ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา

ลำดับตอนที่ #2 : วิถีชีวิตที่พลิกผัน

  • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 48


ตอนที่ 2 วิถีชีวิตที่พลิกผัน

    

    ม้าพวงพีบรรทุกเด็กน้อยทั้งสองวิ่งห้อตะบึงด้วยความแตกตื่น เงาดำสองสายพุ่งร่างทะยานติดตามไม่ลดล่ะ ลู่ซุนไม่ทราบวิธีบังคับม้า ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ได้แต่ปล่อยให้ม้าวิ่งไปตามสามัญสำนึกของมัน ตัวมันคอยโอบประคองจิวอวงยี้ทั้งยังเกาะอานม้าแนบแน่นไม่ให้ร่วงหล่นจากแรงกระแทกบนหลังม้า จนหลายชั่วยามผ่านพ้นทิ้งห่างคนชุดดำทั้งสองออกมาไกลโข



ม้าพลันหยุดชะงักเท้าไม่ก้าวเดินแม้สักก้าวเดียว ไม่ว่าลู่ซุนจะทำเช่นไรมันก็ไม่ขยับเขยื้อน พอขยับกลับคิดวิ่งสู่ทางเก่าเส้นทางที่มา ลู่ซุนแตกตื่นยิ่งหากเป็นเช่นนั้นไยไม่ใช้ต้องไปเผชิญกับคนชุดดำทั้งสอง รีบกอดจิวอวงยี้ทิ้งตัวลงใช้ร่างตนเองต่างเบาะรองไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ ตัวมันกลับได้แผลถลอกปลอกเปิกไม่น้อย ยามกระทันหันไม่สามารถลุกขึ้นได้  



จิวอวงยี้เพียงข้ามคืนเดียวสูญสิ้นญาติมิตรคนสนิทกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงเด็กผู้หนึ่งคอยปกป้องดูแลเห็นมันได้รับบาดเจ็บอดกังวลเป็นห่วงไม่ได้ ร่ำไห้กล่าวถาม

“ตั่วกอ ท่านเป็นไรแล้ว”

นางไม่ทราบชื่อแซ่มัน ได้แต่เรียกมันเป็นตั่วกอผู้หนึ่ง ลู่ซุนยันกายลุกขึ้นกล่าวว่า

“ไม่เป็นไร จิวเสียวเจี๊ยะเรารีบไปเถอะหากพวกมันติดตามทัน เราทั้งสองต้องตายอย่างแน่นอน”



“ไปยังที่ใด”



ลู่ซุนได้ยินคำถามนี้ต้องนิ่งงันครู่หนึ่งมันเองยามนี้ยังไม่ทราบว่าจะไปยังที่ใด กล่าวตอบอย่างเลื่อนลอย

“ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ยิ่งไกลยิ่งดี”



ยามนี้อาทิตย์ไขแสงทอจับขอบฟ้า ทั้งสองออกจากเมืองกันจือมาไกลโข เบื้องหน้าเป็นเทือกเขาสูง ลู่ซุนพลันบังเกิดความคิดพานางไปหลบซ่อนบนยอดเขาจึงจูงมือนางเร่งรุดเดินทาง ระหว่างทางเมื่อพบเห็นผลไม้ป่าก็เก็บรับประทาน พบแหล่งน้ำก็แวะดื่ม พอตกค่ำคืนก็หาที่หลบน้ำค้างหลับนอน จิวอวงยี้จะอย่างไรก็เป็นทารกหญิงผู้หนึ่ง หวนคิดถึงบิดามารดา เอี่ยเอี้ย ก็ร่ำไห้ไม่หยุดหย่อน ลู่ซุนต้องค่อยปลอบโยนนางจึงข่มสะอื้นได้บ้าง มันนำเศษไม้มาใช้มีดสั้นที่มีติดตัว สลักเป็นรูปกระต่ายให้นางเล่นบรรเทาอาการทุกข์โศก อากาศยามค่ำคืนเหน็บหนาวยิ่งเด็กทั้งสองต้องนอนกอดแนบชิดกันเพื่อให้เกิดไออุ่นจิวอวงยี้พลันหลับไหลไปในอ้อมอกของลู่ซุน  



ทั้งสองเดินทางผ่านป่าเขาหุบผาสูงชัน ตลอดทางลู่ซุนคอยปลอบโยนช่วยเหลือจิวอวงยี้ประดุดนางเป็นม่วยจื้อ(น้องสาว) จิวอวงยี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดื้อดึงต่อลู่ซุนทุกประการล้วนเชื่อฟังวาจา พอถึงทางที่จิวอวงยี้ไม่สามารถปีนป่ายขึ้นได้ ลู่ซุนก็จะแบกนางขึ้นบนหลัง ระหว่างทางลู่ซุนมักจะแกะตุ๊กตาไม้ให้นางเล่นมิได้ขาด



พอเดินทางถึงวันที่สาม ลู่ซุนรู้สึกว่าร่างกายตนเองร้อนผะผ่าว สมองหนักอึ้ง ที่แท้พิษบาดแผลที่ข้างแก้มเกิดอักเสบรุ่นแรง พอตกค่ำก็ต้องฟุบลงด้วยพิษไข้  จิวอวงยี้ร่ำไห้อยู่ข้างกายมันเกรงมันจากนางไปอีกผู้หนึ่ง เห็นริมฝีปากมันแห้งกรังร้องละเมอหาน้ำ นางจำได้ว่าระหว่างทางผ่านแหล่งน้ำมาไม่ไกลนักจึงรีบรุดตรงไป เดินกว่าชั่วยามกว่าจะถึงแหล่งน้ำขณะใช้ใบไม้ใบใหญ่ห่อน้ำไว้หวังนำไปให้ลู่ซุนดื่มรับประทาน พลันบังเกิดเสียงม้าควบคับเข้าใกล้ จิวอวงยี้ตื่นตระหนกยิ่ง รีบมุดปราดเข้ากอหญ้าซุ่มซ่อนตัว

    

    เห็นชายชุดดำทั้งสอง ควบขี่ม้าที่ตนเองกับตั่วกอเคยโดดสาร ต้องกัดริมฝีปากแนบแน่นไม่กล้าส่งเสียง ม้าพลันมาหยุดตรงแหล่งน้ำ คนชุดดำผู้หนึ่งกระโจนลงจากหลังม้าปลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นโฉมหน้า คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด จิวอวงยี้จึงไม่สามารถเห็นมันถนัดชัดตา สังเกตุได้เพียงแต่คนผู้นี้ไว้เคราสั้น คนผู้นั้นหลังจากกวักน้ำดื่มก็เค้นเสียงกล่าวขึ้น

“เล่าสี่ ครานี้ท่านย่ำแย่แล้ว ลงมือครั้งแรกกลับไม่หมดจดงดงาม ปล่อยให้ผู้คนหลบรอดได้ ไม่ทราบว่า ตั่วเอี้ยจะตำหนิท่านเช่นไร”



เล่าสี่พอฟังต้องลอบไม่พอใจครุ่นคิดขึ้น ‘เฮอะ หรือท่านไม่ได้ลงมือพร้อมเรา เรื่องราวทั้งหมดกลับถ่ายเทความผิดมาให้เรา’ แต่ไม่ได้กล่าวกระไร ลงจากหลังม้าอย่างเงียบงัน พอถึงข้างกายกล่าวถามขึ้นว่า

“เล่าตั่ว(เฒ่าใหญ่) ในความเห็นท่านเราควรทำอย่างไร”

ชายชุดดำที่เรียกว่าเล่าตั่ว หัวเราะเบาๆ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“เด็กน้อยสองคนจะเป็นไรไป ข้าพเจ้าไม่พูด ท่านยิ่งไม่พูด จะมีผู้ใดล่วงรู้ เพียงแต่...”

