ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Part 1 ความสามารถพิเศษ
Part 1 ความสามารถพิเศษ
ชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักแบบที่ถ้าดูผ่านๆ คงคิดว่าเป็นผู้หญิงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตากลมโตเหม่อมองเพดานสีขาวด้วยสายตาว่างเปล่า
เขาเองก็เริ่มจะชินกับที่นี่แล้วล่ะ อีซองมินพร่ำบอกตัวเองอยู่อย่างนั้น จะเป็นอะไรไป หากจะถูกมองว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ เพื่อแลกกับชีวิตที่ปลอดภัย ไม่ต้องคอยมากังวลเรื่องใด
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองปกติดีทุกอย่าง...
แต่เขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี อยู่ที่นี่มาก็ร่วมปีแล้ว ถามตัวเองอยู่หลายคราว่าหากจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลแผนกจิตเวชนี้ตลอดทั้งชีวิตจะทำได้หรือไม่ ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้ จริงอยู่ว่าชีวิตที่นี่ก็ดูจะสงบสุข เรียบร้อยดี แต่เพราะความเหงาและความเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว รวมถึงอิสรภาพที่ถูกจำกัดไม่ต่างจากนักโทษดีๆ นี่เองทำให้ซองมินนึกอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม กลับไปเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ที่ยังมีคุณแม่ หรือย้อนกลับไปในสมัยที่ยังมีคุณตาคุณยายอยู่ มีคนคอยดูแล มีที่พึ่ง
แต่ตอนนี้เขาคงจะไม่เหลือใครอีกแล้ว...
“คุณอีคะ ได้เวลาทานยาแล้วนะคะ” เสียงพยาบาลสาวที่มักจะได้ยินทุกเช้าหลังจากทานอาหารเสร็จดังขึ้น ซองมินเรียกสติที่หลุดลอยไปไกลให้กลับมา ก่อนจะหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้พยาบาลหน้าใหม่ที่ไม่คุ้นหน้า ร่างเล็กหยัดกายลุกกึ่งนั่งกึ่งนอนก่อนจะแบมือรับเม็ดยา 2-3 เม็ดจากคุณพยาบาล…
ยาที่เขาไม่เคยรับเข้าร่างกายเลยตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงเดือนแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่
“ขอบคุณครับ คุณพยาบาลไปทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมจะทานยาให้หมดทุกเม็ดเลย” เอ่ยพลางส่งยิ้มหวาน
หน้าตาน่ารักแบบเด็กน้อย ท่าทางที่ดูไม่ก้าวร้าวรุนแรงหรือผิดปกติเหมือนคนไข้คนอื่นทำให้พยาบาลผู้นั้นวางใจ หมุนตัวหันหลังเพื่อออกจากห้องไปดูแลคนไข้คนอื่นต่อ
“เดี๋ยวครับ” คำร้องห้ามของคนไข้หนุ่มเรียกให้หญิงสาวต้องหันกลับมาอีกครั้ง เลิกคิ้วมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะคุณอี”
“เอ่อ...เสียใจด้วยนะครับ” พยาบาลสาวหน้าเผือดไปชั่วขณะก่อนจะฝืนส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ชายหนุ่มที่ทักเธอด้วยถ้อยคำประหลาดนั้นทั้งที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก
“เสียใจเรื่องอะไรกันคะคุณอี” นางพยาบาลแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ คิดเอาเองเสียว่านี่คงเป็นอาการปกติของคนไข้แบบซองมินล่ะกระมัง
“ลูกสาวคุณใช่มั้ยครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด...” ซองมินหรี่เสียงเบาลง ก่อนจะมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเสียใจจากใจจริง
“คุณพูดเรื่องอะไรกันคะ ดิฉันไม่เข้าใจ ดิฉันว่าคุณทานยาเถอะค่ะ ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” พยาบาลคนนั้นเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก มีแต่เพียงสายตาหม่นเศร้าของคนที่ยังอยู่ในห้องเท่านั้นที่มองตามด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในอก
ทำไมจะไม่รู้ ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะว่าการต้องสูญเสียบุคคลสำคัญในชีวิตนั้นมันรู้สึกอย่างไร เขาเข้าใจมันดีเลยทีเดียวเชียวล่ะ
“ไม่ตามไปเหรอ” ซองมินหันไปถามเด็กน้อยหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องตั้งแต่พยาบาลคนนั้นเดินเข้ามา เด็กสาวโคลงหัวช้าๆ เอียงคอมองเจ้าของห้องด้วยสายตาคลางแคลง
“พี่ชายมองเห็นหนูด้วยเหรอ…”
“เป็นยังไงบ้างคะคุณปาร์ค ทำงานวันแรก ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยคะ” หัวหน้าพยาบาลถามไถ่พยาบาลที่เพิ่งย้ายเข้ามาที่โรงพยาบาลแผนกจิตเวชวันแรกด้วยไมตรีจิต ปาร์คมินจองยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบปฏิเสธไป
คนไข้ในโรงพยาบาลแต่ละคนไม่มีปัญหาอะไร เพื่อนร่วมงานก็ทั้งแนะนำและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ตอนแรกเธอก็กลัวว่าจะต้องปรับตัวมากหรือจะโดนรับน้องหนักๆ หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
พลันคำพูดของเด็กหนุ่มห้องเกือบสุดท้ายที่เธอเข้าไปดูแลก็แล่นเข้ามาในหัว
“เอ่อ...เสียใจด้วยนะครับ ลูกสาวคุณใช่มั้ยครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด...”
อะไรกันนะคนไข้คนนี้ อยู่ๆ ก็มาแสดงความเสียใจกับเธอเรื่องอะไรกัน ลูกสาวของเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย แค่ไม่สบายนอนพักอยู่ที่บ้าน พิลึกคนจริงเชียว
แต่คนไข้หนุ่มคนนั้นรู้ได้อย่างไรกันนะว่าเธอมีลูกสาว...
“อ่า..ขอโทษนะคะ คนไข้ห้อง 477 คุณอีซองมินเขาเข้ามาที่นี่เพราะอะไรเหรอ
คะ” สุดท้ายก็อดถามพยาบาลที่ประจำอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ไม่ได้
พยาบาลวัยกลางคนดันแว่นตากรอบหนาขึ้นพลางมองหญิงสาวที่เข้ามาซักถามข้อมูลจากตนด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เป็นเรื่องน่าแปลกที่อยู่ๆ พยาบาลออกปากถามเรื่องส่วนตัวของคนไข้แบบนี้
“มีอะไรเหรอ”
“อ๋อ เปล่าค่ะ ดิฉันเห็นเขาดูปกติดี ไม่น่าจะมีปัญหาทางจิต”
“เรื่องส่วนตัวของคนไข้เราไม่จำเป็นต้องรู้เสมอไปหรอกนะ คุณน่าจะเข้าใจจรรยาบรรณข้อนี้ดีไม่ใช่เหรอคะคุณปาร์ค” พยาบาลอาวุโสเอ่ยพลางเหลือบมองชื่อที่ปักอยู่ที่หน้าอกซ้ายของหญิงสาว ก่อนจะหันไปรับโทรศัพท์ที่ดังขัดขึ้นมาพอดี
มินจองเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงติดใจคำพูดของเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนนั้นนัก เมื่อไม่ได้รับข้อมูลที่ต้องการ หญิงสาวจึงทำได้เพียงบอกตัวเองในใจว่าคนไข้หนุ่มคนนั้นก็เป็นเพียงแค่คนไข้ที่มีความผิดปกติทางจิตคนหนึ่งเท่านั้น
“มีห่วงอะไรเหรอ ทำไมถึงยังตามคุณแม่อยู่ล่ะ” ซองมินถามเด็กน้อยที่ยืนทำตาใสอยู่ข้างเตียง หลังจากแนะนำตัวรู้จักชื่อกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าแม่หนูคนนี้ชื่อว่าอึนจู เธอจึงกล้าลดระยะห่างระหว่างคุณคนไข้เจ้าของห้องกับตัวเองลง
“พี่ไม่กลัวหนูเหรอ รู้รึเปล่าว่าหนูเป็นผีนะ” เด็กสาวถามซื่อๆ ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ต่างก็ถูกคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมปลูกฝังว่าผีหรือวิญญาณเป็นสิ่งน่ากลัว แต่ทำไมผู้ชายคนนี้กลับดูไม่รู้สึกอะไรเลยนะ
“ไม่หรอก หนูไม่เห็นมีอะไรให้พี่กลัวเลย” ตอบไปตามความคิด แต่คำตอบแสนตรงนั้นกลับทำให้เด็กน้อยตาแดงๆ รื้นๆ เหมือนใกล้จะปล่อยโฮออกมาเต็มที
“แต่หนูเป็นผีนะ คนต้องกลัวผีสิ” เด็กสาวแย้งเสียงสั่น ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็รู้สึกเหมือนโดนสบประมาทที่ชายหนุ่มตรงหน้าไม่สะทกสะท้านเลยซักนิด
“โอ๋ๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หนูเสียใจหรอกนะ แต่พี่ชินแล้วน่ะ เห็นจนเป็นเรื่องปกติแล้ว” ซองมินพูดเสียงอ่อนพลางทำท่าทางว่าจะลูบหัวเด็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้เพียงอากาศ
“ปกติพี่มองเห็นผีได้ด้วยเหรอคะ” เด็กหญิงถาม
“อืม เห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ” ซองมินพูดพลางส่งยิ้มจางๆ ให้ หากใครเข้ามาในห้องตอนนี้คงคิดว่าเขาเป็นบ้าเพราะอยู่ๆ ก็พูดคนเดียว เหมือนทุกครั้งก่อนหน้าที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ที่มักจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ เสมอเมื่อทำท่าทีเหมือนเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เขาจึงต้องเก็บอาการ ไม่แสดงออก ถึงแม้ว่าวิญญาณบางตนที่พบเจอนั้นมีสภาพที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะทนมองได้ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น นี่คือข้อดีอีกข้อของการได้มาอยู่ในโรงพยาบาลแผนกจิตเวชแห่งนี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถสื่อสารหรือแสดงออกได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องกังวลถึงสายตาคนรอบข้าง เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘คนบ้า’ อยู่แล้ว
“แล้วเห็นผีบ่อยๆ พี่ไม่กลัวเหรอคะ” เด็กน้อยยังคงถามต่อด้วยความสงสัย เพราะแม้แต่เธอที่เป็นวิญญาณบางครั้งยังกลัววิญญาณน่ากลัวๆ เลย นับประสาอะไรกับคนที่เป็นมนุษย์อย่างซองมิน
“กลัวสิ ผีบางตัวน่ากลัวออก... เฮ้ย!” อยู่ๆ ซองมินก็ร้องออกมาดังลั่น เพราะร่างกายส่วนบนของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พุ่งพรวดออกมาจากหว่างขาตรงเตียงผู้ป่วยที่เขากำลังนั่งเอนหลังอยู่
เด็กชายหน้าทะเล้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียดังลั่น จนซองมินที่เมื่อครู่ลูบอกเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองถึงกับค้อนตาเขียวปั๊ด
“เล่นอะไรน่ะบารอม พี่หัวใจเกือบวายแน่ะรู้มั้ย?”
“ฮ่าๆๆๆ โหเจ๊! อยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังไม่ชินอีกรึไง เจ๊นี่แกล้งสนุกชะมัด” เด็กน้อยที่ชื่อบารอมยังคงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะลอยลงมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เด็กสาวอีกคนที่ดูท่าทางว่าจะตกอกตกใจไม่แพ้ซองมินเช่นกัน
“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกเจ๊ พี่เป็นผู้ชายนะ” ซองมินพูดเสียงเข้ม นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นวิญญาณนะพ่อจะเขกกะโหลกซักที เด็กอะไรแสบล่ะเป็นที่หนึ่ง
“หน้าอย่างกับผู้หญิง เรียกเจ๊น่ะถูกแล้ว เรียก ‘ฮยอง’ แล้วมันคันปากพิลึก” คำพูดแก่แดดแก่ลมเกินเด็กของหนูน้อยก็ทำเอาซองมินคันเท้ายิบๆ อยากจะไล่เตะเจ้าเด็กนี่ซักทีดูเหมือนกัน แต่คงจะเสียแรงเหนื่อยฟรีไปเสียเปล่า เพราะก็คงเตะไม่โดน หรือจริงๆ แล้วคงเตะให้โดนไม่ได้
“ว่าไงจ๊ะน้องสาว ชื่ออะไรล่ะเรา น่ารักดีนี่” นอกจากจะกวนประสาทไม่เป็นรองใครแล้ว เด็กแสบของซองมินยังทำตาหวานเยิ้มก้อร่อก้อติกหนูน้อยไร้เดียงสาอย่างอึนจูจนเด็กหญิงลอยหวือหนีมาอีกด้านพลางทำท่าคล้ายจะเกาะแขนซองมินยึดไว้เป็นที่พึ่ง เล่นเอาผิวเนื้อบริเวณนั้นของมนุษย์เพียงคนเดียวเย็นวูบวาบจนขนลุกชัน
“หยุดเลยนะบารอม เห็นมั้ย น้องกลัวแล้วเนี่ย” ซองมินดุเสียงเข้ม แต่ดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่สนใจฟัง
“เดี๋ยวเฮียพาเที่ยวที่นี่เอง ทุกซอกทุกมุมในโรงพยาบาลนี้ เฮียรู้จักหมดแหละ” ไม่พูดเปล่าวิญญาณหนุ่มน้อยบารอมยังถือวิสาสะดึงมือเด็กหญิงลอยข้ามตัวซองมินทะลุประตูออกไป 2 คน ทิ้งให้เขากอดอกตัวเองด้วยความหนาวสั่นเพราะลมเย็นวูบยามที่สิ่งเร้นลับทั้งสองผ่านตัวไป
“บอกกี่ครั้งแล้วนะว่าอย่าโดนตัว ไม่ไหวเลยนะเจ้าบารอมเนี่ย!” ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจคนเดียว
ถึงแม้บารอมจะคอยกวนใจ กวนประสาท ก่อเรื่องวุ่นวายจนโรงพยาบาลก็ยังเคยแตกตื่นเพราะวิญญาณผีเด็กเฮี้ยนมาแล้วแต่หากไม่มีวิญญาณหนุ่มน้อยคนนี้ที่อยู่เป็นเพื่อนมาได้ร่วมเดือน ชีวิตของอีซองมินคงเหี่ยวเฉากว่านี้เป็นแน่
สายตาคมทอดมองหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังอุ้มตุ๊กตาเด็กหญิงตัวน้อย พลางหัวเราะต่อกระซิกพูดคุยกับตุ๊กตาตัวนั้นราวกับมันมีชีวิต หัวที่ฟูยุ่งเหยิง เสื้อผ้าของโรงพยาบาลที่เป็นสีชมพูรวมถึงอากัปกิริยาอาการของนางบอกได้เป็นอย่างดีว่าหญิงคนนี้ไม่ได้เป็นผู้มีความปกติทางจิต
ชายหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ข้างนอกประตูทำได้เพียงยืนมองนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าเข้าไปหามารดาแท้ๆ ของตน น้ำใสๆ คลอเคลือบผลึกตาด้วยความสังเวชใจในโชคชะตาของตนเอง
ทำไมชีวิตของเขาถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย
“คิบอม มาเยี่ยมแม่เหรอ” เสียงหวานดังขึ้นมาจากด้านหลัง เสียงที่เขาคุ้นเคยดี...
คิมคิบอมรีบกระพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำร้อนๆ ที่กำลังเอ่ออยู่ที่ขอบตาทิ้ง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มจางๆ และพยักหน้าให้ชายหนุ่มอีกคนที่สวมชุดแบบเดียวกับมารดาของเขา
“เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ ซองมินมาเดินเที่ยวเหรอ”
“ตอนแรกก็จะไปเยี่ยมคิบอมนั่นแหละ แต่จะแวะมาหาคุณน้าก่อนเลยเจอคิบอมเข้าพอดี” ซองมินตอบคำถามนั้น ก่อนจะเปิดประตูห้องที่ชายหนุ่มแอบยืนมองจากภายนอกอยู่นาน
ตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลนี้มาได้ร่วมปี ก็คงมีคิบอมคนเดียวในโรงพยาบาลนี้ที่เขาเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นเพื่อน เพราะในสายตาของคนอื่นเขาเป็นเพียงแค่คนไข้โรคจิต ย่อมไม่แปลกที่เป็นที่รังเกียจของสังคม จะมีก็แต่พยาบาลใจดีที่พูดคุยกันเองด้วยเป็นบางครั้งแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสนิทกันจนถึงขั้นนั้น และเขาก็คิดว่านอกจากเขาแล้ว คิบอมก็คงไม่มีใครในโรงพยาบาลนี้คบเป็นเพื่อนด้วยเช่นกัน
“ไม่ต้องเข้าไปหรอกซองมิน ท่านไม่รู้หรอกว่าเรามา” คิบอมพูดเสียงเศร้า ใบหน้าคมคายนั้นก้มลงต่ำเล็กน้อย มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มคล้ายจะปลงตกไปเสียแล้ว
เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่ซองมินพบคิบอมยืนแอบดูมารดาของตนเองอยู่หน้าห้องโดยไม่กล้าเข้าไป เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าสองแม่ลูกมีปัญหาอะไรกัน คิบอมยังไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวให้ฟังเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เขาคงปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้
“เอาแต่แอบยืนดูข้างนอกจะมีประโยชน์อะไรล่ะ คิบอมไม่อยากมาเจอแม่รึไง” ซองมินพูด ถ้าดันหลังคิบอมเข้าไปได้เขาคงจะทำไปแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายก็ยอมเข้าไปในห้องนั้นแต่โดยดี คล้ายใจจริงก็อยากจะเข้ามาอยู่แล้วแต่ไม่กล้าพอ
ไม่กล้ารับสภาพความจริง...
