คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เคยตัว
บทที่ 2
เคยตัว
จินเฟยหลงตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่ายามนี้ตัวเขากำลังนอนอยู่ในห้องพักของเหรินเหยียนชิง มันจึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า...เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขาก็เริ่มรู้สึกละอายใจ เหตุใดเขาถึงไปทำแบบนั้นกับสหาย ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็เป็นบุรุษไม่ต่างไปจากเขา จากนั้นเขาจึงมองหาเจ้าของห้องก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเมื่อเขามองไปที่ริมฝีปากบวมช้ำของคนตรงหน้า มันก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
ซึ่งในระหว่างที่เขากำลังมองเหรินเหยียนชิงอยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเริ่มรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เขาจึงรีบดึงสายตาของตนเองให้ย้ายไปมองยังที่อื่นแทนทันที
“ตื่นแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยถามจินเฟยหลง หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา แล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังขยับตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“อืม”
“เมื่อคืนเจ้า…” เหรินเหยียนชิงคิดจะถามว่าเมื่อคืนอีกฝ่ายไปโดนวางยาอะไรมา แต่คนตรงหน้าก็รีบเอ่ยขัดเขาขึ้นมาเสียก่อน
“ข้ามานอนที่นี่ได้อย่างไร? อาหมินพาข้ามาหรือ...แล้วทำไมอาหมินถึงไม่พาข้ากลับไปนอนที่ห้องของข้าล่ะ?” จินเฟยหลงที่ไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีก เขาจึงทำเป็นจำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก่อนที่เขาจะรีบลุกขึ้นจากเตียงของเหรินเหยียนชิง
“เจ้าจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้? อืม...ก็ตามนั้น” เหรินเหยียนชิงมองจินเฟยหลงที่ยามนี้อีกฝ่ายไม่กล้าแม้แต่หันมามองหน้าเขา แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาด้วยไม่ใช่หรือ...เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากจำมันเช่นกัน!
“แต่อย่างไรข้าคงต้องขอโทษที่มารบกวนเจ้า เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับห้องของข้าเลยแล้วกัน” จินเฟยหลงพูดจบก็เดินออกจากห้องพักของเหรินเหยียนชิงทันที
หลังจากนั้นจินเฟยหลงก็เลือกที่จะเลี่ยงการพบเจอกับเหรินเหยียนชิงเท่าที่เขาพอจะทำได้
เช้าวันถัดมาจินเฟยหลงก็ได้เข้ารับพระราชทานแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพฝ่ายยุทธการ แล้วเขาก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองได้ตั้งใจเอาไว้ ก่อนที่ฮ่องเต้จะพระราชทานรางวัลอย่างอื่นมาให้เขา
‘ตัวข้าน้อยขอไม่รับสมรสพระราชทานใด ๆ ทั้งสิ้น และข้าน้อยจะขอเป็นผู้เลือกฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของข้าน้อย...ด้วยตัวของข้าน้อยเอง แต่ข้าน้อยจะขอให้สัตย์ปฏิญาณต่อฟ้าดินว่า...จะขอทำตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และข้าน้อยยินดีขอถวายการรับใช้ใต้พระบาทฮ่องเต้แคว้นตงแต่เพียงผู้เดียว’
หลังจากที่จินเฟยหลงได้เอ่ยขอพระราชทานรางวัลออกไป แล้วฮ่องเต้ก็ทรงตรัสรับสั่งให้ตามที่เขาขอ...จึงทำให้กลุ่มคนที่คิดหวังจะเกี่ยวดองกับจวนแม่ทัพใหญ่ เป็นอันต้องพับเก็บแผนการต่าง ๆ ที่วางเอาไว้ทันที
และหลังจากพิธีพระราชทานรางวัลให้กับเหล่าทหารกล้าทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้ก็ทรงให้จัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองให้กับเหล่าทหารและพวกขุนนางในวังหลวง และในงานนี้ก็ทำให้จินเฟยหลงได้พบกับองค์ชายสิบสองชิงหลวนคุน เพราะพระสนมซูซ่านจื่อมารดาของชิงหลวนคุนเป็นน้องสาวของซูเทียนฉินกุนซือคู่กายของจินเฟยหมิง ชิงหลวนคุนจึงมีศักดิ์เป็นหลานชายของท่านกุนซือไปด้วย
