ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
Lilo & Stitch Reboot Fanfic : ลิขิตรักข้ามจักรวาล

ลำดับตอนที่ #18 : Mission 17 : ความจริงที่เป็นภัยถึงชีวิต II

  • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 66


MISSION 17

ความจริงที่เป็นภัยถึงชีวิต (Part 2)



               ประวัติส่วนตัวผู้เลี้ยง  ชื่อสัตว์เลี้ยง  ประเภท  ลักษณะ  สายพันธุ์  อาหารการกิน  พฤติกรรม  ความสามารถ  และที่มาของสัตว์เลี้ยง

               สิ่งเหล่านี้... ถูกเขียนลงในเอกสารว่าด้วยเรื่อง "สัตว์เลี้ยง" ของนักเรียนเป็นที่เรียบร้อย  ซึ่งเอกสารชุดนี้อยู่ในมือของ... เมอร์เทิล เอ็ดมันด์  เด็กหญิงผู้ค้านเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างดาวชนิดหัวชนฝามาชั่วชีวิต

               เธอไม่ได้ลงแค่ข้อมูลเพียงอย่างเดียว  ยังแนบรูปเธอกับจีจี้ติดกับเอกสารด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ย้ำกับตัวเองด้วยความมั่นใจ... ว่าจีจี้ของเธอไม่ใช่สัตว์ต่างดาวเหมือนสติทช์และเพื่อน ๆ ที่ลีโล่คบค้าสมาคมอยู่    

               "แค่นี้ก็หมดเรื่อง"  เมอร์เทิลส่งเอกสารคืนคุณแม่ที่ยังทำหน้าเหมือนคนสองจิตสองใจกับเรื่องที่คุณบริทต้าแจ้งในหอประชุมเมื่อช่วงสาย  เพราะรู้จักลีโล่มาตั้งแต่ก่อนพ่อแม่จากโลกนี้ไป  ลีโล่เป็นเด็กน่ารักน่าทะนุถนอม  ถึงแม้เธอจะซนเฮี้ยวซ่าส์จนทำเอานานี่ปวดหัวอย่างสม่ำเสมอก็ตาม  และสติทช์เป็นหมาน่ารักในสายตาคุณนายเอ็ดมันด์  แม้เป็นหมามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนหมาทั่วไปก็เถอะ

               แต่คุณนายไม่เข้าใจลูกสาวมากกว่า... ว่าทำไมเธอถึงมีอคติกับลีโล่ด้วย  ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมคลาสทั้งห้องเรียนปกติกับระบำฮูล่าฝึกหัด

               คุณนายทำได้แค่... ถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร  ทำเอาเมอร์เทิลมองด้วยความไม่ชอบใจนัก... ที่แม่ของเธอยังคงญาติดีกับลีโล่ทั้งที่เป็นคนชักนำความหายนะมาสู่โรงเรียนอย่างที่คุณบริทต้าว่าไว้

               "มันจะอะไรกันนักหนา  กะอีแค่ให้ข้อมูลจีจี้  กลับถอนหายใจนึกถึงนังคนเพี้ยนนั่น  ใช่ลูกใช่หลานรึไงกัน"  เมอร์เทิลบ่นที่คุณแม่แสดงท่าทีราวกับว่าขี้เกียจจะว่าจะกล่าวเรื่องลีโล่  จีจี้ฟังแล้วไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง... ที่เจ้านายผู้เลี้ยงดูยังทำตัวเป็นคนโลกแคบอยู่  ทั้งที่รู้ว่าอันตรายรอบด้านกำลังมาเยือนลีโล่กับโอฮาน่าของเธอทุกฝีก้าว

               "คุณแม่ก็คงต้องใช้เวลาทำใจล่ะนะ  เป็นเพื่อนบ้านกันมานาน  ต้องมาหวาดระแวงกันเพราะนังเด็กเลี้ยงเอเลี่ยนนั่นแท้ ๆ"  เจสสิก้าได้ทีเสี้ยมลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยให้นึกเกลียดชังลีโล่มากขึ้น  ทำเอาจีจี้แยกเขี้ยวใส่เพื่อแสดงความโต้แย้งโดยไม่เปล่งคำพูดใด ๆ ออกมา  เจ้าหมาชิสุต่างดาวไม่ชอบเลย... ที่ญาติเจ้านายตัวน้อยจากนิวยอร์คพูดถึงลีโล่กับสติทช์ในทางดูถูกดูแคลน

               ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า

               แต่เมอร์เทิลฟังแล้วรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก  ถึงแม้เธอกับลีโล่มีเรื่องจิกกัดกันทุกครั้งที่พบหน้า  แต่บ้านเกิดของลีโล่อยู่บนเกาะคาไว... มันไม่ยุติธรรมกับโอฮาน่าของลีโล่  หากต้องถูกคุณบริทต้ากับผู้ปกครองในสมาคมบีบคั้นให้ออกจากเกาะ

               "ไม่ดีใจรึไง... ที่คู่แข่งของเธอจะไม่อยู่ในสายตาเธอตลอดไป  อีกเดี๋ยวเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในฮาวายก็ว่าได้นะ  และจะถูกพูดถึงในทุกเรื่องที่มันเพอร์เฟ็คท์สุด ๆ ไปเลย  ถึงอย่างไรเสีย... การมีเพื่อนที่ชื่นชอบความเพอร์เฟ็คท์ก็เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิวัติตัวเธอสักครั้งในชีวิต  ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง"  เจสสิก้าปลอบประโลมลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยที่ทำหน้าสลดจนแทบเดาอารมณ์ไม่ได้ว่าจะยินดีหรือเสียใจกับเรื่องนี้  เป็นคำพูดที่จีจี้ฟังแล้วรู้สึกแปร่งหูอย่างบอกไม่ถูก  พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เจสสิก้าพยายามสื่อออกมา

               ทำเอาจีจี้รู้สึกมวนท้องเป็นอย่างยิ่งกับสายตาที่เจสสิก้ามองมา  ราวกับว่าลูกพี่ลูกน้องคนสวยจ้องจับผิดตนอยู่

               "หนูพาจีจี้ไปเดินเล่นก่อนนะคะ  อากาศดี๊ดี  เย็น ๆ ค่อยว่ากันนะคะ"  เมอร์เทิลตัดบทพาจีจี้ออกไปเดินเล่นนอกบ้านในทันที  เจสสิก้าได้แต่พยักหน้าแล้วมองลูกพี่ลูกน้องเดินออกจากบ้านด้วยแววตามีเลศนัย  ก่อนที่เธอจะควักมือถือเปิดดูรูปเพื่อทำการใหญ่

               เป็นรูป... เมอร์เทิลกับจีจี้ในชุดเดรสสวย ๆ สมกับเป็นหญิงจ๋าผู้ร่ำรวยแห่งเกาะคาไว

               แต่เป็นรูปที่เจสสิก้าใช้แอพพลิเคชั่นของคุณแอนดรูว์เป็นตัวช่วยถ่ายรูป

               แอพพลิเคชั่นที่สามารถเอ็กซ์เรย์บุคคลและสิ่งมีชีวิตทุกประเภทในรูปที่ถ่าย!



               ปกติ... เมอร์เทิลเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงในทุกเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ฝีมือระบำฮูล่าที่ทำให้เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดในคลาส  เพื่อนที่ซัพพอร์ตเธอทุกเรื่อง  และสุดท้าย... จีจี้เป็นหมาชิสุสายพันธุ์ดีที่มีความน่ารักเหนือกว่าสติทช์หลายร้อยพันเท่า

               แต่การพาเพื่อนซี้สี่ขาของเธอไปเดินเล่นในครั้งนี้... กลายเป็นการเดินเล่นคลายสมองที่กำลังสับสนอยู่

               ข้อสงสัยเรื่องลีโล่ได้ชักนำเธอพบกับความจริงที่เหลือเชื่อด้วยตาตัวเอง  เธอรู้ว่าจัมบ้ากับพรีคลีย์ไม่ใช่ลุงกับป้าของลีโล่  และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสติทช์โดยไม่ต้องสงสัย  แถมรู้อีกว่าจัมบ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างสติทช์กับผองเพื่อนชีวิตทดลองอีก 625 ตัว

               คำตอบเหล่านี้... ทำให้เธอรู้ว่าลีโล่กับสติทช์ออกปฏิบัติการค้นหาชีวิตทดลองและผูกมิตรกับพวกเขา

               แต่เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด... ว่าจีจี้ของเธอเป็นหนึ่งในผลงานสุดเพี้ยนของจัมบ้า

               แต่เธอยังคาใจมากกว่า  ซึ่งจริง ๆ เธอคาใจมาตั้งแต่วันประกวดสุนัขเมื่อปีก่อนก็ว่าได้

               โจรหน้าปลาดุกร่างยักษ์จะปล้นจีจี้ไปทำไม!?

