คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จุดเริ่มต้น
สามสัปดาห์ต่อมา...
...เวลา 1:16
น.
การจราจรบนสะพานพุทธฯ ซึ่งเป็นสะพานข้ามจากฝั่งกรุงเทพไปยังฝั่งธนบุรียังคงหนาแน่นอยู่ไม่น้อย
แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาดึกมากแล้วก็ตาม รอบบริเวณสะพานเป็นตลาดขายผักและดอกไม้สดเรียกว่า
‘ปากคลองตลาด’
เวลานี้เป็นเวลาที่รถกระบะจะนำสินค้ามาส่งจากต่างจังหวัด
ข้างใต้สะพานเป็นตลาดขายสินค้าตอนกลางคืน เช่น พวกเสื้อผ้าและรองเท้า บรรยากาศรอบ
ๆ บริเวณนี้จึงยังดูคึกคักกว่าบริเวณอื่นอยู่บ้าง
มีกลุ่มคนมายืนมุงล้อมวงจับกลุ่มกันทั้งบนสะพานและใต้สะพาน
ต่างกระซิบกระซาบกัน พยายามถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รถที่ขับผ่านมาต่างชะลอตัวช้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
บางคนก็จอดรถดูอย่างไม่สนใจใยดีรถที่ต่อท้ายอยู่ข้างหลังจนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องโบกมือเป่านกหวีดไล่
มีแสงไฟระยิบอยู่บนสะพานแสดงว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจประจำท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ นักข่าวและนักประดาน้ำล้วนมาถึงที่เกิดเหตุได้ครู่ใหญ่แล้ว
และมีการกั้นพื้นที่ที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์ ทั้งรถตำรวจ รถพยาบาล รถนักข่าวต่างจอดอยู่บริเวณใกล้เคียง
ถนนสามเลนถูกกั้นขวางจนเหลือเพียงเลนเดียวที่รถสามารถแล่นผ่านไปได้
ตอนนี้ที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดคือ
นักดำน้ำที่งมลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ความมืดและความเชี่ยวกราดของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการงมหาคนที่ตกลงไปในแม่น้ำ
นอกจากนี้สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจรองลงมาคือ
พยานที่อยู่ในเหตุกาณ์
ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่ที่ท้ายรถพยาบาล หน้าซีดขาว
ดวงตาเหม่อลอย ดูเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หมดสภาพในการให้ปากคำโดยสิ้นเชิง เจ้าหน้าที่พยาบาลต้องคอยปลอบขวัญและส่งยาดมช่วยเหลือ
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายต่างกันพื้นที่และสอบถามผู้ที่เห็นเหตุการณ์ในบริเวณใกล้เคียง
แต่มีน้อยคนนักที่สามารถบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่
ส่วนมากบอกได้แต่เพียงว่า เห็นรถคันที่เด็กวัยรุ่นขับจอดอยู่บนสะพานราวเที่ยงคืน
คาดว่ามาเพื่อชมวิวทิวทัศน์บนสะพานพุทธฯ ตามประสาวัยรุ่นทั่วไป แต่ไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบสภาพภายในรถคันนั้น
พบขนมเค้กก้อนเล็ก ๆ พร้อมการ์ดอวยพรวันเกิด ดอกไม้และของขวัญวันเกิดที่ยังไม่ได้แกะห่อ
ข้อความในการ์ดเป็นคำอวยพรที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พบสิ่งผิดปรกติใด จึงไม่ให้น้ำหนักในเรื่องการฆาตรกรรมมากนัก
แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งประเด็นนี้ไปเสียทีเดียว
เสียงฮือเริ่มดังขึ้น
กลุ่มคนที่มุงดูจนถึงตอนนี้ในที่สุดได้เห็นนักดำน้ำโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแล้ว นักดำน้ำสองคนค่อย
ๆ พาตัวเข้ามาในฝั่ง กลุ่มคนและเจ้าหน้าที่ได้เห็นนักดำน้ำสองคนลากร่าง ๆ
หนึ่งมาตามน้ำ เจ้าหน้าที่ช่วยกันนำร่างนั้นขึ้นมาบนฝั่งก่อนจะกลับไปช่วยเหลือนักดำน้ำทั้งสอง
มันเป็นร่างของหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง
เมื่อทุกคนสามารถเห็นร่างนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สีหน้าของเจ้าหน้าที่และผู้คนที่มามุงดูบ้างก็ปิดตา
บ้างก็เมินหน้าหนี บ้างก็ยกมือขึ้นมาปิดตาปิดปากตามสัญชาตญาณ เสียงคุยจอแจเมื่อก่อนหน้านี้เงียบลงในทันทีทันใด
วันรุ่งขึ้น
เด็กชายวัยรุ่นผู้เป็นพยานในเหตุการณ์เมื่อคืนถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยควบคุมตัวอย่างใกล้ชิด
เด็กหนุ่มยังคงนอนอยู่บนเตียง หน้าตาขาวซีด ไร้ความรู้สึก พ่อแม่ของเด็กหนุ่มนั่งเฝ้าอาการด้วยความเป็นห่วงอยู่ด้านข้าง
เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจะเข้าไปสอบปากคำตั้งแต่เช้า หากแต่แพทย์ผู้ดูแลรักษายังไม่อนุญาต
หลังเที่ยง เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งอายุราวสี่สิบห้าสิบปี
อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ รูปร่างกำยำแข็งแรง เข้ามาพูดคุยถามไถ่เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อยู่หน้าห้องคนไข้
“เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้แหละครับท่าน” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งสรุปเหตุการณ์เมื่อคืนนี้
“อืม ขอบใจมากนะ” นายตำรวจนอกเครื่องแบบมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อฟังเรื่องราวจบ
“เรายังไม่ได้สอบปากคำพยานเลยครับท่าน
ทางแพทย์ยังไม่อนุญาตครับ”
พอดีไปสบตากับนายตำรวจนอกเครื่องแบบเข้า ในใจเกรงว่าจะถูกตำหนิจึงรีบพูดต่อ “แต่คิดว่าไม่เป็นการเร่งด่วนอะไรครับ
แพทย์ระบุสาเหตุการตายเบื้องต้นของหญิงสาวว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่าครับ
เพราะไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายใด ๆ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดบทสนทนาลงเมื่อเห็นไม่มีท่าทีตอบสนองของนายตำรวจนอกเครื่องแบบ
“เอาละ” นายตำรวจพูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่พักใหญ่ แววตาอิดโรยไม่น้อย “ผมจะขอโอนคดีนี้ไปจัดการเองนะ
ช่วยส่งหลักฐานในที่เกิดเหตุทั้งหมดไปให้ผมด้วย”
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีสีหน้างงกับคำสั่งเพราะไม่เห็นว่าคดีนี้จะมีความสำคัญแต่อย่างใด
แต่ยังยกมือทำความเคารพรับคำสั่ง
“แล้วพยานคนนี้ผมจะทำการสอบปากคำเองนะ”
ก๊อก ๆ ๆ...
นายตำรวจนอกเครื่องแบบเข้ามาในห้องคนไข้หนุ่มผู้เป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์
เด็กหนุ่มยังคงเหม่อลอย ไม่สนใจว่าใครเข้ามา
นายตำรวจพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กหนุ่มสักพักหนึ่งก่อนที่พ่อแม่จะยอมออกไปนอกห้องด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ภายในห้องคนไข้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
หน้าต่างห้องถูกเปิดกว้างออกเพื่อให้คนไข้ได้รับลมและแสงแดด
บนโต๊ะข้างหัวเตียงมีเพียงถาดอาหารที่คาดว่าคนไข้น่าจะได้รับจากนางพยาบาลตั้งแต่เช้า
อาหารภายในจานพร่องไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเปลือกส้มอยู่บนถาด
เด็กหนุ่มคงจะทานอาหารไม่ลง แม่ของเขาจึงเอาผลไม้ให้ทานแทน
“สวัสดี” นายตำรวจกล่าว แต่เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีตอบสนอง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉันรู้ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ แต่ฉันอยากจะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอพอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหม”
สายตาของเด็กหนุ่มเริ่มเบนมาที่นายตำรวจนอกเครื่องแบบ
“คุณรู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันยังไม่แน่ใจนัก
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับแฟน...เอ่อ...‘เพื่อนสนิท’ ของเธอ มันก็อาจจะเกิดขึ้นกับคนอื่นได้ ดังนั้นฉันจึงต้องการความช่วยเหลือจากเธอ”
เด็กหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง
นายตำรวจนอกเครื่องแบบก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรรอจนเด็กหนุ่มพูดขึ้นมาเอง
เด็กหนุ่มเล่าว่า
คืนนั้นเขาเตรียมจะเซอร์ไพร์วันเกิดให้กับแฟนสาว
เขากับเธอคบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีที่หนึ่ง จนถึงตอนนี้ก็เกือบสามปีแล้ว
หลังเลิกเรียนเขาชวนเธอไปกินข้าวเย็นแล้วแกล้งบอกเธอว่าปีนี้เขาไม่มีของขวัญให้นะ
ตอนแรกเธอมีท่าทางโมโห ไม่ยอมพูดจาด้วย แต่เขาก็ตามงอนง้อจนเธอใจเย็นลง ซึ่งเขาก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น
เพื่อรอจนกระทั่งเที่ยงคืนเขาก็จะทำให้เธอประหลาดใจ
เด็กหนุ่มเล่าด้วยสีหน้าที่มีสีเลือดขึ้น รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฎบนใบหน้า
หวนรำลึกถึงช่วงเวลานั้นคงทำให้เด็กหนุ่มมีความสุขไม่น้อย
หลังจากแฟนสาวหายโกรธ
เด็กหนุ่มจึงชวนแฟนสาวไปที่สะพานพุทธฯ เขาจอดรถบนสะพาน
พอเที่ยงคืนเขาก็หยิบการ์ดวันเกิดตามด้วยดอกไม้ เค้กและของขวัญยื่นให้
แฟนสาวท่าทางดีใจมากจนเห็นได้ชัด ขณะที่บรรยากาศเป็นใจอย่างนั้น
เธอก็ขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอก แต่แล้วอยู่ดี ๆ เธอก็กระโดดลงจากสะพาน
ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“จำได้ไหมว่าแฟนเธอกระโดดลงไปตอนกี่โมง”
“ผมมอบของขวัญให้เธอตอนเที่ยงคืนตรง
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเธอก็กระโดดลงจากสะพาน”
“ก่อนหน้านั้นเธอมีท่าทีอะไรที่ผิดปกติไหม”
“ไม่มี ไม่มีนี่ครับ”
“เธอเล่าว่า
แฟนเธอออกไปสูดอากาศข้างนอก ทำไมอยู่ ๆ...”
“ใช่แล้ว” เด็กหนุ่มบอกอย่างคิดได้ “เธอบอกว่ามึนหัวนิดหน่อย
เลยอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ผมนึกว่าเธอหาข้ออ้างที่จะหลบผม เพราะผมพยายามจะ...หอมแก้มเธอ
จากนั้นเธอก็มีอาการคลุ้มคลั่ง พูดกับใครก็ไม่รู้ เธอเหมือนหนีอะไรบางอย่าง...หรือใครสักคนหนึ่งขึ้นไปบนราวสะพานก่อนจะพลัดตกลงไป”
เด็กหนุ่มร้องไห้อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่นอนร้องไห้มาตลอดคืน
เด็กหนุ่มดูผอมลงไปมากในคืนเดียว
เหตุการณ์ที่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำกลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต
นายตำรวจนอกเครื่องแบบตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ เป็นเชิงขอบใจและปลอบใจ
ก่อนจะออกจากห้องไป
ก่อนจะกลับนายตำรวจนอกเครื่องแบบแวะไปดูศพของหญิงสาวผู้เสียชีวิต
ขณะเดินไปทางห้องเก็บศพก็พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ
“ขอโทษนะค่ะ
ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่ค่ะ” นางพยาบาลคนหนึ่งที่เดินสวนมาเตือนเขา
“เอ่อ ขอโทษครับ” นายตำรวจนอกเครื่องแบบกล่าวอย่างละอาย
นายตำรวจนอกเครื่องแบบจึงนำมวนบุหรี่นั้นออกมาดมเท่านั้น
แล้วเก็บกลับเข้าไปในซอง ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องเก็บศพแล้ว เขาผลักประตูห้องเข้าไป
แจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอยู่หน้าประตูพร้อมแสดงบัตรประจำตัว
“แน่ใจนะครับว่าอยากจะดู
ผมเตือนไว้ก่อนนะว่าเห็นศพนี้แล้วท่านจะลืมไม่ลงเลยล่ะ”
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้องเก็บศพเตือน
นายตำรวจนอกเครื่องแบบพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“อย่างน้อยก็เห็นมาแล้วสองครั้ง” นายตำรวจพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาจนเจ้าหน้าที่ไม่ได้ยิน
เจ้าหน้าที่พานายตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าไปในห้อง
และหยุดลงตรงหน้าศพหนึ่งซึ่งมีผ้าคลุมเอาไว้ นายตำรวจนอกเครื่องแบบหลับตาทำใจเล็กน้อย
สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเปิดดู
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเอามืออุดจมูกขณะที่นายตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังจะเปิดผ้าคลุมศพ
ทันทีที่เปิดผ้าออกกลิ่นเหม็นจากศพลอยออกมาปะทะจมูกของนายตำรวจนอกเครื่องแบบ
แม้เขาพยายามจะกลั้นลมหายใจแล้วก็ตาม กลิ่นนั้นยังคงลอยเข้าไปในความรู้สึกของเขา
หน้าตาศพหญิงสาวมีสีหน้าตื่นกลัวถึงขีดสุด
ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้าค้างเหมือนศพอื่นที่นายตำรวจนอกเครื่องแบบเคยเห็นมา
ที่แย่กว่านั้นคือศพนี้จมน้ำ ทำให้สภาพศพดูน่ารังเกียจยิ่งกว่า เขาสังเกตเห็นรอยเลือดที่แห้งแล้วออกมาจากทางตา
หู จมูกและปากคงเกิดจากแรงดันใต้น้ำ นอกนั้นไม่มีบาดแผลอื่นอีก
“ก่อนเธอเสียชีวิตคงจะเป็นผู้หญิงที่สวยไม่น้อย
น่าเสียดายนะอายุยังน้อยอยู่เลย” เจ้าหน้าที่พูดขณะที่มือยังคงอุดจมูกอยู่
นายตำรวจนอกเครื่องแบบก็เห็นด้วยเช่นกันก่อนจะปิดผ้าคลุมกลับไปอย่างเดิม
แล้วเดินจากไป ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องเก็บศพ สีหน้าของเขานิ่งสงบตลอดมา เพียงแต่เปลี่ยนลมหายใจครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งเท่านั้นตอนออกจากห้องเก็บศพ
เพิ่งพ้นจากโรงพยาบาลมาได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา
“ฮัลโหล...ใช่ครับ...เหมือนกันไม่มีผิด...เราต้องประชุมด่วนครับ...ครับ
ผมกำลังกลับไป”
ก๊อก ๆ...
“เชิญเข้ามาได้
พวกเรากำลังรอคุณอยู่ นายตำรวจองอาจ”
นายตำรวจนอกเครื่องแบบเดินผ่านประตูห้องประชุมเข้าไป
ที่นี่เป็นห้องประชุมภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแผนกหน่วยสืบราชการลับ ภายในห้องมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีแขวนอยู่เหนือสุด
ข้างใต้ลงมาเป็นตราของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังมีพระพุทธรูปขนาดเล็กอีกชุดหนึ่งตั้งอยู่มุมห้อง
ในห้องนั่งเต็มไปด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่สามนาย
นักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาอีกสองท่าน บนโต๊ะยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางไว้ด้วยซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งกับถุงพลาสติกใบหนึ่ง
นายตำรวจองอาจเหลือบมองถุงใบนั้นแวบหนึ่งก่อนยกมือทำความเคารพ
“เชิญนั่งเถอะ” นายตำรวจผู้ใหญ่คนหนึ่งบอก “นี่เป็นหลักฐานที่ถูกส่งมาจากกองพิสูจน์หลักฐาน
เป็นของศพรายล่าสุด ส่งมาถึงคุณ”
นายตำรวจองอาจนั่งลง
เอื้อมไปหยิบถุงหลักฐาน ตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดในถุง
มีแต่โทรศัพท์มือถือที่เขาสนใจเป็นพิเศษ ทุกคนต่างรอนายตำรวจองอาจตรวจสอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลแต่ยังคงนิ่งเงียบอยู่
นายตำรวจองอาจตรวจสอบข้อความที่ได้รับในโทรศัพท์มือถือ พบว่ามีอยู่ห้าข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
แต่มีอันเดียวที่ไม่ทราบแหล่งที่มา
‘Happy Deathday!’
นายตำรวจองอาจถอนหายใจเมื่อเห็นข้อความ
แล้วเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไป
“เหมือนกับเหยื่อรายก่อน
นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแล้วครับท่าน” นายตำราจองอาจรายงาน
“จนถึงตอนนี้พอจะทราบไหมว่าใครเป็นคนทำ” นายตำรวจผู้ใหญ่คนหนึ่งถาม
“จนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบครับว่าใครทำ” นายตำรวจองอาจทวนคำ “และไม่ทราบครับว่าทำได้อย่างไร
หรือแม้กระทั่งนี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ขอโทษครับที่เสียมารยาท”
“พวกเราเข้าใจในความเครียดของคุณ
และไม่ได้จะตำหนิคุณ แม้แต่ท่านนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาทั้งสองท่านก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่รู้แม้กระทั่งว่านี่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือไสยศาสตร์กันแน่”
“น่าเสียดายที่เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อยี่สิบปีก่อนทำให้ข้อมูลเกือบทั้งหมดหายไปในกองไฟ” นักวิทยาศาสตร์อาวุโสผู้หนึ่งกล่าว
“อย่างไรก็ตาม
ผมอยากให้คุณตามเรื่องนี้ เพราะคุณเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้มาตั้งแต่ต้น” น้ำเสียงของนายตำรวจออกไปในเชิงคำสั่งมากกว่าขอร้อง
“ผมโอนคดีมาอยู่ในความดูแลของหน่วยสืบราชการลับแล้วครับ” นายตำรวจองอาจตอบ
“ผมอยากให้คุณดูแลคดีนี้ด้วยตัวเอง
อ้อ แล้วอีกอย่างทำให้เงียบที่สุดก็แล้วกัน เพราะไม่อย่างนั้น
หากพวกนักข่าวรู้เรื่องเข้า คงจะเกิดเรื่องอื้อฉาวตามมาอีกไม่น้อย”
“นี่ยังไม่รวมถึง
คำตอบที่เราจะให้กับพวกนักข่าว ที่เราก็ไม่รู้ว่าจะให้ตอบว่าอย่างไร” นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอีกคนแทรกเข้ามา
นายตำรวจองอาจทำความเคารพก่อนจะออกจากห้องประชุม
เขาออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับภาระอันหนักอึ้งและเขาไม่รู้ว่าจะปลดมันออกจากบ่าของเขาได้อย่างไร
ใช่แล้ว มันเกี่ยวข้องกับเขามาตั้งแต่ต้น แต่ตอนที่เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ตอนนั้นเขายังเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียวและไม่รับรู้อะไรมากนัก
ดังนั้นการที่เขาเคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราว
ไม่ได้ช่วยให้เขาสามารถไขปัญหาได้ดีกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่นักเลย
นายตำรวจองอาจกลับไปที่ห้องทำงานในแผนกสืบราชการลับ
รวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้และคดีก่อนหน้านี้มาวางกองบนโต๊ะในห้องประชุมเล็กในแผนก
เขาหยิบหลักฐานมาดูอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงไม่ได้อะไรมากไปกว่าสิ่งที่เคยรับรู้มา
เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน
ภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายตำรวจองอาจกับนายตำรวจที่เกี่ยวข้องรายอื่นต่างถูกถอดถอนตำแหน่งไปประจำการอยู่ต่างจังหวัด
เหตุการณ์นี้เป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับ
‘ไฟไหม้สนง.พันธุฯ
คนตายเกลื่อน’
‘อาถรรพ์ที่ดิน
สนง.พันธุฯไหม้วอดวาย’
...และอื่น ๆ อีกมากมาย
นี่ยังดีที่นักข่าวยังตามกลิ่นและหาจุดเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้
เพียงคิดว่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดารายหนึ่ง
หากพวกนักข่าวรู้พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจคงหาคำตอบให้ไม่ได้
และเหตุการณ์ก็คงจะเลวร้ายไปยิ่งกว่านี้เป็นแน่
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจะต้องทำงานให้เงียบที่สุด
นายตำรวจองอาจออกจากห้องประชุมที่เขานั่งอยู่
เข้าไปหยิบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมื่อยี่สิบปีก่อนทั้งหมดมา
มีกระดาษใบหนึ่งเขาหยิบมันแยกออกมา คลี่ดูอยู่พักหนึ่ง
...มันเป็นรายชื่อคน 10 คน พร้อมกับที่อยู่และวันเดือนปีเกิด...
เขาพับมันลงในกระเป๋าเสื้อ
แล้วรวบรวมเอกสารในอดีตจากในตู้และแฟ้มหลักฐานที่วางกระจัดกระจายอยู่ในห้องประชุมใส่กระเป๋าแล้วเดินจากไป
ความคิดเห็น