ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : 16.3
หักหาญกันกว่าสามสิบกระบวนท่า จิวอวงยี้ยังไม่อาจมีเปรียบ ต้องร้อนรุ่มใจ ทราบดีว่าสตรีชาวเปอร์เซียนี้มีพลังฝีมือเหนือตน ยามนี้อาศัยหลักการจำเพาะของฝ่ามือยมทูติทำให้นางสับสนจำแนกแนวทางวิชาไม่ถูกชิงเป็นฝ่ายรุก ครุ่นคิดว่าหากไม่สามารถสยบนางได้โดยเร็ว เนิ่นนานไป นางสามรถคาดเดาแนวทางวิชาออกนั้นก็ย่ำแย่แล้ว จริงดังคาดสามสิบกระบวนท่าให้หลังสตรีชาวเปอร์เซียเริ่มตีโต้กลับคืน ฝ่ามือทั้งสองเริ่มลื่นเลื้อยคุกคาม ต้อบโต้รุกไล่ จิวอวงยี้ทราบดีว่าวิชาที่นางใช้เป็นฝ่ามืออสรพิษ ท่าร่างที่นางใช้คือวิชาดัดตนอ่อนกาย วิชาทั้งสองนางล้วนทราบกระจ่าง แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดไม่อาจคลี่คลายได้ ต้องลอบตื่นตระหนก นางมิเพียงมีฝีมือเหนือเราอาจบางที่ฝ่ามืออสรพิษนี้ยังแตกฉานเทียบเท่าซาซือแป๋ ยามตนเองทดสอบวิชากับซาซือแป๋ ฝ่ามืออสรพิษของซาซือแป๋ก็ใช้ออกเช่นนี้ ยามนี้ร่อแร่คับขัน เห็นฝ่ามือหนึ่งลื่นเลื้อยจู่โจมใส่ทรวงอก ทั้งไม่อาจหลบรอดทั้งไม่อาจปัดป้อง ได้แต่ตัดใจพริ้มตารอรับความตาย ลู่ซุนความจริงสติเลอะเลือนเหลือบแลเห็นนางคับขัน พลันคำรามขึ้นถลันวูบบดบังเบื้องหน้าจิวอวงยี้ ฝ่ามือนี้กับกระทบถูกทรวงอกของมันอย่างถนัดถนี่ ด้วยสภาพกายของมันตอนนี้ ฝ่ามือนี้ความจริงต้องปลิดชีพมันในบัดดล แต่มันยามนี้สวมเสื้อเกราะไหมดำลดทอนกำลังฝ่ามือของนางลงไป แม้ปวดแปลบสุดทนทานแต่ก็ไม่ถึงกลับเสียชีวิต ต้องกระอักเลือดคำโต ก้อนเลือดสีดำพลันทะลักออกจากปาก ก้อนเลือดนี้จับแข็งอยู่ตรงทรวงอกทำให้หายใจติดขัดมาตลอด ยามนี้ถูกขับออก รู้สึกหายใจปลอดโปร่งยิ่ง นัยน์ตาพลันกระจ่างวูบ โคจรพลังเทพสาดส่องใส่สองฝ่ามือฟาดใส่หัวไหล่ของสตรีชาวเปอร์เซียกลับคืน พอกระทบถูก ร่างของหญิงสาวถึงกลับซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวแทบล้มลง ตรงหัวไหล่เจ็บปวดปานถูกทอนซุงฟาดใส่ พอทรงกายได้ต้องแตกตื่นตกใจ ที่ริมฝีปากปรากฏโลหิตไหลซึม ต้องครุ่นคิด คนผู้นี้ร้ายกาจนักโดนพิษยาวนานเช่นนี้ ยังสามารถใช้กำลังภายในได้ถึงเพียงนี้ เห็นมันยืนหยัดอย่างพยัคฆ์ลำบากคล้ายคิดแลกชีวิตบดบังจิวอวงยี้ไว้ ในใจเกิดจิตกริ่งเกรงต่อพลังฝีมือของมันเมื่อครู่ จึงยังไม่ย่างกายเข้าไป
จิวอวงยี้เห็นลู่ซุนใช้พลังฝีมือได้ทั้งยังช่วยเหลือตนต้องโห่ร้องยินดี แต่ได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าของมันกระซิบกล่าว
“ข้าพเจ้าเพียงยืนหยัดได้อีกชั่วครู่ ภายหลังพิษกำเริบก็ไม่อาจยืนหยัดได้แล้ว ตอนนี้ให้ท่านฉกฉวยโอกาศหลบหนี”
จิวอวงยี้เพียงส่ายศรีษะไม่กล่าวกระไร