               สิ่งที่ยังคาใจอยู่  ทำให้เธอต้องหาคำตอบเรื่องโจรหน้าปลาดุกจากลีโล่ให้จงได้!

               แต่ลีโล่สิ... หลบไปอยู่ที่ไหนนะ!?


เธอนึกออก... ว่าจะตามหาลีโล่ได้จากที่ใด!


               "ลีโล่เหรอ!?  อืม... พี่ไม่รู้นะว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน  ได้ยินว่าขอเก็บตัวสักครู่จนกว่าเรื่องจะซา"  เดวิด  แฟนหนุ่มของพี่นานี่  เป็นคนตอบคำถามในทันทีที่เมอร์เทิลถามหา  ซึ่งแน่นอนว่าเมอร์เทิลเชื่อกึ่งไม่เชื่อกึ่ง  เพราะเขาเป็นคนที่น่าจะรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตทดลองจากต่างดาวดี  และในฐานะที่เป็นพนักงานบริการเช่าอุปกรณ์ว่ายน้ำและกระดานโต้คลื่นประจำชายหาด... เขารู้ดีว่าชีวิตทดลองบางตัวมีบ้านอยู่ที่นี่

               "เรื่องจะซาเหรอคะ"  เมอร์เทิลขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

               "ก็ข่าวลือที่ทำเอาบรรดาคุณพ่อคุณแม่หัวฟูและมองลีโล่เปลี่ยนไป  ลีโล่ถึงได้จิตตกจนเราต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน  แต่ไม่ต้องห่วงหรอก  มีสติทช์ดูแลอยู่ข้าง ๆ  ทุกอย่างก็โอเค"  เดวิดตอบ

               "จิตตก!?  หมายความว่าไงคะ"  เมอร์เทิลสงสัย  เพราะทุกครั้งที่เธอพบลีโล่  ลีโล่มักทำตัวร่าเริงหรือหิ้วเจ้าสติทช์ไปหาเรื่องแปลกใส่ตัวจนน่าหมั่นไส้ทุกครั้ง  ไม่เชื่อหูว่าลีโล่จะมีมุมเศร้าอย่างที่เดวิดกล่าวจริง

               "ว่ากันตามตรงนะ  คนทุกคนต่างต้องการการยอมรับในตัวตนของกันและกันทั้งนั้น  ไม่ว่าจะลีโล่หรือเธอ... พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน  แต่ต่างกันที่ตัวตนก็เท่านั้นเอง"  เดวิดเกริ่นนำก่อนที่จะให้คำตอบที่อาจจะเข้าถึงจิตใจของยัยหัวแดงในอีกมิช้า  "เด็ก ๆ ทุกคนต่างต้องการเป็นที่ยอมรับของคนทุกคน  เริ่มจากโอฮาน่า... ต่อมาก็เพื่อน  ทุกคนล้วนมีช่วงที่จิตดิ่งลงเหวแห่งความสิ้นหวัง  ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้ช่วงนั้นมาถึง  ไม่ว่าจะช่วงนี้หรือช่วงไหน"

               "เหมือนกับช่วงนี้ที่คุณป้านายกสมาคมผู้ปกครองกำลังถล่มโอฮาน่าของลีโล่เพราะหมาของเธอสินะ"  เมอร์เทิลสันนิษฐานด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง  นึกไม่ถึงว่าลีโล่จะหายตัวไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น

               "การเข้าใจตัวตนของกันและกัน... เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา  ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น  เพราะสุดท้าย... คนที่รู้ใจตัวเองดีที่สุดก็คือตัวเอง"  เดวิดมอบข้อ-คิดให้เมอร์เทิลเก็บไปคิดก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานต่อ  ทิ้งให้เมอร์เทิลยืนงงเพียงลำพัง  จีจี้มองหน้าเจ้านาย... พยายามสื่อให้เธอตอบคำถามตัวเองสักครั้ง

               แท้จริงแล้ว... เธอเกลียดลีโล่จริงรึเปล่า!?

               เพื่อให้ข้อสงสัยได้รับความกระจ่าง... เธอจึงค้นหาคำตอบจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "เพื่อน" ของลีโล่อีกครั้ง

               เพราะคนเป็นเพื่อนกัน... ย่อมรู้ความลับของกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา!


------------------------------------------------------------------------


               เอกสารที่คุณบริทต้าตีพิมพ์มาปลุกปั่นผู้ปกครองทุกคนให้ล่ารายชื่อเด็กมีสัตว์เลี้ยง  ทำเอาลีโล่กับสติทช์ถึงกับเต้นผางจนแทบอยากเผชิญหน้าโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่  เพราะการกระทำเช่นนี้... มีเจตนาจะเฉดหัวเหล่าชีวิตทดลองออกไปจากเกาะคาไวอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งแน่นอนว่ามาวินกับครูมีนาต้องช่วยกันหยุดความหัวร้อนของลีโล่โดยเร็ว

               "ครูว่าแค่เธอกับสติทช์สองคน... รับมือผู้ใหญ่นับสิบไม่ไหวหรอกนะ"  ครูมีนาหว่านล้อมให้ลูกศิษย์ตัวน้อยเปลี่ยนใจ

               "แต่สิ่งที่คุณป้าของคาลี่ทำ... มันเป็นการสร้างความหวาดระแวงให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนทำลายโอฮาน่าของพวกเขาโดยไม่รู้ตัวนะคะ  หนูต้องไปพบคุณป้าค่ะ!  ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณป้าอยู่ที่ไหนคะ!?"  ลีโล่พูดออกมาด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง  เธอหัวร้อนตั้งแต่ทราบข่าวจากมาวิน  เพราะชีวิตทดลองทุกตัวที่มีบ้าน... ล้วนเป็นโอฮาน่าของเธอกับสติทช์  และตราบใดที่พวกเขาอยู่ในอันตราย... เธอจะไม่นิ่งดูดายเป็นอันขาด

               "ไม่รู้สิ  แต่ฉันว่าอย่าเสี่ยงดีกว่า  ขืนไปตอนนี้  ทุกอย่างมีแต่ละแย่ลงนะ"  มาวินแย้งด้วยความเป็นห่วง

               "จริงด้วย  ลืมไปแล้วเหรอว่าเราอยู่ในช่วงเก็บตัว!?"  คาลี่เตือนความจำเพื่อน  หวังว่าลีโล่จะรู้สถานะตัวเองดีในขณะนี้

               "ฉันไม่ลืมหรอกน่า!  แต่เราจะซ่อนตัวอยู่อย่างนี้จนถึงเมื่อไหร่กัน!?"  ลีโล่วีนใส่  คิดว่าการที่เธออยู่ภายใต้การดูแลของคุณค็อบบร้าโดยใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทั้งที่รู้ว่าเหล่าชีวิตทดลองกำลังตกอยู่ในอันตราย  หายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นกับเกาะคาไวเข้าสักวัน

               "จนกว่าการล่ารายชื่อจะต้องถูกประท้วงเข้าสักวัน"  มาวินตอบ  "แต่ไม่ต้องห่วง... สติทช์  แองเจิ้ล  และญาติทุกคนเป็นผลงานของจัมบ้า  เขามีเครื่องมือที่ติดตามชีวิตพวกเขาอยู่  วิคตอเรียกับมาเรียจะช่วยเขาอีกแรง"

               "พี่นานี่ต้องลุกขึ้นมาเตะตูดคนไปดวงจันทร์แน่ ๆ"  สติทช์พูดออกมาพลางทุบโต๊ะด้วยความโกรธเคืองถึงที่สุด  

               "ตอนนี้คุณลุงเจมส์สันกับพี่โล้นหน้านิ่งกำลังปรึกษากันว่าจะนำเสนอหลักฐานที่จะทำให้คำสั่งตรวจสอบสัตว์เลี้ยงถูกยกเลิกได้"  มาวินแจ้งข่าวดี  เพื่อให้ลีโล่กับสติทช์ใจเย็นลง  ซึ่งแน่นอนว่ามาวินพูดถึงคุณค็อบบร้า  ทำให้ลีโล่ใจเย็นลง... แต่ไม่มากนัก

               "ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณค็อบบร้าเสมอ... ว่าเขาต้องทำได้  แต่เขาควรดูแลสภาพจิตใจคาลี่ในนามนักสังคมสงเคราะห์มากกว่า"  ลีโล่พูด

               "ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ!?"  ฟลุทถามด้วยความตกตะลึง  สติทช์พลอยอึ้งไปด้วย