ความจริงที่ต้องทนทุกข์อยู่กับมันมานานถึง 2 ปีเต็ม
“ฮโยริน...ลูกรักของแม่ ฮิๆ ลูกของแม่น่ารักที่สุดเลย...” เสียงของหญิงคนนั้นดังเข้ามากระทบในโสตประสาท คิบอมฟังแล้วสะท้านใจ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา
คิมฮานึลไม่รู้ตัวว่ามีแขกมาเยือนในห้องของตนถึงสองคน และทั้งสองคนก็กำลังยืนมองนางที่กำลังนั่งอยู่ที่พื้นห้องร้องเพลงกล่อมให้ตุ๊กตาฟัง
ซองมินเองก็อดสะเทือนใจตามด้วยไม่ได้ แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าคนในครอบครัวแท้ๆ อย่างคิบอมก็ตาม
“แม่ครับ...” เสียงทุ้มต่ำของคิบอมในยามนี้กลับแตกพร่ายามเรียกมารดาของตน แต่นางก็ยังคงไม่ได้ยิน ในขณะที่ซองมินได้แต่ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“หนู...ลูกสาวน้าน่ารักมั้ย...” นางเงยหน้าขึ้นมามองซองมินแล้วถามเสียงใส ก่อนจะยื่นตุ๊กตาให้ซองมินดูพลางตบลงที่พื้นว่างๆ ข้างตัวคล้ายกับจะให้เด็กหนุ่มนั่งลงเป็นเพื่อนเธอ
ซองมินชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งตามคำชวนนั้น หยิบตุ๊กตาในมือของผู้สูงวัยกว่ามาดู พยักหน้ารับพลางส่งยิ้มแกนๆ ให้แทนคำตอบแล้วจึงส่งคืนให้ผู้เป็นแม่ที่รีบรับตุ๊กตาลูกน้อยของนางคืนราวกับจะหวงนักหนา
“ฮโยรินของแม่น่ารักที่สุดเลย...”
“คุณน้าครับ...” ซองมินลังเลคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดปากเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้าเหลือบมองคิบอมที่กำลังมองไปที่ผู้ให้กำเนิดตนด้วยสีหน้าที่เขาอ่านไม่ออก
คล้ายจะเจ็บปวด คล้ายจะน้อยใจ หรือเสียใจก็ไม่อาจทราบได้ เหมือนมันจะผสมกันไปหมด
“ที่จริงฉันมีลูกชายอยู่คนนึงด้วยล่ะ เด็กดื้อคนนั้น...” ฮานึลยังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่เธอกล่าวถึงกำลังยืนมองเธอด้วยสายคาปวดร้าว
“คุณน้าครับ....คิบอมเขา..”