สตรีชาวเปอร์เซีย พลันใช้แขนเสื้อเช็ดโลหิตที่ริมฝีปาก ก่อนหยิบฉวยขลุ่ยหยกขึ้นเป่าบรรเลง ทั้งสองพอฟังต่างทราบว่านางคิดจู่โจมด้วยสัตว์พิษ ต้องหวาดหวั่นขึ้น เพียงชั่วครู่สัตว์พิษต่างคืบคลานออกมาจากที่ต่างๆรายล้อมคืบคลานเข้าหา ทั้งสองต้องถดถอยไปที่ล่ะก้าว จนภายหลังด้านหลังติดบึงใหญ่ด้านหน้าเป็นสัตว์พิษโอบล้อมนับว่าไม่มีที่ถดถอยอีก พลันได้ยินเสียงบรรเลงของปี่แป(กีต้าย์จีน)ดังสอดแทรกขึ้นมา คล้ายรวมบรรเลงกับเสียงขลุ่ย จิวอวงยี้กับลู่ซุนความจริงคิดว่าหมดหนทางรอดแล้ว ยามนี้เห็นสัตว์พิษหยุดชะงัก บางถอยหนี บางดีดดิ้นหงายท้อง ล้วนประหลาดใจยิ่ง จิวอวงยี้พลันชี้นิ้วไปกลางบึงกล่าวว่า
“ตั่วกอ ท่านดู”
ลู่ซุนเหลือบแลตามเห็นเป็นเรือน้อยลำหนึ่งล่องลอยอยู่บนพื้นน้ำ ตรงหัวเรือมีหญิงสาวชนบทผู้หนึ่งนั่งดีดปี่แปบรรเลงเพลง ลู่ซุนยามนี้พอมีสติครุ่นคิด ทราบว่าพื้นบึงเต็มไปด้วยดินเลนระดับน้ำตื้นเขินไฉนเรือลำนี้จึงแล่นลอยได้ ท้องเรือไยไม่ถูกดินเลนดึงถ่วงไว้ ยามนี้สัตว์พิษรอบบริเวณหากไม่ถอยหนีก็ดีดดิ้นตาย ชั่วครู่ก็ห่างหายไปจนหมด แต่เสียงขลุ่ยกับเสียงปี่แปยังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง จิวอวงยี้เห็นสัตว์พิษหนีหาย ที่ไม่หนีก็ตาย ต้องตบมือยินดี ทราบว่านี้อาจเกี่ยวข้องกับเสียงปี่แปของหญิงสาวชนบทผู้นั้น เห็นสตรีชาวเปอร์เซียยังคงเป่าขลุ่ยบรรเลงมิได้หยุด ต้องกล่าวเย้ยหยันขึ้น
“ดูท่าเสียงขลุ่ยท่านใช้การไม่ได้แล้ว”
สตรีชาวเปอร์เซียคล้ายกับไม่ได้ยิน ยังคงเป่าขลุ่ยต่อไป สายตาจับจ่องไปยังเรือลำน้อยที่ล่อยอ่อยอิ่งอยู่ไม่วางตา หากแต่สีหน้าของนางยามนี้เขม่งเกลียวยิ่ง ใบหน้าเปลื้อนเขม่าควัน ผมหยิกฟูยังพอทำเนา ยามนี้กลับเพิ่มเส้นเลือดปูดโปนตรงสองข้างขมับอีกด้วย นับเป็นที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง จิวอวงยี้พอแลเห็นถึงกลับเงียบงันไม่กล่าววาจาอีก เสียงขลุ่ยกับเสียงปี่แปยิ่งบรรเลงยิ่งเร่งร้อน สตรีชาวเปอร์เซียจากที่ยืนกลับกลายเป็นนั่ง หน้าฝากปรากฏเหงื่อไหลซึมคิ้วขมวดเข้าหากันแทบเป็นเส้นเดียว จิวอวงยี้ชมดูกลับไม่เข้าใจ ปานว่าการเป่าขลุ่ยครั้งนี้ของนางทรมารสาหัสนัก ภายหลังเสียงปี่แปพลันหยุดชะงักเสียงขลุ่ยพลันหยุดชะงักตาม เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งเอื่อนเอ่ยขึ้น
“ท่านไปเถอะ นับแต่นี้ห้ามมิให้มาก่อกวนยังบึงเลนดำอีก”
คำกล่าวของนางแม้เป็นการออกคำสั่ง แต่น้ำเสียงกลับฟังดูนุ่มนวลสุภาพไพรเราะยิ่ง สตรีชาวเปอร์เซียสูดลมหายใจยาวลึกก่อนลดขลุ่ยลง รู้สึกหวานวูบในปากปรากฏโลหิตสมทบขึ้นต้องบ้วนระบายออกมา ยกมือประสานกล่าวว่า
“ขอบคุณอาวุโสที่ไว้ชีวิต”
ลุกขึ้นเพ่งมองจิวอวงยี้กลับลู่ซุนแวบหนึ่ง เค้นเสียง เฮอะ ก่อนจะสะบัดกายจากไป คราครั้งนี้สร้างความงุงงงสงสัยต่อจิวอวงยี้กับลู่ซุนยิ่ง จิวอวงยี้กล่าวขึ้นว่า
“ไฉนนางจึงจากไปโดยง่าย หรือเล่นดนตรีสู้ผู้อื่นมิได้ จึงรู้สึกอับอาย”
คำพูดนี้แม้กล่าวออกจากปากแต่สมองย่อมครุ่นคิดว่ามิใช่ เสียงหัวเราะสดใสเสียงหนึ่งพลันหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังคล้ายกับหัวเราะในคำกล่าวของนาง ต้องรีบหันกายไป เห็นเรือลำนั้นกลับเทียบริมบึงแล้ว ต้องตระหนกขึ้น เมื่อครู่เรือไม่ใช่อยู่กลางบึงหรอกรึไฉนจึงมาได้เร็วปานนี้
สตรีผู้หนึ่งค่อยๆจวงไม้ไผ่ดันเรือให้เทียบฝั่ง เห็นนางแต่งกายเยี่ยงชาวประมงชนบทแต่ใบหน้ากับผุดผาดผ่องใส ผิวเหลืองนวลปานน้ำผึ้ง รูปร่างอรชร ทวงท่ากิริยาเรียบร้อยยิ่ง นางแม้อยู่วัยสามสิบเศษแต่ยังผุดผาดไม่แพ้ดรุณีสาว นับว่าเป็นหญิงงามหายากผู้หนึ่ง พอสังเกตุเรือนผมของนางเห็นกล้าวผมแบบสตรีมีสามีแล้ว ต้องครุ่นคิดขึ้น ไม่ทราบว่าเป็นบุรุษผู้โชคดีท่านใดได้นางไปครอบครอง นางมองมาอย่างยิ้มแย้มกล่าวว่า
“ถูกแล้วโกวเนี้ยเมื่อครู่ เล่นดนตรีสู้ไม่ได้จึงจากไป”
จิวอวงยี้ทราบว่าไม่ถูกต้อง ต้องขมวดคิ้วคราหนึ่งขบคิด พลันนึกขึ้นได้ โพล่งขึ้นว่า
“ตั่วซือแป๋ข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่า มีวิชาแขนงหนึ่งใช้กำลังภายในแผ่ผ่านตามเสียงดนตรี ในอดีตจอมพิฆาติพิณร้อยสาย ก็ใช้วิชาเช่นนี้ หรือเมื่อครู่ท่านกับนางประลองกำลังภายในผ่านทางเสียงดนตรีกัน”
สตรีชนบทเพียงยิ้มแย้มไม่ตอบคำ
ลู่ซุนยกมือประสานขึ้น คาราวะต่อนางกล่าวว่า
“ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อาวุโสนับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าอาวุโสมี…”
กล่าวได้เพียงเท่านี้ก็ส่ายร่างโงนเงนล้มลง คำว่ามีนามสูงส่งเรียกหาว่ากระไรกลับไม่ได้กล่าวออกไป จิวอวงยี้ทราบว่าพิษในกายมันกำเริบอีกต้องรีบเข้าไปประคองไว้ ร้องเรียกเป็นการใหญ่ สตรีชนบทเข้ามาชมดูกล่าวขึ้นว่า
“ดูท่าคนผู้นี้คงถูกพิษ”
พลางเอื้อมมือคว้าจับชีพจรตรวจดู ต้องมีสีหน้าประหลาดสงสัยกล่าวว่า
“น่าประหลาดแท้ คนผู้นี้ความจริงสมควรตายนานแล้วไฉนจึงยังมีชีวิตอยู่”
จิวอวงยี้ร่ำร้องว่า
“มันไฉนจึงสมควรตาย มันจึงไม่สมควรตาย มันต้องมีชีวิตอยู่”
สตรีชนบทแย้มยิ้มไม่กล่าวกระไร ก้าวเดินไปยังเรือกล่าวว่า
“ท่านเมื่อไม่ต้องการให้มันตายก็นำมันขึ้นเรือเถอะ”
จิวอวงยี้งงงันวูบ ครุ่นคิดนางกล่าวเช่นนี้ไยไม่ใช่มีหนทางรักษาแก่ตั่วกอ ดังนั้นไม่ขบคิดมากความโอบพยุงมันก้าวติดตามขึ้นเรือไป
ความคิดเห็น