ลำดับตอนที่ #19
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 18
โอบตะวัน
Chapter 18
“ที่จริง...”
ท่ามกลางแอร์เย็น ๆ ของห้างสรรพสินค้า ผมพูดขึ้นมาเมื่อหนึ่งตะวันเอาเสื้อตัวที่สามมาทาบกับแผ่นหลัง ในมือพนักงานในชุดยูนิฟอร์มเรียบหรูตามนโยบายของร้านค้าแบรนด์ดังถือค้างไว้อีกหลายตัว ส่วนมากแล้วเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีอ่อนกับเนกไทลายสวยงาม นายน้อยเลิกคิ้วขึ้น เบี่ยงตัวออกจากแผ่นหลังมาสบตาผม
“อะไร?”
“ผมจะบอกว่าที่จริงคุณหนึ่งน่าจะไปกับคุณพอร์ช”
“ไม่อะ พานายไปด้วยดีแล้ว จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่มีอะไรมากหรอก กินข้าว พูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อก่อนฉันก็ไปกับคุณพ่ออยู่ช่วงหนึ่ง”
“คุณหนึ่งชินแต่ผมไม่ชินนี่ครับ”
ถึงพูดแบบนั้นก็รับเสื้อกับเนกไทที่ถูกใจคนเลือกมาถือไว้ในมืออยู่ดี ผมถอนหายใจ ความยุ่งยากแบบนี้เห็นจะเกิดขึ้นครั้งเดียวตอนสมัยรับปริญญาหลังจากนั้นก็ไม่แต่งตัวเป็นพิธีการอีก ทำงานในไร่ ถนัดจะสวมเสื้อผ้าสบาย ๆ ซักง่ายจะได้ไม่ลำบากแม่นัก
“ทีฉันยังเข้าไปในโลกของนายเลย ทำไมแค่นี้ทำอิดออดไปได้ ไม่มีผู้หญิงมากรี๊ด ๆ ไล่จับผู้ชายเหมือนในหนังหรอกน่า กลัวอะไร”
“กลัวจะไปทำให้คุณหนึ่งเสียหน้าเข้าน่ะสิ”
“นายทำฉันเสียหน้าตั้งแต่ที่มาหยอดแล้วบอกว่าไม่คิดอะไรแล้วล่ะ แค่นี้ทำเป็นกังวล”
คู่สนทนาถลึงตาใส่ ผลักผมเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้าแล้วตามติดมาด้วย ห้องขนาดเล็กเท่าแมวดิ้นตาย เมื่อรูดม่านปิดก็เหลือผมกับเขาที่หายใจรดกันในที่แคบ ๆ
“อีกอย่าง อย่าทำเหมือนเป็นบ้านนอกเข้าเมืองนักได้ไหม ไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาไม่มีการศึกษาเสียหน่อย มารยาททางสังคมทั่วไปนายก็รู้ เผลอ ๆ รู้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำ เอาล่ะ ถอดเสื้อออก”
“คุณหนึ่งไม่ออกไปรอข้างนอกเหรอครับ”
“จะมาอายอะไร” คนเจ้ากี้เจ้าการพูดเสียงดุ “เมื่อคืนเกือบจะทำกันแล้วแท้ ๆ”
“แต่ก็ไม่ได้ทำ”
“รีบนักหรือไง”
“ถ้าได้ไว ๆ ก็ดีไม่ใช่เหรอครับ”
“ไอ้กฤช”
คราวนี้ผมยิ้มเผล่รับคำแทนโต้แย้ง ระล่ำระลักถอดเสื้อโปโลที่สวมอยู่รวดเร็ว หนึ่งตะวันบังคับให้ผมหันหลัง คอยจับเสื้อให้สวมเข้าทรงแล้วหมุนตัวกลับมาเพื่อผูกเนกไทให้เรียบร้อย ผมมองขนตายาวเป็นแพหนาเมื่ออีกฝ่ายหลุบตาลง คิ้วขมวดเข้าหากัน มือไม้สาละวนกับการจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
“ค่อยดูเป็นผู้ดีขึ้นมาหน่อย” ว่าพลางเอื้อมมือคล้องคอ จับเส้นผมที่ยาวประบ่าของผมรวบเข้าหากัน
“เหลือกางเกง เสื้อสูท แล้วจะพาไปตัดผม เสื้อสูทคงต้องเช่าเอาแล้ว ไม่อย่างนั้นตัดไม่ทันแน่ ฉันพอรู้จักร้านดี ๆ อยู่ หุ่นอย่างนายยิ่งน่าจะหาง่าย”
“หุ่นอย่างผม?”
“เหมือนหุ่นที่วางหน้าตู้โชว์นั่นไง” หนึ่งตะวันว่าพลางหมุนผมให้กลับไปมองกระจกด้านหลัง เขาสวมกอด แล้วซุกตัวผ่านท่อนแขนให้เหมือนกับผมเป็นฝ่ายล็อกคออีกฝ่ายเข้ากับตัว
“ใส่แล้วดูคุณชายชะมัด ฉันเอาแบบนี้อีกตัวดีกว่า”
“เหมือนกันเลยน่ะเหรอครับ”
“ค่อยไปเลือกสูทคนละแบบเอาก็ได้ ปะ ถอดเสื้อออกได้แล้ว เดี๋ยวฉันออกไปดูกางเกงให้ เอวเท่าไร”
“แล้วจะเข้ามาช่วยผมรูดซิปหรือเปล่า”
“กวนประสาท แต่งเองไม่เป็นหรือไง”
“ทีเสื้อยังเข้ามาช่วยแต่งเลย”
หนึ่งตะวันแยกเขี้ยวแทนคำตอบ เขาปลดม่านเดินออกไปด้านนอก ทิ้งให้ผมมองภาพตัวเองผ่านกระจกเพียงลำพัง
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ไม่ทันตั้งตัว หมุนไปมาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังพักเดียวก็ได้ถุงกระดาษใส่เสื้อผ้ามาเต็มมือ ผมถูกบังคับให้ไปนั่งร้านตัดผมพร้อมคนสั่ง หนึ่งตะวันนั่งเก้าอี้ตัวติดกับผม เขาตัดทรงเดิม แค่ให้สั้นขึ้นมานิดหน่อย ขณะที่ผมยาวประบ่าของผมถูกหั่นจนเห็นต้นคอสะอาดจากด้านหลัง ผมไม่เห็นยอดเงินที่ถูกเผาไปในวันนี้ หนึ่งตะวันเพียงแต่รูดบัตรเครดิตการ์ดสีทองแล้วเซ็นท้ายใบเสร็จด้วยความคล่องแคล่ว เขาช็อปปิ้งอย่างคนบ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เข็มขัด แม้กระทั่งรองเท้าถุงเท้าก็ซื้อใหม่ทั้งหมด เกินครึ่งเป็นของผม และนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก
"วันนี้หมดไปกี่บาทครับ"
เมื่อขึ้นรถมาก็เอ่ยถาม เจ้าของรถเปิดประทุนสองที่นั่งสีขาวปลอดกดเพลงฟังไม่สนใจคำถาม รถคันนี้เป็นของหนึ่งตะวัน เจ้าตัวรักนักหนาแต่ป้าจิ๋วบอกว่าแอบเอาไปแข่งจนชนยับกลับมาหลายรอบ เสียเงินเท่าไรไม่ว่า ขอให้ซ่อมกลับมาเหมือนเก่า เป็นรถคันแรกที่คุณชนินทร์ซื้อให้เป็นของขวัญวันรับปริญญา
"คุณหนึ่งช่วยหักไปจากเงินเดือนแต่ละเดือนของผมได้หรือเปล่า"
"ไม่ ฉันซื้อให้ จะทำไม ไม่อยากรับหรือไง"
"มันไม่ดี" ผมว่า "ไม่มีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนอยากถูกแฟนเลี้ยงดูหรอกครับ"
"ช่างคนอื่นสิ ฉันอยากให้แฟนฉันหล่อ ผิดอะไร อีกอย่าง นายก็อายุน้อยกว่า ไม่น่าเกลียดสักหน่อย"
"ผมไม่สบายใจ" ยังยืนยันคำเดิมแม้หนึ่งตะวันจะลอยหน้าลอยตาฮัมเพลงไปกับทำนองเนิบช้าของวิทยุ ดูท่าแล้วจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากไม่มีโอกาสได้ใช้เงินฟุ่มเฟือยมาเสียนาน
"ถ้าไม่สบายใจก็ตอบแทนฉันด้วยการเป็นเด็กดีของฉันสิ ไม่เห็นยากเลย ก่อนอื่นเลิกทำหน้างอเดี๋ยวนี้"
"คุณหนึ่งเอาแต่ใจ"
"ไม่เลิกใช่ไหม งั้นจอดรถ ข้างทางนี่แหละ"
ผมถอนหายใจหนัก โชคดีที่พ้นช่วงการจราจรคับขันมาแล้วจึงตีไฟเลี้ยวตามคำสั่งได้ นายน้อยปลดเบลท์ที่คาดไว้ออก เอื้อมมือมาจับผมให้เอียงหน้าหา เราสบตากัน ผมยังคงไม่พอใจที่อีกฝ่ายตั้งท่าจะเลี้ยงดูผมแบบนี้ จะว่าหัวโบราณก็ได้ แต่ผมเป็นผู้ชาย ถูกอบรมมาตลอดว่าอย่าทำตัวเหมือนเกาะใครกิน
"หน้าจะแก่นำฉันไปแล้ว"
"ผมไม่ชอบให้ใครซื้อของให้”
“เรื่องของนาย แต่ฉันชอบซื้อของให้คนที่ฉันรัก แล้วก็ไม่ชอบเห็นนายหน้าบึ้งแบบนี้”
“คุณมันเอาแต่ใจ อยู่กับคุณแล้วผมปวดหัว"
"จริงเหรอ"
คนถามเลิกคิ้วขึ้น จังหวะทีผมจะสะบัดคางออกจากมือเล็กหนึ่งตะวันกลับจู่โจมเสียก่อน ใบหน้าขาวชะโงกมาใกล้ ผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มขนาดโตเมื่อจมูกเราเกี่ยวกันก่อนที่ริมฝีปากจะถูกบดเบียด ความหยุ่นชื้นของกลีบปากอีกฝ่ายแนบแน่น ดูดดึงเป็นเสียงจ๊วบเบา ๆ เมื่อถอนปากออก
"ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า"
หนึ่งตะวันยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และแสนซน ผมผ่อนลมหายใจ แต่ไม่วายจะบ่นต่อ "คุณนี่มันสุด ๆ เลย ทำไมนับวันยิ่งเป็นปีศาจแบบนี้"
คนถูกติไหวไหล่ เขายังคงไม่แยแสกับอารมณ์ขุ่น ๆ ของผมเหมือนเดิม "ถ้ารู้ตัวว่าพลาดก็ยอมเป็นทาสที่น่ารัก ๆ ของฉันสิ เสื้อผ้าพวกนี้ไม่กี่บาทหรอก ฉันแค่อยากเห็นนายในมาดคุณชายบ้างเท่านั้นเอง ทีนายยังจับฉันใส่หมวกฟางบ้า ๆ นั่นได้เลย อย่าโยเยน่า เราไม่ใช่คนอื่นกันแล้ว ไม่ใช่แค่เจ้านายกับลูกน้องด้วย"
หนึ่งตะวันช้อนสายตามอง ความหมายในแววตาคู่นั้นล้ำลึกและอบอุ่น "ให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อนายบ้างอย่าปฏิเสธกันเลย"
ท้ายที่สุด ผมก็ยอมจำนนเลิกคิดเรื่องเงินทองที่สิ้นเปลืองไปวันนี้ได้เสียที
งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในช่วงค่ำของวันเสาร์เป็นงานเปิดตัวลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ผมกับหนึ่งตะวันไปเผาเงินเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้ร่วมงานล้วนแต่เป็นนักธุรกิจไฮโซชื่อดัง แค่ก้าวเข้ามาในงานก็ดูเหมือนทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แม้แต่หนึ่งตะวันที่บอกว่ามีแค่ช่วงระยะสั้น ๆ เท่านั้นที่ตามติดคุณชนินทร์มาด้วยยังมีคนมาทักทายไม่ขาดสาย
ภูดิศยืนถือแก้วพันช์คุยกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีภายในงาน เมื่อผมกับหนึ่งตะวันปรากฏตัวก็ชูแก้วทักทาย ชวนเพื่อนสนิทให้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย
“สวัสดีครับ น้องเอ็ม”
“ครับ ดีใจจังพี่หนึ่งจำเอ็มได้ด้วย ขอคุยกับคุณพอร์ชระหว่างรอพี่หนึ่งมาไม่โกรธกันใช่ไหม”
“ไม่โกรธเลย” หนึ่งตะวันหัวเราะ ยิ้มแปลก ๆ ให้ภูดิศกับเด็กหนุ่มที่ว่า “ตามสบายเลยครับ ไม่เจอกันเสียนานเลยแวะมาทักทายหน่อย นี่กฤช ผู้ช่วยผม กฤช นี่เอ็ม ลูกคุณนิวาส ทำธุรกิจเครื่องดื่มเหมือนกัน”
“แต่ไม่ใช่แอลกอฮอล์” เด็กหนุ่มคนดังกล่าวยิ้มทัก ดวงตาเป็นประกายแพรวพราว “พี่หนึ่งเอาคนหน้าตาดีขนาดนี้มาไว้ใกล้ตัวพี่พอร์ชไม่อกแตกตายเหรอครับเนี่ย”
“คนอกแตกตายน่าจะเป็นคุณกฤชมากกว่า” ภูดิศหัวเราะร่วน “เอาตะวันไปเลี้ยง วินาศสันตะโรชัด ๆ”
“พอร์ช เดี๋ยวนี้กูไม่ใช่แบบนั้นแล้วไหมวะ”
“จะไปรู้เหรอ” เพื่อนคนพิเศษไหวไหล่ หลิ่วตามองผมล้อ “เรื่องนั้นต้องถามเจ้าตัวว่าปวดหัวแค่ไหน”
“ว่าแต่ช่วงนี้พี่หนึ่งไปดูแลที่ไร่ตะวันฉายเหรอครับ ไม่ค่อยได้เจอเลย ไม่มีคนคุมพี่พอร์ชนะซนยิ่งกว่าเก่า”
“มันก็ซนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะน้องเอ็ม”
“นี่ ช่วงที่พี่หนึ่งไม่อยู่พี่พอร์ชมาอ้อนเอ็มด้วยแหละ”
“อ๋อ เหรอครับ” หนึ่งตะวันแกล้งร้องกลั้วหัวเราะ ดูยียวนอย่างประหลาด “มันก็อ้อนไปทั่วแหละเอ็ม อย่าไปเอาอะไรกับไอ้พอร์ชมากเลย หรือถ้าคิดว่าหยุดมันได้จริง ๆ ก็ลองดู รู้จักมันแค่ไหนล่ะ”
“พี่หนึ่งก็ห่าง ๆ ไปแล้วเมื่อก่อนกับตอนนี้อาจไม่เหมือนพี่พอร์ชที่พี่หนึ่งรู้จักก็ได้”
หนึ่งตะวันทำท่าจะเถียงต่อ แต่ภูดิศยั้งบทสนทนาไว้ จับข้อศอกเล็กของเด็กหนุ่มชวนไปทางอื่น ขณะที่หนึ่งตะวันเบ้หน้าไม่ชอบใจอยู่ข้างผม
“ทำไมทำท่าเหมือนกับหึงคุณพอร์ชอย่างนั้นล่ะครับ”
“ไม่ได้หึง” คนขี้หงุดหงิดเถียงทันที “ฉันไม่ชอบไอ้เด็กนั่น เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย ไอ้พอร์ชได้มานานแล้ว แต่สลัดไม่หลุดสักที มีโอกาสก็มาแง้ว ๆ ใส่ตลอด”
“เหมือนใคร ๆ ก็เข้าใจว่าคุณกับคุณภูดิศคบหากัน”
“เห็นว่าสนิทกันล่ะมั้ง”
ผมถอนหายใจ ไม่ชอบที่ใครเข้าใจแบบนั้น รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่แสดงตัวว่าเป็นคนรักของหนึ่งตะวันแทนภูดิศไม่ได้
“ไม่เห็นมีใครเดินมาถามความจริงสักที ก็คิดกันไปเองทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นผมถามได้ไหมครับ คุณกับภูดิศคบกันแบบไหนกันแน่”
หนึ่งตะวันหันกลับมามอง จ้องตาผม มีแววขุ่นเคืองเจืออยู่ในนั้น
“ถามบ้าอะไรของนาย”
“ก็ผมไม่ชอบใจ”
“ถ้าฉันเป็นแฟนกับพอร์ชมันจะปล่อยให้ฉันจีบนายแบบนี้ไหม อย่าซื่อบื้อให้มันมากนักได้ไหม เริ่มเหนื่อยแล้วนะ”
“ก็เลิกสนิทสนมกันแบบนี้เสียทีสิครับ” ผมว่า “เลิกทำตัวเหมือนหึงหวงด้วย แบบนี้จะให้คนอื่นเข้าใจยังไง คุณไม่ต้องประกาศกับใครว่าคบกับผมก็ได้นะหนึ่งตะวัน แต่ผมก็ไม่ชอบให้คนที่ตัวเองคบอยู่ทำตัวเหมือนมีพันธะกับคนอื่นเหมือนกัน”
หนึ่งตะวันเงียบไปอึดใจ สักพักก็ใช้ข้อศอกสะกิด “นี่หึงใช่ปะ”
“เปล่า”
“หึงอะดิ”
“บอกว่าไม่ได้หึงไง” ผมยกมือขึ้นปัดจมูก สักพักคนที่หงุดหงิดไม่แพ้กันเมื่อครู่ก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้าม หนึ่งตะวันหัวเราะคิกคักแล้วใช้หัวไหล่เบียดกระแซะ
“เพิ่งรู้ว่าขี้หึง”
“ผมไม่ได้หึง แต่ไม่ชอบ”
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” หนึ่งตะวันฉีกยิ้ม ดวงตาพราวระยับ “แค่จะบอกว่าน่ารักดี”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้มขณะที่อีกฝ่ายจ้องจะล้อท่าเดียว แววตาวับวับของหนึ่งตะวัน รอยยิ้มเฉิดฉายที่มุมปากเห็นแล้วจะหลุดมาดขรึมไปด้วยจนได้ “ไม่คุยกับคุณหนึ่งแล้ว ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า”
“อื้ม เอางั้นก็ได้ ฉันคุยกับเพื่อนคุณพ่อสักพักแล้วจะออกไปตามแล้วกัน เดี๋ยวไปหาของกินเยาวราชกันไหม ยังไม่ดึกเท่าไร น่าจะกำลังครึกครื้น”
“ครับ”
ผมเลี่ยงออกมาจากห้องบอลลูมใหญ่ของโรงแรมหกดาวมายังแถบระเบียงที่มองเห็นเข้าไปในงาน ผู้คนมากมายในงานส่วนมากเป็นระดับผู้บริหาร มีอายุไล่เลี่ยกับคุณชนินทร์และมาพร้อมบุตรชายบุตรสาว บ้างก็ส่งมาแค่ทายาทเพื่อคุยธุรกิจเท่านั้น หนึ่งตะวันในเวลานี้กลมกลืนกับทุกคนไปหมด เหมือนกับว่านี่คือที่ของเขา ที่ที่นายน้อยควรจะอยู่
“ไง”
ในมุมมืด คนที่พาคุณเอ็มหลบไปอีกฝั่งเมื่อครู่กำลังยืนสูบบุหรี่ เขาดีดขี้เถ้าจากปลายนิ้ว แสงสีส้มสว่างวาบเมื่ออัดอากาศผ่านก้นกรอง “ไอ้ตะวันพลาดฉิบเป๋งพานายมางานนี้”
“ครับ?”
“สาว ๆ จ้องตาเป็นมัน”
ภูดิศกล่าวกลั้วหัวเราะ ผมไม่ทันสังเกต สายตาจับจ้องแต่ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีเดียวกันเท่านั้น “คงไม่อยากให้เป็นอาหารตาเลยถีบกระเด็นมานี่ล่ะมั้ง”
“ผมขอออกมาเองครับ”
“โอ้ ยิ่งเข้าทาง” คู่สนทนายังกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบเดิม เขาเงียบไปชั่วอึดใจ อัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง “ยังหึงฉันกับไอ้ตะวันอยู่ล่ะสิ”
“ก็...”
“เฮ้ย ฉันเข้าใจ ผู้ชายที่ไหนจะยอมรับง่าย ๆ เสียฟอร์มหมด มันเหมือนเราไม่มั่นใจตัวเอง จริงไหม” ผมไม่ตอบ ปล่อยให้ภูดิศเป็นคนกล่าวนำต่อ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะถนัดในการโน้มน้าวชักจูงใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “ฉันโตมากับมัน ตั้งแต่ประถม หรืออาจจะก่อนหน้านั้น เหตุผลคล้าย ๆ กัน แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว ของฉันพ่อแม่ไม่ค่อยอยู่ไทย ส่วนไอ้ตะวันคือที่บ้านไม่มีเวลาให้ ที่จริงก็น่าสงสาร อย่างที่บอก มันมีปมของมัน ชอบแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อย ๆ ฉันเห็นก็สงสาร ทำไปทำมาเลยติดกันเป็นตังเม”
“ผมพอจะเห็นอยู่”
“จะให้เทียบ ฉันก็เหมือนเป็นพี่ชายมันนั่นแหละ พี่น้องที่คลานตามกันมา พอจะเข้าใจไหม”
“แต่ก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ อีกอย่าง...คุณเองก็...”
“เฮ้ย เกย์ก็คบกันอย่างเพื่อนได้นะเว้ย ไม่ใช่เอะอะจะเสียบกันท่าเดียวเสียหน่อย” ภูดิศพูดกลั้วหัวเราะ ผมได้กลิ่นมินต์ออกมาจากลมหายใจ “ที่จริงมันก็น่ารักจริง ๆ นั่นแหละ แถมเข้ากันได้เกือบทุกเรื่อง แต่เห็นกันมาตั้งแต่เจี๊ยวเท่ายาเม็ดแก้อักเสบ เอาอะไรไปพิศวาสมันวะ คนที่นายต้องกังวลน่ะ พระเอกของงานนี้ต่างหาก”
“ครับ?”
“พี่ตุลย์น่ะสิ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คุณตุลย์ที่ว่าคือลูกชายห้างสรรพสินค้าที่มีสาขาอยู่ทั่วกรุงเทพและมีนโยบายที่จะขยายไปยังหัวเมืองใหญ่เร็ว ๆ นี้ อันที่จริงหนึ่งตะวันก็พูดถึงบนรถบ้างว่าฝ่ายนั้นทำงานมาพักใหญ่ เพียงแต่เร็ว ๆ นี้จะขึ้นมาเป็นประธานบริษัทเต็มตัวเสียที อายุมากกว่าคุณหนึ่งไม่มาก ถือว่าเป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียว
“พี่ตุลย์เป็นแฟนคนแรกของตะวัน เป็นคนที่มีอิทธิพลมากเสียด้วย”
“อิทธิพลยังไงเหรอครับ”
“เป็นคนเดียวที่เคยทิ้งมัน”
ภูดิศขยี้มวนบุหรี่ที่ไหม้ไปเกินครึ่งลงบนทรายเหนือถังขยะ ควันสีขาวอมเทายังพวยพุ่งออกมาจากจมูกเป็นสันคม “มันมีแฟนคนแรกตอนมหาวิทยาลัยนี่แหละ พี่ตุลย์มาจีบมัน ทำให้มันรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ อยู่กับฉันตั้งหลายปีมันยังไม่สงสัยว่าตัวเองจะชอบผู้ชายเลยสักนิด จีบมันแค่สามเดือนก็ติดแล้ว คบกันเกือบปีได้ คนอื่นมันชิงทิ้งก่อนตลอด”
“แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะครับ”
สายตาคมมองทอดออกไป เขาพยักพเยิดให้สัญลักษณ์ว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เดินตรงมาหาหนึ่งตะวันตอนนี้คือคนที่กำลังพูดถึง
“เซ็กซ์น่ะ”
“ครับ?”
“มันไม่ยอม” ภูดิศพูดพลางถอนหายใจ “ถึงได้บอกไงว่ามันป๊อด คนเหี้ยอะไรมีแฟนแต่ไม่อยากมีเซ็กซ์ ทะเลาะกันหลายครั้ง ตอนหลังพี่แกก็เบื่อ คบไปก็ไม่ได้เอา ไปหาคนง่าย ๆ ดีกว่า ไม่เสียเวลา”
ผมครางรับ มองภาพของหนึ่งตะวันที่ยืนหันหน้าเข้าหาคนรักเก่าด้วยใบหน้าระรื่น เหมือนอดีตที่ขุ่นมัวไม่อาจทำร้ายเขาได้อีก ในขณะที่โล่งใจ ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
หนึ่งตะวันไม่เจ็บปวดกับรักแรกอีกแล้ว แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะวางใจได้ว่าความรู้สึกอื่นจะจางหายไปด้วยหรือไม่
“แล้วคุณพอร์ชพอจะทราบไหมครับว่าตอนนี้คุณตุลย์ตอนนี้มีแฟนหรือยัง”
“ได้ยินว่ามีผู้หญิงที่ทางบ้านอยากให้แต่งงานด้วยอยู่หรอกนะ แต่เข้าใจใช่ไหม เขาเป็นเกย์ ยังไงก็ต้องการผู้ชายมากกว่าอยู่แล้ว”
“แล้วคุณหนึ่ง...”
“ถึงได้บอกไงว่าเอาเวลาที่หึงมันกับฉันไประวังทางนั้นดีกว่า”
ภูดิศทิ้งระเบิดไว้เท่านั้น เขาตบบ่าสองครั้งเชิงให้กำลังใจแล้วเดินกลับเข้ามาในงาน ทันทีที่คุณเอ็มเห็นการปรากฏตัวของชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาพร้อมแก้วเครื่องดื่มเย็น ๆ ในทันที
ผมมองภาพของหนึ่งตะวันที่พูดคุยกับคนรักเก่านิ่งเงียบ ปล่อยให้สะเก็ดความไม่พอใจสะกิดอยู่ข้างใน ระหว่างทางหนึ่งตะวันพูดถึงคุณตุลย์หลายอย่าง แต่สิ่งเดียวที่ไม่ปริปากบอกออกมาเลยคือความสัมพันธ์ที่เคยมีกับชายหนุ่ม เขายืนตรงนั้น ส่งแก้วไวน์ให้กัน พูดคุยอย่างสนิทชิดเชื้อและเหมาะสมกันอย่างไม่มีที่ติ เหมาะสมกว่าภูดิศกับคุณหนึ่งด้วยซ้ำ คุณตุลย์ดูเป็นผู้ใหญ่ อารมณ์ดีที่ควบคุมหนึ่งตะวันได้ เขาร่างกายสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน กิริยามารยาทก็ดูนุ่มนวลไปหมด ผมเห็นประกายในแววตาคู่นั้น มันหวานเยิ้มและหว่านล้อมเกี้ยวพาราสีอีกฝ่ายในที หนึ่งตะวันเฉไฉ แต่ไม่ยอมเลี่ยงออกมาให้เด็ดขาด
รู้ตัวอีกที ผมก็ไปยืนคู่นายน้อยของไร่ตะวันฉายเสียแล้ว
“คุณหนึ่ง”
“อ้าว เบื่อแล้วเหรอ” หนึ่งตะวันหันมาถาม ส่งแก้วเปล่าให้บริกรมารับ ขณะที่คุณตุลย์ส่งแก้วใหม่ให้ ไม่ลืมที่จะยื่นเผื่อมาทางผมอีกแก้ว
“เพื่อนหนึ่งเหรอ”
“ผู้ช่วยคนสนิทครับ” หนึ่งตะวันตอบยิ้ม ๆ อย่างมีนัยยะ ชายหนุ่มอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แสดงความแปลกใจ
“สนิทมากหรือเปล่า”
“ก็…ครับ พอดีทำงานด้วยกันด้วย”
“ที่เล่าให้ฟังว่าเป็นคนสอนงานที่ไร่ใช่ไหม”
หนึ่งตะวันพยักหน้า สายตาของคุณตุลย์ที่มองผมวูบหนึ่งฉายความรู้สึกหยามเหยียดจากก้นบึ้งจิตใจ แต่ครู่เดียวก็โปรยยิ้มให้อย่างเป็นมิตร คล้ายหน้ากากที่สวมอยู่นั่นไม่เคยเผยความรู้สึกภายในออกมาแม้แต่น้อย
“โชคดีนะ ได้คนฝีมือดีมาข้างกาย ท่าทางทะมัดทะแมงเป็นงานนี่”
“ครับ” หนึ่งตะวันตอบ “ไม่ได้กฤชหนึ่งก็แย่เหมือนกัน แต่ว่าพี่ตุลย์ไม่ไปคุยกับแขกคนอื่นบ้างเหรอ เดี๋ยวคุณเอมอรก็หาว่าหนึ่งกั๊กลูกชายมาไว้คนเดียว”
“ก็บอกแม่ว่าคุยเรื่องไวน์ที่จะเอามาวางเพิ่มในห้างพี่สิ” ตุลย์ส่งยิ้มอย่างมีนัยยะ “พี่มีโครงการจะขยายสาขาไปโคราชอยู่นะ ไว้ถ้ามีโอกาสไปเมื่อไรจะรบกวนไร่ตะวันฉายได้หรือเปล่า”
“พร้อมเสมอครับ มาเถอะ พี่ตุลย์จะได้ชิมไวน์ดี ๆ ที่พ่อเก็บไว้ที่ไร่ด้วย ขนาดหนึ่งยังไม่ได้แตะเลย สงสัยต้องรอแขกคนสำคัญ”
“ได้เลย ถ้างั้นพี่ไปคุยกับคุณเอนกก่อนนะครับ ยังไงพี่จะโทรหาอีกที ฝากบอกคุณพ่อด้วยว่าหายไว ๆ เมื่อวานพี่ส่งกระเช้าไปเยี่ยมแล้ว ของบำรุงทั้งนั้น บังคับคุณพ่อให้ทานให้หมดล่ะ แล้วนี่จะกลับกันเลยเหรอ”
“ครับ ไม่อยากให้คุณพ่ออยู่ที่บ้านคนเดียว”
“เด็ก ๆ ที่บ้านเยอะแยะไป น่าจะอยู่ด้วยกันอีกหน่อย ยังไม่ทันหายคิดถึงเลย แต่เอาเถอะ ไว้จะไปเยี่ยมที่บ้านก็ได้”
หนึ่งตะวันฉีกยิ้มรับคำ ร่างสูงใหญ่เดินเฉียดไหล่ผมไป ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง ผมถอนหายใจหลังจากยืนแน่นิ่งอยู่นาน
“คุยงานน่ะ นานหน่อย ไปเยาวราชกันไหม หิวรึเปล่า อาหารค็อกเทลไม่อยู่ท้องหรอก”
“ผมอยากกลับบ้านมากกว่า”
“เหนื่อยเหรอ”
“ครับ”
“ก็ได้ งั้นแวะร้านบะหมี่ข้างทางเอาก็ได้ ฉันหิวมากเลย”
หนึ่งตะวันยิ้มตาปิด แตะข้อศอกผมแล้วพากันออกจากงานเงียบ ๆ เมื่อพ้นเขตที่คนพลุกพล่าน แขนขาวก็สอดเข้าคล้องข้อศอกผมไว้ เอนศีรษะซบบ่าออดอ้อนเอาใจ
“กฤช เป็นคนขี้หึงมากหรือเปล่า”
“ถามทำไมครับ”
“ฉันอยากรู้ จะได้รู้ว่าขอบเขตตัวเองทำได้แค่ไหนเราถึงจะไม่มีปัญหากัน”
“อะไรที่คิดว่าทำแล้วไม่เหมาะก็อย่าทำครับ” ผมพูดแค่นั้น และไม่มีการขยายความใด ๆ เพิ่มเติม
TBC
มาสามตอนติดเลยค่ะ
ขอโทษที่ไม่ได้ทักทายกัน ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ไม่ได้ตอบคอมเมนต์แต่ก็อ่านทุกอัน ช่วยให้มีแรงเขียนต่อไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
10ความคิดเห็น