตรงที่นายพงเคยกัด ติดเชื้อบ้าเข้าจะทำยังไง
“โหยไรวะ กัดต้องระวังขนาดนั้นเลย เดี๋ยวก็ยึดไอพอตคืนหรอก”ฉันรีบถอนคืนหมอนั้นแบบไม่ต้องคิด อยากได้นักก็เอาไป เสนอหน้ามาให้ฉันฟังก่อนทำไม โง่หรือเปล่า หมอนั้นโวยวายใหญ่
“เจ๊นี่เหลือเกินจริงๆ”ทันทีที่ได้ยิน มือฉันก็ลั่นทันที ฉันหยิกหูตานั้นแล้วบอกว่าฉันไม่ชอบคำพูดนั้นมากๆ นายพงยกมือยอมแพ้ด้วยใบหน้าเหยอเก
“ส้มดูเลย เราไม่รังเกียจน้ำลายเธอ”นายพงพูดด้วยสีหน้าภูมิใจจนฉันกรอกตา แน่สิน้ำลายฉันมันน้ำลายคนฉลาด น้ำลายนายมันน้ำลายคนบ้าใครจะไปกินลง
แล้วหมอนั้นก็ก้มลงกัดไอศกรีมตรงที่ฉันกินไปพร้อมกับมองฉันด้วยสายแต่แน่วแน่ จนฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ ฉันเอานาฬิกาขึ้นมาดูและพบว่ามันถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปเรียนพิเศษ ฉันเลยบอกลานายนั้น เขาเพียงนั่งอยู่เฉยๆด้วยใบหน้าที่แตกต่างออกไป หมอนั้นก้มหน้าลงไปมองพื้น...และมองแต่พื้น
เป็นประสาทอีกแล้วใช่ไหม? ลืมกินยาระงับประสาทสิท่า...
ฉันนั่งทำรายงานที่จะส่งอาทิตย์หน้าเผื่อไว้ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีใครทำกันไหม แต่ฉันว่ารายงานชีวะครั้งนี้มันน่าสนใจดีเลยลองเอามาทำเล่นๆหลังทำการบ้านเสร็จ อยู่ที่ดีๆหน้าต่างสนทนาก็เด่งขึ้นมา ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นลิฟ(เพราะคงไม่มีใครอยากคุยกับฉันมากไปกว่าลิฟ) แต่กลายเป็นว่าเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันไปรับแอดตอนไหนก็จำไม่ได้
เกิดมาเป็นคน ต้องหมั่นเลี้ยงควาย บอกว่า ไง
กชกร ศรีสุริยะ บอกว่า ใครน่ะ
เกิดมาเป็นคน ต้องหมั่นเลี้ยงควาย บอกว่า โหย...ไรวะแค่นี่ก็นึกไม่ออก
นายพงหรอกรึไง ฉันกดปิดหน้าต่างทิ้งทันที แต่ก็กลับหัวเราะออกมา ตาบ้านี่มาแอดฉันไวตั้งแต่เมื่อไหร่นะ อยากรู้จริงๆ ฉันออกจากโปรแกรมสนทนา ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับหมอนั้นนี่ เจอกันพรุ่งนี้น่าจะดีกว่า
ติ๊ดๆ
ฉันหันไปมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงติ๊ดๆออกมา ด้วยความที่ฉันโทรไปยกเลิกพวกข้อความโฆษณาออกจากระบบหมดแล้วเลยทำให้อดยกมือถือขึ้นมาดูไม่ได้
คุณได้รับข้อความ 1 ข้อความ
หืม...
ฉันปลดล็อคและเปิดข้อความออก ดูก่อนหัวเราะ
‘เชอะ...มีแต่สมาธิ ระวังจะไม่มีหัวใจ’
ฉันส่งข้อความกลับไปหาเขาด้วยความหมั่นไส้
‘หัวใจคือส่วนสำคัญของร่างกาย แต่ถ้ามีแล้วเป็นแบบนาย เอาสมาธิมาใส่แทนหัวใจดีกว่า’
ฉันหยิบเครื่องเล่นเอ็มพีสามออกมาจากโต๊ะ นายพงให้เพลงมาหลายเพลง
ก็รู้ตัวดี....เรานั้นต่างกัน
และไม่มีวัน...ที่จะลงเอยก็รู้
ฉันยิ้ม ฟังเพลงแล้วเหมือนเห็นนายพงมาทำตัวบ้าๆบอๆให้เห็น ตอนนั้นหมอนั้นเต้นบัลเลย์ประกอบเพลงให้ฉันดูด้วย ประสาทจริงๆ
จากเส้นขนานที่ไม่มีบรรจบกัน
เกิดเป็นความรักที่ไม่มีทางจะแยกกัน... หรอ?+
“เพลงนี้มันเพลงบ้าอะไรวะเนี่ย”ฉันกดปิดไอพอต ก่อนเอาหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ เสียงเพลงบ้าๆของนายพงทำให้ตัวหนังสือมันเลื่อนไปมาอยู่เรื่อย เสียสมาธิชะมัด
ความคิดเห็น