วาจาเหล่านี้ย่อมบ่งบอกถึงการข่มขู่เรียกร้อง เล่าสี่ไหนเลยไม่ทราบได้ จึงลากเสียงกล่าวว่า

“เล่าตั่ว... ท่านต้องการสิ่งใด โปรดบอกมาเถิด”



เล่าตั่วแย้มยิ้มไม่บอกออกมาในทันที ครู่หนึ่งจึงเปรยออกมา

“ฟังว่าเล่าสี่ มีนางบำเรอสวยสดงดงามยิ่ง ไม่ทราบว่าเราเล่าตั่วจะมีโอกาสสนิทสนมกับนางหรือไม่”

เล่าสี่พอฟังต้องนิ่งงันครู่หนึ่งจากนั้นหัวเราะยาวๆ ยิ้มแย้มกล่าวขึ้น

“เรื่องเพียงเท่านี้ ไหนเลยจะไม่ได้ ผู้น้องเลื่อมใสเล่าตั่วตลอดมา ขอเพียงเอ่ยปากผู้น้องล้วนน้อมสนอง”



เล่าตั่วปิติยินดียิ่ง กล่าวว่า

“น้องอันประเสริฐ จิตใจกว้างขวางอภัยที่ผู้พี่ไม่รู้ความ รับรองเรื่องราวเหล่านี้ผู้พี่จะปิดปากสนิทไม่แพร่นพรายแม้แต่น้อย”

พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกถึงรูปร่างอันงดงามของนางบำเรอเล่าสี่ อดวาบหวามใจไม่ได้  ขณะก้าวขึ้นหลังม้าพลันรู้สึกแผ่นหลังปวดแปลบเย็นยะเยียบ ร้องโอ้ยออกมาคำหนึ่งรีบสะบัดเท้าเตะไปทางด้านหลัง เล่าสี่ทิ้งกระบี่ปักกลางหลังมัน ถลันตัวถดถอยหลบหลีก เล่าตั่วชี้หน้าเล่าสี่ส่ายร่างโงนเงนตวาดลั่น

“เจ้ากลับกล้าลอบประทุษเรา หากตั่วเอี้ยทราบดูว่าเจ้าจะหนีไปไหนรอด”



เล่าสี่เค้นเสียง เฮอะ กล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ข้าพเจ้าไม่พูด ท่านยิ่งไม่สามารถพูดได้ ตั่วเอี้ยไหนเลยทราบได้”

พลันฟาดผ่ามือออกฟาดใส่ทรวงอกเล่าตั่วอย่างถนัดถนี่ ร่างปลิวกระเด็นล้มตรงหน้าจิวอวงยี้ พอถึงพื้นก็สิ้นใจตาย

จิวอวงยี้ต้องอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก



เล่าสี่ได้ยินเสียงอุทานทราบว่ามีคนซุ่มซ่อนอยู่ เห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งวิ่งออกจากกอหญ้ารีบกระโจนพุ่งขวางคว้าตัวไว้ พอเห็นถนัดชัดตา คับคลายเป็นธิดาตระกูลจิวต้องหัวเราะกึกก้องด้วยความปิติ กลับต้องชะงักค้างพบว่าในเสียงหัวร่อของตนกลับสะท้อนก้องกลับมีมากมายกว่าหนึ่งเสียง ทั้งยังมีเสียงสตรีเจือปนบ้างเป็นเสียงแหลมเล็ก เล่าสี่ต้องหันรีหันขวาง ส่ายตามองดูโดยรอบ ทราบว่ามีผู้คนซุ่มซ่อนอยู่ระแวกนี้ ในเสียงหัวร่อได้ยินเสียงเย็นทุ่มเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นว่า

“คนผู้นี้ลงมืออำมหิต หมดจดนักเป็นที่น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง”  



เสียงสตรีหยาดเยิ้มไฟเราะเสียงหนึ่งพลันกล่าวขึ้น

“เปรียบเทียบกับยี่เฮีย(พี่ที่สอง) แล้วคนผู้นี้ไม่อาจเปรียบได้”



ซุ่มเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งพลันตวาดด่าขึ้น

“เฮอะ สตรีจัดจ้าน ไหนเลยเอาเราไปเปรียบกับมัน เรายังไม่เคยลอบแทงคนข้างหลังมาก่อน”



เล่าสี่พลันรู้สึกมีเงาสายหนึ่งผ่านหน้าตนเอง ข้อมือที่คว้าจิวอวงยี้ไว้ปวดแปลบคราหนึ่ง ต้องถอยกายออกไปสองก้าวอย่างลืมตัว เห็นคนผู้หนึ่งอยู่ห่างเบื้องหน้าตน เจ็ดแปดก้าวมันรูปร่างผอมเกร็ง ไว้เคราแพะ อายุประมาณสี่สิบเศษ ในมือโอบอุ้มจิวอวงยี้ไว้ เล่าสี่ต้องแตกตื่นในพลังฝีมือของมันเพียงลงมือคราหนึ่งก็ช่วงชิงคนในมือมันในพริบตา คนผู้นั้นวางจิวอวงยี้ลงกล่าวน้ำเสียงแหลมเล็กระคายหู

“เด็กน้อยเจ้าไปเล่นในที่ห่างไกล ที่นี้ไม่ใช่ที่เล่นของทารกหญิง ไป ไป”

จิวอวงยี้ไหนเลยก้าวขาออกแม้แต่ก้าวเดียว พลันในความมืดปรากฏคนอีกสองคนเดินออกมาเคียงคู่กัน หนึ่งแต่งกายเยี่ยงบัณฑิตคงแก่เรียน ไว้เครายาวถือพัดจีบ ท่วงท่าสุขุม อายุประมาณสี่สิบห้าสิบปี  อีกหนึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบ ท่วงท่าอ้อนช้อยยามเดินอ้อนแอ้นอรชร แต่งชุดไม่ใคร่สำรวม แม้ชุดเป็นชุดหนาป้องกันอากาศหนาวแต่ช่วงคอเปิดกว้างเผยให้เห็นเอี้ยมแดง ผิวหัวไหล่นวลใย สองเท้าใส่ร้องเท้าฟางใช้นิ้วเท้าคีบไม่สวมถุงเท้าปกปิด รูปร่างยั่วยวนบุรุษเพศเป็นอย่างยิ่ง หากพบเห็นนางบนท้องถนนย่อมเข้าใจว่านางเป็นหญิงคณิกาไม่หอใดก็หอหนึ่ง

    

เล่าสี่ทราบว่าผู้มามีฝีมือไม่ต่ำทราม จึงกล่าวอย่างสุภาพ

“เราท่านไม่มีอริบาดหมาง ขอเพียงคืนทารกหญิงผู้นั้นให้กับเรา ภายหน้าย่อมต้องหาทางทดแทนคุณ”



ชายที่แต่งกายเยี่ยงบัณฑิต กล่าวเสียงเย็นยะเยียบ

“ท่านกระทั้งโฉมหน้าก็ไม่เปิดเผย ยังคิดทดแทนคุณ ต่อให้เราคิดทวงถามบุญคุณก็ไม่ทราบว่าจะทวงถามกับผู้ใด”



เล่าสี่ต้องชะงักงันลงครู่หนึ่ง สตรีที่มาด้วยกันยืนเท้าสะเอว กล่าวน้ำเสียงหยาดเยิ้มว่า

“ความจริงพวกเราไม่ชมชอบยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของผู้อื่น แต่ในหุบเขาสิ้นชีพนี้ไม่ยุ่งเกี่ยว ออกจะเป็นที่เสื่อมเสียหน้าพวกเราไปบ้าง จึงขอตั่วเอี้ย(นายท่าน) ให้อโหสิ”



ซุ่มเสียงของนางแม้ชวนสนิทสนม แต่เล่าสี่พอฟังว่าหุบเขาสิ้นชีพต้องหลั่งเหงื่อเย็นยะเยียบ ลอบครุ่นคิด ‘หรือนี้เราเข้าเขตหุบเขาสิ้นชีพแล้ว  เช่นนั้นพวกมันก็คือสามภูตกวนตั๋งแห่งเขาสิ้นชีพเป็นแน่’ เมื่อคิดแล้วหนาวเหน็บถึงไขสันหลัง  



ฟังว่า สามภูตกวนตั๋งเป็นมหาโจรฝีมือสูงเยี่ยม ประกอบด้วย บัณฑิตมือวิเศษ เจี่ยซิงเห๋อ เงาอาชา งุ้ยเลี่ยงแช บุบผาร้อยพิษ คังหมิ่น คราครั้งก่อนประกอบคดี อาละวาดทั่วยุทธภพแดนกังน่ำ ไม่ว่าสิ่งของใดมันหมายตาล้วนไม่อาจพ้นมือ สามารถช่วงชิงไปจนได้ ภายหลังล่วงเกินชาวยุทธจักรมากหลาย ค่ายสำนักน้อยใหญ่ร่วมมือกันต่อต้าน จนต้องหลบลี้มายังหุบเขาแห่งนี้จากนั้นรวบรวมพลพรรคในสายอาชีพเดียวกันเข้าครอบครองหุบเขา ในหลายปีมานี้ผู้ที่เหยียบย่างเข้าสู่หุบเขานี้ ไม่อาจมีชีวิตรอดกลับออกมา จนเป็นที่ล่ำลือ ให้ฉายาเป็นหุบเขาสิ้นชีพ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากย่างกรายเฉียดผ่าน  



เล่าสี่คราครั้งนี้ไม่ทราบว่าตนเองจะมีชะตาชีวิตเช่นไร แต่หากให้อยู่รอความตาย สู่เสี่ยงหลบหนีจะประเสริฐกว่า ไม่รีรอให้ผู้คนกล่าวมากความรีบกระโจนขึ้นหลังม้าควบตะบึงออก เงาอาชา งุ้ยเลี่ยงแชพลันตวาดเสียงแหลมเล็กขึ้น

“อยู่ต่อหน้าเรา ยังกล้าคิดหลบหนี”

พุ่งร่างประดุจเกาทัณฑ์ออกจากแหล่ง คนผู้นี้มีฝีเท้ารวดเร็วพริบตาตามติดหลังม้าดุจภูตพราย เอื้อมมือคว้าใส่ต้นคอมันคิดบิดกระดูกให้หักสะบั้น เล่าสี่แตกตื่นสุดชีวิตมันไฉนมีฝีเท้ารวดเร็วปานนี้ บัณฑิตมือวิเศษ เจี่ยซิงเห๋อ รีบกล่าวไล่หลังงุ้ยเลี่ยงแชว่า

“ยี่ตี๋อย่าได้ลืมสัญญากับเฒ่าแซ่เต็ก”

เสียงกล่าวมันไม่ใคร่ดัง แต่คนทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจน งุ้ยเลี่ยงแชเค้นเสียง ฮึ  เปลี่ยนจากการจับคว้าต้นคอมาคว้าลำตัวเหวี่ยงเล่าสี่ลงจากหลังม้าตนเองขึ้นไปนั่งแทน  เล่าสี่เมื่อลุกขึ้นได้ไม่ลังเลรั้งรอ รีบวิ่งตะบึงหลบหนี งุ้ยเลี่ยงแชก็ไม่ได้ติดตามควบม้าย่างเยาะเยาะ กลับมา สีหน้าขุ่นเคืองไม่น้อยกล่าวกับบัณฑิตมือวิเศษ

“ตั่วเฮีย(พี่ใหญ่) หรือเราไม่อาจฆ่าคนบนหุบเขานี้ได้ภายในสิบปี จริงๆ”



บัณฑิตมือวิเศษ เจี่ยซิงเห๋อ ถอนใจยาวออกมา กล่าวอย่าสะทกสะท้อนใจ

“เมื่อเราพ่ายแพ้ ต่อคนผู้นั้นจนหมดท่าแล้ว ได้แต่ทำตามสัญญา อย่าให้ผู้คนดูแคลนว่าสามภูตกวนตั๋งเป็นชนชั้นไร้สัจจะ”

คังหมิ่น ใช้มือลูบแก้มกล่าวออกมาอย่างตัดพ้อแง่งอน กล่าวว่า

“เฒ่านั้นกลับวิปริตตายด้าน สตรีงดงามเช่นเรากลับตบทำร้ายได้ลงคอ”

ทวงท่ากิริยาของนางดุจดรุณีแรกแย้มไม่มีผิด งุ้ยเลี้ยงแชเค้นหัวร่อกล่าวแดกดันว่า

“ซาม่วย (น้องที่สามผู้เป็นหญิง) มันไม่ตบท่านจนฟันร่วงหมดปากนับว่าปราณีท่านมากแล้ว ผู้ใดให้ท่านไปยั่วยุมัน”



นางต้องกระทืบเท้าอย่างแง่งอน น้ำตาพรั่งพรู ดูแล้วน่าเวทนาตวาดแวดใส่

“ ยี่เฮีย ที่แท้ท่านเป็นพวกเฒ่าตายด้านนั้น หรือเป็นพวกข้าพเจ้ากันแน่ เฮอะ บอกให้ทราบ ที่พวกเราทำการไม่สำเร็จวันนี้เป็นเพราะท่าน หากท่านรั้งมันไว้อีกครู่เดียวเรากับตั่วเฮียก็สามารถหยิบฉวยของของมันมาได้ วิชาตัวเบาท่านกลับใช้การไม่ได้แล้ว “

งุ้ยเลี่ยงแช เดือดดาลเป็นการใหญ่เต้งผ่างผ่าง ถลกแขนเสื้อขึ้นชีหน้า แต่ไม่มีวาจาจะกล่าวได้แต่ร้องด่า สตรีจัดจ้านอยู่คำเดียว



บัณฑิตมือวิเศษต้องยกมือปรามคนทั้งสอง ไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน กล่าวห้ามปรามขึ้น

“เอาเถอะ เอาเถอะ อย่าได้ทะเลาะกัน เจ้าทั้งสองหากวันใดไม่ทะเลาะกันไม่ทราบว่ารับประทานข้าวลงหรือไม่”

ทั้งสองจึงเงียบลง แต่คังหมิ่นยังแสยะหน้าล้อเลียนเป็นเชิงยั่วโทสะงุ้ยเลี่ยงแช บัณฑิตมือวิเศษนิ่งคิดชั่วครู่กล่าวต่อไปว่า

“พวกเราความจริงไม่ใช่ฝีมือใช้การไม่ได้ แต่เฒ่าประหลาดนั้นฝีมือลึกล่ำเกินไป ทั้งยังเท่าทันคน หากเรามีผู้ช่วยเข้มแข็งอีกผู้หนึ่ง ไม่แน่อาจจะทำการสำเร็จ”



งุ้ยเลี่ยงแช เค้นเสียงกล่าวคล้ายระบายโทสะกับเรื่องที่ผ่านมา อย่างขุ่นเคือง

“ตั่วเฮีย ทอดตาทั่วแผ่นดินยามนี้ วิชาช่วงชิงสิ่งของฉกชิงวิ่งลาว ในต่ำใต้มีใครเสมอเราทั้งสาม หากฝีมือไม่ถึงขั้นพาไปมีแต่จะขัดมือขวางเท้า”

คังหมิ่นพลันสอดคำขึ้น

“ช่วงชิงสิ่งของนับเป็นเรากับตั่วเฮีย แต่ฉกชิงวิ่งลาว นับเป็นท่านแล้ว”

งุ้ยเลี่ยงแชเค้นเสียง เฮอะ ไม่ได้แยแสสนใจนาง กล่าวต่อไปว่า

“หากตั่วเฮียคิดหาผู้ช่วยเพิ่มอีกผู้หนึ่ง  คนผู้นั้นต้องมีฝีมือสูงส่งเสมอพวกเราไม่เช่นนั้นเกรงว่า พอพบเฒ่าประหลาดนั้นก็โดนมันฟาดตายก่อนแล้ว”



คังหมิ่น พลันหันไปมองจิวอวงยี้ ที่ยืนมึนงงดูคนทั้งสามทุ่มเถียงกัน เกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ส่งยิ้มหยาดเยิ้มให้คราหนึ่งก่อนเดินเข้าไปกอดนางไว้กล่าวว่า

“หากคนผู้นั้นเป็นศิษย์ของพวกเราล่ะ เฮียเฮียทั้งสองเห็นประการใด”

พลางใช้มือลูบคำตามตัวทารกหญิง จิวอวงยี้แตกตื่นลนลานคิดดิ้นรนหลบหนีแต่มือนางทั้งคู่ประดุจคีมเหล็กนางไหนเลยหลุดรอดได้ คังหมิ่นยิ้มแย้มกล่าวว่า

“เหมาะยิ่งนัก เหมาะยิ่งนัก พวกท่านดูเด็กผู้นี้ ต่อไปอีกสิบปีข้างหน้าเมื่อเติบโตเป็นโกวเนี้ยะผู้หนึ่งจะมีความงดงามปานใด ยิ่งหากได้ร่ำเรียนวิชาของข้าพเจ้า ต้องงามล้ำเลิศพิไรอย่างแน่นอน”



งุ้ยเลี่ยงแช เค้นเสียงเฮอะ กล่าวแดกดันขึ้น

“วิชาสตรีจัดจ้าน ผู้ใดอยากร่ำเรียน”

นางค้อนมันวงหนึ่งแต่ไม่ได้กล่าวกระไร ยังคงจับต้องเรือนร่างใบหน้าจิวอวงยี้ กล่าวชมไม่ขาดปาก บัณฑิตมือวิเศษครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกว่าความคิดของคังหมิ่นนั้นดียิ่ง พลันรวบพัดจีบทำทีท่าเหมือนตกลงใจกล่าวว่า

“ซาม่วยกล่าวถูกแล้ว วิชาของพวกเราเป็นเอกจำเพาะ ต้องฝึกฝนตั้งแต่เยาว์วัยจึงประสบผล หากเป็นศิษย์เราเองย่อมสามารถถ่ายทอดฝีมือให้ได้อย่างเต็มที่”



งุ้ยเลี่ยงแช ไม่ใคร่พอใจตัวมันเองอยากได้ศิษย์ที่เป็นผู้ชายมากกว่าศิษย์สตรี มีสีหน้าครุ่นคิดกล่าวว่า

“เช่นนั้นรับศิษย์ผู้ชายไม่ดีกว่ารึ เด็กผู้นี้ไหนเลยเรียนวิชาตัวเบาของเราได้”

ขณะกล่าววาจาก้าวเดินเข้าไป เอื้อมมือคว้าข้อเท้าของทารกหญิง จิวอวงยี้ต้องตื่นตกใจไม่ทราบว่าพวกมันคิดทำการสิ่งใดต่อตนเอง งุ้ยเลี่ยงแชพลันร้อง เอ๊ะ มีสีหน้าสงสัยพลันคว้าข้อเท้าอีกข้าง ครานี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นปิติยินดี ร้องออกมาอย่างสมใจ

“เพ้ย เราตามหาผู้ที่มีข้อเท้าเช่นนี้มานานที่แท้กลับเป็นทารกหญิงผู้นี้ วิเศษแท้ วิเศษแท้”

มันร้องแต่คำว่าวิเศษแท้อย่างยินดี แต่จิวอวงยี้กลับไม่ทราบว่ามันยินดีกับข้อเท้าของตนด้วยเรื่องใดจ่องมองมันด้วยสีหน้ามึนงงสงสัย บัณฑิตมือวิเศษยิ้มสรวนขึ้นเมื่อเห็นทุกคนเป็นที่ตกลงใจ จึงกล่าวว่า

“เมื่อเราเห็นพร้องต้องกันก็นำเด็กผู้นี้กลับไปเถอะ”



จิวอวงยี้พอฟังต้องดิ้นรนโดยแรงกล่าวร่ำร้องขึ้น

“ข้าพเจ้าไม่ไป ข้าพเจ้าไม่ไป ข้าพเจ้าจะรีบไปช่วยคน”



ทั้งหมดมีสีหน้าสงสัย ทารกหญิงนี้คิดจะไปช่วยผู้ใด หรือเด็กผู้นี้ยังมีผู้ตามมาอีกผู้หนึ่ง จึงกล่าวถาม

“เจ้าจะไปช่วยผู้ใด”



จิวอวงยี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นกล่าวว่า

“ตั่วกอข้าพเจ้านอนป่วยอยู่ มันต้องการน้ำ ข้าพเจ้าจะนำน้ำไปให้มัน”

ทั้งหมดสบตากันวูบหนึ่งครุ่นคิดพวกมันต้องการแต่ทารกหญิงผู้นี้ผู้อื่นไหนเลยต้องการ คิดจะพานางไปในบัดดลแต่นางกลับไม่ยินยอม หากไม่ยินยอมไหนเลยสั่งสอนวิชาให้ได้ จึงพากันเร่งรุดไปชมดู พอไปถึงจิวอวงยี้พบว่าที่ที่ตั่วกอเคยนอนกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ต้องตื่นตระหนกยิ่ง ตะโกนเรียกหาอยู่หลายคำแต่กลับไม่มีเสียงตอบ พลางจะวิ่งออกไปค้นหา กลับถูกงุ้ยเลี่ยงแชคว้าตัวไว้ งุ้ยเลี่ยงแชกล่าวว่า

“เจ้าจะไปที่ใดเจ้าต้องไปกับเรา”

จิวอวงยี้ทุบมือที่คว้าตัวนางเป็นพัลวันร่ำร้องขึ้น

“ปล่อยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปหาตั่วกอ”



งุ้ยเลี่ยงแช พลันเกิดอารมณ์หงุดหงิดกล่าวตวาดว่า

“เจ้าจะไปหามันยังที่ใด มันไม่อยู่แล้ว เจ้าต้องไปกับเราอย่าได้พิรี้พิไร”

