ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
[Fic SJ] Furious for Love...แค้นนี้ เพื่อรัก [KyuMin]

ลำดับตอนที่ #18 : Chapter16 : ไม่ได้สงสารแต่เป็นห่วง

  • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 53


 
Chapter16 : ไม่ได้สงสารแต่เป็นห่วง

 

 

 

 

 

                ในช่วงเวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุด ซองมินกลับมาที่บ้านตอนเช้าตรู่เพราะคิดว่าคงยังไม่มีใครตื่นเป็นแน่ แต่แล้วความคิดนี้มันกลับผิด เมื่อเพียงก้าวแรกที่เดินเข้ามาในบ้านซองมินก็พบกับฮีชอลนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก เหมือนกับว่ากำลังรอเขากลับมา

 

                ทำไมกลับมาป่านนี้ คยูฮยอนพานายไปไหน ฮีชอลเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ สายตาไหล่ไปตามร่างกายของซองมินตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หายไปทั้งคืนแบบนี้ เขาเดาไม่ถูกเลยว่าทั้งสองคนไปไหนกัน แล้วไปทำอะไรกันมาบ้าง ท่าทางของคยูฮยอนตอนลากซองมินนั้นดูโกรธจัด แต่พอกลับมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับซองมินเลย

 

                คนถูกถามนิ่งเงียบปลายตามองพี่ชายเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่บันได และหยุดอยู่ตรงนั้น

 

                เราต้องทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันครับ ถามออกมาเสียงเรียบ สีหน้านั้นดูนิ่งเฉย แต่ภายในสมองนั้นกลับมีเรื่องต่างๆให้คิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่การแก้แค้นนี้มันจะจบลงเสียที

 

                นายหมายถึงอะไรซองมิน ฮีชอลตีหน้าซื่อ แต่เขาเพียงแกล้งถามออกไปอย่างนั้น เขารู้อยู่แล้วว่าซองมินหมายถึงอะไร สงสัยคงจะโดนคยูฮยอนพูดเป่าหูมาแน่ๆ

 

                เราต้องฆ่าคนไปอีกนานเท่าไหร่ครับพี่ฮีชอล ซองมินยังคงหันหลังพูดให้ฮีชอลเหมือนเดิม ใบหน้าเริ่มดูเหม่อลอยขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่คยูฮยอนพูดกับเขาเมื่อคืนนี้

 

                ทำไมซองมิน นายไม่อยากแก้แค้นให้พ่อนายแล้วหรือไง ฮีชอลเริ่มใส่อารมณ์ในการพูด เขาไม่อยากให้ซองมินโอนอ่อนไปตามฝั่งศัตรู เขาคงจะคิดผิดที่ให้ซองมินเข้าไปตีสนิทกับคยูฮยอนแบบนั้น ยิ่งใกล้กันมาก ภัยมันก็ยิ่งมากจริงๆ

 

                ซองมินเงียบไปไม่พูดหรือเถียงอะไรออกมาอีกก่อนจะเดินขึ้นบันได ฮีชอลมองตามน้องชายแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เรียวอุกก็ดูเหมือนจะโอนอ่อนไปตามเยซองคนหนึ่งแล้ว อย่าบอกนะว่าซองมินจะเป็นรายต่อไป

 

                เมื่อก้าวขึ้นบันไดก้าวสุดท้ายมาซองมินมองตรงไปยังห้องที่อีทึกถูกขังไว้เป็นอันดับแรก ยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะออกเดินไปยังห้องของตัวเอง แต่แล้วกลับหยุดเดินและหันหลังกลับ บางทีเขาควรจะไปดูไปเยี่ยมอีทึกซักนิด เพราะอีทึกอาจจะอยากรู้ความเป็นไปของโจกรุ๊ปบ้างก็เป็นได้

 

                ประตูถูกเคาะเบาๆสองสามทีไม่นานก็มีคนออกมาเปิด คังอินยิ้มบางๆให้กับน้องชายก่อนจะเปิดประตูอ้าไว้ซองมินเข้าไปในห้องจากนั้นจึงปิดประตูและตามเข้ามา

 

                บนเตียงสีขาวสะอาดมีร่างบอบบางของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ ซองมินหันไปมองหน้าคังอินด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก หน้าตาของคังอินที่ดูเหมือนคนไม่ได้นอนแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเอาเวลาไปดูแลอีทึกหมด

 

                เมื่อคืนพี่ไม่ได้นอนกับพี่ฮีชอลใช้มั้ย เอ่ยถามออกมาเรียบๆ พักนี้เขาเริ่มรู้สึกตงิดๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่ชายทั้งสองที่มันเริ่มห่างเหินกันเข้าไปทุกที

 

                อืม พยักหน้าตอบกลับมาเรียบๆโดยไม่คิดจะแก้ตัวอะไร คังอินเดินไปนั่งข้างเตียงอีทึก จ้องมองใบหน้าที่ดูซีดเซียวนั่นด้วยแววตาที่ซองมินไม่เห็นคังอินทำกับใครมาก่อน แม้กระทั่งฮีชอล

 

                ทำแบบนี้พี่จะนอกใจพี่ผมหรือไง พักนี้ไม่เห็นอยู่ด้วยกันเลย ซองมินถามขึ้นมาเหมือนเป็นการแซวเล่นแต่น้ำเสียงกลับดูจริงจัง

 

                สถานการณ์แบบนี้พี่คงไม่มีเวลาไปสวีทกับฮีชอลหรอก เมื่อคืนนายคงไม่รู้สินะว่าหลังจากคยูฮยอนพานายออกไปไม่นานฮยอนจินก็บุกมา คังอินว่าสีหน้าเครียด ก่อนจะลุกเดินไปยังโซฟาที่อยู่มุมห้องและเรียกซองมินให้เดินตามไป เพราะไม่อยากรบกวนอีทึกที่กำลังหลับอยู่ เมื่อคืนกว่าอีทึกจะยอมหลับก็เกือบจะเช้าแล้ว เขาเลยต้องอยู่ต่อปากต่อคำกับคนๆนี้จนไม่ได้นอน

 

                พี่ช่วยเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับว่าเรื่องมันเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้นบ้าง ซองมินนั่งลงข้างๆคังอิน คิ้วเรียวสวยตอนนี้ขมวดเข้าหากันอย่างคนกำลังคิดหนัก

 

                เมื่อคืนฮยอนจินกับลูกน้องหลายคนบุกมาที่นี่เพื่อมาขอตัวอีทึกคืนไป แต่ทางเราไม่ยอม เลยเกิดการปะทะกัน โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร ตอนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นอึนฮยอกกับทงแฮล่ะมั้งที่มาช่วยพาฮยอนจินหนีออกไป คังอินเล่าเรื่องออกมาคร่าวๆ นาทีนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่นัก ว่าใครจะมาจะไป เพราะชีวิตของคนในครอบครัวลีกับชีวิตของคนที่เขาต้องดูแลนั้นสำคัญกว่า

 

                อึนฮยอก หมอนั่นกลับมาแล้วเหรอ พึมพำออกมาเบาๆ เพราะเขารู้มาว่าอึนฮยอกโดนพวกของซึง ฮยอนตามล่าและหายตัวไปตั้งแต่วันนั้น ไม่นึกว่าจะรอดกลับมาได้

 

                ว่าแต่นายเถอะหายไปไหนกับคยูฮยอนทั้งคืน เมื่อเจอย้อนถามมาแบบนี้ซองมินเลยเงียบไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับพี่เขยบางๆ

 

                มันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ หมอนั่นแค่โมโหที่เราทำกับอีทึกแบบนั้น เขามาขอร้องให้หยุด

 

                แล้วมันทำอะไรนายหรือเปล่า คังอินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

 

                เปล่าหรอกครับ เขาไม่ได้ทำอะไรผม ส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ สายตามองเลยไปยังอีทึกที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาที่บวมช้ำจ้องมองมาที่เขา ใบหน้าที่ดูโทรมไร้ความมีชีวิตชีวานิ่งสนิท ซองมินหันกลับมามองหน้าคังอินอีกครั้งก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางเตียงที่อีทึกนอนอยู่ เขาไม่รู้ว่าอีทึกตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือบางทีอาจจะตื่นตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเลยด้วยซ้ำ

 

                คังอินหันไปหาอีทึกตามที่ซองมินบอก เลขาคนสวยของโจกรุ๊ปยังคงนอนนิ่งจ้องมองบุคคลทั้งสองที่พูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ซองมินตัดสินใจยืนขึ้นเดินไปที่เตียงก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ บางทีอีทึกอาจจะอยากรู้เรื่องที่เขากำลังจะพูดตอนนี้ก็เป็นได้

 

                ตอนนี้คยูฮยอนสบายดีครับ ยังปลอดภัยดี และเขาก็เป็นห่วงคุณมากๆ เอ่ยขึ้นเบาๆกับอีทึก แต่คนฟังยังคงนิ่งไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบโต้เหมือนเดิม อย่างกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไปอย่างนั้น

 

                ผมขอตัว หันไปบอกคังอินก่อนที่ซองมินจะเดินออกมาจากห้อง เพื่อกลับไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง

 

                คังอินยิ้มตามหลังน้องไปบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังเตียงที่อีทึกนอนอยู่ แต่แทนที่เลขาคนสวยจะนอนนิ่งเหมือนเดิมกลับหันหน้าหนีเขาพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเอาไว้ คังอินเลยได้แต่ถอนหายใจ

 

                นอนให้ได้ทั้งวันนะคุณ ผมจะได้พักผ่อนบ้าง พูดจบก็เดินไปล็อกประตูห้องไว้ก่อนจะเดินไปเดินที่โซฟา พักกันบ้างก็ดี หลังจากจบเรื่องบนเตียงก็ต่อด้วยการปะทะคารมกันตลอดเวลา ไม่ก็สงครามประสาท ก็อย่างว่าชาตินี้เขากับอีทึกคงไม่มีวันคุยกันดีๆเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

                กลายเป็นหน้าที่ไปเสียแล้วกับการเอาน้ำเอาข้าวมาให้บุคคลที่ถูกจับมาขังไว้ที่นี่ แต่ไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่คนๆนั้นกลับไม่มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย กลับมีแต่อคติเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

 

                ในตอนเช้าของวันก่อนจะไปเรียนเรียวอุกเข้ามาในห้องเก็บของที่ขังเยซองเอาไว้เพื่อเอาน้ำเอาข้าวมาให้ สายตาเรียวเล็กจ้องมองไปยังเยซองที่นอนหมดสภาพอยู่ที่พื้น อาหารของเมื่อวานไม่พร่องไปเลยซักนิด เสียงของชามข้าวที่เรียวอุกวางลงบนพื้นทำให้คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

                เยซองเบือนหน้าหนีบุคคลตรงหน้าที่ยังคงตีหน้าใสซื่อเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่เขาเคยเจอในวันก่อนๆ ทั้งที่เรื่องที่ผ่านมามันเป็นเรื่องโกหก ไม่มีความจริงที่เขารู้เกี่ยวกับคนตัวเล็กนี่เลยแม้แต่น้อย

 

                กินหน่อยนะครับพี่เยซอง เรียวอุกออกปากขอร้องเบาๆ เมื่อเห็นสภาพร่างกายของเยซองเริ่มดูแย่ลงทุกวัน

 

                “ออกไป!” ออกปากไล่เสียงแข็งโดยไม่หันไปมอง เยซองกำหมัดแน่นอย่างคนที่กำลังระงับอารมณ์เอาไว้อยู่

 

                กินหน่อยเถอะครับพี่เยซอง ถ้าพี่ไม่กินอะไรแบบนี้จะแย่เอานะครับ บอกด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้องอีกครั้ง แต่มันไร้ประโยชน์อยู่ดี

 

                ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า!อย่ามาตีหน้าซื่อทำดีใส่ฉันอีก!” เยซองหันมาตะคอกกลับด้วยความโมโห เขาไม่เข้าใจเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ แค่หลอกเขาได้สำเร็จก็น่าจะพอแล้ว ยังจะมาวุ่นวายอะไรกับเขาอีก

 

                ผมไม่ได้ตีหน้าซื่อ เถียงกลับเสียงอ่อน รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก

 

                โกหก! คำพูดของนายมันเชื่อไม่ได้ซักคำ! ฉันบอกให้ออกไป!” เยซองโวยวายเสียงดัง จนเรียวอุกต้องก้มหน้านิ่งเพราะไม่อยากเห็นหน้าที่โหดร้ายของเยซองตอนนี้

 

                พอเถอะครับ พี่จะด่าจะว่ายังไงผมก็ได้ แต่พี่ช่วยดูแลตัวเองหน่อยเถอะครับผมขอร้อง เรียวอุกเข้าไปกอดเยซองที่กำลังโวยวายไว้แน่น ทำให้เจ้าตัวหยุดพฤติกรรมนั้นในทันที

 

                เยซองนิ่งไป ทุกการเคลื่อนไหวหยุดอยู่ตรงนั้น เรียวอุกกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น ซุกหน้าลงกับบ่ากว้างที่ตอนนี้เสื้อเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง  

 

                สงสารฉันหรือไง เยซองเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ ไม่เข้าในสิ่งที่คนตัวเล็กทำจริงๆ

 

                ไม่ครับ ผมเป็นห่วงพี่ เรียวอุกผละออกมา บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ให้พูดซักกี่พันครั้งเยซองก็คงไม่มีวันเชื่อเขาอยู่ดี

 

                ทำไม! แค่นี้ฉันยังหน้าโง่ไม่พอใช่มั้ย นายต้องการอะไรจากฉัน จะหลอกฉันไปถึงไหนห๊ะ! แฮง...ไม่ใช่สิ เรียวอุก ทำหน้านิ่งบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา ที่อีกคนฟังแล้วเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ

 

                เรียวอุกกัดริมฝีปากไว้แน่น พยายามกลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาอยู่รอมร่อ เพราะถ้าขืนปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาคงโดนด่าว่าโกหก ตอแหล หลอกลวงอีกเป็นแน่

 

                ออกไปซะ!” ออกปากไล่อีกครั้งแต่อีกคนกลับยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงไปไหน

 

                เยซองจ้องเขม็งไปยังเรียวอุกนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ ชามข้าวที่คนตัวเล็กเพิ่งเอามาให้ใหม่ถูกเยซองใช้เท้าแตะจนมันกระเด็นออกไป เสียงชามกระแทกกับพื้นเสียงดังก้องไปทั่วห้อง ทำให้เรียวอุกเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ

 

                “พี่เยซอง เอ่ยชื่อออกมาเสียงเบาหวิว มองตามชามข้าวที่กระเด็นไปอยู่ตรงประตูก่อนจะหันกลับมามองคนที่เตะมันไปแบบนั้น

 

                ไม่ต้องเรียกชื่อฉัน! ออกไป!” เยซองโวยวายหนักยิ่งกว่าเดิม มือหยิบแก้วน้ำกับชามอันเก่าขึ้นมาทำท่าจะปาใส่คนตัวเล็กทำให้เรียวอุกรีบลุกขึ้นยืนทันที เมื่อเรียวอุกถอยห่างออกไปจึงปาลงไปที่บริเวณใกล้กับเท้าของคนตัวเล็ก

 

                เรียวอุกตกใจมากกับสิ่งที่เยซองทำ ขาทั้งสองข้างถอยกรูไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเยซองปาแก้วอีกใบมาจนแตกกระจายอยู่ตรงปลายเท้าทำให้เรียวอุกต้องออกจากห้องไป

 

                เสียงประตูปิดลงอย่างแรงด้วยความตกใจของคนที่ถูกไล่ตะเพิดออกไปด้วยการปาข้าวของใส่ เยซองหอบหายใจถี่ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ เมื่อไหร่เขาถึงจะหลุดออกไปจากที่นี่ได้เสียที

 

 

 

 

 

 

                ในช่วงเย็นของวันที่ห้องทำงานใหญ่ของครอบครัวลีบัดนี้เต็มไปด้วยเหล่าสมาชิกภายในครอบครัว ไม่ว่าจะสายเลือดเดียวกันหรือไม่ คิบอมรีบกลับมาจากมหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียนเช่นเดียวกับเรียวอุก ส่วนซองมินนั้นไม่ได้ไปเรียนวันนี้ ฮีชอลกับคังอินก็อยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน

 

                ไม่นานนักบุคคลสำคัญที่สุดของบ้านก็เดินเข้ามาภายในห้อง และเมื่อลีฮโยรินั่งลงที่หัวโต๊ะการประชุมใหญ่ครั้งแรกก็ได้เริ่มขึ้น

 

                ตอนนี้พวกโจกรุ๊ปรู้ตัวแล้ว เราคงทำงานได้ยากกว่าเมื่อก่อนเพราะพวกมันคงคุ้มกันฮยอนจินเป็นอย่างดีแน่ ฮโยริเกริ่นนำเล็กน้อยเพื่อรอให้สมาชิกที่เหลือได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา

 

                ผมว่าเราน่าจะรีบจัดการมันซะแล้วย้ายไปอยู่เมืองนอกถาวร ที่จริงเมื่อวานพวกเราน่าจะฆ่ามันได้ ทั้งที่โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ฮีชอลเสนอความคิดของตัวเอง ก่อนจะบอกประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเสียดาย

 

ห้าปีที่หายไปนั้นครอบครัวลีได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองนอก และได้พบกับคิบอมซึ่งเป็นเพื่อนที่โรงเรียนของซองมินที่นั่น ส่วนคังอินเป็นลูกชายของเพื่อนฮโยริที่ดูจะคุยกันถูกคอทั้งสองครอบครัวเลยจับหมั้นหมายกันไว้ และเรียวอุกที่พ่อแม่แยกทางกันกลายเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัวลีเลยรับมาอุปการะไว้

 

ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่กำลังปรึกษากันเรื่องแผนที่จะให้จัดการกับโจกรุ๊ป ซองมินกับเรียวอุกดูจะไม่ค่อยมีสมาธินัก ซองมินนั่งท้าวคางหันมองไปทางอื่น เรียวอุกก็เอาแต่นั่งก้มหน้า ในสมองตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่เลยซักนิด

 

ตอนนี้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องทงแฮแล้วนะครับ ผมจัดการหมอนั่นเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าหมอนั่นจะยังรู้เรื่องของพวกเราไม่มากด้วย คิบอมพูดขึ้น หลังจากที่กลับจากมกโพเขากับทงแฮก็ติดต่อกันตลอด และดูเหมือนทงแฮจะไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย

 

ซีวอนเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องของครอบครัวเลยเหมือนกัน ถามอะไรไปไม่รู้ซักอย่าง ฮีชอลพูดต่อ เมื่อได้ยินฮโยริก็พยักหน้าพร้อมกับกระตุกยิ้มน้อยๆ คนอย่างซีวอนน่ะชอบเรื่องแบบนี้ที่ไหน ไม่งั้นคงไม่ให้น้องชายอย่างคยูฮยอนที่เพิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยมาช่วยบริหารแทน เรื่องนี้น่ะเธอรู้ดีอยู่แล้ว

 

ถ้างั้นเรานัดวันลงมือเลยมั้ยครับ คังอินเสนอ

 

เรียวอุกเช็คให้ทีว่าวันไหนที่เหมาะจะลงมือ ฮโยริหันไปบอกเรียวอุกที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา พอได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองเลยรีบเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับสีหน้าที่ดูตื่นๆเล็กน้อย

 

ครับ รับคำเบาๆ ก่อนจะค้นหาข้อมูลในโน้ตบุ๊กตัวเก่งของตนเอง ไม่นานนักเรียวอุกก็เงยหน้าขึ้นมา

 

อีกสองวันฮยอนจินจะเข้าบริษัทครับ เพราะมีการประชุมของหุ้นส่วนรายใหญ่

 

งั้นวันนั้นให้คังอินคอยกันอึนฮยอกให้อยู่ห่างจากฮยอนจิน ส่วนคนอื่นๆ...

 

ฉันไม่ทำ ยังไม่ทันที่ฮีชอลจะพูดจบคังอินก็แทรกขึ้นเสียงแข็ง เหมือนกับว่าไม่ชอบใจที่ฮีชอลพูดออกมาอย่างนั้น

 

ได้ยินคังอินพูดออกมาแบบนี้ฮีชอลก็ตวัดสายตากลับไปมองทันที เพราะปกติคังอินไม่เคยขัดคำสั่งใครโดยเฉพาะเขา แต่วันนี้กลับทำ

 

ทำไม ถามกลับไปสั้นๆด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก

 

ฉันจะอยู่ดูแลอีทึก ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนฟังถึงกับฉุนขาดที่ได้ยินเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นแบบนี้ และไม่ใช่เฉพาะฮีชอลคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เข้าใจกับเหตุผลของคังอินทุกคนที่อยู่ในที่นี่ต่างมีสีหน้าสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าพูดหรือถามอะไรออกมา ยกเว้นซองมินคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของพี่เขยตัวเอง

 

คังอิน!” ฮีชอลลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่ดูแลคนๆเดียว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้อีทึกลำบากลำบนอะไร ออกจะอยู่สบายซะด้วยซ้ำ

 

อย่ามาขึ้นเสียงกับชั้นฮีชอล ฉันตามใจนายมามากแล้ว คังอินลุกขึ้นเถียงกลับอย่างไม่ยอม

 

ห่วงมันมากหรือไงห๊ะ! ถึงได้อยากดูแลมันนัก!” และแล้วการประชุมเรื่องแผนกลับกลายเป็นการชวนทะเลาะไปเสียแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาฮีชอลกับคังอินยังไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง

 

หึ! แล้วทีนายกับซีวอนนัดไปเจอกันทุกวันคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง เสียตัวให้มันกี่ครั้งแล้วล่ะ!” การปะทะอารมณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อคังอินไม่ยอมให้ฮีชอลรุกอยู่ฝ่ายเดียว

 

คังอิน! นาย!”

 

หยุด!” ในที่สุดฮโยริก็ทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไหว เพียงแค่คำๆเดียวทำให้ฮีชอลกับคังอินเงียบไปในทันทีก่อนจะนั่งลงที่เดิมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก

 

โตแล้วซะเปล่า ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ งานก็คืองาน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัวแยกกันให้ออก ฮโยริว่าเสียงดุ จนคนที่ทำหน้าไม่พอใจต้องเปลี่ยนสีหน้าทันที ฮีชอลจิ๊ปากเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ส่วนคังอินยังคงนั่งนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา

 

เอาเป็นว่าให้ซองมินคอยกันอึนฮยอกออกจากฮยอนจินจะด้วยวิธีไหนก็ได้ ฮีชอลจับตาดูคยูฮยอนให้ดีอย่าให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายเด็ดขาด คิบอมนายก็พาทงแฮออกไปจากเหตุการณ์ในวันนั้นซะ จะพาไปไหนก็ได้ ส่วนคังอินถ้าอยากอยู่กับอีทึกก็อยู่ไป เรียวอุกก็อยู่บ้านกับพี่เขาแล้วกัน สุดท้ายฮโยริจำต้องเป็นคนสั่งการเองในเมื่อคนที่ไว้ใจกลับใช้ไม่ได้เรื่องตอนนี้

 

ฮีชอลยังคงมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่บ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกับคังอินแต่การแสดงออกของทั้งสองคนนั้นต่างกัน ฮโยริมองคนคู่นี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่ใช่เวลาที่คบกันมากว่าสี่ห้าปีจะมาแตกหักเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ

 

แล้วเราจะจัดการฮยอนจินตอนไหน ฮีชอลถามขึ้นเสียงเรียบ หางเสียงไม่มีให้ได้ยินถึงแม้จะพูดกับผู้ใหญ่ก็ตาม ข้อนี้คนในครอบครัวลีต่างรู้ดี เพราะถ้าคนอย่างฮีชอลมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วมักจะพาลใส่ไปหมดทุกคน

 

ถ้ามีโอกาสก็จัดการได้เลย และให้หนีออกมาให้เร็วที่สุด เมื่อได้คำตอบทุกคนก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

 

และการประชุมในวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อฮโยริก้าวออกจากห้องคังอินก็รีบขึ้นไปหาอีทึกที่ห้องทันทีโดยมีสายตาของฮีชอลจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ซองมินกับเรียวอุกเดินออกไปส่งคิบอมที่หน้าบ้านก่อนจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวสำหรับแผนการที่จะเริ่มขึ้นในอีกสองวันข้างหน้านี้

 

 

 

 

 

 

 

ท่านครับ พวกของซึงฮยอนมาขอพบครับ ลูกน้องที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องให้กับฮยอนจินทราบ ซึ่งเป็นบุคคลที่เขากำลังรอคอยอยู่พอดี

 

ให้เข้ามา รับคำสั่งเจ้านายก่อนจะวิ่งออกไปด้านนอกอีกครั้ง ไม่นานนักพวงของซึงฮยอนราวสี่ห้าคนก็เดินเข้ามาภายใน อึนฮยอกที่นั่งอยู่ข้างๆฮยอนจินหันไปมองหน้าผู้เป็นนายด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ในสมองกลับกำลังประมวลผลอย่างหนัก เพราะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกของซึงฮยอนถึงต้องมาพบฮยอนจิน และไม่รู้ว่าเจ้านายของตนกับลูกหนี้ได้ตกลงอะไรกันไว้

 

กลับมาแบบนี้แสดงว่าปลอดภัยดีสินะ เอ่ยถามออกไปเป็นเชิงทั้งที่รู้ความจริงดีอยู่แล้ว คนอย่างฮยอนจินมีหรือที่จะไม่ให้ลูกน้องไปตามความเรื่องนี้ เพราะเขาคงไม่เสี่ยงที่จะโดนโกง

 

นี่เงินตามที่ตกลงกันไว้ กระเป๋าเงินยกยื่นมาตรงหน้า ฮยอนจินเพยิดหน้าให้ลูกน้องเข้าไปรับมาก่อนจะเผยยิ้มอย่างชอบใจ

 

ฉันดีใจที่พวกแกทำตามข้อตกลง

 

ก็ถือว่าเราหายกัน เพราะยังไงซะไอ้หมอนั่นโดนยิง ลูกน้องของซึงฮยอนเพยิดหน้าไปทางอึนฮยอกที่นั่งอยู่โซฟาข้างๆฮยอนจิน ดูท่าว่าแผลที่พวกเขาทิ้งไว้ให้จะอาการดีมากขึ้นแล้ว

 

หึ!” อึนฮยอกหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะแค่นยิ้มให้ลูกน้องของซึงฮยอน ถึงเขาจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงนี้แต่ก็พอเดาออกว่าทั้งสองตกลงอะไรกันไว้ ฝั่งพวกมันจะบอกว่าหายกันคงไม่ถูกเพราะยังไงฝ่ายเขาก็ได้เปรียบกว่าเยอะ ถ้าบอกว่ากลัวตายน่าจะเหมาะกว่า

 

มึงคงอาการดีขึ้นเยอะนะ ได้นายตำรวจยศสูงอย่างฮันคยองช่วยไว้ทั้งคน...พวกผมขอตัว ทิ้งระเบิดให้อึนฮยอกไว้ลูกใหญ่ก่อนพวกลูกน้องของซึงฮยอนจะขอตัวกลับไป ทำให้ฮยอนจินเพ่งความสนใจมาที่อึนฮยอกทันที

 

ฮันคยองงั้นเหรอ

 

ครับ วันนั้นฮันคยองมาช่วยผมเอาไว้ อึนฮยอกพยักหน้ารับและบอกไปตามความจริง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะต้องปิดบัง

 

เรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมเขาถึงไปช่วยนายได้ แล้วตลอดเวลาที่หายไปนายอยู่กับหมอนั่นตลอดเลยงั้นเหรอ ฮยอนจินถามต่อ เขารู้ว่าอึนฮยอกเกลียดขี้หน้าฮันคยองอย่างกับอะไรดี แต่ทำไมถึงยอมให้ฮันคยองช่วยได้

 

เขาคงบังเอิญผ่านมาเจอพอดี เลยเข้ามาช่วยไว้ ตลอดเวลาผมพักอยู่ห้องของเขา ที่สำคัญเขาเล่าเรื่องคดีเก่าคดีหนึ่งให้ผมฟัง เขาบอกว่าท่านคือผู้ต้องสงสัย แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นคดีไหน อึนฮยอกเล่าเรื่องออกมาคร่าวๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องเล่าทั้งหมดว่าจริงๆแล้วเขาไปปะทะคารมอะไรกับฮันคยองมาบ้าง เพราะเรื่องคดีนี้คงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้ว

 

                อย่างนั้นเหรอ พยักหน้าขึ้นลงช้าๆเมื่อฟังจบ มือข้างขวาถูกยกขึ้นมาลูบที่คางเบาๆอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด

 

                อึนฮยอก ต่อจากนี้นายต้องคอยกันฮันคยองไม่ให้เข้ามาวุ่นวายกับฉันจนสืบคดีนั่นได้สำเร็จ เงียบไปซักพักฮยอนจินจึงพูดออกมา ถ้าเขาเดาไม่ผิดคดีที่ว่าคงเป็นคดีผู้กำกับปาร์คเมื่อห้าปีก่อน เพราะคดีใหญ่ที่พวกตำรวจยังคงตามสืบเกี่ยวกับเขามีเพียงคดีเดียวเท่านั้น ที่สำคัญฮันคยองเป็นคนที่ฮันชางมอบหมายให้ทำคดีนี้ต่อ

 

                แต่ท่านครับ ผม.... จากที่จะเถียงกลับต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นนาย

 

                นายไม่มีสิทธิ์เกี่ยงงานตอนนี้อึนฮยอก ฮยอนจินบอกเสียงเรียบ อึนฮยอกเลยจำต้องรับงานนี้ไปโดยปริยายทั้งที่ไม่เต็มใจเลยก็ตาม ทำไมยิ่งเกลียดยิ่งหนีแต่ถึงยิ่งเจอ 

--------------------------------------------

kr...Talk
อันยองจ้าเพื่อนๆ เค้าขอโทษที่มาอัพช้า
ติดสอบมิดเทอมอ่ะ ไรเตอร์เลยเอาแต่หน้าทิ่มหนังสือทุกวัน
แต่ไม่ได้อะไรเลย ทำไม่ได้ ฮือๆๆ
เม้นที่554 แอบจริงใจมาก ใส่อารมณ์กับพี่หมีเราสุดๆ
แต่ก็ขอบคุณค่ะที่รับที่เป็นคังทึกได้
ตอนนี้ดูพี่คังจะทะนุถนอมดีจนน่าแปลกใจ
บางทีความรักก็เกิดขึ้นง่ายๆ
วันนี้สัญญาว่าจะให้โหวตหน้าปกฟิค
พร้อมอัพแล้ว ตอนต่อไปเลย
ขอโทษที่อัพดึกนะ 

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×