และการที่จินเฟยหลงได้พบกับชิงหลวนคุนในครั้งนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นการพบเจอและพูดคุยกันแบบสหายครั้งแรกของพวกเขา แล้วหลังจากที่พวกเขาได้พูดคุยและทำความรู้จักกันไปได้สักพัก บิดาของเขากับท่านกุนซือก็ได้พูดคุยถึงการส่งต่องานให้กับพวกเขา และคนทั้งคู่ก็ยังทำการนัดหมายเพื่อจัดตารางทั้งเรื่องการฝึกวรยุทธและศึกษาเรื่องกลศึกที่เข้มขึ้นให้กับพวกเขาที่จวนแม่ทัพในวันถัดไปไว้แล้วด้วย
ในงานเลี้ยงครั้งนี้จินเฟยหลงก็ได้พบกับหนิงฮุ่ยหลิงที่มาร่วมงานพร้อมกับผู้เป็นบิดาและพี่ชายของนาง แล้วดูเหมือนว่านางน่าจะพูดคุยถูกคอกับจินเฟยฮวาบุตรสาวของชิงจิวซินฮูหยินรองของผู้เป็นบิดาเขา
และในงานเลี้ยงจินเฟยหลงก็ยังได้พบกับเยว่ซือจงเสนากลาโหม ที่พาบุตรสาวกับบุตรชายมาร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในงานเลี้ยงคราวก่อน เขาจะยังหาหลักฐานมามัดตัวผู้วางยาเขาไม่ได้ แต่วิธีสกปรกเช่นนี้ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด เพราะเยว่ซือจงอยากได้อำนาจทางการทหารที่เขากับผู้เป็นบิดาได้ถือครองอยู่ไปไว้ในมือ อีกฝ่ายคงคิดจะใช้บุตรสาวมาเป็นตัวเชื่อมสะพานให้กับตัวเองเป็นแน่
“คุณชายรองจิน ไม่ใช่สิ! ยามนี้ข้าคงต้องเรียกท่านว่า...ท่านรองแม่ทัพ ยินดีด้วยนะเจ้าคะ” เยว่ซือซือเดินเข้ามาทักจินเฟยหลงพร้อมกับผู้เป็นบิดา
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้าตอบกลับ ก่อนจะหันไปคำนับให้กับบิดาของนาง
“ยินดีด้วยนะหลานชายที่ได้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อย มีคนไม่มากนักที่สามารถทำได้แบบเจ้า” เยว่ซือจงเอ่ยชมจินเฟยหลงเสร็จ เขาก็คิดจะเปิดทางให้กับบุตรสาวของตนเองต่อทันที
“เฟยหลง งานเลี้ยงนี้ผู้ใหญ่มากันมากนัก อย่างไรอาขอฝาก...” แต่ยังไม่ทันที่เยว่ซือจงจะได้พูดจบ บุรุษหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้าก็เอ่ยขัดเขาขึ้นมาเสียก่อน โดยไม่คิดที่จะไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อที่นี่ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับเลยนะขอรับ”
จินเฟยหมิงพยักหน้ารับคำขอของบุตรชาย เพราะยามนี้ก็เริ่มมีคนทยอยเดินทางกลับกันบ้างแล้ว และเขาเองก็ไม่อยากจะเกี่ยวดองกับครอบครัวตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเอ่ยรั้งบุตรชายของตนเอาไว้
จินเฟยหลงรีบเดินทางกลับไปยังเรือนพักในสำนักศึกษาทันที เพราะปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ศึกษาอยู่ที่นี่ และที่ผ่านมาตัวเขาเองก็แทบจะไม่ได้เข้าเรียน แต่ก็ยังดีที่เขามีสหายอย่างเหรินเหยียนชิงเพราะอีกฝ่ายคอยช่วยเหลือเขาเรื่องนี้มาโดยตลอด
“กลับมาแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยทักจินเฟยหลง หลังจากที่เขาเพิ่งไปอาบน้ำกลับมาแล้วเจออีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาในเรือนพักพอดี
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้าตอบกลับ พร้อมกับมองใบหน้าของสหายที่เขาพยายามหลบหน้ามาเกือบสองวัน
“ยินดีด้วยนะ”
“อืม”
จากนั้นจินเฟยหลงจึงเดินกลับเข้าไปในห้องพัก ก่อนจะเอ่ยถามตัวเองในใจ
‘เหตุใดความรู้สึกแปลก ๆ ยามมองหน้าเหยียนชิงถึงยังไม่หายไป’
แล้วในขณะนั้นเหรินเหยียนชิงก็เดินเข้ามาพูดกับเขาในห้อง
“เออ...เฟยหลงใกล้จะเปิดเรียนแล้ว คืนนี้เจ้าจะเอาสมุดที่ข้าจดส่วนที่ท่านอาจารย์สอนในช่วงที่เจ้าไม่อยู่ไปอ่านดูเลยดีหรือไม่?”
“ได้ ขอบใจเจ้ามาก”
จากนั้นจินเฟยหลงก็เห็นเหรินเหยียนชิงพยักหน้าตอบรับคำพูดของเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปจากห้องของเขาสักพัก แล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับสมุดและหนังสือหลายเล่มในอ้อมแขน
“นี่คือส่วนที่พวกข้าได้เรียนทั้งหมดในช่วงที่เจ้าไม่อยู่...เจ้าลองศึกษาดูนะ แล้วก็พวกนี้จะเป็นส่วนที่เจ้าต้องอ่าน เพื่อตามไปขอสอบเก็บคะแนนกับท่านอาจารย์ในแต่ละวิชา ส่วนเรื่องเนื้อหาที่จะใช้สอบข้าก็ได้มีจดแยกไว้ในสมุดเล่มนี้ให้กับเจ้าแล้ว แต่ถ้าติดตรงไหนก็เข้าไปถามข้าที่ห้องได้เลยนะ” เหรินเหยียนชิงจัดการแยกสมุดกับหนังสือออกเป็นกอง ๆ แล้วนำเอาไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของจินเฟยหลง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เข้าใจง่ายขึ้น
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
“อืม...เจ้าก็อย่าหักโหมมากล่ะ”
จินเฟยหลงพยักหน้ารับ แล้วมองตามอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้องของเขาไป
จากนั้นชีวิตของจินเฟยหลงในสำนักศึกษาก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย โดยมีเหรินเหยียนชิงคอยช่วยเหลือ...
“นั่นใช่คุณชายมู่กับคุณชายหลี่หรือไม่...ข้าได้ยินข่าวมาว่าคนทั้งคู่กำลังจะเข้าพิธีมงคลสมรส ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” จิงเสี่ยวเจี้ยนชี้ชวนให้สหายในกลุ่มดูคู่รักที่กำลังมีข่าวดังทั่วเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ หลังจากพวกเขาทั้งสี่คนออกมารับสำรับเย็นด้วยกันที่โรงเตี๊ยมแถวตลาด
“อืม…น่าจะใช่” จิงเสี่ยวจางเอ่ยตอบแฝดผู้พี่ของเขา ก่อนจะหันกลับมาต่อว่าสหายที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
“เหยียนชิงเหตุใดเจ้าต้องมาคอยแกะก้างปลาออกให้เฟยหลงอีกแล้วล่ะ ทีกับข้าเจ้ายังไม่เคยแกะให้ข้ากินบ้างเลย ข้าก็เป็นสหายของเจ้านะ! และเป็นสหายกับเจ้ามานานพอ ๆ กับเจ้านี่ด้วย แต่ทำไมเจ้าไม่ยอมดูแลข้าเหมือนกับเฟยหลงบ้างเลยล่ะ”
“อาจางเจ้าก็งอแงเป็นเด็ก ๆ ไปได้ อะ...แบบนี้พอใจแล้วหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับตักซี่โครงหมูในสำรับให้จิงเสี่ยวจาง เพราะยามนี้อาหารที่พวกเขาสั่งมา มีแต่ของที่ต้องแงะหรือไม่ก็ต้องเลาะก่อนที่จะกิน อย่าง ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ปลานึ่ง หรือแม้แต่เป็ดย่าง
และก็คงเพราะที่ผ่านมาเหรินเหยียนชิงกับจินเฟยหลงรับสำรับด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายมักจะติดนิสัยการกินเร็วและเลือกกินเฉพาะของที่กินได้แบบง่าย ๆ อย่างที่เจ้าตัวต้องกินในยามออกไปทำศึกมา ดังนั้นยามที่พวกเขารับสำรับร่วมกัน เหรินเหยียนชิงจึงมักจะคอยสั่งอาหารที่กินได้อย่างง่าย ๆ ให้กับจินเฟยหลง หรือไม่เขาก็จะคอยแกะก้างปลา เลาะเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ออกจากกระดูก แล้วนำไปวางไว้ให้อีกฝ่ายแบบในยามนี้ เพราะไม่อย่างนั้นหากอาหารตรงหน้าของจินเฟยหลงเป็นอาหารที่ดูจะกินยากในสายตาของเจ้าตัว อีกฝ่ายก็มักจะเลือกตักกินแต่ข้าวเปล่าในถ้วย หรือไม่เจ้าตัวก็มักจะเลือกตักเอาแต่น้ำแกงมาราดข้าวในถ้วยแล้วกิน แบบในยามนี้...
จินเฟยหลงก้มลงไปมองที่ถ้วยข้าวของตัวเอง จากนั้นเขาจึงลงมือตักทุกอย่างในถ้วยกินอย่างเงียบ ๆ
‘เจ้าก็มักจะทำแบบนี้ให้ข้าเสมอ จนยามนี้ข้าเองก็คงจะเคยตัวไปเสียแล้ว...เหยียนชิง’ จินเฟยหลงคิดในใจ
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เลาะกระดูกมาให้ข้าด้วยเล่า เฮ้อ...แต่ก็ช่างเถอะ!” จิงเสี่ยวจางยังคงบ่นเหรินเหยียนชิงต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองยังสองบุรุษที่แฝดผู้พี่ของเขาชี้ชวนให้พวกเขาดูเมื่อครู่
“หากมองเพียงผิวเผิน...ก็แทบจะดูไม่ออกเลยนะว่าคุณชายทั้งสองนั้นเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้น
“แต่...คุณชายมู่ที่แต่งเข้าตระกูลหลี่ก็ดูรูปงาม ร่างกายโปร่งบาง ผิวขาว โดยรวมแล้วก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดต่อจากแฝดผู้น้องของเขา
“แต่ถึงอย่างไรการที่บุรุษแต่งให้กับบุรุษก็คงไร้ซึ่งทายาทไว้สืบสกุล ข้าได้ข่าวมาว่า...กว่าที่คนทั้งสองจะได้ลงเอยกับอย่างทุกวันนี้ก็เอาเรื่องอยู่เลยนะ เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลในตอนแรกต่างก็ไม่เห็นด้วยกับความรักของคนทั้งคู่” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้นก่อนจะหันกลับไปหาเหรินเหยียนชิง ที่ยามนี้อีกฝ่ายเอ่ยถามในเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่
“จริงหรือ?”
“อืม...แต่ข้าก็ไม่แน่ใจนะ เพราะข้าเองก็ได้ยินมาจากพวกชาวบ้านอีกที แต่จะว่าไป...เหยียนชิงของเราก็ตาโต แก้มป่อง ถึงใบหน้าจะไม่ค่อยหวานแต่ก็ออกไปทางน่าเอ็นดู รูปร่างก็โปร่งบางไม่กำยำ ผิวพรรณก็ดูขาวใช้ได้ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เนียนเท่ากับสตรี แล้วไหนจะริมฝีปากบางสีแดง ๆ นี่อีก” จิงเสี่ยวจางพูดพร้อมกับสำรวจใบหน้า และรูปร่างของเหรินเหยียนชิงไปด้วย
แค่ก แค่ก ๆ
“เฮ้ย! เฟยหลง” จิงเสี่ยวเจี้ยนตกใจที่อยู่ ๆ สหายที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาก็เกิดสำลักอาหารขึ้นมา
“ข้าขอโทษ”
จินเฟยหลงที่กำลังนั่งกินข้าวของตัวเองอย่างเงียบ ๆ แต่ในระหว่างนั่นเขาก็คอยฟังเรื่องราวที่สหายพูดคุยกันมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยปากโต้ตอบกับพวกสหาย แต่เขาก็คอยคิดตามสิ่งที่ทุกคนพูด จนมาถึงเรื่องที่จิงเสี่ยวจางบรรยายลักษณะของเหรินเหยียนชิง มันทำให้เขาคิดไปถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมา...
“เหยียนชิง หากมีคนมองว่าเจ้าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” จิงเสี่ยวจางยังคงกลับมาพูดเรื่องเดิม หลังจากที่เขาหันไปมองจินเฟยหลงกับแฝดผู้พี่ของเขามาครู่หนึ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงมาว่าข้าแบบนี้เล่า ข้าก็แค่เลือกเรียนศาสตร์การคำนวณกับบทกวีมากกว่าที่จะไปเรียนขี้ม้าหรือไปฝึกวรยุทธกับพวกเจ้า ร่างกายของข้าก็เลยไม่กำยำเหมือนกับพวกเจ้าก็เท่านั้นเอง” เหรินเหยียนชิงตอบกลับจิงเสี่ยวจาง เพราะเขาไม่ชอบเรียนศาสตร์ที่ต้องใช้กำลัง เขาจึงเรียนแค่พอรู้และเรียนแค่พอที่จะนำไปใช้ได้เท่านั้น ส่วนเวลาเรียนที่เหลือเขาก็จะเอาไปเรียนศาสตร์ที่ตนเองชอบ จึงทำให้ร่างกายของเขาไม่กำยำเท่ากับสหายทั้งสาม
“แต่ว่า...มีคนมองเจ้าแบบนั้นจริง ๆ นะ หากยามนี้เจ้าไม่ได้พักอยู่กับเฟยหลง ก็คงมีบุรุษตามไปเกี้ยวเจ้าถึงเรือนแล้วเป็นแน่”
“อาจางเจ้าก็ช่างพูดไป”
“ข้าพูดเรื่องจริง” จิงเสี่ยวจางยืนยันสิ่งที่ตัวเองพูด พร้อมกับเล่าข่าวลือในสำนักศึกษาช่วงก่อนให้อีกฝ่ายฟังต่อ...
“และก็ยังเคยมีคนปล่อยข่าวลือว่า เจ้ากับเฟยหลงเป็น...”
“ข้าจะกลับละ! อาเจี้ยนข้าฝากจ่ายค่าสำรับก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะไปจ่ายคืนให้” เหรินเหยียนชิงลุกออกจากโต๊ะทันที เพราะเขาไม่อยากจะอยู่ฟังเรื่องที่จิงเสี่ยวจางพูดต่ออีกแล้ว
“เฮ้ย...เหยียนชิง! ข้าขอโทษข้าก็แค่สนุกปากมากเกินไป ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น อย่าโกรธข้าเลยนะ เหยียนชิงฟังข้าก่อน...” จิงเสี่ยวจางรีบลุกตามเหรินเหยียนชิงไปทันที
“จะว่าไปเหยียนชิง ก็น่าเอ็นดูอย่างที่อาจางพูดจริง ๆ นั่นแหละ” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดขึ้นระหว่างที่รอคนมาเก็บเงินค่าสำรับ
“เรื่องที่อาจางพูดเมื่อครู่ จริงหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถามสหายตรงหน้า
“จริงทั้งสองเรื่อง อย่างเรื่องที่มีบุรุษอยากจะตามเกี้ยวเหยียนชิงนั้นก็จริง แต่เพราะยามที่อยู่ในสำนักศึกษาเหยียนชิงไม่อยู่กับเจ้าก็จะอยู่กับพวกข้าตลอด แล้วไหนจะเรือนพัก...เหยียนชิงก็ยังพักอยู่เรือนเดียวกับเจ้าอีก จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเหยียนชิงมากนัก ส่วนเรื่องข่าวลือในสำนักศึกษาก็มีลือกันอยู่พักหนึ่งว่า...เจ้ากับเหยียนชิงเป็นคู่รักกัน” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดจบก็มองไปที่อีกฝ่ายก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ...
“ก็เป็นเพราะตัวเจ้าด้วยเฟยหลง จึงทำให้เกิดข่าวลือแบบนี้ขึ้น เพราะเจ้าแทบจะไม่ยอมพูดคุยกับผู้ใดเลยนอกจากเหยียนชิง ขนาดพวกข้าที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเจ้า ก็ยังแทบจะนับคำพูดของเจ้าที่พูดกับพวกข้าได้เลย แล้วยิ่งเจ้ากับเหยียนชิงไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ก็ยังดีที่พอเจ้าออกไปทำศึก ข่าวลือเรื่องนี้มันจึงเริ่มซาลงแล้วหายไป”
“ถึงพวกข้าจะรู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่จะให้พวกข้าไปไล่ตามแก้ข่าวให้...มันก็ไม่ใช่เรื่อง และในตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงข่าวลือนี้กันอีกแล้ว แต่พอ...” จิงเสี่ยวเจี้ยนเผลอพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แล้วพอได้เห็นสายตาของสหายเขาก็เลยตัดสินใจพูดสิ่งที่เขาคิดต่อจนจบ
“แต่พอเจ้ากลับมา... แล้วก็ยังมีข่าวเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างคุณชายตระกูลมู่กับคุณชายตระกูลหลี่แบบในยามนี้ด้วยอีก ก็ไม่แน่ว่า...อาจจะมีคนขุดข่าวลือที่ไม่จริงของพวกเจ้า กลับขึ้นมาพูดกันอีกก็ได้”
“ไม่!” จินเฟยหลงตอบกลับจิงเสี่ยวเจี้ยน จากนั้นเขาก็ลุกออกจากโต๊ะไปทันที
หลังจากวันนั้นจินเฟยหลงก็พยายามเอาตัวเองออกมาให้ห่างจากเหรินเหยียนชิงอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ยามที่เขาต้องอยู่ในสำนักศึกษา เขาก็พยายามให้สหายของเขาอยู่ด้วยกันให้ครบทั้งสี่คน และตัวเขาเองก็พยายามที่จะไม่อยู่หรือไม่เดินเพียงลำพังกับเหรินเหยียนชิงอีก
แต่ก็ยังดีที่ในช่วงนี้จินเฟยหลงเองก็แทบจะไม่มีเวลาว่าง เพราะในช่วงเย็นของทุกวันเขาจะต้องกลับไปที่จวนแม่ทัพเพื่อไปฝึกเพิ่มเติมกับผู้เป็นบิดาและท่านกุนซือพร้อมกับชิงหลวนคุน และหากวันใดว่างเขาก็ต้องออกไปทำงานที่ค่ายทหาร ตามตำแหน่งและหน้าที่ที่เขาเพิ่งจะได้รับมา
และการมาทำงานที่ค่ายทหารของจินเฟยหลง เขาก็จะได้เจอกับสตรีสองนาง ที่มักจะเข้ามาวนเวียนอยู่รอบกายเขา จินเฟยหลงจึงเลือกเปิดโอกาสให้กับหนิงฮุ่ยหลิง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้กันเยว่ซือซือให้ถอยห่างออกจากตัวเขา
จนเมื่อมีข่าวดีที่จวนราชครูเรื่องหลงฮูหยินได้ให้กำเนิดบุตรชาย จินเฟยหลงกับหนิงฮุ่ยหลิงจึงได้เป็นตัวแทนของจวนแม่ทัพกับจวนรองแม่ทัพไปแสดงความยินดี แล้วหลังจากวันนั้นก็เกิดเป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวงว่าเขากำลังคบหาอยู่กับหนิงฮุ่ยหลิง ซึ่งจินเฟยหลงเองก็ไม่คิดที่จะแก้ข่าว เพราะเขาคิดว่าการมีข่าวแบบนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเขา
และก็คงเพราะหนิงฮุ่ยหลิงเป็นสตรีที่ไม่วุ่นวายดังเช่นสตรีนางอื่น และที่สำคัญเครื่องหอมที่นางใช้ก็ไม่มีกลิ่นหอมชวนให้เวียนหัว จินเฟยหลงจึงคิดเอาไว้ว่า...หากสุดท้ายแล้วชีวิตของเขาจะต้องลงเอ่ยกับสตรีสักนาง แล้วสตรีนางนั้นคือหนิงฮุ่ยหลิง ยามนั้นชีวิตของเขาก็คงจะดู...ไม่แย่นัก!
ความคิดเห็น