จิวอวงยี้พลันร่ำไห้ตะโกน

“ท่านคิดพาข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ากลับไม่ไป ท่านคิดสอนสิ่งใดข้าพเจ้ากลับไม่เรียน ข้าพเจ้าจะหาตั่วกอ”

ทั้งหมดต้องนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คาดว่าเด็กน้อยผู้นี้จะดื้อดึงปานนี้ งุ้ยเลี่ยงแชต้องใจหายวาบไม่ทราบมันตามหาผู้ที่มีข้อเท้าเช่นนางมานานเท่าไรยามนี้พบเจอรู้สึกปิติยินดี คิดถ่ายทอดวิชาตัวเบาของตนแก่ศิษย์รัก แต่หากนางไม่ยอมร่ำเรียนความปารถนาของตนก็สูญสิ้น จึงกล่าวว่า

“เอาเถอะ เอาเถอะ เราจะพาเจ้าติดตามหามันรอบหุบเขา แต่หากไม่พบพานเจ้าต้องติดตามเราไป ทั้งยังต้องร่ำเรียนสิ่งที่พวกเราสั่งสอน”



จิวอวงยี้อับจนหนทางต้องข่มสะอื้นผงกศีรษะรับ  งุ้ยเลี่ยงแชแบกนางขึ้นหลังกล่าวบอกต่อ เจี่ยซิงเห๋อ กับ คังหมิ่น ให้กลับไปก่อนตนเองจะตามไปที่หลัง พลันโลดแล่นโจนทะยานออกดุจเหินบิน งุ้ยเลี่ยงแชแบกจิวอวงยี้วิ่งวนรอบหุบเขาเนิ่นนาน เวลายิ่งล่วงเลย จิวอวงยี้ยิ่งร่ำไห้คาดว่าไม่อาจพบพานลู่ซุน ตั่วกอนางไฉนถึงสาบสูญไม่อาจหาคำตอบได้ จนไม่อาจทนแรงอ่อนล้าหลับไหลลงบนแผ่นหลังงุ้ยเลี่ยงแช



๑๑๑๑๑๑๑๑๑



    ทามกลางหุบเขาสิ้นชีพที่สูงชัน เบื้องบนกลับเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านหนึ่ง หมู่บ้านนี้เรียกว่าซ่อนมังกร บ้านเรือนถูกปลูกสร้างสลับตามแนวเขา เรียงรายเป็นทิวแถวดูแล้วตระการตาน่าพิศวง ตรงใจกลางเป็นลานกว้างเป็นที่ตั้งของโรงเตี้ยมหลังหนึ่ง โรงเตี้ยมแห่งนี้เป็นที่พักของชนชาวมิจฉาชีพที่มาค้าขายกับชาวหมู่บ้าน หรือบางทีมาแลกเปลี่ยนสิ้นค้าที่ปล้นมาโดนมีหมู่บ้านซ่อนมังกรเป็นคนกลางคอยติดต่อค้าขาย จึงเนืองแน่นด้วยผู้คนมากมาย บ้างเล่นพนันเสียงดังเอะอะโวยวาย บ้างดื่มสุราเมามายเอะอะอาละวาด บ้างโอบกอดสาวคณิกาที่มีอยู่กราดเกลื่อนภายในโรงเตี้ยมแห่งนี้ แต่ล่ะผู้คนมีท่าทีป่าเถื่อนดุร้าย ดูแล้วล้วนเป็นชาวยุทธจักรที่เดินในเส้นทางมิจฉาชีพแทบทั้งสิ้น



    ที่หน้าประตูโรงเตี้ยมพลันปรากฏชายฉกรรจ์รูปร่างใหญ่ไว้เคราคลึ้มถือดาบห่วงทองเดินส่ายอาดๆขึ้นบันไดชั้นสอง เข้ามาจับจองโต๊ะตัวหนึ่งกล่าวเรียกผู้รับใช้ในโรงเตี้ยมด้วยเสียงอันดัง

“เซี่ยวเอ้อ นำสุราชั้นดี เนื้อชั้นดีมาสองชั่ง อย่าให้ เอี่ยเอี้ย(ยกย่องตนเองเป็นปู่) ต้องรอนาน”

มันยกกาน้ำชารินใส่ถ้วยดื่มดับกระหายไปคราหนึ่ง สายตาพลันเหลือบแลเห็นดรุณีผู้หนึ่งนั่งเหยียดกายริมชานระเบียงมือหนึ่งท้าวคาง อีกมือหนึ่งกำตุ๊กตาไม้รูปกระต่ายหมุนวนเล่น สายตาเพ่งมองตุ๊กตาอย่างเหม่อลอย ท่าทีเกียจค้านน่าพิสมัยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่เพียงผู้เดียว  



ชายฉกรรจ์เมื่อเห็นนางถนัดชัดตาต้องตะลึงงันขึ้นคราหนึ่ง นางกลับงดงามปานเทพธิดา รูปร่างเรือนกายกิริยาท่าทีของนาง ดูมีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงอย่างยิ่ง ยามนางยักคิ้วหลิ่วตาแก่ตุ๊กตาไม้  ชายฉกรรจ์แทบไม่อาจทนทานได้คิดถาโถมเข้าไปโอบกอดนางสักครา ผลุดลุกขึ้นอย่างลืมตัวชนโต๊ะกระดอนออก พอดีเป็นเวลาที่ผู้รับใช้วางสุราอาหารลงบนโต๊ะ ขวดสุราแทบกลิ้งตกลงพื้นดีทีผู้รับใช้ผู้นี้มือไวคว้าขึ้นมาได้ทัน ชายฉกรรจ์ฉุดดึงมือผู้รับใช้ไว้ชี้นิ้วกล่าวบอก

“เจ้าไปเรียก โกวเนี้ยะ ผู้นั้นมาปรนนิบัติเรา บอกว่าเตียวหยงป้าเรียกหา”

ยัดง้วนปอเงินใส่มือผู้รับใช้ไปตำลึงหนึ่งให้เป็นค่าน้ำชา ผู้รับใช้เหลือบสายตาไปตามนิ้วมือ เมื่อพบเห็นต้องรีบโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า

“ตั่วเอี้ย ไม่ได้ นาง...”



มันกล่าวยังไม่ทันจบ ต้องร้องโอยออกมาข้อมือกลับถูกเตียวหยงป้าบิดโดยแรง เตียวหยงป้าตวาดลั่น

“ไม่ได้ หมายความเช่นไรไม่ได้ ยังไม่รีบไปเรียกนางให้กับเรา ไม่เช่นนั้นเราจะบิดแขนเจ้าให้หักลง”

ผลักไสผู้รับใช้ไปยังทิศทางที่นางนั่งทอดกายอยู่ มันล้มลงตามแรงผลักเกือบถึงปลายเท้าเปล่าเปลือยของนาง นางชม้ายตาหันมา พบเห็นมันยิ้มแห้งๆกล่าวว่า

“ตั่วเจ๊ ตั่วเอี้ยท่านนั้นคิดเชิญท่านไปสนทนา”



นางเก็บตุ๊กตาไม้ไว้ในอกเสื้อลุกขึ้นบิดขี้เกียจคราหนึ่ง เตียวหยงป้าเห็นนาง หน้าอกอวบอั๋น เอวคอดกิ่ว สะโพกกลมกลึง เวลาก้าวเดินสะโพกยักย้ายยั่วยวน ต้องบังเกิดจิตรราคะพลุพล่าน นางพอถึงเบื้องหน้าเตียวหยงป้า ก้มกายคาราวะอย่างชดช้อยกล่าวว่า