               "ก็ที่ผ่านมา... ฉันหาบ้านที่เหมาะสมให้พี่น้องสติทช์ใช้ความสามารถในทางที่ถูกที่ควรโดยไม่มีคุณค็อบบร้ามาร่วมในกรณีฉุกเฉิน  และพวกเขาก็แฮ็ปปี้มากที่เข้ากันกับคนทุกคนบนเกาะได้ดีโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอะไร  แต่นึกไม่ถึงว่าวันที่ภารกิจของเราเข้าสู่ขั้นวิกฤติมาถึง"  ลีโล่ให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน  ทุกครั้งที่เธอกับสติทช์เผชิญหน้ากับชีวิตทดลองแต่ละตัว... เธอมั่นใจว่ารับมือและละลายพฤติกรรมได้  แม้บางตัวต้องอาศัยความช่วยเหลือจากจัมบ้าหรือพรีคลีย์ก็ตาม  หากชีวิตทดลองบางตัวมีความสามารถที่เป็นภัยต่อคนรอบข้าง

               แต่การที่แฮมสเตอร์วิลล์ติดต่อวายร้ายจากต่างดาวมาปองร้ายลีโล่จนถึงแก่ชีวิต  และส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาะคาไวอย่างร้ายแรงจนคุณค็อบบร้าต้องออกโรงกู้สถานการณ์ทุกวิถีทางเพื่อรักษาความลับเรื่องเอเลี่ยน  ทำให้สายลับตัวน้อยอย่างลีโล่ใจหายที่ถูกตัดสินว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายทั้งหมด

               "ฟังนะลีโล่  พี่ไม่รู้หรอก... ว่าชีวิตของเธอกับพี่สาวผ่านอะไรมาบ้าง  ถึงได้ยืนอยู่บนจุดนี้ได้  แต่ชีวิตเด็กก็อย่างนี้ล่ะนะ... มีความทุกข์และความสุขให้ได้เรียนรู้อย่างพร้อมเพรียงกัน  ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาทดสอบเรา  ซึ่งไม่ใช่บททดสอบตายตัว  พวกเธอจะฝ่าฟันวิกฤติที่เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น... สติจะเป็นผู้นำทางเสมอ  แค่รู้จักใช้มันอย่างคุ้มค่า  ทุกอย่างก็จะเป็นแค่ฝันร้ายในพริบตา"  เบอร์ตั้นสรรหาคำพูดที่เป็นแนวคิดชวนเข้าใจง่ายให้ลีโล่กับคาลี่ฟัง  เพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองได้ฉุกคิดถึงความทุกข์และความสุขที่ผ่านเข้ามาจนถึงทุกวันนี้

               การสูญเสียคนในครอบครัว... คือความทุกข์ครั้งใหญ่ที่ลีโล่กับคาลี่ผ่านพ้นมาแล้ว  แต่ไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจ

               การมีครอบครัวใหม่... คือความสุขที่ลีโล่กับคาลี่ได้รับ  เหมือนลีโล่ที่มีสติทช์เป็นโอฮาน่าคนสำคัญในยามที่เธอทุกข์ใจ  และคาลี่มีฟลุทเป็นโอฮา-น่าคนสำคัญเช่นกัน

               การเผชิญโลกกว้าง... คือสิ่งที่ลีโล่กับคาลี่กำลังเรียนรู้จนถึงทุกวันนี้  มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากัน  เหมือนที่ลีโล่กับสติทช์จับมือกันตามหาสัตว์ทดลองอีกหกร้อยกว่าชีวิต  และคาลี่กับฟลุทผูกมิตรกับเพื่อนใหม่บนเกาะคาไว  ซึ่งทั้งสี่สหายต่างก็เผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองหรือจากคนรอบข้างท่ามกลางความสนุกสนานที่เกิดขึ้น  ณ  ขณะนี้

               รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของลีโล่ในทันทีที่ฟังแนวคิดจากญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนสนิท  เธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น... มันร้ายแรงกว่าการปะทะกับแกนตูเพื่อช่วยเหล่าชีวิตทดลองให้พ้นจากเงื้อมมือแฮมสเตอร์วิลล์  แต่ในขณะเดียวกัน... เธอก็ได้ผูกมิตรกับเพื่อนใหม่  ทั้งมนุษย์และเพื่อนต่างดาวที่สร้างสีสันให้เธอกับสติทช์ได้สัมผัสซึ่งกันและกัน

               ทำให้ลีโล่เห็น... ว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่เธอที่เคยเผชิญหน้ากับการสูญเสีย  คนข้าง ๆ อย่างคาลี่ก็เคยเผชิญหน้าเช่นกัน  และเธอกำลังจะก้าวข้ามความเจ็บปวดจากการสูญเสียด้วยตัวเอง

               หรือสรุปสั้น ๆ ก็คือ... เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้อีกต่อไป

               เธอกับสติทช์ยังมีเพื่อนที่สนิทถึงขั้นไว้วางใจให้เก็บความลับเรื่องเอเลี่ยนได้มากกว่าหนึ่งคน  ไม่ใช่แค่เพื่อนสิ... โอฮาน่าต่างหาก

               โอฮาน่าที่ทำให้เขาและเธอแข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้


------------------------------------------------------------------------


                เหตุบุกชิงตัวสองพี่น้องนรกจากโรงพยาบาล  กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทำเอาคุณค็อบบร้าเครียดเป็นอย่างยิ่ง  เพราะถึงข่าวระบุว่าอาจเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายที่ทำไปโดยไม่ทราบสาเหตุ  แต่อดีตซีไอเอรู้ดี... ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุคือใคร  และจุดประสงค์ที่คนพวกนั้นต้องการตัวแมทธิวกับโมนิก้าคืออะไร

               เพื่อเป็นหุ่นเชิดเข้าถึงตัวครอบครัวของลีโล่อีกครั้ง

               ซึ่งเป็นไปตามที่คุณค็อบบร้าคาดไว้ไม่มีผิด

               สองพี่น้องนรกลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากตกอยู่ในภวังค์หลับใหลเป็นเวลานานเท่าใดนั้น... ไม่มีใครตอบได้  เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ตัว  จะพบว่าทั้งคู่ถูกขังอยู่ที่ใดสักแห่งในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

               สิ่งที่พบเห็นอยู่รอบตัวนั้น... มันน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นแหล่งกบดานได้

               ภายในห้องเต็มไปด้วยขวดโหลแก้วที่บรรจุซากแมลงและหนอนที่ถูกแช่ในของเหลว  ถูกวางเรียงรายอยู่บนตู้วางของราวกับว่าที่ ๆ อยู่นี้คือห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์โรคจิตในหนังไซไฟสยองขวัญยังไงยังงั้น!

               ไม่รอช้า... สองพี่น้องนรกรีบพุ่งปราดไปที่ประตูหมายออกไปจากที่ ๆ น่ากลัวแห่งนี้

               แต่มีคนเปิดประตูเข้ามาในห้องเสียก่อน

               "อ้าว!  ฟื้นแล้วเหรอ"  คุณแอนดรูว์ก้าวเท้าเข้ามา  ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร  แต่ฉายแววความเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด  ไม่สะทกสะท้านต่อห้องสะสมซากแมลงแม้แต่น้อย  ทำเอาสองพี่น้องนรกถอยกรูดด้วยความไม่ไว้วางใจ  ก่อนที่จะฝ่าคุณแอนดรูว์ออกไปจากห้องด้วยความหวาดกลัว

               "จะออกไปทั้งที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาหยก ๆ  รู้แล้วเหรอ... ว่าจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง"  คุณแอนดรูว์ดักคอเสียงเรียบ  สองพี่น้องนรกถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมา

               "ที่นี่ที่ไหนกัน!?  เรามาอยู่ที่นี่ได้ไง!?"  แมทธิวถามเสียงสั่นด้วยความตื่นกลัว

               "เซฟเฮ้าส์ของเพื่อนฉันเอง  สบายใจได้  ที่นี่ปลอดภัย"  คุณแอนดรูว์ตอบหน้าตาย

               "ปลอดภัย"  โมนิก้าแค่นยิ้ม  เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด... ว่าที่ ๆ หนุ่มไฮโซจำแลงบอกว่าเป็นเซฟเฮ้าส์เป็นที่ปลอดภัยจริง  "ถ้าปลอดภัยจริง... แล้วของพวกนี้มันคืออะไร!?"

               "หึ ๆ ๆ  ของพวกนี้เหรอ  เป็นของที่เพื่อนฉันใช้ทดลองน่ะ  ไหน ๆ ก็กลับบ้านไม่ได้แล้ว  ทำใจให้ชินซะจะดีกว่านะ  ในเมื่อพวกเธอก็... รู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้วนี่"  คุณแอนดรูว์ยักไหล่ไม่แคร์  เขารู้ดีว่าบรรดาขวดโหลบรรจุซากแมลงและหนอนแช่น้ำอะไรสักอย่างที่มีสีชวนอาเจียนเป็นวัตถุดิบในการทดลองของทรีน่า

               "รู้เรื่องทุกอย่าง!?  หมายถึงสัตว์ประหลาดบนเกาะที่เป็นสัตว์ต่างดาวใช่มั้ย!?"  แมทธิวประเมินสถานการณ์รอบตัวในทันที  เขากับน้องสาวถูกฉกมาจากโรงพยาบาลเพื่อใช้เป็นหนูทดลองทำสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า  ถึงกับโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่งที่ถูกหลอกใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบการทดลองสุดวิปริตจากวายร้ายต่างดาว  "ที่ผ่านมา... คุณทำดีกับเราก็เพราะสิ่งนี้นะเหรอ!?"  เขาไม่โกรธเปล่า... ยังคว้าขวดโหลแก้วที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาหมายจะฟาดหัวแอนดรูว์ให้สลบไป

               แต่โชคไม่ดีที่แอนดรูว์ไม่ใช่คน!

               แอนดรูว์คว้าข้อมือของแมทธิวเพื่อปลดอาวุธในมือ  ผลก็คือ... ขวดโหลแก้วหล่นลงพื้นแตกกระจาย

               เพล้ง!

               ซ้ำร้าย... แอนดรูว์หรือมือสังหารจากต่างดาวยังจับมือทั้งสองข้างของแมทธิวไพล่หลัง  เตะข้อพับขาทั้งสองข้างจนทรุดลงก่อนที่จะจับหัวก้มลงจนใบหน้าเฉียดถูกเศษแก้ว  ถ้าโมนิก้าไม่คว้าขวดโหลมาฟาดเสียก่อน

               เพล้ง!  

               โมนิก้าเห็นเป็นโอกาสดี... รีบพาพี่ชายหนีออกไปจากห้องที่น่ากลัวเพื่อหาทางออกให้จงได้  แม้ไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ก็ตาม

               แต่สองพี่น้องนรกโชคดีได้ไม่นาน  ทั้งคู่จึงถูกคนกลุ่มหนึ่งจู่โจมด้วยกระบองไฟฟ้าจนตัวชา  ร่างทรุดลงบนพื้น  ถูกแอนดรูว์กับลูกสมุนจับตัวกลับไปที่ห้องเก็บซากแมลงอีกครั้ง

               คราวนี้... ทางหนีถูกปิดตายเสียแล้ว!

               "กล้ามากนะ... ที่เอาสมบัติล้ำค่าของเพื่อนฉันมาทำร้ายฉัน  ทั้งที่เราเป็นคนช่วยพวกเธอให้พ้นจากเงื้อมมือซีไอเอแท้ ๆ  ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ เชียว"  แอนดรูว์พูดพลางเอามือข้างขวาปาดน้ำเหลวเมือก ๆ มีกลิ่นชวนสะอิดสะเอียนออกจากหัวแล้วตวัดมือตบแมทธิวหน้าหันอย่างแรงหนึ่งที

               เพียะ!   

               "นี่ถือว่าเป็นบทลงโทษสถานเบา  สำหรับสิ่งที่พวกเธอทำกับฉันเมื่อสักครู่  แต่จากนี้ไป... ชีวิตพวกเธอจะต้องหนักหน่วงจนกว่าจะตายจากกันในอีกมิช้า"  แอนดรูว์ก้าวเท้าย่างสามขุมมาข่มขวัญสองพี่น้องนรกที่ยังเจ็บปวดจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ทำให้ระบบประสาทในร่างกายชาเมื่อสักครู่

               "ต้องตายจากกัน!?  อย่างกูนะเหรอ... ต้องตาย!?  มึงสิจะตาย!"  แมทธิวตะคอกใส่

               "หึ ๆ  จะพูดจะด่าจะว่ายังไงก็เชิญ  เพราะคนที่จะตาย  ไม่ใช่ฉันแน่ ๆ  เป็นพวกเธอต่างหากที่จะตาย  แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก"  แอนดรูว์พูดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าสาปแช่งของอีกฝ่าย  "ยังมีงานที่ต้องทำ  และต้องอาศัยตัวช่วยอีกเยอะทีเดียว"

               "งานบ้างานบออะไรของแก!?  ไม่ใช่เพราะเอเลี่ยนอย่างพวกแกเหรอ... ที่ทำให้กูต้องฉิบหายแบบนี้!"  โมนิก้าวีนแตก

               "ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ"  แอนดรูว์หัวเราะร่วน... นึกสมเพชในตัวสองพี่น้องนรกที่มัวกล่าวโทษเอเลี่ยนอย่างไม่ลืมหูลืมตา  "เอเลี่ยนอย่างพวกฉันเหรอ!?  ถ้าจะพูดให้ถูก... เอเลี่ยนที่พวกเธอโกรธแค้นก็มีแค่พวกชีวิตทดลองที่อาศัยอยู่บนเกาะคาไว  จำไม่ผิดก็... แมวเป่าฟลุทของน้องแฟนเธอที่เล่นเอาเลือดตกยางออกมาแล้วครั้งหนึ่ง"

               แอนดรูว์พูดถึงเจ้าฟลุท... หรือชีวิตทดลองหมายเลข 145  เพื่อนรักของลูกพี่ลูกน้องที่แฟนสาวของแมทธิวชังน้ำหน้า  มันกระตุ้นให้แมทธิวนึกถึงคืนที่เขาถูกเจ้าฟลุทจับกดน้ำเกือบตาย  ทำเอาแมทธิวพูดไม่ออก

               "เธอโกรธแค้นมันเพียงตัวเดียว  ถึงกับยอมโง่ตกเป็นหุ่นเชิดให้ฉันควบคุมง่ายดาย  แค่สร้างเรื่องว่าเรารู้จักกันในแวดวงไฮโซ  ซึ่งมันก็... จริงน่ะนะ  ลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่... กับนักธุรกิจ  ฟังดูเข้ากันดีนี่  ว่ามั้ย"  แอนดรูว์ย่ามใจ... พูดแล้วนึกขำทั้งตัวเองกับคู่สนทนาผู้ตกเป็นเหยื่ออย่างบอกไม่ถูก  ทำเอาสองพี่น้องนรกฟังแล้วแค้นใจเป็นอย่างมากที่หลงเชื่อว่าแอนดรูว์เป็นคนที่จะช่วยพวกตนกำจัดฟลุทและผองเพื่อนชีวิตทดลองให้หายไปจากเกาะคาไวได้  แต่พองานไม่สำเร็จ  กลายเป็นหมดประโยชน์ในบัดดลเช่นนี้

               "แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง  พวกเธอก็ได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง  เพื่อเป็นการต่อชีวิตให้ตัวเอง  และงานนี้... ต้องมีตัวช่วยคอยกระตุ้นสักตั้ง"  แอนดรูว์หันไปสั่งการลูกสมุนให้จับตัวสองพี่น้องนรกไปที่ใดสักแห่งที่อยู่ชั้นใต้ดินในเซฟเฮ้าส์ที่น่ากลัวแห่งนี้

               ขึ้นชื่อว่าเซฟเฮ้าส์ของวายร้ายต่างดาว  ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีความน่ากลัวซุกซ่อนอยู่

               และความน่ากลัวของแอนดรูว์กับเพื่อนต่างดาวสุดชั่วร้าย... ก็สร้างความหวาดผวาให้สองพี่น้องนรกชนิดไม่รู้ลืม

               เพราะในห้องเก็บซากแมลงมีประตูอีกบาน  ซึ่งเป็นประตูไฮเทคที่เพื่อนเอเลี่ยนสาวนาม... "ทรีน่า" ได้ป้อนพาสเวิร์ดแล้วเปิดห้องให้ลูกสมุนเอาร่างสองพี่น้องเข้าไปในตู้ที่มีลักษณะเหมือนตู้แช่ศพ  แน่นอนว่ามีคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบการทำงานของตู้ขังหนูทดลอง  ทรีน่าใช้มันคุมขังสองพี่น้องจนเหลือแค่หัวที่โผล่ออกมาจากตู้

               "เอาล่ะ  ปล่อยตัวปล่อยใจให้ผ่อนคลายเถอะนะสหายวัยว้าวุ่น  อีกนิดเดียว... พวกเธอก็จะทำธุระให้เราอย่างราบรื่น  ถ้าได้ทานยาดีสักคำสองคำ"  แอนดรูว์พูดพลางปรบมือส่งสัญญาณให้ลูกสมุนนำของสิ่งหนึ่งมาประเคนให้สองพี่น้องนรก

               มันคือสิ่งมีชีวิตที่ชวนผะอืดผะอมเป็นอย่างยิ่ง

               หนอนแดงอมทับทิมสีเลือด!                 

               "หนอนบ้าอะไรวะเนี่ย!"  แมทธิวได้แต่เบือนหน้าหนีด้วยความหวาดกลัว  ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหนอนแดงกลิ่นเลือดที่ยังแดดิ้นอยู่ในมือสมุนชุดขาวที่ทำงานในห้องทดลองของทรีน่า

               "มันคือ... หนอนทับทิมโลหิต จ้ะที่รัก"  ทรีน่าตอบพลางเดินกรีดกรายมายืนอยู่ตรงหน้าสองพี่น้องนรกที่ถูกจองจำอยู่ในตู้ขังหนูทดลอง  "เดี๋ยวฉันจะสาธิตให้พวกเธอได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของลูก ๆ ฉันเอง"  เธอไม่พูดเปล่า... หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลงมือในทันที

               ลูกสมุนจัดการบีบแก้มสองพี่น้องให้อ้าปาก  ในขณะที่เหยื่อผู้ตกเป็นหนูทดลองพยายามส่ายหน้าสะบัดมือพวกมันออกไปให้พ้น  ก่อนที่หนอนวิปลาสของทรีน่าจะถูกยัดเข้าปาก  แต่นักโทษที่ถูกพันธนาการกับเครื่องจองจำสุดพิสดารที่พ่นไอเย็นทำให้ร่างกายมีความหนาวเหน็บจนไม่สามารถดิ้นรนได้นั้น  มีพละกำลังที่น้อยกว่าลูกสมุนที่ยังแข็งแรงทุกประการ

               สุดท้าย... สองพี่น้องนรกจึงถูกสมุนวายร้ายต่างดาวจับเอาหนอนยัดเข้าปากอย่างโหดร้ายถึงที่สุด

               หนอนพวกนี้จะควบคุมสองพี่น้องได้อย่างไรนั้น... พวกมันจะได้รู้ด้วยตัวเอง!


------------------------------------------------------------------------


               วันต่อมา

               คุณลุงแอนตั้นกับคุณป้าบริทต้าเป็นคนรับส่งคาร์ล่าจากบ้านถึงโรงเรียนด้วยตัวเอง  ถ้านับจากวันที่คุณป้าบริทต้าถูกคุณค็อบบร้าเรียกมาปรับทัศนคติเรื่องคาลี่... นี่ก็วันที่ 3 แล้วที่คาร์ล่าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด  เพื่อป้องกันไม่ให้คาร์ล่ามีส่วนร่วมคุกคามครอบครัวของลีโล่อีกเป็นครั้งที่สอง

               หลังจากที่คุณลุงขับรถจนพ้นรั้วบ้านแล้ว... เบอร์ตั้นจึงให้ป้าดาร์ลีนใช้กุญแจสำรองเปิดประตูห้องนอนน้องสาว  เพื่อหาเครื่องเล่นเทปของคาลี่ให้พบ  มีโคดี้ร่วมค้นด้วย  เพราะเขาเรียกตัวเองเป็นพี่ชายของฟลุท  และจะไม่มีวันปล่อยให้พี่สาวของเขาทำลายมิตรภาพดี ๆ ที่คาลี่กับฟลุทร่วมสร้างมาเพราะการทำลายล้างที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอันขาด

               ห้องนอนของคาร์ล่าเป็นห้องที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามสมกับเป็นลูกสาวสุดที่รักของคุณป้าบริทต้าไม่มีผิด  ภายในห้องจึงมีแต่ชุดเสื้อผ้าสวย ๆ ชนิดที่เรียกว่า... งดงามจนลูกผู้ชายตัวน้อยอย่างโคดี้ต้องอิจฉา  ดู ๆ ไปแล้ว... คาร์ล่าเป็นเหมือนเจ้าหญิงดี ๆ นี่ล่ะนะ

               แต่เป็นเจ้าหญิงที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลเสียจริง ๆ

               สองพี่น้องค้นหาของที่คาลี่ต้องได้รับคืนทุกซอกทุกมุม  ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน  โต๊ะทำการบ้าน  ตู้หนังสือ  ตู้เสื้อผ้า  และภายในห้องน้ำ  ด้วยความคิดที่ว่า... คาร์ล่าอาจไม่ได้ขโมยจริง  หรือต่อให้ขโมยจริงแต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองขโมย  พี่ชายกับน้องชายของผู้ต้องหาจึงค้นหาของกลางอย่างลับ ๆ  ซึ่งอาจต้องใช้เวลาค้นหานานพอสมควร  กว่าจะค้นทุกซอกทุกมุมก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ

               แต่ก็ไม่มีเครื่องเล่นเทปอยู่ในห้อง

               เบอร์ตั้นนึกย้อนไปยังวันที่คาร์ล่าถูกจับกุมในข้อหาร่วมมือกับแมทธิวคุกคามครอบครัวลีโล่  จำได้ว่าแมทธิวกับโมนิก้าเป็นคนสนับสนุนความคิดเรื่องไล่คาลี่ออกจากบ้านเพราะฟลุทเป็นเอเลี่ยน  บางที... สองพี่น้องนรกกับก๊วนป่วนเมืองอาจขโมยเครื่องเล่นเทปของคาลี่ก็เป็นไปได้  ในเมื่อพวกมันรู้ว่าเพลงของเซลีนจะช่วยฟลุทต่อต้านโปรแกรมทำลายล้างดั้งเดิม

               ทำให้สองพี่น้องงุนงงเป็นอย่างมาก... ว่าแค่ต้องการเปิดเผยความจริงเรื่องฟลุท  ถึงกับรังควานชีวิตของเขาให้ไม่มีที่ยืนกันเลยรึอย่างไรกัน!?

               พูดถึงความจริงเรื่องสิ่งมีชีวิตทดลอง... เจสสิก้าก็มีหลักฐานในมือที่พิสูจน์ให้เมอร์เทิลเห็นว่าจีจี้เป็นหนึ่งในผลงานของจัมบ้าจริง

               รูปเมอร์เทิลกับจีจี้ที่ถ่ายจากมือถือ... เป็นรูปที่ถูกถ่ายด้วยแอพเอ็กซเรย์  ซึ่งคุณแอนดรูว์ส่งให้เจสสิก้าเมื่อก่อนหน้านี้  ถึงแม้เธอได้รูป... แต่เกรงว่ารูปที่อยู่ในมือถือเป็นรูปตัดต่อในสายตาลูกพี่ลูกน้อง  จึงต้องหาทางพิสูจน์ด้วยวิธีอื่น... เพื่อให้เมอร์เทิลเห็นเต็มตาว่าจีจี้เป็นหนึ่งในผลงานของจัมบ้า

               โชคเข้าข้างเจสสิก้า  เพราะอยู่ดีไม่ว่าดี... เมอร์เทิลชวนเพื่อนไปเล่นด้วยกันนอกบ้านแก้เซ็งที่อยู่บ้านตอนโรงเรียนหยุด  โดยให้จีจี้เฝ้าบ้าน  แม้ว่าโรงเรียนจะเปิดในอีก 3 วันก็ตาม  เจสสิก้าจึงถือโอกาสโปะยาสลบโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวจนหมดสติไป  

               "ขอโทษนะเจ้าหมาน้อย  หรือจะให้ฉันเรียกว่าอะไรดี  แต่ช่างเหอะ... อีกเดี๋ยวแกก็จะไม่ใช่หมาน้อยในสายตาน้องสาวฉันอีกต่อไป  เตรียมคำสั่งเสียไว้ให้ดีแล้วกัน"  หญิงสาวพูดแล้วนำร่างจีจี้ใส่ในกระเป๋าหมาที่ถูกเก็บไว้ในท้ายรถแล้วเข้าไปสตาร์ทรถ  ขับไปยังที่ ๆ เธอมั่นใจว่าแผนต้องสำเร็จ

               เพียงแค่เดินทางเพียงครึ่งชั่วโมง... เจสสิก้าก็ขับรถถึงที่หมาย


คลินิคสัตว์!


               เจสสิก้าเชื่อ... ว่าการพาจีจี้มาหาหมอ  เป็นหนทางเดียวที่จะเปิดโปงเจ้าหมาน้อยเป็นเอเลี่ยนได้

               เมื่อรถของเจสสิก้าเดินทางถึงที่หมาย... รถเก๋งคันสีเทาเงางามก็ถอยเข้าสู่ที่จอดรถของศูนย์การค้า  ดับเครื่องยนต์  เปิดประตูลงจากรถ  และเปิดท้ายหยิบกระเป๋าหมาออกมาเพื่อที่จะเข้าไปในคลินิค

               แต่ก่อนที่เธอจะหิ้วจีจี้เข้าไปนั้น... ต้องจัดฉากสักเล็กน้อย

               เจสสิก้าถอดต่างหูข้างขวามาไว้ในมือ  เธอมองต่างหูกับจีจี้สลับกัน... รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้า  บ่งบอกถึงไอเดียแล่นเข้าสมอง

               ซึ่งเป็นไอเดียที่จะเปลี่ยนชีวิตเจ้าชิสุต่างดาวตลอดกาล

               เธอเปิดกระเป๋าหมา  ดึงตัวจีจี้ออกมาแล้วเปิดปาก... ยัดต่างหูเข้าปากแล้วเอาน้ำดื่มกรอกปากให้ต่างหูลงท้อง  ด้วยความคิดที่ว่า... หมอจะต้องเอ็กซเรย์ร่างกายของจีจี้เพื่อหาทางเอาต่างหูออกมาเป็นอันแน่แท้  และแผ่นเอ็กซเรย์จะเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะเปิดโปงจีจี้ได้

               เพียงเท่านี้... ละครสั้นจึงเริ่มต้นขึ้น!

               "คุณหมออยู่มั้ยคะ!?"  เจสสิก้าทำทีร้อนรนหลังจากอุ้มจีจี้เข้ามาในคลินิค  แน่นอนว่าผู้ช่วยต้องลัดคิว... หากมีเคสฉุกเฉินที่ต้องรักษาโดยด่วน  อย่างเช่น... เคสนี้  เป็นต้น

               "มีเรื่องอะไรให้ช่วยคะ"  ผู้ช่วยหมอถาม

               "หมาของน้องฉันค่ะ  เผลอกินต่างหูเข้าไป  ฉันพยายามล้วงคอให้อ้วกเอาต่างหูออกมาแล้วนะคะ  แต่อ้วกเสร็จก็... เป็นลมอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ"  เจสสิก้าเล่าเรื่องพร้อมกับทำทีเป็นห่วงออกนอกหน้าจนผู้ช่วยหมอเชื่อสนิท... รีบพาจีจี้เข้าไปในห้องตรวจทันที

               เมื่อเห็นว่าจีจี้สลบอยู่  สัตวแพทย์ในคลินิคก็รีบพาจีจี้ไปเอ็กซเรย์เพื่อหาต่างหูที่เจสสิก้าบอกว่าเผลอกลืนลงคอ  เจสสิก้าแอบส่งเมสเซจรายงานความคืบหน้าให้คุณแอนดรูว์รับทราบ  เหลือแค่รอแผ่นเอ็กซเรย์  เพียงเท่านี้... เมอร์เทิลจะได้รู้สักทีว่าจีจี้ไม่ใช่หมาธรรมดา

               ขึ้นชื่อว่าสัตว์ทดลอง  แม้โครงสร้างเหมือนหมาชิสุทั่วไปจริง  แต่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดที่ระบบการทำงานของร่างกายและสีเลือด

               สีเลือด จะเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่ทำให้เมอร์เทิลต้องพูดไม่ออกและทำใจในวันสองวันนี้!



               ชายหาดลาฮุย (Lahui Beach)

               ที่แห่งนี้... กลายเป็นจุดปิคนิคของเด็ก ๆ 5 คน  ซึ่งหนีไม่พ้นลีโล่กับเพื่อน ๆ อีกตามเคย

               "หาไม่เจอเหรอ!?"  คาลี่รู้สึกผิดหวังที่ได้รับคำตอบจากลูกพี่ลูกน้อง

               "ใช่... เราใช้เวลาค้นสัก 2-3 ชั่วโมงแล้ว  ไม่มีอะไรที่จะชี้ทางให้เราพบเครื่องเล่นเทปของเธอเลย"  โคดี้ยืนยัน  ทำเอาคาลี่กับฟลุทหน้าเศร้า

               "กะแล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้  ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นขโมยหรอก  ต่อให้คน ๆ นั้นรู้ฤทธิ์เดชของฟลุทก็เหอะ"  ลีโล่รำพึงถึงคาร์ล่า  ลูกพี่ลูกน้องตัวร้ายของเพื่อนรักที่เห็นพลังและความสามารถของฟลุทมาก่อน

               "แล้วนี่มีแผนรึยัง... ว่าพี่เบอร์ตั้นจะทำไงต่อไป"  ฟลุทถามด้วยความคาดหวัง

               "เฮ้อ"  โคดี้ถอนหายใจเบา ๆ หนึ่งเฮือก  "ยังไม่ได้คิดไว้เลย  อย่างที่รู้... พี่เบอร์ตั้นเป็นนักบิน  ไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน  เขาก็เลยไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ พี่คาร์ล่ามีใครบ้าง  นอกจากสองพี่น้องนรกคู่นั้น"

               สีหน้าของฟลุทเซื่องซึมมากกว่าเดิมที่ฟังคำตอบจากเด็กหนุ่มผู้เป็นพี่น้องของเพื่อนรัก

               "เรามา... เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า  เมื่อวานนี้... ยัยเมอร์เทิลถามหาเธอนะลีโล่"  วิคตอเรียเอ่ยปากทำลายบรรยากาศเซื่องซึม  เพื่อให้ปิคนิคมื้อนี้แก้เซ็งอย่างมีคุณค่า

               "Gaba!?"  สติทช์ตกตะลึงที่ได้ข่าวจากวิคตอเรีย  เขาหูฝาดมากกว่า... ที่ยัยหัวแดงจะถามหาลีโล่ทั้งที่ไม่ถูกกัน

               "แน่ใจสิ  ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน... ว่าเมอร์เทิลอยากพบลีโล่"  วิคตอเรียยืนยันว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง

               "Gaba ika tasoopa!?"  สติทช์ถามด้วยความอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง  นึกสงสัยว่าเมอร์เทิลมีเรื่องที่ต้องพบลีโล่

               "เมอร์เทิลอยากพบฉันเรื่องอะไร"  ลีโล่ช่วยแปล

               "ไม่รู้สิลีโล่  ยัยนั่นมัวแต่อ้ำอึ้ง  ก็เลยตอบไปว่าพรุ่งนี้เจอกันในคลาส  แค่นั้น"  วิคตอเรียตอบพลางยักไหล่  ก่อนจะพูดต่อ  "แต่ไม่ใช่นิสัยของนางเลย... ที่จู่ ๆ โผล่มาถามหาเธอถึงบ้าน"

               "หมายความว่าไง!?"  ลีโล่สงสัย

               "ก็..."  วิคตอเรียเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ลีโล่รับฟัง


               "ฉันไม่รู้หรอก... ว่าตอนนี้ลีโล่อยู่ไหน  เธอจะถามทำไม"  วิคตอเรียย้อนถามเมอร์เทิลด้วยความไม่วางใจนัก... ที่จู่ ๆ คนที่ทะนงตนว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดแห่งโคคาอัวทาวน์จะถามหาคู่อริของนางถึงบ้าน

               "เอ่อ... ฉันมีเรื่องส่วนตัวที่อยากถามลีโล่  คนเดียว"  เมอร์เทิลชี้แจงเหตุผล  แต่วางฟอร์มเด็กน้อยจอมทะนงตนเช่นเคย

               "เรื่องส่วนตัว"  วิคตอเรียกลอกตามองบน  รู้สึกว่าหิมะจะตกที่เกาะคาไว  เมอร์เทิลถึงมีเรื่องที่ต้องคุยกับลีโล่เพียงลำพัง  "อย่างเธอนะเหรอ... มีเรื่องที่อยากคุยกับลีโล่เป็นการส่วนตัวจริง"

               "อะไรยะ!?  มันผิดมากเหรอที่คนเราจะมีเรื่องส่วนตัว!?"  ยัยหัวแดงแว้ดใส่พลางยืนเท้าสะเอว

               "มันไม่ผิดหรอก... ที่คนเราจะมีเรื่องส่วนตัว  แต่มันผิดตรงที่การละลาบละล้วงกันอย่างไม่ให้เกียรติมากกว่า"  วิคตอเรียตอบรับน้ำเสียงราบเรียบ

               "การละลาบละล้วงในความหมายของหล่อนมันคืออะไรยะ"  เมอร์เทิลย้อนถาม

               "ก็..."  วิคตอเรียจะเอ่ยปากย้อน  แต่ยั้งปากไว้แล้วตักเตือนด้วยถ้อยคำเรียบง่าย  "อยากรู้อยากเห็นจนรบกวนชีวิตคนอื่นจนเกินงาม  ลีโล่ยอมโดนดูถูกยังไงก็ได้  เจ้าตัวไม่ว่า  แต่จะไม่ยอมให้ใครดูถูกโอฮาน่าของเธอเป็นอันขาด  ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม"

               "ดูท่าจะรู้ใจลีโล่ดีจังนะ"  เมอร์เทิลพูดจาค่อนขอดด้วยความหมั่นไส้

               "เอาจริง ๆ  ฉันก็ไม่ได้รู้ใจลีโล่ไปซะทุกเรื่องหรอก  เรื่องบางเรื่องที่เห็นว่าไม่ควรยุ่ง  ฉันก็ไม่ยุ่ง  เธอเสียอีกที่รู้จักลีโล่มานาน... น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลีโล่เป็นคนยังไง"  วิคตอเรียอธิบายก่อนที่จะฝากคำพูดให้อีกฝ่ายกลับไปคิด  "บางครั้ง... คนที่มีความสุขที่สุดในสายตาผู้คน  อาจเป็นคนที่มีความทุกข์ที่สุดก็เป็นไปได้"

               "ลีโล่นะเหรอ... มีความทุกข์ทั้งที่มีความสุข!?"  เมอร์เทิลเอ่ยปากทวนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู  เพราะเธอเห็นลีโล่กับสติทช์มีความสุขที่ได้คบหากับเพื่อนเอเลี่ยนมาตลอด  มีแค่เรื่องการตายของพ่อแม่... ที่ทำให้น้ำตาลีโล่เช็ดหัวเข่าก่อนที่สติทช์จะเข้ามาในชีวิต

               "ก็อย่างที่ว่านี่แหละ  นอกจากสติทช์แล้ว... ยังมีเธอที่รู้ว่าลีโล่มีความสุขในเรื่องอะไร  และมีความทุกข์ในเรื่องอะไร  เพียงแค่... มองให้ลึกก็พอ"  วิคตอเรียพูด


               เรื่องเล่าของวิคตอเรียจึงจบลงเพียงเท่านี้

               "ดูเหมือนยัยนั่นกำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่สินะ"  แองเจิ้ลเปรยขึ้นมา

               "หาคำตอบให้ตัวเอง... คืออะไรเหรอแองเจิ้ล!?"  สติทช์งุนงง

               "เมื่อ 2 วันก่อน  ยัยนั่นนึกครึ้มอะไรไม่รู้... แอบด้อม ๆ มอง ๆ ที่บ้านลีโล่  กลายเป็นเหตุโป๊ะแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ"  รูเบ็นเล่าเรื่องพร้อมกินแซนด์วิชต่อไป  ทำเอาลีโล่กับเพื่อน ๆ ถึงกับตกตะลึงที่รู้ว่าเมอร์เทิลสืบเรื่องของชีวิตทดลองโดยไม่ทราบสาเหตุ

               "อะไรมาดลใจให้ยัยนั่นแอบไปที่บ้านห๊ะ!?"  ลีโล่ถาม  หัวร้อนขึ้นมาทีละนิดที่รู้ว่าเมอร์เทิลวุ่นวายกับชีวิตของเธอมากเกินขอบเขต

               "บอกได้คำเดียว... อิจฉา ไง"  มาวินด่วนสรุป

               "เหตุผลมันอ่อนไปนะพี่  คนเราจะอิจฉาทั้งที... ไม่เห็นต้องตามสืบประวัติของลีโล่เลย"  มาเรียแย้ง

               "ใช่... ต้องมีเรื่องที่ทำให้เมอร์เทิลทำแบบนั้นจนรู้เรื่องเรา"  แองเจิ้ลเห็นด้วยกับคำโต้แย้งของมาเรีย

               "มีเรื่องเดียวที่ตั้งใจจะถามลีโล่จนกว่าจะชำระความได้  ก็เรื่องที่คุยฟุ้งเป็นข่าวลือไปทั่วเกาะไง  ไม่รู้ว่าสมองเด็กนั่นเท่าปลาทองหรือเม็ดถั่ว... ถึงได้เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเมื่อหลายวันก่อนมาโยงกับ... พี่จีบิ๊กเบิ้มได้"  รูเบ็นพูดถึงคู่หูร่างยักษ์ของเขา

               "อ้าว... แกนตูมาเกี่ยวอะไรด้วย!?"  สติทช์เกาหัวแกรก ๆ ด้วยความงุนงงที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

               "นายอยู่ในเหตุการณ์... น่าจะรู้ดีที่สุดว่ารู้จักหมาน้อยที่ชื่อจีจี้ได้อย่างไร"  รูเบ็นพูด  ลีโล่กับสติทช์ถึงได้หวนนึกถึงวันประกวดสุนัขที่โฮโนลูลู  วันที่แกนตูบุกมาจับตัวจีจี้  ทำให้สองคู่หูสายลับค้นหาสัตว์ทดลองถึงกับฉงน... ว่าทำไมเมอร์เทิลถึงได้นึกถึงแกนตูขึ้นมา

               "ไปกันใหญ่แล้วรูเบ็น  เรื่องที่นินจาอะไรนั่นบุกมาโรงเรียนเพื่อจับตัวฉันมันเรื่องหนึ่ง  เรื่องแกนตูกับจีจี้ก็อีกเรื่อง  ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย  เพราะเรื่องที่ลือกันใช่มั้ย... ทำให้เมอร์เทิลคิดแบบนี้"  ลีโล่เริ่มไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง... ที่คู่อริของเธอเชื่อข่าวลือจนคิดเป็นตุเป็นตะอย่างไร้เหตุผล

               "ต่อให้ไม่มีเรื่องแฮมสเตอร์วิลล์ปองร้ายเธอ  แต่ภารกิจที่เธอทำอยู่ก็ทำให้ยัยนั่นสงสัยขึ้นมาสักวัน"  แองเจิ้ลพูดออกมาในอีกแง่หนึ่ง

               "Naga."  สติทช์ไม่เห็นด้วย

               "ไม่ใช่วันนี้  ไม่ใช่วันข้างหน้า  ก็ต้องเป็นวันที่เราพบพี่น้องจนครบ 625 ตัว  วันนั้น... เมอร์เทิลต้องฉุกคิดขึ้นมาบ้างว่าเราเป็นใครมาจากไหน  และทำไมลีโล่ถึงเข้ากับเราได้"  แองเจิ้ลชี้แจงเหตุผลประหนึ่งคนมองการณ์ไกล  ทำเอาลีโล่กับสติทช์ถึงกับเงียบไป

               "ที่แองเจิ้ลพูดมาก็ถูก  ตอนนี้พวกเขาถูกปลุกชีพมาสัก... สี่ร้อยกว่าตัวแล้ว  บางตัวพูดภาษาอังกฤษได้  บางตัวพูดภาษาแทนทาล็อก  แน่นอนว่าชาวเกาะทุกคนไม่รู้จักภาษาของสติทช์  มีแต่ลีโล่กับเราที่เข้าใจเป็นบางคำและบางประโยค  ถึงสติทช์เป็นหมาน้อยในสายตาเมอร์เทิล  แต่พี่น้องแต่ละตัวมีความสามารถที่ต่างกัน... และเมอร์เทิลก็เห็น  ถ้าเมอร์เทิลไม่นึกสงสัย... จะให้สงสัยตอนไหนล่ะ"  วิคตอเรียเสริม  ลีโล่ฟังแล้วคิดตาม... เป็นความจริงที่ลีโล่ตามจับสัตว์ทดลองบางตัว  เมอร์เทิลก็ตกกระไดพลอยโจนร่วมค้นหาโดยไม่ได้ตั้งใจ  ถึงแม้เมอร์เทิลไม่แคร์กับภารกิจของลีโล่  แต่อาจมีสักวันที่ความจริงต้องถูกเปิดเผยอยู่ดี

               "รู้อะไรมั้ย  เธอพูดถูกนะ  ถึงเราปิดบังเรื่องภารกิจนี้เป็นความลับ  แต่ถึงอย่างไรเสีย... ความลับก็ไม่มีในโลกอยู่ดี"  ลีโล่ปลงตก  สิ่งที่วิคตอเรียพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด  พักนี้แกนตูลาขาดจากเจ้าเจอร์บิลโรคจิต... นับว่าเป็นเรื่องดี  แต่แฮมสเตอร์วิลล์มีหุ้นส่วนกับวายร้ายในเงามืดที่ไม่มีใครรู้จัก  และมีการปองร้ายเอาชีวิตเกิดขึ้นจนเรื่องการมีตัวตนของเอเลี่ยนจะถูกเปิดเผย  ซึ่งตีความได้ในทันที... ว่าโอฮาน่าของเธอตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง  หากมีการตั้งแง่รังเกียจเดียดฉันท์เกิดขึ้น... ทุกสิ่งที่ทำมาก็สูญเปล่า

               "แล้วเธอจะทำไงต่อไป"  มาเรียเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง

               "ฉันว่า..."  ลีโล่ตั้งใจจะพูดว่าจะบอกความจริงเรื่องจีจี้ให้เมอร์เทิลรับรู้  แต่จู่ ๆ ใบหูของสติทช์และผองเพื่อนก็ตั้งขึ้นมาฉับพลัน

               "เงียบเสียงก่อน  พี่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง"  สติทช์ขัดขึ้น  ด้วยประสาทสัมผัสการได้ยินที่ไวกว่ามนุษย์  ทำให้เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์

               เสียงเครื่องยนต์ที่ดังมาจากท้องทะเล  ทำเอาสติทช์รู้สึกได้ว่าภัยกำลังมาเยือนไม่ทันตั้งตัว  สนูทตี้กระพือปีกบินไปที่ต้นเสียง  พบว่าเสียงเครื่อง-ยนต์ดังมาจากเจ็ตสกี

               "พี่  นั่นใช่เจ็ตสกีของชายหาดรึเปล่า"  สนูทตี้เรียกสติทช์ให้ใช้ดวงตาซูมไปที่เจ็ตสกีที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงเครื่องยนต์  สติทช์ซูมภาพในดวงตาจนพบเจ็ตสกีจริง

               "ไม่ใช่"  สติทช์ตอบออกมา  ใจคอไม่ดีที่เห็นคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง... อยู่ในยูนิฟอร์มลุยน้ำชุดสีดำขี่เจ็ตสกีลำสีขาวพุ่งมายังชายหาดด้วยความ-เร็วสูง  มีเรือโฮเวอร์คราฟของคนที่คาดว่าเป็นหัวโจกกลุ่มคนแปลกหน้าเป็นผู้นำทัพมาชายหาดถึง 2 ลำด้วยกัน  และเจ็ตสกีพวกนี้มาทำลายทัศนียภาพชายหาดจนหมดสิ้น  ชาวบ้านที่แวะชายหาดพากันแตกตื่น... วิ่งหนีให้พ้นจากรัศมีอันตรายโดยเร็วที่สุด

               หนึ่งในคนแปลกหน้าชุดดำควักระเบิดลูกหนึ่งขึ้นมาถอดสลักแล้วโยนไปยังจุดที่พวกลีโล่ตั้งปิคนิค!

               "ทุกคน... หลบ!"  สติทช์ตะโกนเรียกพี่น้องชีวิตทดลองและลีโล่กับเพื่อน ๆ ไปให้พ้นจากโต๊ะปิคนิคก่อนที่ลูกระเบิดจะร่วงลงสู่โต๊ะ  เมื่อเวลาผ่านไป 3 วินาที

               ตู้ม!!                                                                              

               เป็นระเบิดแสงที่บดบังทัศนียภาพชายหาดที่สวยงามโดยสิ้นเชิง!

               สติทช์รีบควักวิทยุสื่อสารติดต่อคุณค็อบบร้าที่กำลังจัดการธุระเรื่องแก้ข่าวลือเอเลี่ยนอยู่... ให้มารับลีโล่กับคาลี่ที่บ้านเพเลไค  ซึ่งเป็นที่ ๆ เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุด  จึงเตรียมออกสตาร์ทพร้อมเผ่น

               แต่ยังไม่ทันที่จะออกสตาร์ท  มีระเบิดแสงอีกลูกถูกโยนมาอยู่ตรงหน้า  ทำให้ลีโล่กับสติทช์และเพื่อน ๆ เสียหลัก  ถูกระเบิดแสงเล่นงานจนตาพร่ามัวไปชั่วขณะ  ซ้ำร้าย... ถูกวัตถุบางอย่างที่คุ้นเคยพุ่งมาจู่โจมไม่ทันตั้งตัว!

               ตาข่ายจับสัตว์ทดลอง!!

               คนร้ายพวกนั้นควักปืนยิงตาข่ายหมายจับตัวพวกลีโล่  ซึ่งพวกมันทำสำเร็จอย่างรวดเร็วกว่าที่คิด  เพราะระเบิดแสงที่พวกมันโยนเพื่อสกัดการหนีเมื่อสักครู่... มีอานุภาพมากพอที่ทำให้ตาพร่ามัวพอแล้ว  และเสียงระเบิดทำให้หูอื้อพอสมควร  สติทช์และผองเพื่อนที่มีประสาทสัมผัสการได้ยินสูงกว่ามนุษย์จึงไม่ได้ยินเสียงคนร้ายยิงตาข่ายจู่โจมพวกตน

               ทั้งคนกับเอเลี่ยนถูกจับอยู่ในตาข่ายโดยปริยาย!

               เมื่อควันระเบิดซาลง... หัวโจกคนร้ายก็มาดูผลงาน

               เป็นเอเลี่ยนที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ไฮยีน่าสวมหน้ากากสีดำ... มีอาวุธครบครันที่ผิวปากฮัมเพลงชมผลงานด้วยความพึงพอใจ

               "หนึ่ง  สอง  สาม  สี่  ห้า  หก"  มนุษย์ไฮยีน่าต่างดาวนับจำนวนตาข่ายที่จับตัวลีโล่ได้  ก่อนที่จะหันไปดูแคปซูลบรรจุสัตว์ทดลองท้ายเรือโฮเวอร์คราฟ  พบว่ามี 2 กระบอก  และแต่ละกระบอกก็บรรจุสัตว์ทดลองร่างเล็กสัก... 4 ตัวก็ว่าได้

               แต่ตัวประกันที่กำลังดิ้นอยู่ในตาข่ายมีทั้งมนุษย์ 6 คนและสัตว์ทดลอง 5 ตัว  วายร้ายหน้าขนได้รับคำสั่งจากนายใหญ่ให้พาตัวลีโล่ไปยังที่แห่งหนึ่ง... ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ไหน  แต่ไม่ให้นำสติทช์หรือสัตว์ทดลองไป  วายร้ายจึงหันไปสั่งการหมาประหลาดตัวหนึ่งให้ดมกลิ่นหาตาข่ายที่จับตัวสัตว์ทดลอง

               หมาตัวนั้น  คือ... สตีล!          

               เพราะเป็นสัตว์ทดลองเหมือนกัน  ย่อมได้กลิ่นสัตว์ทดลองด้วยกัน  แต่ต่างกันที่สตีลไม่ใช่ผลงานของจัมบ้า  มันถูกสร้างมาให้เป็นศัตรูกับผลงานทุกตัวของจัมบ้า  ได้กลิ่นเมื่อใด... เตรียมฟัดเมื่อนั้น

               และแล้ว... สตีลก็ได้กลิ่น

               ถึงไม่ต้องดมกลิ่น... คนร้ายก็เห็น  ถึงกับแสยะยิ้มชั่วร้ายที่เห็นจอมพลังหมายเลข 626 อยู่ไม่สุข

               สติทช์พยายามดิ้นรนเอาตัวเองออกจากตาข่ายให้ได้  แต่เล็บของเขาไม่สามารถตัดเนื้อผ้าตาข่ายได้

               "อย่าฝืนเลยดีกว่าน่า... เจ้าโคอาล่าน้อย  ตาข่ายชนิดนี้ทำมาจากเนื้อผ้าชนิดพิเศษ  ของมีคมทุกชนิดไม่สามารถเจาะผ่านได้  แม้แต่เล็บของจอมทำลายล้างอย่างมึงก็ทำอะไรไม่ได้  ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ"  มนุษย์ไฮยีน่าพูดพลางหยิบตาข่ายที่จับตัวสติทช์ขึ้นมาแล้วทุ่มมันลงพื้นอย่างแรง  จากนั้นก็กระทืบถุงตาข่ายที่ถูกจับทุ่มเมื่อสักครู่อย่างไร้ซึ่งความปราณี  ก่อนจะหยิบถุงตาข่ายขึ้นมาอยู่ในอุ้งมืออีกครั้ง

               "แต่ไม่ต้องห่วงนะ  กูจะดูแลเด็กน้อยผู้เป็นเพื่อนของมึงให้เอง  แค่ชั่วคราว... จนกว่ามึงจะได้พบเธออีกครั้ง"  วายร้ายพูดจบแล้วเหวี่ยงถุงตาข่ายที่จับตัวสติทช์ลอยสูงขึ้นเหนือหัว  จากนั้นก็โยนถุงตาข่ายไปไกลสุดแรงเกิด  "ถ้าชีวิตทดลองกิ๊กก๊อกอย่างมึงกับพวกมีปัญญาไปเยี่ยมเธอเป็นครั้งสุดท้ายนะ!"

               มนุษย์ไฮยีน่าหันไปขนย้าย "ตัวประกัน" ต่อ  ซึ่งแน่นอนว่านายใหญ่ไม่ต้องการให้ลีโล่ต้องบอบช้ำด้วยเหตุผลบางอย่างที่รู้ดี  ตัวประกันที่ถูกจับใส่ในแคปซูลท้ายเรือก็มีลีโล่  คาลี่  วิคตอเรีย  มาเรีย  มาวิน  แองเจิ้ล  ฟลุท  และสนูทตี้ที่ถูกวายร้ายหน้าขนยิงพลาสม่าจนร่วงลงพื้นเมื่อไม่นานมานี้

               สุดท้าย... เรือโฮเวอร์คราฟและเจ็ตสกีของคนร้ายก็พาลีโล่กับผองเพื่อนออกไปจากเกาะ  

               ทิ้งเจ้าสติทช์  รูเบ็น  และโคดี้ไว้บนเกาะตามคำสั่งนายใหญ่

               นายใหญ่ต้องการให้สติทช์กับลีโล่พบกันอีกครั้งด้วยจุดประสงค์ชั่วร้ายที่ซุกซ่อนอยู่

               จุดประสงค์ที่พร้อมบีบหัวใจสองคู่หูสายลับในอีกมิช้า!



         ç=================è

           

               

                  


          

       

                         

   

  


  



                        

                

  


 

                                                     



  

                             

           

  

    

                               

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×