คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [ Bo ] : No mercy
Psyche
Chapter 2 : No mercy
[ Bo ]
ตื่นได้แล้ว คนขี้เซา
โบสะดุ้ง เสียงชายชราใจดีเหมือนยังดังก้องอยู่ในหู แม้เธอจะลืมตาโพลงแล้วก็ตาม หญิงสาวยกมือขึ้นนวดกระบอกตาช้าๆ เธอนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ความฝันวุ่นวายรบกวนเธอตลอดทั้งคืน ส่วนใหญ่เป็นฝันร้ายที่แย่กว่าตอนตื่น ทั้งที่ยามกลางวันมีหายนะมากพออยู่แล้ว เธอยันตัวลุกขึ้นนั่ง มีเหงื่อไหลย้อยจากหน้าผาก ท้องร้องโครกครากอย่างน่ารำคาญ แต่บ่งบอกว่าวันนี้เธอมีงานต้องทำ เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดต่อไป
ผืนป่ามีชีวิตชีวาอย่างเคย ต้นไม้ตื่นเช้ากว่า ป่าทำให้เธอสงบสติอารมณ์ได้ ลืมเลือนฝันร้ายไปชั่วขณะ หลงใหลไปกับเสียงลม กลิ่นดินชื้นสดชื่น และสีเขียวชอุ่ม สเตนเลย์พาร์ค อาจไม่ใช่สวนป่าที่สวยที่สุดหรือใหญ่ที่สุด หากเธอเลือกได้ ก็คงไปจุดอื่นแทน แต่อย่างน้อยที่นี่ก็มีแซลมอนเบอร์รี่ที่เก็บกินได้ในช่วงฤดูร้อน กับขยะมากมายที่คนมาทิ้งไว้ ซึ่งกลายเป็นอะไหล่ให้เธอนำมาทำเป็นอย่างอื่นได้ อย่างถุงพลาสติก เธอฉีก แผ่กาง ใช้เทปกาวปะต่อๆกัน เอาไว้สำหรับตากเนื้อสัตว์ เป็นเนื้อตากแห้ง เก็บไว้กินได้นานกว่าเดิม ขวดน้ำพลาสติกที่มีคนทิ้งไว้อย่างไร้ค่า ผันตัวเป็นขวดเก็บน้ำจากแม่น้ำ เอาไว้แปรงฟัน ผ้าใบที่พวกตั้งแคมป์ทิ้งไว้ ตอนนี้เธอทำเป็นเต็นท์ชั่วคราวของเธอไปแล้ว
โบเก่งเรื่องเอาตัวรอด เธอได้รับการฝึกฝนแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก ถ้ามีโอกาสเลือก เธอจะเลือกชีวิตแบบนี้อยู่ดี เพราะเห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์ต่อเธอมากแค่ไหนในสถานการณ์นี้ เธอโตมากับปู่ หรืออย่างน้อยเธอก็เรียกเขาว่าปู่ หญิงสาวไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ โลกทั้งใบของเธอจึงมีแต่ปู่กับผืนป่า กระท่อมพื้นแข็งๆที่ต้องใช้กระเป๋าเป้หนุนแทนหมอน เธอไม่มีตุ๊กตาหมีขนนุ่ม หรือบาร์บี้หน้าตาจิ้มลิ้ม ปู่เคยแกะสลักไม้เป็นตุ๊กตาให้ตัวหนึ่ง โบทำเสื้อใส่ให้มัน และเรียกมันว่า จอห์นนี่ ซึ่งปู่มาบอกทีหลังว่าเขาตั้งใจจะทำตุ๊กตาผู้หญิงให้เธอ ไม่ใช่ผู้ชาย แต่โบเรียกมันด้วยชื่อเดิม
ปู่สอนทุกอย่างให้เธอ พืชชนิดใดกินได้ ชนิดใดกินไม่ได้ ควรหยุดพักตรงไหนของป่า ตรงไหนไม่ควร วิธีการใช้มีด ผูกเชือกเงื่อน ยิงปืน และที่สำคัญ สอนอ่านเขียน คิดเลข แต่โบไม่เคยเข้าโรงเรียน ปู่พาเธอตะลอนไปเรื่อย จากที่หนึ่ง ไปอีกที่ อิสรเสรี นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเป็น บางครั้งที่จำเป็นเท่านั้น ปู่จะพาเข้าเมือง ไปรับจ้างล้างจาน ถูพื้น เก็บกระป๋องไปขาย บางทีก็แอบลักลอบเข้าไปในสุสานรถยนต์ ถอดชิ้นส่วนบางอย่างออกมา ขายได้ราคาดีทีเดียว หลังจากนั้นปู่จะพาไปซื้อของใช้จำเป็น โดยเฉพาะตอนที่โบเริ่มโตเป็นสาว มีของที่เธอต้องใช้เดือนละครั้ง ปู่เป็นคนซื้อให้และอธิบายความเปลี่ยนแปลงของร่างกายให้เธอเข้าใจ พวกเขาดูแลกันและกัน แต่แล้ววันหนึ่ง ในวันเกิดอายุครบสิบหกปีของโบ ปู่หายตัวไป
ง่ายๆ แค่นั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านมาสามปี เกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมาย โบเก็บความเศร้าใจเอาไว้ในส่วนลึก เพราะเธอต้องมีชีวิตต่อไป หญิงสาวเก็บผ้าใบที่กางเป็นเต็นท์ ม้วนให้เล็กที่สุดและผูกติดกับกระเป๋าเป้ เธอย้ายที่ทุกสองหรือสามวัน กลบเกลื่อนร่องรอยอย่างดี ไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้ให้ตามดมกลิ่นต่อได้ เธอคล่องแคล่วว่องไว ด้วยความที่ตัวเล็ก ผอมบาง วิ่งเร็ว ยากที่จะมีใครตามทัน แต่กระนั้น เธอไม่เคยสะเพร่าหรือทระนงตนมากจนเกินไป เมื่อเก็บของทุกอย่างและใช้เท้าเกลี่ยให้ดินกลบขี้เถ้าจากกองไฟขนาดย่อม เธอสะพายกระเป๋า พร้อมเดินทางต่อ
โบคิดว่าต้องเข้าเมือง อาหารกระป๋องของเธอใกล้หมด แม้จะล่าสัตว์เองได้ แต่เสียงปืนอาจเรียกพวกมันเข้ามาใกล้ และการจับกระรอกด้วยมือเปล่าต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง อีกอย่างเธอต้องการผ้าอนามัย แอลกฮอล์สำหรับใส่แผล ยาฆ่าเชื้อ แค่เผื่อเอาไว้ก่อน ลูกกระสุนปืนเพิ่มด้วยยิ่งดี หวังว่าจะมีโชคเจอบ้าง
หญิงสาวเร่งเท้า ท่าทางปราดเปรียวเหมือนกวางป่าเวลาออกวิ่ง ปอยผมสีน้ำตาลที่เก็บรวบไม่หมดปลิวไปตามแรงลมที่ปะทะหน้า เมื่อออกมาถึงชายสวนป่า เธอหยุดไว้ก่อน หมอบกับพื้น กวาดมองไปรอบๆทั้งบนบกและบนฟ้า ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีวี่แววของมนุษย์หรือพวกมัน เธอผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย แต่ก็รีบวิ่งอยู่ดี จากสแตนเลย์พาร์ค ต้องเดินข้ามสะพานไลอ้อนเกท โบชอบสะพานนี้ เธอเคยมากับปู่ ยืนมองทะเลและแวนคูเวอร์ฮาร์เบอร์ จากนั้นเธอมุ่งหน้าไปทางห้างวอล์มาร์ท ที่อยู่ใกล้สุดห่างจากที่นี่ประมาณหกกิโลเมตร เพื่อไม่ให้ต้องเหนื่อยเดินไปเดินกลับ เธอตั้งใจที่จะนอนแถวแมคเคย์ครีกในคืนนี้ เปลี่ยนที่บ้าง ปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานไป อาจเป็นเป้านิ่งได้
เมื่อพ้นสะพาน เธออยู่บนถนนเส้นหลัก แต่หญิงสาวเลือกที่จะเดินเลาะด้านข้างที่มีต้นไม้สูงๆช่วยบัง เธอไม่อยากเป็นเป้าอยู่กลางถนน พวกมันอาจจับตามองอยู่ตรงไหนสักที่ เธอไม่มีความรู้เรื่องดาวเทียม เคยได้ยินจากรายการในวิทยุว่าดาวเทียมตามหาคนได้ทั้งโลก โดยเฉพาะพวกอาชญากร โบไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกลายเป็นอาชญากรไปหรือยัง ข้อมูลของเธอมีอยู่ในระบบก็จริง แต่เป็นชื่อปลอม วันเดือนปีเกิดมั่วไปหมด รูปถ่ายที่ใช้เป็นหน้าเธอ แต่เธอไม่เคยไปอัพเดตข้อมูลเลย เธอไม่แน่ใจว่าพวกที่ตามล่าเธออยู่ทำงานกันอย่างไร ใช้วิธีตามหาคนจากทะเบียนราษฎร์ เมื่อพบแล้วขีดฆ่าทิ้ง หรือว่าใช้ดาวเทียมสอดส่องไปทั่ว ไม่ว่ายังไง โบจะหลบให้นานที่สุด
ถนนเงียบเชียบ มีแต่ซากรถยนต์ โบไม่เคยคิดจะใช้รถยนต์ มันอาจเคลื่อนที่ได้เร็ว แต่เสียงดัง สังเกตง่าย เดินด้วยเท้า ใช้เวลานาน แต่ตามรอยได้ยาก หลบหลีกง่าย เสี่ยงอุบัติเหตุน้อย และคล่องตัวกว่ามาก ที่สำคัญ เธอชอบอยู่คนเดียว รถมีที่นั่งตั้งสี่ที่ ถ้าขับไปเรื่อยๆ ต้องมีคนขอขึ้นมา เธอปฏิเสธคนไม่เก่ง เธอคิดว่าอยู่คนเดียวมีโอกาสรอดได้นานกว่า จะไปไหนก็ไป คิดอย่างไรก็ทำ ยิ่งมากคน ยิ่งมากความ
โบเดินไปอย่างไม่ย่อท้อ เธอชินกับการเดินทางไกล ปู่เคยพาเธอตะลอนๆแบบนี้ในหลายประเทศ ก่อนจะมาแคนาดาเป็นแห่งสุดท้าย และเขาก็หายตัวไป โบไม่กล้าย้ายที่ เธอรอ เผื่อว่าปู่จะกลับมา แดดเริ่มแรง ส่งผลให้เธอเหงื่อออก และกระหายน้ำ เธอเหลือน้ำอีกนิดหน่อยในกระเป๋า จึงหยิบออกมาดื่ม ระหว่างนั้น ปลอบตัวเองในใจว่าอีกนิดเดียวจะถึงที่หมายแล้ว
เธอเดินผ่านแนนซี่มาร์เก็ต ที่นี่ขายผลไม้สด เธอกับปู่เคยมาซื้อประจำเวลาที่พวกเขามีเงินเหลือ เลยไปอีกเป็นโชว์รูมขายรถหลายแห่งอยู่ติดๆกัน เป็นย่านการค้าขายรถยนต์โดยเฉพาะ ตามด้วยร้านอาหารหรู คนเร่ร่อนอย่างเธอเคยแต่มองผ่านกระจกเข้าไป กลืนน้ำลายลงคอ เห็นคนอื่นอยู่กับครอบครัว คนรัก รับประทานอาหารแสนอร่อยกันอย่างมีความสุข อาหารมื้อที่หรูที่สุดของโบกับปู่คือสเต็กหรือพิซซ่าเท่านั้นเอง โบสาวเท้าเดินต่อ สะบัดศีรษะน้อยๆ พยายามไม่ให้ภาพความทรงจำของเมืองที่รุ่งเรืองในอดีตเข้ามารบกวน และทำให้การเดินทางช้าลง
โบเดินเลี้ยวขวาที่คาพิลาโนมอลล์ ห้างสรรพสินค้าที่มักสว่างไสว เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของบรรดาสาววัยรุ่น หรือเสียงรองเท้าส้นสูงของสาววัยทำงาน แต่ตอนนี้เงียบเชียบเหมือนสุสาน กระจกหน้าก็แตกจนเดินทะลุเข้าไปหยิบอะไรก็ได้ ทันใดเธอก็หยุดกึก ดวงตาเบิกโตทั้งสองข้าง ปฏิกิริยารวดเร็ว หยิบปืนแบเร็ตต้าที่เหน็บไว้กับกางเกงขึ้นมาเล็งทันที
“ใจเย็นก่อน พวก” เขารีบพูด พร้อมยกสองมือขึ้นในอากาศ
คนถือปืนขมวดคิ้วทันที มันยาก ยากมากๆที่จะแยกออกระหว่างคนแบบเธอ กับพวกมัน เพราะไม่มีอะไรต่างกันเลย พวกมันก็เคยเป็นมนุษย์แบบเธอ แค่เปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่เคยเผชิญหน้าพวกมันตรงๆมาก่อน เคยแต่เห็นในที่ไกลๆระหว่างหลบหนี เธอไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้คือพวกไหนกันแน่ เขาตัวสูงกว่าเธอนิดหน่อย ผิวสีน้ำตาลเหมือนคนที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง น่าจะลูกครึ่งเอเชีย แต่ไม่ได้ตี๋ขาวแบบคนจีนหรือญี่ปุ่น เชื้อชาติน่าจะมาจากทางใต้ลงไปมากกว่านั้น ผมสีดำหยักศกยุ่งเหยิงปรกหน้าผาก ดวงตาของเขาสีเดียวกัน เขาสวมกางเกงขายาวตัวหลวมแบบที่ช่วยให้ขยับได้สะดวก แจ็กเก็ตหนังสวมทับเสื้ออีกตัวด้านใน เหมือนหลุดมาจากยุคเก้าศูนย์
“เธอไม่ใช่พวกมัน” เขาพูดขึ้นมา ฟังจากสำเนียง คล้ายกับพวกออสซี่ “ฉันก็ไม่ใช่พวกมัน”
“แน่ใจได้ยังไง?” โบหรี่ตาลง ยังถือปืนนิ่ง พร้อมเหนี่ยวไกทุกเมื่อ
“ถ้าเราอยู่คนละฝ่าย ป่านนี้คงมีคนใดคนหนึ่งสลบเหมือดอยู่บนพื้น ถูกลากขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปแดนยูโทเปีย และไม่ได้กลับมาอีกเลย” ที่เขาพูดก็มีเหตุผล
“ฉันไม่คิดว่าจะมีคนเหลืออยู่อีก” โบพูด ลดปืนลงนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่วางใจเต็มร้อย
“อย่าคิดตัวเองหลบเก่งคนเดียวสิ” เขาพูด น้ำเสียงเหมือนจะอวดนิดๆ “ฉันชื่อเบลค”
“โบ” เธอตอบสั้น
“โอเค จะไปกับฉันไหม โบ?” อยู่ๆเขาก็ชวน “จริงๆแล้ว ฉันออกมาดูลาดเลาก่อนจะไปพาที่เหลือมา เราจะใช้รถคันนั้น...” เขาชี้ไปทางด้านหลังของโบ แต่หญิงสาวไม่หันไปมอง เธอจับตาดูเขาท่าเดียว “ลงใต้ ไปอเมริกา”
“ทำไม?” เธอถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ได้ยินข่าวหรือ? พวกเขามีกองกำลังที่พร้อมจะสู้กลับ อาหาร น้ำ ที่พัก ยา ผู้คนที่ยังเหลือรอด ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ?” เบลคตอบแล้วก็ถามกลับ สำหรับโบ มันไม่ต่างจากยูโทเปียของพวกมัน เพียงแต่มันอาจดีจริงๆก็ได้ “เธอก็เห็น ไม่มีอะไรเหลือที่นี่แล้ว เราโดนกวาดล้างซะเรียบ ยังไงก็เถอะ ตามใจนะ ฉันต้องรีบไปก่อน” เขาพูดจบก็หันหลัง ออกวิ่งไปทางวอล์มาร์ทที่โบกำลังจะเดินตรงไป โบหัวหมุน ไม่รู้ว่าควรทำยังไง เธอไม่ได้เจอคนธรรมดามาเกือบเดือนแล้ว
โบตัดสินใจไม่ถูก แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเดินตามเขาไป อยากรู้ว่าพวกเขามีอยู่กี่คน รอดมาได้อย่างไร และเธออยากได้ข้อมูลข่าวสาร นายเบลคคนนี้ น่าจะรู้เยอะกว่าเธอ
“ตกลงว่าจะไปด้วยกันล่ะสิ” เบลคเอี้ยวศีรษะมามอง
“นายคงไม่ใช่พวกโรคจิต ฆ่าข่มขืน ชิงทรัพย์ใช่ไหม?” โบถามขึ้นมา เพราะถ้าใช่ เธอยิงหัวเบะออกเป็นสองซีกแน่ เบลคพ่นลมทางจมูก
“ฉันไม่ใช่คนเลวขนาดนั้น” เบลคตอบ เป็นการตอบที่แปลก แทนที่จะบอกว่า ไม่ใช่ แต่กลับบอกว่า ไม่ถึงขนาดนั้น จะให้เข้าใจว่าอย่างไร หมายความว่าเขาไม่ใช่คนดีอย่างนั้นหรือ โบไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่แปลกที่เธอจะสับสน เธอไม่ค่อยได้คุยกับใครยาวๆจนสนิท หรือรู้จักนิสัยใจคอ
ทันทีที่ถึงวอล์มาร์ท โบได้ยินความผิดปกติเป็นคนแรก และดึงตัวเบลคหลบฉาก กดศีรษะเขาลง คุดคู้กันอยู่หลังรถสีเทาคันหนึ่งบนลานจอด และก่อนที่เบลคจะโวยวาย โบชี้ไปข้างหน้า นิ้วแนบกระจกรถ ให้เขามองผ่านตรงไปทางนั้น รถกระบะคันใหญ่ของพวกทหารเพิ่งเลี้ยวมุมอาคารออกมา และจอดนิ่งหน้าประตูซุปเปอร์มาร์เกต โบหายใจแรง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง เบลคเกือบจะลุกขึ้นยืนอย่างใจร้อน แต่เธอดึงให้เขานั่งลงก่อน
“นายอยากตายหรือไง” โบพูดกัดฟันด้วยเสียงกระซิบ
“คนของฉันอยู่ในนั้น เธอคงไม่คิดว่าฉันจะทนเฉย” เบลคพูดอย่างโมโหที่ถูกบังคับ โบยังไม่ปล่อยคอเสื้อเขา เธอจับแน่นกว่าเดิมอีก
“นายมีกระสุนปืนเท่าไหร่? นายเป็นทหารหรือ? พวกเรามีแค่สองคน พวกมันมีเป็นสิบ เดี๋ยวก็แห่กันมาเพิ่มอีก ออกไปก็มีแต่จะ...” โบหยุดพูดกะทันหัน ท้องไส้ของเธอโหวงเหวงอย่างประหลาด ใจกระตุกเต้นขึ้นมา ความเย็นวาบไปตามสันหลัง ศีรษะของเธอสะบัดไปทางด้านหน้า รถสีดำอีกคันเพิ่งจะเคลื่อนเข้าไปจอดไม่ไกลจากรถกระบะ ริมฝีปากของโบแยกจากกัน อยู่ๆก็ต้องการอากาศเพิ่ม แค่จมูกใช้ไม่พอ เธออธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าอะไร คำพูดทั้งหมดเหมือนจะหายไปเฉยๆ เช่นเดียวกับความคิดในสมองด้วย เบลคเหมือนจะพูดหรือถามอะไรอยู่ข้างๆ แต่หูเธอดับไปแล้ว
ชายคนนั้น คนที่แต่งกายด้วยสีดำล้วน เสื้อโค้ตตัวยาวสวมทับชุดสูท ทั้งที่อยู่ในฤดูร้อน เธอมองเห็นเขาไม่ชัด เห็นแต่ด้านหลัง เขายืนตรงแน่วเหมือนทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ผมสีดำสนิทที่ทำให้เธอนึกถึงนกกา เธอไม่เคยชอบพวกกา เกลียดเสียงร้องของมัน ปู่เคยบอกว่าถ้ามันร้องและบินผ่านบ้านของใคร บ้านนั้นจะเจอโชคร้าย เป็นความเชื่อจากแถบเอเชีย โบกำหมัดแน่น ดวงตาถลนมองตรงไปเหมือนแทบจะหลุดจากเบ้า เขามีอะไรบางอย่างที่เธอบอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกกลัว ยำเกรง ขณะเดียวกัน ท้องไส้บิดมวนเป็นเกลียว ขนทุกเส้นบนแขนลุกชัน
ทหารกรูเข้าไปในซุปเปอร์ และหิ้วคนของเบลคออกมาด้วย โบเพิ่งเห็นว่ามีทั้งคนแก่ เด็ก ผู้หญิง และผู้ชายวัยเดียวกับเบลคอีกสองคน
“ให้ตายสิ!” เบลคสบถอย่างเจ็บแค้น
“เงียบๆ” โบเตือนเขา ยังคงจับคอเสื้อ ดึงเขาเอาไว้ กลัวว่าเขาจะลุกพรวดพราดและเปิดเผยที่ซ่อน จะพาลเธอซวยไปด้วย
ผู้ชายคนหนึ่งขัดขืน เขาชกทหาร แย่งปืนมาได้ ทำให้ทหารคนอื่นหันปืนไปข่มขู่เขา พวกมันไม่อยากใช้กำลังขั้นสูงสุดคือการฆ่า หากมีทางเลือก พวกมันอยากจับเป็นมากกว่า แต่ตอนนั้นเองชายในเสื้อโค้ตยาวสีดำก้าวไปข้างหน้า คว้าปืนจากมือทหาร เหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว เย็นชา และโหดร้าย โบเบิกตาโต ยกมือปิดปากเพื่ออุดเสียงอุทาน เธอหายใจเร็วแรงด้วยความกลัว ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม ทำไม ทำไม ทำไม ขณะที่เบลคกัดริมฝีปากแน่น กำหมัดสองข้าง โกรธจนตัวสั่น โบยังคงมองตรงไปที่ชายร่างสูงคนนั้น ท่าทางเหมือนเขากำลังกวาดตามองเหยื่อรายใหม่ที่พบ แล้วหันไปออกคำสั่งกับทหาร พวกมันทำตามคำสั่ง ถอยจากกลุ่มคน แล้วเล็งปืน
ไม่ ไม่ อย่าทำ ได้โปรด ไว้ชีวิตด้วย
เสียงร้องอ้อนวอนขอชีวิตอย่างสิ้นหวังดังมาถึงตรงนี้ ทะลุทะลวงเข้าไปทุกเส้นประสาทการรับรู้ โบต้องทุ่มแรงทั้งหมดที่มีเอามืออุดปากเบลค และกดร่างเขาไว้ เขากำลังดิ้น พร้อมจะทำอะไรโง่ๆที่ไม่ควรทำ อันที่จริง ถ้าเขาจะสลัดเธอให้หลุด ก็ทำได้ง่ายๆ โบคิดว่าในใจลึกลงไป เขาไม่อยากออกไปตรงนั้นอย่างที่ปากพูด มนุษย์ต้องการเอาตัวรอด มีความเห็นแก่ตัวกันทุกคน ความเจ็บปวด ทุรนทุราย และความใจร้อนที่เบลคกำลังแสดงออกมา เป็นแค่สิ่งที่สมองสั่งให้ทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจ และดูไม่เหมือนคนเห็นแก่ตัว หรือกลัวตาย
เสียงปืนดังระงม เบลคเบือนหน้าหนี แต่โบมองตรง ไม่ได้ละสายตา เห็นร่างของพวกเขากระตุก เลือดพุ่ง เสียงร้องไห้ปนไปกับเสียงกระสุน แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิทตามเดิม ร่างแน่นิ่งกับพื้น ทหารเก็บปืน ยืนเข้าแถวตัวตรง ฟังคำสั่งต่อไป แล้วก็ก้าวขึ้นรถ
โบไม่เคยเกลียดใครมาก่อน เธอมองทุกคนเท่าเทียมกันเสมอ อาจเพราะเธอไม่เคยใกล้ชิดกับใครนอกจากปู่คนเดียว เธอจึงไม่มีโอกาสได้รู้สึกอะไรกับใคร แต่ขณะนั้น เธอมองอย่างขยะแขยง รังเกียจเดียดฉันท์ หากมีปีศาจอยู่บนโลกใบนี้จริง เขาคนนั้นก็คือปีศาจ ใบหน้าของเธอเครียดขึง ริมฝีปากเม้มตรง แต่กระแสชิงชังอย่างรุนแรงคงจะเป็นคลื่นเดินทางไปไกลกว่าที่เธอคิดหรือจะเข้าใจได้ ร่างสูงที่กำลังเดินกลับขึ้นรถ หยุดเท้า และหันขวับ
เธอก้มศีรษะลงทันที เช่นเดียวกับกดหัวเบลคให้ก้มลงด้วย ใจเต้นตึกตักรัวเร็วด้วยความกลัว ถ้าเขาเห็นเธอล่ะ? ถ้าเดินตรงมาที่นี่ แล้วฆ่าเธอทิ้ง หรือร้ายกว่านั้น เอาตัวเธอกับเบลคไปด้วย เธอไม่รู้ว่าพวกมันมีวิธีการเลือกคนอย่างไร สักพักเธอได้ยินเสียงรถขับเคลื่อน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้ โบค่อยๆขยับศีรษะขึ้นทีละนิด หน้าผากมนโผล่อยู่เหนือขอบหน้าต่าง ตามด้วยดวงตา เธอทันเห็นเขาขึ้นรถสีดำไปพอดี รอดแล้ว! เธอคิดอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ
เบลคนั้นอับจนถ้อยคำ แม้ว่าเพิ่งจะรู้จักกัน และคุยได้ไม่กี่คำ โบอดที่จะสงสารเขาไม่ได้ แค่ครู่เดียวที่ออกมาดูลาดเลาว่าทางสะดวกจะให้คนอื่นๆออกจากที่ซ่อนหรือไม่ กลายเป็นว่าเขาจะไม่ได้เจอกลุ่มคนของเขาอีกแล้ว เบลคนั่งเอาหลังพิงประตูรถอย่างสิ้นหวัง มือยังกำหมัดอยู่เหมือนพร้อมต่อยอะไรก็ตามที่คิดจะดาหน้าเข้ามา
“ทำไมฉันมันเฮงซวยอย่างนี้วะ!” เขาโพล่งออกมา
โบไม่รู้จะตอบอะไร ที่เธอรู้แน่ๆคือ คนผิดไม่ใช่เขา ไม่ใช่เธอ พวกมันต่างหาก พวกมันตามล่า จับตัวไป หรือไม่ก็ ฆ่าอย่างไร้เหตุผล ไม่มีอะไรที่เธอหรือเบลคจะทำได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้มีอย่างเดียว
หนี
ความคิดเห็น