“ไม่ทราบว่า ตั่วเอี้ย เรียกหามีธุระอันใด”

เตียวหยงป้ารีบเข้าไปประคอง พอเอื้อมมือออกคิดคว้าตัว นางขยับตัววูบหนึ่งคล้ายไม่เจตนา เตียวหยงป้ากลับคว้าถูกอากาศธาตุ พอเหลือบแลดูเห็นนางนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูไม่ออกว่านางถลันหลบด้วยวิธีใด นางรินสุราสองจอก กล่าวถามขึ้น

“ธุระ ตั่วเอี้ย ยังไม่ได้บอกกล่าว”

พลันยื่นสุราจอกหนึ่งส่งให้ กิริยาของนางชดช้อยเชื่องช้า ดูน่าชวนลุ่มหลง เตียวหยงป้าเอื้อมมือคว้าจอกสุราหมายยึดกุมมือนางจุมพิตให้สาใจ แต่จอกสุราพอส่งถึง มือนางก็หดกลับดูไม่คล้ายรีบเร่งไม่ลนลาน เตียวหยงป้าคว้าได้แต่จอกสุราแต่มือนางกลับหลุดรอดไป มันลงมือลวนลามสองครั้งกลับพลาดผิด ครุ่นคิดคันที่หัวใจ ‘คณิกานางนี้ลูกเล่นแพรวพราวนัก’ พลันยกจอกสุราดื่มรวดเดียวหัวเราะฮ่าๆกล่าวว่า

“ธุระเรา คงต้องบอกกล่าว คืนนี้เราคิดพักแรมที่นี่ หากเจ้ายินดีปรนนิบัติรับใช้เรา ไม่ว่าเรียกเงินทองเท่าไรเราล้วนยินดีจ่าย”



มันยึดถือนางเป็นสาวคณิกา จึงไม่วกวนอ้อมค้อม พอเอ่ยปากก็ถามไถ่ราคา นางยิ้มแย้มหยาดเยิ้ม กล่าวเสียงนุ่มนวล

“ค่าตัวข้าพเจ้าไม่กล้าเรียกมากมาย  เพียงร้อยตำลึงเท่านั้น”



เตียวหยงป้าพอฟังต้องครุ่นคิดอย่างยินดี ‘ร้อยตำลึงเมื่อเปรียบกับนางผู้นี้นับว่าถูกยิ่ง วันนี้เราได้ของดีราคาเยาว์นับว่ามีวาสนาไม่น้อย’ หัวเราะอย่างปิติกล่าวว่า

“อย่าว่าแต่ ร้อยตำลึงขอเพียงเจ้าปรนนิบัติเราสมใจ สามร้อยตำลึงเราก็จ่ายได้”



นางยิมแย้มให้ลุกขึ้นไปข้างกายมันก้มคาราวะขอบคุณอย่างชดช้อย เตียวหยงป้าเห็นได้ทีรีบฉุดดึงนางเข้าหา นางไม่แข็งขืนพอถูกดึงก็ถลาเข้าแนบอกมัน ผลักไสมือออกคราหนึ่งถอยกายออกย่นจมูกแย้มยิ้มล้อเลียน เตียวหยงป้าแทบไม่อาจทนทานได้คิดขึ้นห้องในบัดดล นางกล่าวว่า

“ตั่วเอี้ย ท่านนี้ใจร้อนยิ่ง เพียงแต่เรามีธรรมเนียม ต้องจ่ายก่อนรับประทาน”



เตียวหยงป้าพลันคิดได้หัวเราะ ฮ่า ฮ่า

“ถูกแล้วถูกแล้ว”

ล้วงลงไปที่อกเสื้อ คิดหยิบตั๋วเงินออกแต่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เมื่อพบกับความว่างเปล่า แสยะยิ้มแห้งๆให้กับนางคราหนึ่งก่อนลุกขึ้นตบไปตามลำตัว แต่กลับไม่พบสิ่งใด มันต้องครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ ‘เงินเราเก็บไว้ที่นี้ชัดชัดไฉนจึงสาบสูญ’ ภายหลังถึงกับถอดเสื้อโบกสะบัดค้นหา ตั๋วเงินสี่หมื่นสองพันตำลึงที่เพิ่งนำของที่ปล้นมาไปแปรเปลี่ยน กลับอันตรธารหายไป เห็นนางยืนเท้าสะเอวมีสีหน้าเย็นชา กล่าวว่า

“ตั่วเอี้ย ดูท่านคงไม่มีเงิน หรือท่านเป็นพวกนิยมมากินเปล่า”

พลางสะบัดกายเดินจากไป



เตียวหยงป้า งงงันอยู่ชั่วครู่ พลันฉุกคิดได้ว่าผิดท่า รีบคว้าข้อมือนางไว้กล่าวตวาด

“เป็นเจ้า นางหญิงแพศยา ยังไม่รีบคืนตั๋วเงินเรามา”

นางร้อง เพ้ย ออกมา กล่าววาจาเสียงดัง

“ท่านเมื่อไม่มีเงินยังพอทำเนา แต่นี้ยังคิดปรักปรำให้ร้ายคน ออกจะเกินไปแล้ว”



บรรดาผู้ที่อยู่ในโรงเตี้ยมต่างหันมาจับจ่องมันเป็นจุดเดียว เห็นมันถอดเสื้อครากุมสตรีผู้หนึ่ง สตรีผู้นั้นประกาศร้องว่ามันไม่มีเงิน ล้วนจ่องมองมันด้วยสีหน้าพิกลยิ่ง  เตียวหยงป้าทั้งอับอายทั้งเดือดดาล ชักดาบห่วงทองขึ้นตวาดว่า

“ปลิดแขนเจ้าลงมาข้างหนึ่ง ดูว่าจะยอมรับหรือไม่”

เงื้อดาบขึ้นฟาดฟันลง นางเบี่ยงตัวขยับวูบหนึ่งใช้มือคว้าข้อมือข้างที่ถือดาบ เอี้ยวตัวหยิบยืมแรงเหวี่ยงสะบัดคราหนึ่ง เหวี่ยงร่างสูงใหญ่ของเตียวหยงป้าข้ามศีรษะตกลงบนโต๊ะตัวหนึ่งเสียงดัง โครม ลั่น  ดูผิวเผินแล้วนางคล้ายไม่ได้ออกแรงแต่ประการใด เป็นเตียวหยงป้าลอยข้ามศีรษะนางไปเอง นางต้องจิ๊ปากจิ๊จ๊ะ ขมวดคิ้วเรียวงามเข้าหากันกล่าวอย่างไม่พอใจ

“แล้วนี้ค่าเสียหายจะคิดกับผู้ใด เห็นทีตั่วเอี้ยท่านนี้ต้องทำงานชดใช้แล้ว”



เตียวหยงป้าเดือดาลเป็นการใหญ่ ลุกขึ้นควงดาบคิดถาโถมเข้าไป แต่รู้สึกคันคะเยอที่ช่องปากอย่างรุนแรง ภายหลังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนไม่อาจทนทานได้ ต้องทิ้งดาบตกลง กุมปากตนเองร่ำร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ ที่แท้มันกลับถูกแพร่พิษในสุรา



นางทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างใจเย็น รินน้ำชาจิบดื่มอย่างแช่มช้ากล่าวว่า

“นี่นับเป็นการลงโทษที่กล่าวด่าเราเป็นหญิงแพศยา”