“ใช่...เด็กคนนั้นชื่อคิบอม.. เด็กดื้อ ฮึก...ฮือ..ทำไมไม่กลับบ้าน ทำไมต้องหนีฉันไปด้วย....เหมือนพ่อมัน...เหมือนผู้ชายเลวๆ คนนั้นไม่มีผิด ฮือ...มีแค่ฮโยริน..มีแต่ฮโยรินที่รักฉัน” จากที่หัวเราะร่าเริงเมื่อครู่ ยามนี้หญิงสาวกลับร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่คงแทนว่าเป็นเด็กสาวที่ชื่อฮโยรินนั้นไว้แน่น
“แม่ครับ ผมคิบอมไง ลูกชายของแม่ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ทำไมแม่ไม่หันมามองที่ผมบ้าง! ฮโยรินไม่อยู่แล้ว มีแต่คิบอม มีแค่ผมคนเดียว” น้ำตาที่เมื่อครู่กักเก็บเอาไว้ไหลทะลักลงมาท่วมแก้มเต็มอิ่มนั้น ถึงคิบอมจะขึ้นเสียงจนแทบจะกลายเป็นตะโกน แต่ผู้เป็นแม่กลับยังคงไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น มือหยาบกร้านลูบผมจัดทรงให้ตุ๊กตาตัวน้อยด้วยใบหน้ารักใคร่ ไม่สนใจแม้กระทั่งซองมิน คนที่นางเพิ่งจะสื่อสารด้วยเมื่อครู่
“คิบอม พอเถอะ...” ซองมินลุกขึ้นยืน ทำท่าคล้ายจะไปรั้งแขนชายหนุ่มเอาไว้ แต่คิบอมกลับหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้ซองมินอยู่กับความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ
เขาคิดผิดที่ทำแบบนี้ ไม่น่าเลย ไม่น่าให้คิบอมเข้ามาในห้องเลย
“คิบอม ขอโทษนะ ซองมินขอโทษ” ซองมินรีบวิ่งตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ก้าวไวๆ ออกมาจากห้องของฮานึล พอดักหน้าชายหนุ่มได้ก็รีบก้มหัวลงต่ำและไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจนคิบอมกลับเป็นฝ่ายก้มหัวให้เองซะแทน
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษซองมินที่ทำให้ต้องมาเห็นเรื่องแย่ๆ แบบนี้ ทั้งที่ซองมินหวังดีหวังดีแท้ๆ”
“คิบอม...” ซองมินครางออกมาแผ่วเบา ก่อนจะรีบส่ายหัว “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ คุณน้าน่ะ...”
“เขาปฏิเสธฉัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปหา เขาทำเป็นมองไม่เห็นฉัน เขาคงรู้ว่าเป็นฉัน...ลูกเลวๆ ที่เขาไม่อยากเจอ ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงไว้ด้วยความน้อยใจและชอกช้ำเต็มเปี่ยมเสียจนคนฟังใจไม่ดี
“ไม่ใช่หรอกนะคิบอม มันไม่ใช่แบบนั้น...”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ครั้งแรกผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะคุณแม่อยู่ในสภาพนั้น แต่มันไม่ใช่ คุณแม่รับรู้ว่าทุกคนอยู่ข้างๆ ยกเว้นแค่ผมคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาลหรือแม้แต่ซองมิน...” คิบอมแค่นยิ้มพูดพลางเหม่อมองไปไกล “คงจะเกลียดผมมาก...”
“ไม่มีแม่คนไหนเกลียดลูกตัวเองหรอกนะคิบอม เชื่อซองมินสิ มันไม่ใช่เหตุผลนั้นหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ผมไม่เป็นไรแล้ว แย่จังเลยนะ..เป็นลูกผู้ชายแท้ๆ เผลอร้องไห้ได้ยังไงกัน” คิบอมพูดพลางรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ ก่อนจะส่งรอยยิ้มที่ปั้นให้สดใสให้ซองมินที่ยังคงหน้าเสีย
“คิบอม...ขอโทษนะที่ต้องถามเรื่องแบบนี้ตอนนี้ แต่ฮโยรินเป็นใคร เธออยู่ที่ไหน ทำไมถึง...” ซองมินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคิบอมค่อยๆ หายไป
เขาทำผิดพลาดอีกแล้ว...
คิบอมไม่ได้มีท่าทีกราดเกรี้ยวหรือโกรธเคืองอะไร ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับกระตุกริมฝีปากยิ้มอีกครั้ง
เป็นรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยเหลือเกิน...
ซองมินได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ออกห่างไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะตามอย่างคราแรก
คิบอมไม่ยอมตอบคำถาม เพราะไม่อยากตอบ
คิบอมเดินหนี เพราะอยากอยู่คนเดียว
และเขาก็ไม่ควรจะก้าวก่าย ไม่ควรจะยุ่งปัญหาในครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของคิบอมมากเกินไป
แต่เขาแค่อยากรู้เพื่อหาทางช่วย
ช่วยทั้งฮานึลที่กำลังอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยแผนกจิตเวช
และช่วย...ให้คิบอมมีกำลังใจอยู่ต่อ..ในฐานะผู้ป่วยจากโรคเนื้องอกในสมอง
------------------------------------------------------
69ความคิดเห็น