ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
MY STORY IS A LIE (P.1)

ลำดับตอนที่ #17 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER FIVETEEN

  • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 55


   

MY STORY IS A LIE:: CHAPTER FIVETEEN

 

ฉันเพิ่งจะตื่นนอน...

ฉันกระพริบตาถี่ๆ ปรับสายตาให้มองเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น สมองคิดประมวลเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานเท่าที่ตัวเองพอจะจำได้ ไม่นานนักฉันก็เด้งตัวขึ้นนั่งอย่างตื่นตัว จริงสิ...

 

เจนัวขอฉันแต่งงานนี่นา!!

 

ฉันรีบยกมือข้างซ้ายขึ้นมาดูเพราะกลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่พอเห็นแหวนเพชรสวมอยู่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วล้มตัวลงนอนยิ้มกว้างอยู่คนเดียว

 

ฉันกำลังจะแต่งงานกับเขา...กำลังจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน...ภาพมากมายผุดขึ้นมาเต็มหัวฉันไปหมด ล้วนแต่เป็นภาพที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่มันก็กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ...ฉันกำลังจะได้เป็นเจ้าสาว

 

เมื่อคืนพวกเราฉลองกันต่อจนดึกกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ตอนใกล้เช้าเนื่องด้วยเป็นวันเกิดของเจนัว และก็ฉลองเรื่องที่ฉันกับเขาสองคนจะแต่งงานกัน ฉันโทรไปบอกคุณพ่อตั้งแต่เมื่อวาน ท่านดูจะดีใจไม่แพ้ฉันเลยจึงบอกว่าจะรีบเดินทางกลับมาจากฮ่องกงภายในวันนี้เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ กับผู้ใหญ่ฝ่ายของเจนัว

 

คิดแล้วก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ฉันกับเจนัวเราคบกันมาห้าปี และในช่วงระยะเวลาห้าปีที่คบกันมีก็ปัญหามากมายเกิดขึ้นจนฉันคิดว่าเราสองคนคงไม่มีวันนี้ได้...

 

แค่คิดถึงตอนที่เขาขอฉันแต่งงานหน้าฉันก็ร้อนวูบขึ้นมา ใจข้างในเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อวานก็เป็นแบบนี้... ความรู้สึกฉันยังเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อวานเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้อยู่เลย

 

จริงสิ เมื่อวานที่เจนัวขอฉันแต่งงานเพื่อนของเขาทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า ฉันมารู้อีกทีว่าคนที่วางแผนก็คือเรย์ ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยกันทำตามแผน จะมีก็แต่พี่เหมที่นึกขัดใจอยู่บ้างเพราะไม่อยากยุ่งด้วย แต่เพราะว่าเป็นพี่ชายของว่าที่เจ้าสาวงานนี้เลยต้องทำ

 

ก๊อกๆ ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ฝันหวาน

 

“ขิง...ตื่นหรือยัง?”

 

....เสียงพี่คิมนี่

 

“ค่ะๆ ตื่นแล้ว” ฉันลุกขึ้นนั่งก่อนจะเดินลงจากเตียงไปเปิดประตูให้พี่คิม “ว่าไงคะ?”

 

“ขิงลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้ขิงต้องไปรับคุณพ่อที่สนามบิน” พี่คิมบอก ตอนนี้ร่างสูงอยู่ในชุดสูทเตรียมพร้อมสำหรับออกไปบริษัทแล้ว

 

“จริงด้วย! ขิงลืมไปเลย งั้นแสดงว่าตอนนี้เจนัวก็....” น้ำเสียงท้ายประโยคของฉันขาดหายไปเมื่อคิดได้ว่าตัวเองลืมเรื่องนี้ไปสนิท

 

“รออยู่ข้างล่างแล้ว” พี่คิมพูดต่อคำพูดที่ขาดหายไปของฉันให้

 

“แล้วทำไมไม่มีใครขึ้นมาบอกขิงเลยล่ะ!! โอ้ย...ตายแล้วๆๆ” ฉันโอดครวญก่อนจะรีบปิดประตูห้องแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ

 

วันแรกก็วุ่นแล้วสิ!!!

 

6:50 P.M.

เวลาครึ่งวันหมดลงไปอย่างรวดเร็ว สำหรับการพูดคุยกันของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ผลสรุปกำหนดวันแต่งงานของฉันกับเจนัวก็คืออีกสามสัปดาห์นับจากวันนี้ พอคุยธุระเสร็จคุณพ่อก็รีบบินกลับไปเคลียร์งานที่ฮ่องกงทันที บอกว่าอีกสองวันจะรีบกลับลงมาใหม่

ตอนนี้ฉันกำลังยืนเหม่อมองภาพวิวใจกลางเมืองอยู่หน้าระเบียงห้องชุดของเจนัวโดยมีอ้อมแขนของเจ้าของห้องโอบอยู่รอบเอวจากทางด้านหลัง

“นายว่าเราต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก...จองโรงแรม  เลือกแบบการ์ด ลิสต์หลายชื่อแขกในงานที่ต้องส่งการ์ดให้ เลือกแบบชุดแต่งงาน เลือกเมนูอาหารสำหรับงานเลี้ยง ติดต่อโบสถ์... แล้วที่สำคัญเราจะทำมันเสร็จทันก่อนจะถึงงานแต่งงานของเราแน่เหรอ” ฉันพูดขึ้นเปรยๆ กับเขาอย่างกลัวๆ

 

“แล้วถ้าเสร็จไม่ทันเธอจะทำยังไง?” เสียงทุ้มถามกลับ

 

“แล้วอะไรล่ะที่มันจะเสร็จไม่ทัน” ฉันถามย้อนอีก

 

“ทุกอย่าง”

 

“ทุกอย่าง? ...บ้าไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราคงเป็นคู่บ่าวสาวที่โชคร้ายที่สุดในโลกเลยล่ะมั้ง แต่ฉันว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ทุกอย่างจะเสร็จไม่ทัน อาจจะมีบางอย่างที่ผิดพลาดบางเล็กๆ น้อยมากกว่า” ฉันบอก

 

“ถ้าคิดได้อย่างนั้นเธอจะกลัวอะไร เลิกทำหน้าเครียดได้แล้ว” เขาบอกด้วยน้ำเสียงติดจะดุๆ ฉันเอียงหน้าหันไปมองคนข้างหลังแล้วย่นจมูกใส่

 

“แต่ฉันก็ยังกลัวนี่นา...” ฉันบอกเสียงเบา

ไม่รู้สิ... ทั้งๆ ที่บอกว่ากลัวแต่ฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วฉันกำลังกลัวอะไรกันแน่ และเพราะอะไรถึงกลัว บางทีมันอาจจะเป็นอาการของผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานล่ะมั้ง  

ในระหว่างที่ฉันกำลังคิดไม่ตกอยู่กับอาการกลัวของตัวเอง จู่ๆ เจนัวก็ปล่อยแขนที่โอบอยู่แล้วเอวฉันออก แล้วจับไหล่พลิกฉันให้หันไปเผชิญหน้ากับเขาแทน นัยน์ตาคมที่จ้องมาดูอบอุ่นกว่าครั้งไหนๆ จนความรู้สึกคิดกลัวเหล่านั้นหายออกไปจากในใจจนหมด

 

“ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี” เขาบอก “แล้ววันนั้นเจ้าสาวของฉันก็ห้ามทำหน้าอย่างนี้ด้วย”

 

ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโผเข้าซบกับแผ่นอกกว้างของเขา เจนัวไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงเพียงโอบกอดฉันไว้หลวมๆ เท่านั้น

 

ตอนที่เราทะเลาะกันบ่อยครั้งที่ฉันเคยคิดว่าอยากได้อ้อมแขนอบอุ่นแบบนี้จากเขาเป็นการปลอบโยน แต่ก็ไม่เคยจะมีวันไหนเลยที่มันจะเป็นจริง ทุกครั้งที่เราทะเลาะกันจุดจบคือน้ำตาและความไม่เข้าใจเสมอ จนฉันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเราสองคนมายืนอยู่ในวันนี้ได้ยังไง

 

ไม่สิ... เป็นเพราะอีสเตอร์ ใช่ เป็นเพราะเขา ถ้าหากวันนั้นฉันไม่ได้รู้เรื่องของเขากับพี่วิหยา บางที่ฉันอาจไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยก็ได้  

 

 

อาทิตย์หน้าก็จะถึงงานแต่งงานของฉันแล้ว ใช่ เวลาเดินเร็วใช่เล่นเลยล่ะ วันนี้ฉันรีบตื่นตั้งแต่เช้าเพราะมีนัดไปถ่ายรูปชุดแต่งงานกับเวดดิ้งสตูดิโอ และที่สำคัญฉันจะช้าไม่ได้เลยก็เพราะว่าที่เจ้าบ่าวจะมารับฉันไปพร้อมกัน รู้มั้ยว่าฉันแอบดีใจแค่ไหนที่เห็นเขาให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของเรามากกว่างาน J

 

 “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่คิม” ฉันทักพี่คิมเสียงใสตอนที่เห็นพี่ชายกำลังเดินลงบันไดมา เอ๊ะ... พี่เหมก็เดินลงมาพอดีเลยนี่ “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่เหม”  

ฉันลืมบอกสินะที่ว่าฉันตื่นตั้งแต่เช้าน่ะ ฉันตื่นเช้ากว่าพี่คิมกับพี่เหมซะอีก –O-;

 

“อรุณสวัสดิ์จ้ะ” พี่คิมยิ้มตอบ ส่วนพี่เหมก็...

 

“คอตกนอนหรือไงถึงได้ตื่นตั้งแต่เช้า -____-

 

ดูเอาเถอะ ถ้าจะกัดน้องตั้งแต่เช้าแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดเลยดีดว่ามั้ยเนี่ย?? -___-! 

 

“ใครว่า ที่ขิงตื่นเช้าก็เพราะว่าเดี๋ยวเจนัวจะรับไปเวดดิ้งสตูดิโอพร้อมกันต่างหาก ว่าแต่พี่เหมเหอะ...ตื่นมาตั้งแต่เช้าจะออกไปไหนกันแน่ คงไม่ได้จะเข้าไปบริษัทพร้อมกับพี่คิมหรอกนะ”

 

“เปล่า พี่จะออกไปทำธุระให้คุณพ่อ” พี่เหมพูดพลางจัดปกคอเชิ้ต “แล้วนี่ป้าจิตจัดโต๊ะเสร็จรึยัง?”

 

“ค่ะ เสร็จแล้ว” ฉันตอบก่อนที่พวกเราสามพี่น้องจะเดินไปที่โต๊ะอาหารพร้อมกัน ป้าจิตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนที่ตักข้าวใส่จานของพวกเราแต่ละคนจนพูน พี่เหมมองป้าจิตก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดแขวะฉัน

 

“ไม่ต้องตักให้เยอะหรอกครับป้า เพราะว่าที่เจ้าสาวของเราคงอิ่มทิพย์...ทานได้ไม่เยอะอยู่แล้ว”

ดูพี่ชายฉันพูดสิ แขวะได้แขวะดีจริงๆ ฉันแยกเขี้ยวใส่คนช่างแขวะก่อนจะพูดเรื่องของพี่เหมขึ้นมาบ้าง

ว่าแต่ขิงแล้วพี่เหมกับหม่อนไหมล่ะ เมื่อไหร่จะมีข่าวดีกันสักที โบราญเขาว่า เป็นพี่ชายแต่ปล่อยให้น้องสาวออกเรือนก่อนจะทำให้แต่งงานยาก พี่เหมก็ควรจะระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ นะคะ ^^“ ฉันบอกพลางฉีกยิ้มกว้างให้ พี่ชายตัวดีที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นจิบชะงักค้างกึกทันที

 

ถ้าโบราณที่ขิงว่าเป็นจริงก็ดีสิ พี่เหมพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบต่อ ดูท่าทางผิดไปจากเมื่อครู่อย่างชัดเจน พอลดแก้วน้ำลงก็หันไปถามความเห็นพี่คิม ว่ามั้ยครับ?

           

“นายเหม...” พี่คิมปรามเสียงดุ ในขณะที่คนถูกดุกลับยักไหล่อย่างไม่สนใจมากนัก แต่ก็มีสีหน้าดูไม่ค่อยดีต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นโดยที่ฉันไม่รู้แน่ๆ

 

มีอะไรกันหรือเปล่า?

 

ฉันถามพลางมองหน้าของพี่คิมสลับกับพี่เหมอย่างจับผิด ฉันอาจจะไม่รู้เรื่องส่วนตัวของพี่คิมมาก แต่เรื่องของพี่เหมน่ะ ฉันมั่นใจว่ารู้ แต่อาจจะรู้ไม่ลึกก็เท่านั้นเอง อย่างแรกเป็นเพราะพี่เหมกับเจนัวเป็นเพื่อนกัน อย่างที่สองหม่อนไหมคู่หมั่นของพี่เหมเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับฉัน

 

“เรื่องของผู้ใหญ่” พี่เหมตัดบทแล้วสนใจกับอาหารบนโต๊ะต่อ ฉันหันไปมองพี่คิม แต่พี่ชายใหญ่ของบ้านกลับยิ้มให้แทนคำตอบที่ฉันอยากได้

 

 

 

 

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนตอนมาถึงเวดดิ้งสตูดิโอครั้งแรก ฉันเพิ่งรู้ว่าภารกิจของว่าที่เจ้าสาวอย่างฉันเป็นอะไรที่ง่าย ก็แค่ชี้นั้น ชี้นี่ บอกสิ่งที่อยากได้ และพิจารณาเล็กๆ น้อยๆ กับสิ่งที่ทางเวดดิ้งสตูดิโอแนะนำหรือเสนอเท่านั้น ทางว่าที่เจ้าบ่าวก็ไม่ต่างกัน เพราะส่วนมากถ้าฉันชอบอันไหนเจนัวก็จะเห็นด้วยง่ายๆ โดยไม่เคยแย้งเลยสักครั้ง

ตอนนี้ฉันกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ในห้องแต่งตัว ช่างแต่งหน้าของเวดดิ้งสตูดิโอพยายามเร่งมือให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมตอนที่ทีมงานอีกคนเดินเข้ามาบอกว่าเจ้าบ่าวพร้อมแล้ว

“ใกล้เสร็จแล้วๆ” เธอตะโกนบอก ผ่านไปประมาณสองนาที ช่างแต่งหน้าก็ยิ้มแล้วบอกกับฉัน “เสร็จแล้วค่ะ”

ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้กระจกเงาที่สามารถมองเห็นตัวเองได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวช้าๆ มองดูหญิงสาวที่อยู่ในชุดแต่งงานสีขาวฟูฟ่องในเงากระจก

 

“ขอโทษครับ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากประตูห้องที่ถูกเปิดออก เป็นคนๆ เดียวกับที่เข้ามาบอกเมื่อครู่

 

“เดี๋ยวดิฉันมานะคะ” ช่างแต่งหน้าบอกกับฉันก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา ฉันเห็นพนักงานทั้งสองคนพูดอะไรบางอย่างกันก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นกล้องกำมะหยี่สีน้ำเงินให้ แล้วเดินออกไป

 

“มีเครื่องประดับสวยๆ จากเจ้าบ่าวฝากมาน่ะคะ” เธอพูดแล้วเดินมาวางกล่องนั้นบนโต๊ะแต่งหน้า ก่อนจะหยิบสร้อยเพชรน้ำงามออกมา เดินอ้อมมาข้างหลังฉันแล้วใส่ให้

 

 “คุณน้ำขิงโชคดีจังเลยนะคะ มีแฟนน่ารักแบบนี้” เธอยิ้มหวานบอกฉัน “ดิฉันจัดงานแต่งงานมาก็มากแต่ไม่เคยเจอเจ้าบ่าวที่คอยตามใจและเอาใจใส่เจ้าสาวอย่างคุณเจนัวมาก่อนเลย”

 

ฉันยิ้มให้เธอก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นจับสร้อยเพชรที่คอ นึกถึงคำพูดของอีสเตอร์ ฉันจำได้ว่าเขาเองก็เคยบอกอะไรทำนองนี้กับฉันเหมือนกัน แต่ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างที่เขาบอกเลย จนกระทั้งได้รู้อะไรหลายๆ อย่างรวมทั้งเรื่องของเขา ฉันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าใครหลายคนอีกมากมาย...

 

ตลอดเวลาในสตูดิโอถ่ายภาพ ฉันมักจะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ในยินเสียงกดชัตเตอร์จากช่างภาพ และที่ทำให้ฉันรู้สึกเก้อเขินกว่าเดิมก็คือตอนที่อาร์ตไดฯ บอกให้เราจู๋จี๋กัน ไม่ว่าจะนั่งตัก กอด หรือหอมแก้ม ก็ตามฉันมักจะไม่กล้าสบตากับเขา ในขณะที่เจนัวกลับจู่โจมฉันอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีอาการอย่างฉันเลยสักนิด

 

เรากลับออกมาจากสตูดิโอถ่ายภาพตอนหกโมงเย็นกว่าๆ วันพรุ่งนี้ทางเวดดิ้งสตูดิโอนัดมาดูรูป และลองชุดแต่งงานของฉันที่จะแก้เสร็จพรุ่งนี้ ตอนแรกฉันคิดไว้ว่าจะชวนเขาอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้าน แต่เจนัวบอกว่าต้องกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทต่อ ฉันเลยบอกให้เขาไปส่งที่ร้านของอีสเตอร์แทนที่จะไปส่งที่บ้าน

 

“แล้วเธอจะกลับกี่โมง” ร่างสูงถาม

 

“ทำไม นายจะกลับมารับฉันไปส่งที่บ้านงั้นเหรอ?” ฉันถามแล้วหันไปมองหน้าเจนัวที่กำลังขับรถอยู่ คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกันที่ตอนนี้เขาทำตัวติดหนึบกับฉันเสียยิ่งกว่าตอนที่ฉันพยายามวิ่งไล่ตามเขาเสียอีก

 

“ถ้าฉันเคลียร์งานเสร็จทันจะกลับมารับ” เขาบอก

 

“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้ เดี๋ยวค่อยโทรให้คนขับรถที่บ้านมารับดีกว่า” ฉันบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูรูปภาพในกล้องที่ถ่ายกับเขาเล่นๆ ตอนที่อยู่ในสตูดิโอถ่ายภาพ มีหลายภาพที่ฉันมองแล้วยิ้ม แต่มีเพียงอยู่ภาพเดียวเท่านั้นที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นมา มันคือรูปที่จู่ๆ เขาก็หอมแก้มฉันโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวและฉันก็ตกใจหันหน้าไปทางเขาจนริมฝีปากของเราสัมผัสกันโดยบังเอิญ

 

“ยิ้มอะไร?” เจนัวที่ขับรถอยู่คงแปลกใจเลยหันมาถาม ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มให้ แต่ไม่ยอมตอบก่อนจะหันหน้ากลับมาสนใจรูปในโทรศัพท์ต่อ ภาพมันเบลอนิดๆ เพราะตอนกดถ่ายฉันคงมือสั่นและตกใจ น่าเสียดายแฮะ ฉันบ่นอยู่ในใจกับตัวเองแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าสะพายเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินที่อยู่ในนั้นด้วย

 

“จริงสิ สร้อยเพชรที่นายให้ฉันใส่ตอนถ่ายรูป...”

 

“ของขวัญของคุณแม่” เขาบอกแล้วหันมามองฉัน ก่อนจะพูดต่อ “ท่านบอกว่ามันเหมาะสมกับเธอ” เขายิ้มตอนที่พูดอย่างนั้น ถึงมันจะไม่ใช่รอยยิ้มที่กว้างมากนัก เหมือนอย่างที่ฉันยิ้มอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ก็เถอะ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันเผลอยิ้มตามเขาได้ง่ายๆ เลยล่ะ

 

“แล้วนายว่าจริงมั้ย?”

 

ฉันถามแล้วมองหน้าเขาอย่างรอคำตอบ เจนัวหัวเราะกับคำถามของฉัน แล้วหันมามองหน้าฉันที่จ้องรออยู่ก่อนแล้ว

 

“ยิ่งกว่าจริงอีก”

ฉันยิ้มหลังจากที่ได้ฟังประโยคของเขา ให้ตายสิ... ทำไมเจนัวถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ เขาทำฉันหน้าร้อนวูบและหัวใจเต้นแรงอีกแล้ว

 

“ถึงแล้ว...” ร่างสูงพึมพำเบาๆ ตอนที่เขาขับรถเข้ามาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของร้านอีแอนด์อีค่าเฟ่ พอเห็นเขากำลังจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกฉันเลยรีบห้ามเพราะไม่อยากให้เขาเสียเวลาเดินเข้าไปส่งอีก

 

“นายไม่ต้องเดินลงไปส่งฉันหรอก แค่นี้เอง” ฉันพูดพลางปลดสายเข็ดขัดนิรภัยออก “รีบกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทต่อเถอะ”

 

“...ก็ได้”

 

“งั้นฉันไปก่อนนะ J” ฉันบอกก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ แต่จู่ๆ เจนัวก็จับแขนฉันไว้ ฉันชะงักหันหน้ากลับไปมองเขาอย่างงงๆ

 

“มีอะไรเหรอ...อื้อ~

ริมฝีปากของเขาเลื่อนลงมาทาบทับริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็ว ฉันงุนงงอยู่ก่อนจะจูบตอบแล้วผลักอกเขาออก แปลก อยู่ๆ จะจูบก็จูบแบบนี้เลยน่ะเหรอ?

 

“ฉันรักเธอนะน้ำขิง” เจนัวพูด ฉันขมวดคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจที่จู่ๆ เขาก็บอกรัก และดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าฉันไม่เข้าใจกับการกระทำของเขา ร่างสูงจึงพูดต่อว่า “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่อยากบอก”

 

“งั้นเหรอ...” ฉันลากเสียงยาวทำแววตาพราวก่อนจะยืดตัวขึ้นจูบปากเขาเบาๆ แล้วกระซิบบอก“ฉันก็รักนาย”

 

ฉันถอยตัวออกจากเขาก่อนจะออกแรงผลักประตูรถให้เปิดออกแล้วเดินลงมา ยืนรอจนรถแอสตันมาร์ตินสีดำของเขาขับออกไปจนลับตา แล้วจึงเดินเข้าไปในร้าน

 

“สวัสดีค่ะคุณน้ำขิง” เสียงใสๆ ของพนักงานทักขึ้นทันทีที่ฉันผลักประตูเข้าไปในร้านแล้วเกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งที่ผูกติดกับประตู

 

“อีสเตอร์อยู่หรือเปล่า?”

 

“อยู่ค่ะ เชิญคุณน้ำขิงขึ้นไปรอด้านบนก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปตามให้”

เธอพูดพลางผายมือไปทางบันไดแล้วเดินออกไป เดี๋ยวจะไปตามให้งั้นเหรอ? หมอนั้นกำลังทำอะไรอยู่นะ ฉันเดินขึ้นไปนั่งรออีสเตอร์อยู่บนห้องโถงที่แสนจะคุ้นเคย แต่ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันแทบไม่ได้มาที่นี่เลยเพราะยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงาน

นั่งรอได้สักพัก เจ้าชายแห่งรอยยิ้มก็เดินเข้ามา เขายังอยู่ในชุดทำขนมอยู่เลยด้วยซ้ำแต่กลับถอดหมวกออกแล้วถือไว้ในมือแทน เวลาอีสเตอร์อยู่ในชุดแบบนี้เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลยล่ะ

 

“ทำไมวันนี้นายถึงอยู่ในชุดนี้ล่ะ?”

 

“กำลังลองทำเค้กตัวใหม่ลงขายช่วงซัมเมอร์น่ะ” เขาตอบแล้วเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นถามฉัน “จะรับอะไรเพิ่มเติมนอกจากน้ำเปล่ามั้ย?”

 

“ใจจริงก็ไม่ ...แต่ถ้านายอยากจะเอาอะไรมาเสิร์ฟให้ก็ไม่ว่า J” เขาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะจัดเอาเค้กเดินมาเสิร์ฟให้แล้วนั่งลงที่โซฟาอีกตัว

 

“เป็นยังไงบ้าง ยังตื่นเต้นอยู่อีกหรือเปล่า?”

 

“ตื่นสิ ยิ่งใกล้จะถึงวันนั้นก็ยิ่งตื่น”

 

ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งวันให้เขาฟังตลอดจนย้อนตั้งแต่วันแรกที่ไปเวดดิ้งสตูดิโอ อีสเตอร์หัวเราะกับท่าทางของฉันในขณะที่เล่าอยู่เป็นช่วงๆ จนเขาต้องขอโทษฉันหลายครั้งที่จู่ๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา

 

“เชื่อมั้ยว่าตอนถ่ายฉันเขินเจนัวแทบแย่แต่เขากลับไม่เขินฉันสักนิดเลย! L

 

“ถ้าฉันเป็นเจนัวคงเขินแย่ ก็ว่าที่เจ้าสาวสวยขนาดนี้ ไม่เขินคงไม่ไหว J

 

-/ / /-

 

“จะว่าไปฉันก็ต้องตื่นเต้นบ้างแล้วสิ... อุตสาห์ได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะได้เป็นอีก J

อีสเตอร์พูดแล้วหัวเราะ ฉันเองก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงฉับพลันเมื่อคิดได้ว่าถ้าจะมีใครสักคนในกลุ่มของอีสเตอร์แต่งงานต่อจากคู่ของฉันกับเจนัว คนๆ นั้นต้องหนีไม่พ้นพี่เหมแน่

 

“หวังว่าเจ้าบ่าวคนต่อไปคงไม่ใช่พี่เหมหรอกนะ” ฉันเปรย  

 

“จริงด้วย พี่ชายเธอมีคู่หมั้นนี่ อีกไม่นานอาจจะมีข่าวดีก็ได้”

 

“ไม่รู้สิ...แต่ฉันรู้สึกเหมือนพี่เหมจะไม่ได้รักหม่อนไหมเลย...ฉันหมายถึงพี่เหมอาจจะรักเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมากกว่าที่จะรักเหมือนที่ผู้ชายจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้”

 

ฉันรู้ว่ามันดูไม่ดีเลยที่พูดออกไปอย่างนี้ แต่จะทำยังไงได้ เวลาได้พูดคุยกับอีสเตอร์ทีไร ฉันไม่เคยเก็บสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วห้ามปากเอาไว้ได้เลย และฉันก็ไม่ควรเอาเรื่องของพี่เหมกับคู่หมั้นมาพูดแบบนี้ ต่อให้คนที่ฟังจะเป็นเพื่อนคนไหนของพี่เหมก็เถอะ เพราะยังไงนั่นมันก็คือเรื่องของพี่เหมกับหม่อนไหม

 

“ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหมันต์อาจจะรักหรืออาจจะไม่รักผู้หญิงคนนั้นก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ทั้งสองคนเป็นคู่หมั้นกัน และผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็ต่างพอใจและเห็นดีด้วย ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง แต่ต่างก็ต้องทำหน้าที่คู่หมั้นของตัวเองให้ดีที่สุด ฉันเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งพี่ชายของเธอได้เจอกับผู้หญิงที่ตัวเองรักแล้ว หมอนั่นจะเลือกทำตามหน้าที่ของหัวใจตัวเองมากกว่าจะยอมให้ใครมาบ่งการ”

 

 

 

 


“งั้นฉันก็ขอให้พี่เหมเจอกับเธอคนนั้นเร็วๆ ทีเถอะ”

 

 

 

 

 

  




 

 

Talk To U

สวัสดีค่ะทุกคน :D วันนี้ก้อยเพิ่งสอบเสร็จสดๆ ร้อนๆ เลย กลับมาถึงบ้านก็รีบแต่งให้จบตอน แล้วอัพลงทันที เพราะคิดว่าปิดเทอมนี้คงต่างจากปิดเทอมปีที่แล้ว เพราะปีนี้ก้อยจะลองทำงานพิเศษดูซึ่งกะงานมันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่หนักอยู่พอสมควรสำหรับก้อยที่ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันและไม่เคยเป็นลูกจ้างใคร (ชีวิตเลยไม่มีประสบการณ์อะไรเลยไง?!)  งานเริ่มเก้าโมงเช้าเลิกหนึ่งทุ่ม แสดงว่าก้อยมีเวลาเล่นคอมฯแค่สามชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ทั้งหมดที่พูดมานี้ก็เพื่อที่จะบอกว่าถ้าก้อยหายไปนานต้องขอโทษไว้ก่อนล่วงหน้านะคะ

แล้วก็สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ มันอาจจะหวานไม่เท่ากับตอนที่แล้ว แต่ก้อยเชื่อว่าถ้าอัพอีกตอนหนึ่งเลยแล้วข้ามตอนนี้ไปทุกคนคงช็อกแน่เพราะจู่ๆ เนื้อเรื่องมันก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ =O=; ไม่เอาๆ ไม่สปอย เดี๋ยวไม่มีใครกล้าอ่านกันพอดี ><  เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องต่อจากตอนนี้เป็นอะไรที่คนเขียนรู้สึกสนุกมากและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนอ่านก็จะสนุกไปกับมันด้วยเช่นกัน

 สุดท้ายแล้ว ก้อยขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาโดยตลอดนะคะ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ก้อยขอบคุณพวกคุณจริงๆ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ :D

 

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

10ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

10ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture