ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Lollipop ตอนเดียวจบ
---------------------------------------------------------------------------
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ใครๆก็บอกว่าเป็นวันแห่งความรัก แต่ถ้าถามฉัน....ฉันคงตอบว่ามันก็เหมือนกับวันอื่นๆไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษกว่าตรงไหนแล้วทำไมจะต้องมาทำอะไรให้มันยุ่งยากอย่างการซื้อของขวัญ ซื้อดอกไม้ จองร้านอาหารหรือการบอกรักกันด้วยนะ ทั้งที่ถ้าหากว่ากันตามตรงแล้วไอ้เรื่องแบบนี้น่ะมันทำได้ทุกวันไม่ใช่หรือไงกัน?
นี่คือสิ่งที่ฉันนั้นคิดมาตลอดจนกระทั่ง..........ฉันได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ความรัก.....
คนที่ฉันหลงรักนั้นไม่ใช่เพื่อนร่วมโรงเรียนหรือคนรู้จักตอนไปเที่ยวฆ่าเวลาและไม่ใช่เพศชาย แต่คนคนนั้นกลับเป็นเป็นหนึ่งในอาจารย์ฝึกสอนที่จะมาทำงานอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ภาคเรียนหรือประมาณ 4 เดือน....เธอคนนั้นเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิชาคณิตศาสตร์ที่อายุมากกว่าฉัน 4 ปี ในตอนแรกนั้นฉันไม่ค่อยที่จะชอบเธอเท่าไหร่เมื่อเทียบกับอาจารย์ฝึกสอนคนอื่นๆที่มักจะใจดีและยิ้มตลอดเวลาอย่างไม่ทราบสาเหตุ(ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเพราะหน่วยกิจ)
อาจารย์คนนี้มักจะรวบผมที่ตรงยาวให้เป็นหางม้าตลอดเวลา ไม่ค่อยพูดจาเล่นหัว ทำตาขวางและค่อนข้างที่จะเป็นคนเข้มงวดดูไม่ค่อยเหมือนกับคนที่มีอายุแค่ 22 ซึ่งสำหรับเด็กเตรียมเอนท์อายุ 18 เช่นฉันก็เลยเหมือนกับอยู่กันคนละขั้ว แต่สำหรับเด็กบางคนอาจารย์คนนี้กลับเป็นขวัญใจที่ดังอย่างเงียบๆ(โดยเฉพาะโรงเรียนหญิงล้วนเช่นโรงเรียนนี้) ในตอนแรกนั้นฉันคิดว่าจะอยู่ร่วมโลกกับอาจารย์ฝึกสอนคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว จนกระทั่ง......
“สวนหย่อมที่นี่เงียบดีนะ ว่าไหม?” อาจารย์เป็นฝ่ายเข้ามาพูดกับฉันก่อน
“......ค่ะ” ฉันตอบกลับไปสั้นๆเพราะความอยากที่จะตัดบทสนทนากับอาจารย์คนนี้ลงซะ
“ขออาจารย์....ไม่สิ ขอพี่นั่งตรงนี้ได้ไหม? พอดีเห็นว่างอยู่” อาจารย์ยิ้มแหะๆแล้วเกาหัวเก้อเขินเมื่อวกกลับเข้าประเด็นที่อยากจะพูด ไอ้ที่นั่งที่เจ้าตัวบอกน่ะพอดีฉันเอาหนังสือเล่มใหญ่ๆมาวางกองเอาไว้ให้มันกินที่ว่างเล่นพอดี
“ตามสบายค่ะ” ฉันยกกองหนังสือที่ว่านั้นมาวางเอาไว้บนโต๊ะหินอ่อนข้างๆแทน
“อาจารย์ขอพูดแทนตัวเองว่า พี่ ก็แล้วกันนะเพราะยังไงก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ให้มาแทนตัวเองว่า อาจารย์ แบบนี้มันกระดากปากพิกล” เธอพูดเหมือนกับแก้ตัวเล็กๆทั้งที่ปกติเห็นมักจะตีสีหน้านิ่งไม่ค่อยพูดแท้ๆไหงวันนี้เกิดอาการรูดซิบเปิดปากได้ล่ะเนี่ย?
“......มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” ฉันถามกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ๆก็มามองหน้าของฉันเหมือนกับอยากจะพูดอะไรซักอย่าง
“เอาลูกอมหน่อยไหม? มันช่วยได้นะตอนที่อ่านหนังสือหรือตอนเพลียๆน่ะ” ว่าแล้วคุณอาจารย์ฝึกสอนก็เล่นควักกองขนมหวานหลายอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงสแล็กสีดำพอดีตัวที่ไม่รู้ว่าเอาไอ้ของพวกนี้ไปยัดไว้ตรงไหนตั้งเยอะแยะโดยที่กระเป๋ามันไม่ตุงเลย
“เอ่อ......ทำไมถึงมีขนมเยอะขนาดนี้ล่ะ....คะ?..” ฉันมองไปยังกองขนมแล้วลองถามอีกฝ่ายที่กำลังแกะกระดาษห่อลูกอมรสมะนาวอยู่
“จะพูดไปมันก็น่าอายล่ะนะ แต่ว่าพี่เป็นพวกที่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแล้วจะหงุดหงิดง่ายน่ะ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็โยนลูกอมรสมะนาวเข้าปากไปทีเดียว 2 เม็ดอย่างไม่กลัวเปรี้ยวเลยแม้แต่น้อย......เดี๋ยวสิ...ถ้าอย่างนั้น....
“....อย่าบอกนะคะว่าที่คุณมักจะทำตาขวางอยู่ตลอดเวลานั่น........เพราะว่า......” ฉันพูดถามออกไปอีกครั้งอย่างสงสัยในข้อสรุปที่ผุดขึ้นมาในสมองของตัวเอง
“อืม ก็น้ำตาลในเลือดต่ำไง ยิ่งช่วงตอนเช้านะ....ไม่อยากจะพูดถึงเลย” อาจารย์ฝึกสอนที่ดูเข้มงวดในตอนนี้กลับมานั่งหัวเราะแหะๆแถมยังเกาหัวเก้อเขินผิดกับบุคลิกที่เคยเห็นลิบลับ ทั้งที่ดูเหมือนกับคนที่เข้าถึงยากแท้จริงแล้วกลับกลายเป็นคนที่ดูรั่วๆแถมยังออกแนวขี้เล่นแบบนี้
“แล้ว....ทำไมเธอถึงมานั่งอ่านหนังสืออยู่นี่คนเดียวเหรอ?” อยู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยปากถามฉันที่กำลังจ้องตัวหนังสือเขม็งทั้งที่มันก็ไม่ได้เข้ามายึดพื้นที่ในสมองของฉันเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ที่ยังคงทำเป็นอ่านเพราะไม่อยากที่จะให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้ไอ้ความสนใจของฉันน่ะ มันย้ายจากหนังสือพวกนี้ไปขี่คอเลียนแบบเรื่องชัตเตอร์คนที่นั่งข้างๆนี่เสียแล้ว
“ก......ก็อ่านคนเดียวมันเข้าหัวมากกว่านี่คะ แถมตอนนี้เพื่อนที่จะสอบเข้าที่เดียวกันน่ะก็ไม่ต่างอะไรจากคู่แข่งเลยนี่นา” ฉันถอนหายใจเล็กน้อยและตอบอีกฝ่ายไปตามความจริงอันแสนโหดร้ายที่เพื่อนรักหลายคนของฉันเห็นพวกเดียวกันเป็นคู่แข่งที่อาจจะมาแย่งเก้าอี้จำนวนน้อยนิดของมหาวิทยาลัยที่ต้องการ
แปะ มือนุ่มของใครบางคนวางบนหัวของฉันและลูบไปมาอย่างแผ่วเบาทำให้ฉันต้องละสายตาจากหนังสือไปยังเจ้าของมือนั้นอย่างชั่งใจ
“จะคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ถึงจะเป็นคู่แข่งแต่นั่นก็คือเพื่อนไม่ใช่เหรอ? เพื่อนที่คบอยู่ตอนนี้เราก็สามารถที่จะหัวเราะกับเค้าได้เฉพาะเวลานี้ไม่ใช่เหรอ?” เสียงของอาจารย์ฝึกสอนพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงพลางใช้มือลูบหัวของฉันไปมาอย่างเบามือ
“เวลาที่จบจากที่นี่ไปแล้วมันคงจะยากนะที่จะได้อยู่กับเพื่อนอย่างพร้อมหน้าแบบตอนนี้อีกน่ะ ถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะสำคัญ แต่เรื่องเพื่อนเองก็สำคัญนะ.....” เจ้าของมือที่ลูบหัวของฉันยังคงพูดต่อด้วยแววตาที่ดูเหม่อลอยเล็กน้อย
“.....แปลว่า....คุณเองก็.....เคย....” ฉันลังเลที่จะถามออกไปทั้งที่คำถามนั้นมันมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว
“อืม พี่เองก็เคยเป็นเหมือนกับเธอนั่นล่ะนะ...ตอนที่เรียนม.ปลายปีสุดท้าย พี่กับเพื่อนสนิทที่สุดต้องการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันเราถึงได้แข่งกันเรียน...ทั้งที่เป็นอย่างนั้นกลับมีเพียงพี่คนเดียวที่เข้าได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่แย่ลง สุดท้ายก็มองหน้ากันไม่ติดแล้วขาดการติดต่อกันไป......” คนที่นั่งอยู่ข้างฉันเงียบไปและแหงนหน้ามองเมฆบนท้องฟ้าที่ลอยผ่านไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ
“.....ในตอนนี้พี่มาคิดดูแล้วในตอนนั้นพวกเราน่าจะคุยกัน น่าจะหัวเราะกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะเพราะยังไงอีกฝ่ายก็คือเพื่อนคนสำคัญของเรานี่นา” เมื่อพูดจบก็ส่งรอยยิ้มบางๆกลับมาให้กับฉันที่ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี
ออดดดดดดดด--------------- เสียงกริ่งเข้าเรียนคาบบ่ายดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัดเล็กน้อยนี่ลง
ตุบ ตุบ ลูกอมห่อกระดาษสีเงิน 2-3 เม็ดร่วงลงมายังตักของฉันโดยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนโยนมา
“อมไว้แล้วอย่าเครียดกับการอ่านหนังสือมากล่ะ ไม่งั้นอาจจะไม่ได้คู่ก่อนวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี่นะ” ฉันมองลูกอมในมือสลับกับใบหน้าของอีกฝ่ายที่หันกลับมาอีกครั้งเหมือนกับเพิ่งที่จะนึกอะไรบางอย่างได้
“เรื่องเมื่อกี๊น่ะ ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ” เธอทำมือจุ๊ที่ปากและวิ่งหายเข้าไปในอาคารเรียนตรงหน้าปล่อยให้ความสงบกลับมายังสถานที่ที่ฉันนั่งอยู่อีกครั้ง....
“.........เฮ้อ ทำเอาหมดอารมณ์อ่านหนังสือเลยแฮะ” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ใบหน้าที่พยายามแอบซ่อนเอาไว้หลังหนังสือเรียนเล่มหนาเริ่มเกิดอาการร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุเมื่อมองไปยังลูกกวาดในมือจนต้องหนีเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยด่วนที่สุด
หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวของฉันมันเป็นบ้าอะไรสายตาก็มัวแต่มองหาอาจารย์ฝึกสอนคนนั้นโดยไม่รู้ตัว แถมพอเจอตัวก็ดันเกิดอาการใจเต้น ประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกเลยซักอย่างจึงได้แต่ก้มหน้าลงพื้นมองรองเท้าของตัวเองจนอีกฝ่ายเดินผ่านไปแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมา....แต่ว่า...
“นี่ เธอเอาแต่ทำหน้าเครียดอีกแล้วนะ” เจ้าของน้ำเสียงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของฉันที่ซุกอยู่ระหว่างหน้าหนังสือเล่มโตเพื่อซ่อนความแดงที่แก้ม
“.....เปล่า...นี่คะ” ฉันตอบกลับไปโดยไม่หันหน้าไปมองอีกฝ่าย....แล้วไอ้สถานการณ์ชวนล่อแหลมนี่มันอาร๊ายย! ไหงแม่คุณเล่นมานั่งขลุกอยู่ที่นี่ทุกพักเที่ยงเลยล่ะ ทั้งที่สถานที่ตรงนี้มันเป็นที่สิงสถิตของฉันเวลาพักเที่ยงแท้ๆแทนที่จะได้อยู่อย่างสงบกลับต้องมาเจอกับคนที่เป็นอันตรายต่อหัวใจแบบนี้ทุกวันด้วยเนี่ย!
“งั้นเหรอ? เอ้า พี่ให้นะ อมแล้วก็อย่าทำหน้าเครียดอีกล่ะ” ลูกอมรสบ๊วยถูกเอามายัดใส่มือของฉันที่ถือหนังสืออยู่ พอฉันหันกลับไปมองมนุษย์ลูกกวาดข้างๆ ฉันก็แทบที่จะผลุบหน้าหนีลงมาจดจ้องกับเนื้อหาในหนังสือที่แทบจะไม่ผ่านเข้าสมองเกือบไม่ทันเพราะอีกฝ่ายเล่นยิ้มหวานจนคนเห็นแทบละลายโดยที่เจ้าตัวคงจะไม่รู้สึกตัวเลยล่ะมั้งว่าตัวเองเวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ต่ำจนทำตาขวางน่ะทำคนรอบข้างใจสั่นขนาดไหน
แต่จะว่าไป...ไอ้ลูกอมที่เจ้าหล่อนให้ฉันมาน่ะก็ยังไม่ได้ถูกแตะต้องมันเลยแม้แต่นิดเดียวจนตอนนี้ลูกอมที่ได้รับมาพวกนั้นมันใกล้จะเต็มขวดโหลแก้วที่ซื้อมาเพื่อเอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิกอยู่แล้วนะ
อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็จะถึงวันวาเลนไทน์ซึ่งฉันไม่เคยนึกจะสนใจใยดีอะไรเลยมาตลอดชีวิตแล้วไม่รู้ดลใจให้ฉันเกิดอาการสนใจขึ้นมาจนเผลอไปเดินดูของขวัญตามร้านขายเสียทุกวัน ปัญหาหลักของการเดินดูของขวัญนี้ไม่ใช่ว่าหาของที่ถูกใจไม่ได้แต่มันคือ....ราคาของของขวัญเสียมากกว่าที่แพงเสียเหลือเกินยิ่งเข้าช่วงเทศกาลยิ่งแพงมากขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว.........คิดว่าเด็กสมัยนี้รวยกันมากหรือไงกันนะ.....
ในที่สุดก็ถึงวันวาเลนไทน์ทั้งที่ทุกปีฉันไม่คิดว่ามันจะวิเศษกว่าวันอื่นๆตรงไหน แต่ปีนี้กลับมีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นของขวัญซึ่งห่อด้วยกระดาษลายสวยอย่างดีถูกซุกเอาไว้ก้นกระเป๋าสะพายเพื่อรอเวลาที่จะมอบให้กับคนคนนั้น
แต่ไอ้ที่ฉันข้องใจอย่างมหาศาลก็คือ.....ทำไมโรงเรียนนี้ถึงเล่นเอางานโรงเรียนประจำปีมาจัดในวันวาเลนไทน์ด้วยเนี่ย!? กะจะยิงนัดเดียวได้นกสองตัวหรือไงก๊านนน แค่งานตกแต่งห้องแถมต้อนรับคนจากนอกโรงเรียนก็แทบจะล้นมืออยู่แล้วดันมีคนมาใช้บริการเยอะอย่างมหาศาลเพราะเป็นวันวาเลนไทน์อีก ทั้งคนรักทั้งครอบครัวของเด็กภายในโรงเรียนเล่นเอาคนที่อยู่ประจำห้องหัวแทบจะเป็นเกลียวตัวเป็นน๊อตอยู่แล้วนะ กว่าฉันจะได้เปลี่ยนเวรไปพักก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายแล้วแบบนี้จะตามหาตัวคนคนนั้นได้จากที่ไหนล่ะเนี่ย?
สุดท้ายฉันก็ลองเสี่ยงดวงไปยังสวนหย่อมหลังตึกที่ฉันใช้อ่านหนังสือเป็นประจำและช่วงนี้อีกฝ่ายก็ชอบมานั่งอยู่ด้วยเป็นประจำ.....แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด เจ้าหล่อนยังคงนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับถุงกระดาษใบโต...เอ๋? ถุงกระดาษงั้นเหรอ?
“ว่าไง ช่วยงานที่ห้องเสร็จแล้วเหรอ?” เมื่ออีกฝ่ายเห็นฉันก็เอ่ยปากทักก่อนทั้งที่ในปากอมอมยิ้มจูปาจุ๊บอยู่
“ค่ะ แล้วถุงนั่น...” “ของขวัญจากพวกเด็กๆน่ะ ไม่เห็นจะต้องเปลืองเงินซื้อมาก็ได้แท้ๆ” เจ้าของถุงกระดาษหยิบขึ้นมาแล้วเปิดข้างในให้ฉันเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เกือบทั้งหมดนั้นเป็นลูกอม ขนมหวาน ช็อกโกแลต ดอกไม้และตุ๊กตาตัวเล็กๆยัดอยู่เต็มเอี๊ยด
“ถึงพี่จะชอบของหวานก็เถอะนะ แต่ถ้าให้จัดการหมดนี่คงได้ฟันผุกันซักซี่ สองซี่ล่ะ สนใจเอาขนมไปกินบ้างไหมล่ะ?” ไม่รู้ว่าแกล้งทำหรือว่าประสาทรับรู้ตายด้านกันแน่ถึงได้คิดที่จะเอาของที่คนอื่นให้เอามาแบ่งให้กับฉันแบบนี้.....อย่างนี้ชักเริ่มจะลังเลแล้วสิว่าไอ้ของขวัญของฉันถ้าหากมอบให้ไปแล้วมันอาจจะต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นก็ได้
“ไม่ล่ะค่ะ ตอนนี้ลดน้ำหนักอยู่” ฉันตอบกลับไปสั้นๆอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุด
“งั้นเหรอ จะว่าไปทำไมวันนี้เธอถึงไม่ไปเดินเที่ยวงานกับแฟนล่ะ?” อยู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยปากถามฉันก่อนที่จะแกะห่ออมยิ้มจูปาจุ๊บแท่งใหม่และเคี้ยวเจ้าแท่งที่เหลือน้อยในปากจนหมด
“หนู.....ไม่มีแฟนหรอกค่ะ” ฉันพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ม้าหินที่อยู่ตรงข้ามด้วยความลังเลเล็กน้อย
“......แล้วคุณล่ะคะ มีแฟนรึยัง....” ฉันกลั้นใจถามออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยแต่หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากหน้าอกเสียให้ได้ อีกฝ่ายคงจะไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามนี่หรอกนะ
“....เคยมี เมื่อนานมาแล้วน่ะ...” หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะคลี่รอยยิ้มที่เหมือนกับกำลังฝืนเพื่อที่จะตอบออกมาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ที่หน้าอก มันอึดอัดเหมือนกับจะระเบิดออกมาเสียให้ได้
“........แล้วอีกฝ่ายล่ะคะ” อยู่ๆริมฝีปากของฉันก็เอ่ยถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“แต่ก็คงจะมีความสุขดี อยู่ในที่ไกลแสนไกลล่ะนะ” ว่าแล้วหล่อนก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยปล่อยทิ้งให้ฉันมองตัวเธออย่างเงียบๆ
คนคนนี้.......อาจจะเป็นคนที่.....ฉันไม่สามารถที่จะรักได้....ก็ได้....
คนตรงหน้ามองหน้าของฉันพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเดินมาทางฉัน จากนั้นก็ยอบตัวลงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้ามาแนบกับผิวแก้มของฉันอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าของฉันแค่ไม่กี่คืบจนรู้สึกถึงจังหวะการหายใจของคนหน้าได้แทบจะในทันที
“ทำไมถึงได้ร้องไห้ล่ะ?” คนตรงหน้าจ้องมายังฉันที่ไม่รู้ว่าน้ำตามันเอ่อล้นจนไหลลงมาเปรอะเปื้อนแก้มทั้งสองข้างตั้งแต่ไหร่กัน แต่ที่ฉันรู้ในตอนนี้ก็คือ....การสัมผัสจากคนตรงหน้าช่างอ่อนโยนเหลือเกิน......
“....หนู....ชอบคุณ.....ชอบ...ชอบมาก...ชอบจนไม่รู้จะต้องทำยังไงอีกแล้ว.....” คำพูดที่มันเอ่อล้นออกมาทำให้หัวใจของฉันแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ฉันรู้ดีว่าคำพูดคำนี้จะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ จะทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าฉันมันน่ารังเกียจที่มาชอบผู้หญิงด้วยกันเอง แต่ถ้าหากไม่พูดออกไปฉันจะต้องทนทุกข์กับความรู้สึกที่มันเอ่อล้นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน สู้บอกออกไปให้ถูกปฏิเสธออกมาตรงๆเสียดีกว่าที่จะไปคิดเอาเองว่าคนคนนี้ก็มีใจให้กับเราถึงได้มาใจดี มาพูดคุยด้วย
หมับ เธอโน้มตัวเข้ามากอดฉันเอาไว้อย่างหลวมๆโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว
“ขอโทษนะ พี่...ในตอนนี้....คงจะตอบรับความรู้สึกนั้นของเธอไม่ได้หรอกนะ....แต่ก็ขอบคุณนะที่มาชอบคนอย่างพี่....” เธอคลายอ้อมกอดแล้วจ้องมายังนัยน์ตาของฉันเขม็งด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มละมุนประดับอยู่ที่ริมฝีปาก
“.....ขอโทษค่ะ ที่พูดอะไรเอาแต่ใจแบบนั้นออกไป...” ฉันเอ่ยขอโทษออกไปทั้งที่ในอกเจ็บปวดเจียนตายจนแทบจะทนไม่ไหว น้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตาอย่างไม่ขาดสาย ฉันไม่สามารถที่จะห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ นี่สินะที่เค้าเรียกว่า อาการของคนอกหัก
“ไม่เป็นไร แต่ว่า.....ถ้าหากอีก 1 ปีข้างหน้าเธอกลายเป็นผู้หญิงที่ดีจนพี่ไม่กล้าปฏิเสธและในตอนนั้นความรู้สึกที่ว่าชอบพี่ยังไม่เปลี่ยนแล้วล่ะก็ มันก็ไม่แน่ล่ะนะ” เธอตอบกลับมาอย่างไร้การเสแสร้งทำให้ฉันได้แต่มองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง เมื่อครู่นี้เธอปฏิเสธความรู้สึกของฉันแต่ตอนนี้กลับมาพูดจาเหมือนกับให้ความหวังฉันเสียอย่างนั้น
“...หมายความว่ายังไงกัน...คะ?” ฉันถามกลับออกไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือปนสะอื้น
“.....นั่นสิ มันหมายความว่ายังไงกันนะ” เธอฉีกกระดาษแผ่นเล็กจากสมุดจดออกมาแผ่นนึงแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไปก่อนที่จะเอามาใส่ไว้ในมือของฉันที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากนั้นเธอก็ชวนฉันไปเดินเที่ยวงานภายในโรงเรียนโดยไม่เอ่ยปากพูดเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกของฉันที่มีต่อตัวเธอออกมาแม้แต่คำเดียว...
จากนั้นไม่นานการฝึกงานของเธอก็จบลงและไปจากโรงเรียนพร้อมๆกับตัวฉันที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้โดยที่มีเพื่อนซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกันสอบเข้ามาได้เป็นบางคนแต่ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังคงสนิทสนมกันดีอาจจะเพราะมหาวิทยาลัยของพวกเราอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
ในตอนนี้ฉันได้เปิดฝาขวดโหลแก้วซึ่งบรรจุลูกอมที่ได้รับมาซึ่งฉันไม่กล้าที่จะลิ้มลองรสชาติของมันในเวลานั้นขึ้นมาและแกะกระดาษห่อออกก่อนที่จะใส่เข้าในภายในปากเพื่อที่จะดื่มด่ำกับรสชาติของมัน....มันช่างหวานละมุนเสียเหลือเกิน จนฉันแอบคิดเสียดายไม่ได้ว่าน่าจะลิ้มรสมันให้เร็วกว่านี้ก็คงจะดี
ในแผ่นกระดาษที่ได้รับมาในตอนนั้นเขียนเบอร์โทรศัพท์มือถือและอีเมล์ของคนคนนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน แถมตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจากเมื่อครั้งที่ฉันเอ่ยปากสารภาพความในใจไปครบ 1 ปีแล้ว......
ความรู้สึกของฉันในตอนนี้ที่มีต่อคนคนนั้นก็คือ...............
ความคิดเห็น