พลันได้ยินเสียงสตรีกล่าวหยาดเยิ้มไพเราะเสนาะหูดังขึ้นที่ทางขึ้นบันไดเบื้องหน้า

“อวงยี้ อย่าได้ทำร้ายมันถึงแก่ชีวิต อภัยที่มันมาใหม่ไม่รู้ความเถอะ”



ที่แท้สตรีที่นั่งจิบน้ำชาคือ จิวอวงยี้ ยามนี้นางเติบโตเป็นโกวเนี้ย นางหนึ่งแล้ว  คังหมิ่นก้าวพ้นบันไดขึ้นมาช่วงเวลาที่ผ่านนางกลับยังดูยั่วยวนไม่ผิดแปลกจากการก่อน เพียงแต่ใบหน้ามีริ้วรอยตามกาลเวลาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทรวดทรงองค์เอวยังคงรักษาไว้ได้ดียิ่ง  จิวอวงยี้ปิติยินดียิ่งผลุดลุกขึ้นร้องเรียก

“ซาซือแป๋ (อาจารย์ที่สาม) ท่านเสร็จธุระแล้ว”

คังหมิ่นต้องร้อง เพ้ย กล่าวด่าอย่างแย้มยิ้ม

“เอี้ยเท้า(คำด่าสตรียังไม่ได้แต่งงาน) ผู้นี้ พอรู้ว่าเรากลับมาก็คิดออกไปเที่ยวเล่น”



เตียวหยงป้าพอฟังนางเรียกคังหมิ่นเป็นซาซือแป๋ สีหน้าแปรเปลี่ยนครุ่นคิด ‘ที่แท้นางเป็นศิษย์ของสามภูตกวนตั๋งเจ้าของหุบเขาสิ้นชีพ ไม่ใช่สาวคณิกา มิน่าถึงได้ร้ายกาจปานนี้’  พอคิดว่าตนเองล่วงเกินนางไปมาก หน้าเปลี่ยนเป็นเผือกขาว รีบลนลานคืบคลานไปก้มลงโขกศีรษะเบื้องหน้าสตรีทั้งสอง มันไม่อาจกล่าววาจาได้ ได้แต่ร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ



คังหมิ่นปรายตาบอกใบ้ให้คลายพิษแก่มันกล่าวว่า

“ที่นี่ ปกครองด้วยพระเดชและพระคุณ มันเมื่อมาใหม่ไม่รู้ความล่วงเกินเจ้าไปบ้าง เจ้าลงมือสั่งสอนนับว่าถูกต้อง แต่เมื่อมันสำนึกขอขมา ก็ควรอภัยสร้างบุญคุณแก่มัน”



กฏร่างนี้ย่อมเป็นบัณฑิตมือวิเศษบัญญัติขึ้นใช้ปกครองชนมิจฉาชีพที่อยู่ในหุบเขา โดยส่วนตัวพวกมันไม่วางอำนาจเขื่องโข ไม่ก้าวก่ายทรัพย์สิ้นของผู้ที่มาขอหลบซ่อนในหุบเขา เพียงจัดธุรกิจ อำนวยสถานทีความสะดวกแก่ชนชาวมิจฉาชีพทั้งหลาย แต่หากมีผู้ใดล่วงเกินพวกมันมักได้รับการตอบแทนอย่างสาสม สามภูติกวนตั๋งจึงเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวมิจฉาชีพโดยทั่วไป



จิวอวงยี้ล้วงยาออกมาขวดหนึ่ง เทยาเม็ดออกมาส่งให้กล่าวว่า

“ท่านหลังจากรับประทานยาเม็ดนี้แล้ว พักผ่อนสองสามชั่วยามก็จะหาย”

เตียวหยงป้ารีบโขกศีรษะขอบคุณ รับมารับประทานไม่กล้ารั้งอยู่นาน รีบหยิบฉวยเสื้อของตนสวมใส่  กลับพบตั๋วเงินของตนซุกอยู่ในช่องลับในอกเสื้อที่ตนเก็บไว้ แต่เมื่อครู่ค้นหากลับไม่พบพาน พอครุ่นคิดต้องหวาดหวั่น คนพวกนี้ลี้ลับพิสดารยิ่ง ภายหลังอย่าได้ตอแย รีบก้าวขึ้นห้องพักโดยไม่รีรอ



คังหมิ่น ทราบว่าจิวอวงยี้เล่นลวดลาย เห็นมันแตกตื่นจนขวัญหนีดีฟ่อก็อดขำไม่ได้ สั่งบ่าวทาสทำความสะอาดเก็บข้าวของที่แตกกระจายจากการต่อสู่เมื่อครู่ ค่าเสียหายให้ลงบัญชีเตียวหยงป้า คังหมิ่นกลับเป็นผู้ดูแลโรงเตี้ยมแห่งนี้ ยามนางติดธุระมักฝากจิวอวงยี้ดูแล



พลันเบื้องนอกบังเกิดเสียงแหลมเล็กระคายหูตะโกนเรียก ฟังเสียงคล้ายกับงุ้ยเลี่ยงแช

“อวงยี้ ได้เวลานัดหมายกับเราแล้ว ไฉนเจ้ายังไม่มา หรือเจ้ารู้สึกเกียจค้านแล้ว”

จิวอวงยี้ชะโงกหน้าไปริมชานระเบียงเห็นเงาสายหนึ่งโลดแล่นไปตามหลังคา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม รีบหันมากล่าวกับคังหมิ่น

“ยี่ซือแป๋ เรียกข้าพเจ้าแล้ว ซาซือแป๋ข้าพเจ้าไปแล้ว”

คว้ารองเท้าสวมใส่พุ่งทะยานออกนอกชาน ติดตามไล่หลังเงาสายนั้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่คังหมิ่นจะกล่าวว่ากระไร นางก็ออกไปไกลโข

  

งุ้ยเลี่ยงแชก้าวกระโดดจากหลังคาหนึ่งสู่หลังคาหนึ่ง จากบ้านเรือนสูป่าไม้ โลนแล่นไปตามต้นไม้จิวอวงยี้ติดตามประชิดไล่หลัง พอถึงแนวทิวไม้สลับซับซ่อน จิวอวงยี้แคล่วคล่องว่องไวกว่า ก้าวกระโจนไปตามต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ชิงเป็นฝ่ายล้ำหน้าหนึ่งช่วงตัว จิวอวงยี้ปิติยินดียิ่งเพิ่งมีวันนี้ชิงเป็นฝ่ายล้ำหน้างุ้ยเลี่ยงแชได้ รีบเร่งฝีเท้าขึ้นเกรงมันติดตามทัน



งุ้ยเลี่ยงแชต้องหัวเราะ ฮ่า ฮ่า กล่าวคำว่าประเสริฐ เร่งฝีเท้าขึ้นกว่าเดิม แต่ยังไม่อาจล้ำหน้านางได้ ขณะติดตามไล่หลังเห็นท่าร่างจิวอวงยี้ยามเยื้อย่างก้าวกระโดน บิดเอวส่ายสะโพก เยียบย่างแผ่วพลิ้วประดุจร่ายรำ ต้องขมวดคิ้วนิ้วหน้าไม่ใคร่พอใจ แต่เมื่อครุ่นคิดไม่อาจโทษว่ากล่าวนาง นางร่ำเรียนวิชาดัดตนอ่อนกายของคังหมิ่นท่าร่างพวกนี้ย่อมฟังรากอยู่ในตัวไม่อาจแก้ไข แต่พอสังเกตุการเหยียบย่างของนาง ต้องร้อง เอ๊ะ อย่างประหลาด รู้สึกว่าเท้านางแทบไม่ได้สัมผัสพื้น การเหยียบย่ำเบาบางกว่าตน ต้องครุ่นคิดอย่างสงสัย ‘หรือวิชาของคังหมิ่นมีส่วนช่วยให้เป็นเช่นนี้ การย่างเหยียบของอวงยี้ ไยไม่ใช่บรรลุถึงเหยียบหิมะไร้ลอยแล้ว’



ที่งุ้ยเลี่ยงแชคิดนั้นกลับไม่ผิด วิชาของคังหมิ่นเป็นวิชาดัดตนอ่อนกาย อาศัยกล้ามเนื้อที่อ่อนยุ่นของสตรีรับสภาวะสัมผัสภายนอก อีกทั้งยังรักษาทรวดทรงสตรีให้งดงาม ยามเยื้อย่างแผ่วพลิ้วเบาบาง แต่ยามเดินเหินคล้ายกับยั่วยวนบุรุษเพศไปบ้าง จิวอวงยี้พอได้รับการถ่ายทอดวิชาตัวเบาจากงุ้ยเลี่ยงแช คราแรกที่ใช้ออกยังดูเหมือนงุ้ยเลี่ยงแชอยู่บ้าง แต่จะอย่างไรนางก็เป็นสตรีท่าร่างของคังหมิ่นจึงฟังรากอยู่ในตัวเป็นธรรมชาติมากกว่า พอเวลานานปีนางเติบโตเป็นสาว วิชาตัวเบายิ่งใช้ยิ่งแตกต่างจากงุ้ยเลี่ยงแช ความเปลี่ยนแปลงนี้เพิ่มขึ้นที่ล่ะน้อยตามวันเวลา งุ้ยเลี่ยงแชไม่ทันสังเกตุเห็น ยามนี้ได้กระชั้นชิดติดหลังนางจึงทันได้สังเกตุ



พอหมดทิวเทือกไม้ เป็นที่ราบโล่ง งุ้ยเลี่ยงแช ด้านกำลังภายในลึกล้ำกว่ากับกล้ามเนื้อบุรุษมีความได้เปรียบนางอยู่ ในที่ราบโล่งเช่นนี้สามารถเร่งฝีเท้าได้อย่างเต็มที กลับถลำชิงล้ำหน้านางถึง สี่ช่วงตัว มาหยุดที่เนินหญ้าแห่งหนึ่ง  จิวอวงยี้ติดตามมาถึง นางโถมใช้เรี่ยวแรงเป็นอันมาก เลือดลมสูบฉีดใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง นางชิงล้ำหน้างุ้ยเลี่ยงแชมาได้แต่สุดท้ายกลับโดนฝ่ายตรงข้ามแซงล้ำหน้ากลับคืนไม่อาจติดตามทัน ต้องกล่าวอย่างเสียดาย

“จะอย่างไร ข้าพเจ้าก็ผ่ายแพ้ต่อยี่ซือแป๋ “

เห็นงุ้ยเลี่ยงแช คล้ายกลับไม่ได้ยินที่นางกล่าว มีสีหน้าหม่นหมองดวงตาเหม่อลอยเพ่งมองไปเบื้องหน้า สองมือไพล่หลังคล้ายมีเรื่องครุ่นคิด จิวอวงยี้รู้สึกสงสัยจึงกล่าวถาม

“ยี่ซือแป๋ มีเรื่องใด”



งุ้ยเลี่ยงแชถอดถอนใจยาว กล่าวบอกออกมา

“เราความจริงตั้งประณิธานไว้ ชั่วชีวิตนี้ต้องบรรลุถึงสุดยอดวิชาตัวเบา ไม่ทราบว่าทุ่มเทฝึกฝนลำบากถึงเพียงใด แต่ยามนี้คิดแล้ว กลับไม่มีหวัง”

จิวอวงยี้เดินถึงข้างกายมันกล่าวถามว่า

“ตอนนี้ยี่ซือแป๋ไยไม่ใช่บรรลุถึงแล้วรึ”



“เราความจริงทีแรกก็คิดเช่นนั้น แต่วันนี้พอเห็นวิชาตัวเบาของเจ้า จึงเห็นข้อแตกต่าง ที่แท้เรากลับฝึกผิดแนวทางมาโดยตลอด เราแข็งกร้าวเกินไป ยิ่งรวดเร็วได้เท่าไรยิ่งประเสริฐ จึงยึดถือกำลังขากับกำลังภายในมากเกินไป”



จิวอวงยี้มีสีหน้าสงสัยวิชาตัวเบาที่นางร่ำเรียนล้วนเป็นมันถ่ายทอดไฉนจึงแตกต่าง ขมวดคิ้วเรียวงามก่อนกล่าวถาม

“ข้าพเจ้าก็ฝึกเช่น ยี่ซือแป๋ ไฉนจึงมีข้อแตกต่าง”



งุ้ยเลี่ยงแชหันกายมากล่าวว่า

“เจ้านับว่ามีวาสนา วิชาของคังหมิ่นมีความอ่อนยุ่นในตัว ช่วยลบล้างความแข็งกร้าวของเราไป เจ้าหากคิดมีฝีเท้ารวดเร็วทัดเทียมเรานั้นกระทำได้ไม่ยาก ขอเพียงฝึกฝนต่อเนื่อง กำลังภายในกล้าแข็งพอก็สามารถทำได้ แต่เราหากคิดก้าวย่างแผ่วเบาเหมือนเช่นเจ้า โอ.. เกรงว่านอกจากตายแล้วไปเกิดใหม่ วิธีอื่นกลับไม่มี”



จิวอวงยี้เห็นมันมีท่าทีเศร้าเสียใจ จึงคิดหาคำปลอบโยน กล่าวขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าหากภายภาคหน้าสามารถบรรลุถึงได้ ไยไม่ใช่เฉกเช่นเดียวกับ ยี่ซือแป๋บรรลุถึง ภายภาคหน้าหากผู้ใดถามถึง ข้าพเจ้าย่อมต้องบอกว่า เงาอาชา งุ้ยเลี่ยงแชเป็นผู้ถ่ายทอดให้ ผู้คนต้องโจษจันว่า เงาอาชา งุ้ยเลี่ยงแช มีวิชาตัวเบาเป็นเอกในแผ่นดิน”



งุ้ยเลี่ยงแชต้องหัวเราะเสียงแหลม กล่าวว่า

“มิผิด มิผิด เจ้าไม่เพียงมือเท้าว่องไว ปากยังว่องไวอีกด้วย”



จิวอวงยี้ทราบว่ายี่ซือแป๋กล่าวประชดนางประจบประแจงเก่ง ต้องค้อนให้วงหนึ่ง ทั้งสองพลันเหลือบเห็นพลุสัญญาณประทุขึ้นบนหุบเขา ทราบว่าบัณฑิตมือวิเศษเรียกตัว

“ตั่วซือแป๋ เจ้าเรียกแล้ว เราไปกันเถอะ”

งุ้ยเลี่ยงแชกล่าวบอกพร้อมทยานร่างนำหน้าไป จิวอวงยี้พลันก้าวเท้าโจนทยานตามไปอีกผู้หนึ่ง ทั้งสองทุ่มเทวิชาตัวเบาก้าวออกจากที่ มุ่งสู่ยอดหุบเขา

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture