คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 15 : ตำนานเทพ
ชายในชุดฮู้ดคนนั้นเดินเข้าลงมาจากบันไดเครื่องบินพร้อมกับลีน่า ซึ่งในตอนนั้นเธอก็ใส่อุปกรณ์ที่เธอขโมยมาจากดันเต้ให้กับเขา ลีน่าสวมอุปกรณ์ส่วนหนึ่งเข้าที่หัวของเขา จากนั้นก็เปิดลำโพงที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในทันที
“โว้ะ เย้ ในที่สุดฉันก็พูดได้แบบคนอื่นซะที!!” เสียงของชายคนนั้นออกมาจากลำโพง
“ย้าก!!” ในตอนนั้นวูฟรู้สึกอะไรได้บางอย่างจึงแปลงร่างและกระโจนใส่ชายในชุดฮู้ดคนนั้น แต่ในตอนนั้น ชายในชุดฮู้ดก็ชี้ไปที่หน้าของวูฟ จากนั้นวูฟก็เกิดหยุดการโจมตี จากนั้นก็ค่อยๆคลายมาหาชายคนนั้นอย่างเชื่องๆ แล้วก็เลียร้องเท้าให้ชายคนนั้นไป ท่ามกลางสายตาสะอิดสะเอียนของคนอื่นๆในกลุ่ม
“อืม วันนี้ผมไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ เอาเป็นว่าผมจะเฉยไว้ก็แล้วกัน ผมชื่อโซนิค ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ วันนี้ ผมจะมาเป็นหัวหน้าพวกคุณ คุณเดวิดจะให้คำสั่งที่มาจากทางแพนตาก้อนให้พวกคุณได้อ่าน” เสียงโซนิคออกมาผ่านลำโพง และในตอนนั้น ชายในชุดสูทใส่แว่นก็เดินเข้ามาหาคริสเตียลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอาเอกสารแผ่นหนึ่งให้กับคริสเตียลอย่างรวดเร็ว
“นี่คือเอกสารอย่างเป็นทางการครับผม” เดวิดพูดขึ้น จากนั้นตัวของคริสเตียลก็อ่านเอกสารอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำความเคารพโซนิคในทันที
“สวัสดีครับ ผมคริสเตียล หัวหน้าหน่วยจู่โจม UNASO หน่วยใหญ่ครับผม!!”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณคริสเตียล ดูท่าทีมของคุณจะมีฝีมือกันมาก ผมจะดูแลทุกอย่างเอง ไม่ต้องเป็นกังวลไป นับแต่นี้ พวกคุณฟังคำสั่งจากผม” โซนิคพูดออกมาผ่านลำโพง จากนั้นเขาก็เตะวูฟออกไปจนกระเด็นอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นคนอื่นๆต้องรีบประคองร่างวูฟขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อืม ว่างๆก็หาอะไรให้มันกินหน่อยนะครับ” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินไปขึ้นรถพร้อมกับลีน่าในทันที โดยที่เดวิดได้ไปขี่รถมอไซค์เพื่อคุ้มกันขบวนรถให้กับโซนิค ในขณะที่หน่วยของคริสเตียลคนอื่นๆก็รีบกลับไปขึ้นรถของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“โห ดูท่าแกจะเจอของจริงเข้าซะแล้วหล่ะวูฟเอ้ย” กาลีน่าพูดพลางส่ายหน้าไป
“บ้าเอ้ย ไอ้บ้านั่นมันผู้เกิดใหม่ชัดๆ แถมสุดยอดพลังเลยเลย ระยำเอ้ย!!” วูฟพูดขึ้น
“หมายความว่า นี่เราทำงานรับใช้ผู้เกิดใหม่อย่างงั้นเหรอเนี่ย??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย
“ไล่ล่าพวกมันแทบตาย สุดท้ายต้องมารับใช้พวกมันเนี่ยนะ ท่านครับ ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ??” รูกี้ถามอย่างสงสัย
“เราคงทำอะไรไม่ได้มากหรอก เอกสารที่มันให้ เป็นเอกสารของทางการสหประชาชาติจริง” คริสเตียลพูดขึ้น
“อะไรวะ นี่ UN มันเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย??” ยูริถามอย่างสงสัย
“แสดงว่าไอ้หมอนั่นต้องมีข้อตกลงอะไรกับ UN แน่ๆ” จ่าชัยพูดขึ้น
“แบบนี้ท่านจะทำยังไงต่อหล่ะคะ??” รูกิถามอย่างสงสัย
“ขอเวลาผมหน่อยเถอะ ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออก” คริสเตียลพูดขึ้น
“เฮ้อ เอาเถอะค่ะท่าน ตอนนี้ก็คงต้องเออออไปตามมันก่อน” เวอร์รีนพูดขึ้น
“ผมว่าเราออกเดินทางกันดีกว่านะครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว โดยที่ฮาเวิร์ดเป็นคนขับรถให้คริสเตียลนั่ง แต่ก่อนที่ฮาเวิร์ดจะไปขับรถ คริสเตียลก็กระซิบอะไรบางอย่างกับฮาเวิร์ดไป และไม่นานนัก พวกเขาก็แยกย้ายกันไปประจำยังที่นั่งของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และรถตู้ของพวกเขาก็เคลื่อนที่ออกจากสนามบินอย่างรวดเร็ว เพื่อเดินทางกลับไปที่หน่วยของพวกเขา
“นี่ ถ้าผ่านร้านอาหารก็แวะกันหน่อยนะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” กาลีน่าพูดขึ้น
“อืม ก็ดีนะ ฉันเองก็หิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย” รูกี้พูดเสริม
“อืม คนพวกนั้นมาทำงานนี้เพื่ออะไรกันแน่เนี่ย??” แสงจันทร์พูดขึ้น
“ถ้าคิดแบบคนชั่วอย่างฉัน พวกมันน่าจะกินหัวใจของผู้เกิดใหม่ เพื่อรับพลังแน่ๆ” วูฟพูดขึ้น
“เออ ก็อาจจะเป็นไปได้นะ แต่ทำไมกองทัพสหรัฐถึงให้การช่วยเหลือมันหล่ะ??” ยูริถามอย่างสงสัย
“มันอาจจะมีข้อตกลงอะไรแน่ๆ คงต้องลองสืบดูหล่ะ” จ่าชัยพูดเสริม
“ว่าแต่ ท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้หล่ะคะ??” รูกิถามอย่างสงสัย
“อืม ก็อย่างที่ผมบอก ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจ เพราะถ้าหมอนั่นมีพลังมากขนาดนั้น พวกเราคงจะทำอะไรลำบากแน่ๆ” คริสเตียลพูดขึ้น
“ก็พอจะเดาได้จากที่ยัยลีน่านั่นทำท่าทางโอหังแล้วหล่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น
“เอาไว้ไปถึงที่นั่น ค่อยว่ากันแล้วกันนะครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ขับรถต่อไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
และที่รถลีมูซีนคันหรู ซึ่งได้พาโซนิคและลีน่าโดยสารมาด้วย ตัวของลีน่าได้นั่งกอดโซนิคในรถ จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องแผนการต่อไปของพวกเขาด้วย
“ที่รักขา คิดถึงที่รักจังเลยค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น
“เหมือนกันน่า อยู่ที่นี่เธอสบายดีนะ??” เสียงของโซนิคดังมาจากลำโพง
“แน่นอนค่ะ ดิฉันรอให้คุณมาที่นี่อย่างใจจดใจจ่อเลยนะคะ”
“ดีแล้วหล่ะ เอาหล่ะ ตอนนี้ฉันมีแผนแล้วหล่ะ” เสียงของโซนิคดังออกมา
“อืม แผนอะไรอย่างงั้นเหรอคะ??” ลีน่าถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง ตัวของโซนิคก็เอาหนังสือโบราณเล่มหนึ่งออกมาจากเสื้อฮู้ดส่วนตัวของเขา จากนั้นก็หยิบเอามาอ่านอย่างรวดเร็ว
“อืม หนังสือเล่มนี้ ที่รักยังเก็บมันไว้เหรอคะ??” ลีน่าถามอย่างสงสัย
“ใช่ เพราะว่ามันจะเป็นบันไดสู่การนำไปหาอีกเล่มหนึ่งที่เหลือ ซึ่งฉันเชื่อว่าพวกมันต้องรู้มาบ้างว่าอีกเล่มอยู่ที่ไหน” โซนิคพูดผ่านลำโพงออกมา
“อืม ที่รักจะตามหาหทัยราชันย์สินะคะ” ลีน่าพูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ ซึ่งหนังสือเล่มนั้น มันน่าจะมีความลับเกี่ยวกับหทัยราชันย์อยู่ ถ้าฉันได้มันมา โลกนี้จะไม่มีใครหยุดฉันได้” โซนิคพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น เราคงต้องบุกไปเค้นพวกมันถึงที่นั่นแล้วหล่ะค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น
“ยังก่อน ฉันอยากจะให้โอกาสพวกมันก่อน เอาเป็นว่า ฉันจะพยายามบีบให้ไอ้บ้าคนหนึ่งมาเป็นพวกของฉัน ไม่อย่างงั้น ก็คงต้องควบคุมจิตใจของมันไปเลย” โซนิคพูดขึ้น
“แหม่ ที่รักนี่มีเมตตาจริงๆนะคะ” ลีน่าพูดขึ้น
“ฉันอยากจะรู้ว่าคนที่ชื่อนาวินอยู่ที่ไหนในตอนนี้”
“พวกมันคงย้ายที่อยู่แล้วหล่ะที่รัก แต่ฉันจะพยายามตามหามันเองค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น
“อืม ถ้าได้ตัวมัน อย่าเพิ่งทำอะไรมัน ฉันอยากจะคุยกับมันหน่อย เอาเป็นว่า จัดการกับไอ้วิบัตินั่นเสียก่อนดีกว่า ฉันต้องการใช้งานมันหน่อย” โซนิคพูดขึ้น ส่วนลีน่าในตอนนั้นก็รีบรินไวน์ขาวให้กับโซนิคได้ดื่มอย่างรวดเร็ว โซนิคก็หยิบแก้วไวน์มาดื่มในทันที
กลับมายังสถานที่กบดานของดันเต้ ซึ่งในตอนนั้นทุกๆคน ก็กำลังนั่งฟังเรื่องที่อีสครินน่าเล่าอย่างใจจดใจจ่อ
“ครั้งบรรพกาล ในสมัยที่เทพเจ้าได้สร้างมนุษย์มาเพื่อปกครอง มนุษย์ได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านการปกครองของเทพเจ้า จึงกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ ในครั้งนั้น มหาเทพีสาราวา เทพีผู้ยิ่งใหญ่และเป็นผู้นำทัพในการต่อตีกับเหล่ามนุษย์ ได้สร้างลูกของเธอขึ้นมาสองคน คนหนึ่งคืออิมเมอร์ทา เทพนักรบผู้เป็นพี่ และโซราห์ มหาเทพแห่งเสียงคำราม ผู้เป็นน้อง พวกเขานำกำลังเข้าต่อตีกับพวกมนุษย์ แต่เหล่ามนุษย์ก็ชนะสงครามเทพไปได้” อีสครินน่าพูดขึ้น
“หู น่าสนใจแหะ เรื่องแฟนตาซีมากเลย ว่าแต่ทำไมคุณถึงรู้เรื่องนี้หล่ะ??” ฮารุถามอย่างสงสัย
“เห็นทีฉันคงปกปิดต่อไปไม่ได้ ฉันคือเทพีองค์หนึ่งซึ่งได้สังเกตการณ์สงครามในครั้งนี้” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ห่ะ นี่ตกลงคุณก็เป็นเทพอย่างงั้นเหรอ??” ภาภินถามอย่างแปลกใจ
“นี่เรากำลังคุยอยู่กับเทพเจ้านะเนี่ย ชาบูเลย!!” โลร็องต์พูดขึ้น และในตอนนั้นลูโดวิกก็แพ่นกบาลเขาไป
“นี่ เงียบๆหน่อย ฉันอยากจะฟัง นายก็ฟังไปเถอะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ว่าแต่ หลังจากที่เทพเจ้าแพ้สงคราม มันเกิดอะไรขึ้นหล่ะครับ??” โจไซอาห์ถามอย่างสงสัย
“หลังจากที่เหล่าเทพเจ้าแพ้สงคราม พวกเขาก็ได้ทำการตกลงกับผู้นำมนุษย์ ว่าพวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้ และให้มนุษย์ปกครองไป แต่มนุษย์ต้องเริ่มต้นอารยธรรมของตัวเองใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็คือ กลับไปยังยุคก่อนประวัติศาสตร์ เหล่าเทพที่แพ้สงครามได้กำจัดไดโนเสาร์ตายจนหมด เพื่อทำตามข้อตกลง หลังจากนั้น เหล่ามนุษย์ก็ครอบครองโลกใบนี้มาโดยตลอด” อีสครินน่าพูดต่อ
“ห่ะ ว่าแต่ ทำไมเทพเจ้าถึงแพ้มนุษย์ได้ง่ายขนาดนั้นเลยหล่ะ??” อินเนสซ่าถามอย่างสงสัย
“ส่วนหนึ่ง ก็เพราะมีเทพเจ้าของเราช่วยเหลือยังไงหล่ะ เทพเจ้าช่วยเหลือทั้งเรื่องอาวุธ และพลังที่จะต่อกรกับเหล่าเทพได้ เพื่อแลกกับการที่มนุษย์ จะต้องบูชาเทพเจ้าที่ช่วยเหลือพวกเขา” อีสครินน่าพูดขึ้น
“โห นั่นก็แฟร์เหมือนกันนะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“อืม ดูแล้วเรื่องมันก็สนุกนะครับเนี่ย” นายลืมพูดขึ้นและฟังอย่างตื่นเต้น
“ผมยังไม่เข้าใจ แล้วตกลง ผู้เกิดใหม่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงหล่ะ??” ลันโทสถามอย่างสงสัย
“หลังจากที่ได้มีการทำข้อตกลงกับมนุษย์แล้ว พวกเขายังมีข้อตกลงอีกว่าจะต้องเนรเทศเหล่าเทพเจ้าที่เป็นศัตรูกับมนุษย์ออกไปให้หมด เทพบางองค์ขัดขืนคำสั่ง ได้ทำการฆ่าตัวตาย และดวงจิตของพวกเขาก็ได้ตกมายังโลกมนุษย์ เพื่อที่จะรอหาร่างที่พวกเขาจะใช้ได้ เมื่อมนุษย์ได้รับดวงจิตเทพเหล่านั้น พวกเขาก็จะมีพลังเหมือนเทพ แต่เนื่องจากในโลกมนุษย์ถูกต้องสาป พวกเขาเลยต้องมีความสูญเสียเมื่อได้ใช้พลัง” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อ้อ มิน่าหล่ะถึงได้มีผู้เกิดใหม่ได้” ซีโร่พูดขึ้น
“จะว่าไป ดูเหมือนว่าดวงจิตของเทพเนี่ยมันจะหาร่าง Host ของมันอยู่เรื่อยๆสินะครับ” ดันเต้พูดขึ้น
“อืม ดูเหมือนด็อกเตอร์จะศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควรนะคะ ใช่แล้วหล่ะค่ะ เมื่อพวกเขาอายุขัยหมด ร่างของมนุษย์ก็จะตายไปตามกาลเวลา ส่วนดวงจิตของเทพพวกนั้นก็หาร่างใหม่เพื่อสิงสถิตอยู่เรื่อยๆค่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น เรามันก็แค่ร่างที่ให้พวกเทพเจ้าอาศัยอยู่หน่ะสิคะ” ลาลินพูดขึ้น
“อืม งั้นก็แปลว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้เกิดใหม่ได้ ต้องเป็นคนที่เทพพวกนั้นเลือกหน่ะสิ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ว่าแต่ แล้วพี่นาวินมาเกี่ยวกับอะไรด้วยหล่ะครับ ทำไมถึงต้องเจาะจงพี่นาวินว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้หล่ะ??” อากิระถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะว่าตัวของคุณนาวินมีดวงจิตและพลังของเทพอิมเมอร์ทายังไงหล่ะ และมีแค่ตัวของเขาที่จะแก้ไขเรื่องทั้งหมดนี้ได้ หน้าที่ของฉัน คือการแทงหัวใจของเทพีสาราวา อิมเมอร์ทา และโซราห์ด้วยมีดนี่หน่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้นพลางหยิบมีดให้ทุกคนได้ดู รวมถึงสั่งให้ลูอีสเอาของอะไรบางอย่างมาให้กับทุกคนได้ดูในทันที
“นี่ เธอจะฆ่าคุณวินอย่างงั้นเหรอ ฉันไม่ยอมหรอก??” เวียนถามอย่างสงสัย
“นี่พี่ ถ้าคุณอีสครินน่าจะทำ เธอทำไปนานแล้วหล่ะ” พัตติยาพูดปรามเวียนไป
“อืม ว่าแต่ หนังสือเล่มนั้นมันคืออะไรอย่างงั้นเหรอคะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย
“มันเป็นคัมภีร์นีโครโนมีคอน คัมภีร์รวมศาสตร์ต้องห้ามต่างๆของโลก ฉันได้มาตอนที่เดินทางไปศึกษาเรื่องนี้ คัมภีร์เล่มนี้ ฉันเชื่อว่ามันจะนำพาพวกเราไปสู่วัลธารัตน์” อีสครินน่าพูดขึ้น
“วัลธารัตน์ ผู้เกิดใหม่คนแรกของโลกอย่างงั้นเหรอครับ ผมเคยมีเพื่อนคนไทยที่เคยศึกษาเรื่องนี้เล่าให้ฟัง??” ดันเต้ถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วค่ะด็อกเตอร์ และเราเชื่อว่านั่นคือดวงจิตของเทพีสาราวาซึ่งหนีลงมายังโลกมนุษย์ หลังจากที่นางแพ้สงคราม ตัวของฉันได้รับหน้าที่ให้จัดการเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้โลกนี้มันวุ่นวาย และเพื่อทำตามข้อตกลงหน่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น และในขณะที่ตัวของนาวินกำลังนั่งอึ้งไป จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมา
“ถ้าผมคืออิมเมอร์ทา แล้วโซราห์อยู่ที่ไหนอย่างงั้นเหรอครับ??”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังจะหาคำตอบอยู่ค่ะ เพราะฉันก็ต้องกำจัดดวงจิตของโซราห์ด้วย” อีสครินน่าพูดขึ้น
“เป็นไปได้หรือเปล่าคะ ที่ไอ้คนที่จะเดินทางมาที่นี่ มันคือโซราห์หน่ะ??” เวียนถามอย่างสงสัย
“ยังไม่รู้แน่ชัดหน่ะค่ะ แต่ถ้าฉันได้เจอกับเขา ฉันต้องรู้แน่ค่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อืม จะว่าไป ไอ้เรื่องหทัยราชันย์นี่ พอจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย
“ในประวัติศาสตร์ นางคือวัลธารัตน์ นางเคยเป็นมหาเทวีผู้ครองนครในยุคโบราณ นางได้ฆ่าตัวตายโดยการใช้อสรพิษหลังจากที่เกิดสงคราม แต่เมื่อนางฟื้นคืนชีพ นางเลยได้กลายเป็นผู้เกิดใหม่ รวบรวมสมัครพรรคพวกออกขับไล่ข้าศึก และสถาปนาอาณาจักรของนาง แต่วันหนึ่ง นางได้พบรักกับชายผู้หนึ่งและอยู่กินด้วยกัน แต่เมื่อชายผู้นั้นกลับเมืองของเขาเพื่อเยี่ยมครอบครัว ความลับของนางเลยถูกเปิดเผยเพราะเขาโดยไม่ตั้งใจ เหล่าผู้วิเศษทั้งหลายรวมถึงพวกนักบวชลัทธิอุบาทว์ต่างพากันบุกอาณาจักรของเธอเพื่อกินหัวใจของเธอ ตัวของเธอเลยให้ชายคนรักเอาหัวใจของเธอไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย และหัวใจของเธอก็ได้หายสาบสูญไป จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนตามมันอยู่เรื่อยๆ แต่ในคัมภีร์นี้ นักบวชโบราณได้พยายามแกะรอยเพื่อไปที่นั่น” อีสครินน่าพูดขึ้น
“โห จะว่าไปมันก็แฟนตาซีนะเนี่ย” โลร็องต์พูดขึ้น
“นี่ พูดน้อยๆแล้วก็ฟังมากๆหน่อยนะไอ้น้อง” ลูโดวิกพูดปราม
“เพราะฉะนั้น เราคงต้องรีบตามหาหัวใจดวงนั้นให้เจอซะก่อน” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“แต่ว่าเราจะไปตามหาที่ไหนหล่ะพี่ อาณาจักรโบราณในไทยใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ??” ภาภินถามไป
“ถ้าหัวใจดวงนั้นเป็นของเทพีสาราวา คุณนาวินน่าจะหามันพบได้ไม่ยาก เพราะว่าคุณเป็นเทพลูกรักของนาง” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อืม ของแบบนี้ มันก็คงต้องลองเสี่ยงหน่อยหล่ะครับ” นาวินพูดขึ้น
“โห นี่ขนาดฉันตั้งใจฟังยังจำได้ไม่หมดเลยนะเนี่ย” อัญชันบ่นไป
“อืม ผมสงสัยอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดพวกผู้เกิดใหม่มีดวงจิตของเทพ คุณพอรู้หรือเปล่าว่าพวกเราเป็นเทพองค์ไหนบ้าง??” อากิระถามอย่างสงสัย
“รู้สิคะ ทำไมจะไม่รู้หล่ะ นายคือเทพคินส์ องครักษ์มือขวาผู้ภักดีของคุณนาวิน ในช่วงท้ายสงคราม คุณมีความเห็นไม่ตรงกันกับคุณนาวินในช่วงท้ายสงคราม แต่คุณก็สละชีวิตเพื่อเขา” อีสครินน่าพูดขึ้น
“คุณเวียน คุณคือเทพีโนไซร่า เทพีพลังจิต คุณคือมเหสีของคุณนาวิน”
“อุ๊ย นี่พูดจริงเหรอคะเนี่ย??” เวียนพูดอย่างแปลกใจและยิ้มเต็มหน้าไปด้วย
“คุณโจไซอาห์ คุณคือเทพการาดัส เทพนกยักษ์ซึ่งมีบทบาทมากในสงคราม ส่วนคุณอินเนสซ่า คุณคือเทพโมนากา นักรบผู้คุมน่านน้ำสวรรค์ พวกคุณสองคนลักลอบมีสัมพันธ์กัน และตกลงปลงใจว่าจะฆ่าตัวตายไปด้วยกัน วิญญาณของพวกคุณเลยโหยหากันหน่ะ”
“เออ ผมว่าแล้ว ทุกอย่างมันสอดคล้องกันหมดเลย” โจไซอาห์พูดขึ้น
“อืม ฉันก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่หรอก” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ส่วนนายภาภิน นายคือเทพโวลด์ เทพผู้รอบรู้ เทพผู้เชื่อมต่อโลกมนุษย์กับแดนสวรรค์ ฮารุ เธอคือเทพีฟาเออร์ เทพีแห่งเปลวเพลิง”
“อู้ว นั่นไง คิดไว้แล้วเชียว” ฮารุพุดขึ้น
“โลร็องต์ ลูโดวิก พวกนายคือเทพชินและเชย์ สองพี่น้องฝาแฝดผู้ส่งสาสน์ ลาลิน เธอคือเทพีอรามัส เทพีแห่งกลิ่นหอม คุณดันเต้ คุณคือเทพโอซาร์ซี เทพแห่งน้ำแข็ง ลันโทส เทพมอร์ก เทพแห่งสายฟ้าและโลหะ นายลุ้น เทพแกโมล่า เทพแห่งการพนัน ส่วนนายลืมนี่น่าสงสารหน่อย เดิมเป็นหนึ่งในเทพผู้รอบรู้ แต่ทำผิดกฎ เลยถูกสาปหน่ะ” อีสครินน่าพูดไป
“อ้อ มิน่าหล่ะ นายลืมเขาถึงได้เป็นแบบนี้” ลาลินพูดขึ้น
“อะไร พวกนายพูดอะไรกันอย่างงั้นเหรอ??” นายลืมถามอย่างแปลกใจ
“อืม จะว่าไป พลังของพวกเรามันก็สมเหตุสมผลดีอ่ะนะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“ผมว่า ตอนนี้เรามาวางแผนเตรียมออกค้นหาหทัยราชันย์นั่นก่อนก็ดีนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“จริงด้วย ถ้าเกิดมันสำคัญมาก เราจะปล่อยให้ไปอยู่ในมือของพวกมันไม่ได้” ลันโทสพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น รอซักครู่นะครับ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องพักของเขา และไม่นานนัก ตัวของเขาก็กลับออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารอะไรบางอย่าง
“นี่เป็นแฟ้มเอกสารที่เพื่อนชาวไทยของผมวิจัย ไม่รู้ว่าพอจะช่วยได้หรือเปล่านะครับ” ดันเต้พูดขึ้น ในขณะเดียวกันเธอก็รีบเอามันมาอ่านอย่างรวดเร็ว
“โห งานละเอียดมากเลยค่ะ ท่าทางเขาจะเก่งเหมือนกันนะคะเนี่ย” พัตติยาพูดขึ้น และในตอนนั้น อีสครินน่าก็พูดขึ้น
“ฉันสัมผัสได้ถึงเทพชารัส นี่เขาก็เป็นผู้เกิดใหม่เหรอเนี่ย งานวิจัยเขียนได้ละเอียดมาก ไม่แน่ เราอาจจะไปถึงสถานที่ที่เก็บซ่อนหทัยราชันย์ได้” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ผมว่า เราคงต้องแกะรอยไปก่อนนะครับ” นาวินพูดขึ้น
“เรื่องกะรอยฉันจะจัดการเองค่ะ พวกคุณเหนื่อยมาพอแล้ว ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่าค่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอและดันเต้ก็เดินแยกไปอีกห้องหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนหรือไปทำอย่างอื่นในทันที
ที่ห้อองของอัญชัน ในตอนนั้นพัตติยาได้พาอัญชันไปนอนพักที่ห้องๆหนึ่ง
“พวกนายสองคนไปพักก่อนก็ได้ ฉันจะดูแลอัญชันเอง” พัตติยาพูดขึ้น และในตอนนั้นทั้งคู่ได้มองหน้ากันแล้วเดินออกไปด้วยกัน และหลังจากที่เหลือแค่อัญชันและพัตติยา ในตอนนั้น อัญชันก็จับมือของพัตติยาไว้ในทันที ทำเอาตัวของเธอตกใจมาก
“คุณพัตติยาคะ ขอบคุณที่อยู่กับฉันนะคะ ฉันชอบคุณ” อัญชันพูดขึ้นพลางลุกขึ้นจากเตียงและหอมแก้มพัตติยาไป
“นี่เธอ ทำอะไรของเธอเนี่ย ฉัน..??”
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าคุณก็มีใจ อย่าเก็บมันไว้เลยค่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“คุณอัญชัน..” พัตติยาพูดขึ้น และในตอนนั้นอัญชันก็ค่อยๆเอาหน้าเข้ามาใกล้พัตติยา จากนั้นก็ดึงพัตติยาเข้ามาจูบในทันที พัตติยาดิ้นเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ต้องอ่อนระทวยไป
“คุณอัญชัน เราก็ชอบเธอนะ วันนี้ฉันรู้สึกเป็นตัวเองที่สุดเลย” พัตติยาพูดขึ้น
“งั้นก็เป็นคุณพัตติยาที่คุณอยากเป็นสิ” อัญชันพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ค่อยๆเปลื้องผ้าพัตติยาอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเธอก็ค่อยๆเริงรักกันในห้องอย่างหวานชื่น
ทางด้านของเสี่ยวหลงและอากิระ ในตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่เดินผ่านลานฝึกฝนซึ่งดันเต้สร้างเอาไว้ ในตอนนั้นพวกเขาก็เห็นคนอื่นๆกำลังฝึกซ้อมทั้งยิงปืนและการต่อสู้ระยะประชิด เสี่ยวหลงและอากิระรีบไปเข้าร่วมวงด้วยอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ ทุกคน ฝึกด้วยคนสิ!!” เสี่ยวหลงพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็หยิบเอากระบองสองท่อนซึ่งเป็นอาวุธคู่กายออกมา จากนั้นก็รีบไปที่หุ่นดรอยด์สำหรับฝึกการต่อสู้ ในตอนนั้นหุ่นดรอยด์ได้ถือกระบองอันหนึ่ง เสี่ยวหลงปรับระดับการต่อสู้ของหุ่นดรอยด์เป็นระดับสูง จากนั้นเขาก็ฝึกกับหุ่นตัวนั้นอย่างดุเดือด
“ย้าก!!”
เสี่ยวหลงควงกระบองพลางสลับการโจมตีของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำเอาหุ่นดรอยด์ถึงกับสู้ได้ลำบาก คนอื่นๆที่มองเหตุการณ์ก็ถึงกับอึ้ง
“โห พี่แม่งโคตรเก่งเลยหว่ะ!!” ภาภินพูดขึ้น
“อือหือ พี่หลงนี่สุดยอดเว้ย” นายลุ้นดูอย่างตื่นเต้น จากนั้นเสี่ยวหลงก็ใช้กระบองฟาดหุ่นดรอยด์อีกครั้งจนร่วงอย่างรวดเร็ว
“อืม ฝีมือยังดีเหมือนเดิมเลยนี่หว่า” อากิระพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน พวกผู้ชายคนอื่นๆรีบไปหาเสี่ยวหลงอย่างรวดเร็ว
“โหพี่ สอนวิชาให้พวกเราหน่อยได้หรือเปล่า??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย
“อืม ถ้าพวกนายอยากจะลอง ฉันก็จะสอนเบื้องต้นให้พวกนายแล้วกัน” เสี่ยวหลงตอบไป
“ดูเหมือนว่าพี่หลงจะฝึกมาหนักนะครับเนี่ย” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ว่าแต่ กระบองสองท่อนหน่ะ นายฝึกมานานแค่ไหนแล้วหล่ะ??” โจไซอาห์ถามอย่างสงสัย
“อ้อ ผมฝึกมันมาตั้งแต่เด็กๆหน่ะ แต่เรื่องยิงปืนนี่ อากิระสอนผมครับ” เสี่ยวหลงตอบไป
“เอาเถอะ ถ้าเกิดเราจะลุยกับพวกมันได้ ก็คงต้องฝึกกันหนักกว่านี้สินะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“งั้นก็เอาแบบนี้สิคะ เรื่องมวยเนี่ยก็ให้พี่เสี่ยวหลงสอน เรื่องยิงปืนก็ให้พี่อากิระสอนสิ” ลาลินพูดขึ้น ทำเอาทั้งเสี่ยวหลงและอากิระเกิดมองหน้ากัน
“อืม จะว่าไป ฉันขอลองวิชากับนายหน่อยนะ” ฮารุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ชักดาบออกมา จากนั้นก็เข้าจู่โจมเสี่ยวหลงอย่างรวดเร็ว แต่เสี่ยวหลงปัดดาบของเธอออกไป จากนั้นก็ค่อยๆควงกระบองใส่เธอจนต้องถอย
“โห เก่งแบบนี้ต้องฝึกสอนพวกเราแล้วหล่ะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“นั่นสิ แล้วฉันจะบอกคุณดันเต้ให้ทำอาวุธให้นายก็แล้วกัน” ลันโทสพูดขึ้น
“นี่พี่ ผมก็อยากต่อสู้เหมือนกันนะครับ” นายลืมพูดขึ้นในขณะที่ทำสายตาเว้าวอนไป
“ฉันว่านะ ก่อนอื่นนายไปฝึกออกกำลังกายก่อนดีกว่า” เสี่ยวหลงพูดขึ้นพลางขยี้หัวนายลืมไป จากนั้นพวกเขาคนอื่นๆก็รีบไปฝึกฝนกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตัวของนายลืมก็ได้แต่มองคนอื่นๆฝึก แล้วก็ออกท่าทางตามคนอื่นๆไปด้วยเพื่อออกกำลัง เริ่มจากการฝึกยิงปืน ในตอนนั้นพวกเขารีบตามอากิระไปที่เป้ายิงปืน จากนั้นอากิระก็พยายามสอนวิธีการยิงปืนให้ทุกคนไป
“เอาหล่ะ พวกนายต้องยิงผ่านศูนย์เล็ง เพราะยิงแบบพวกนาย ชาตินี้คงไม่เข้าเป้าหรอก แล้วพยายามอย่ากดไก ให้ใช้เหนี่ยวแทน” อากิระพูดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆก็พยายามเล็งยิงปืนและยิงไป
“ปังๆๆๆๆ!!”
หลังจากที่พวกเขาฝึกยิงปืนเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็รีบไปหาเสี่ยวหลงเพื่อเรียนการต่อสู้ระยะประชิดเบื้องต้น โดยที่เสี่ยวหลงก็ได้แต่แนะนำทุกคน รวมถึงให้จับคู่ฝึกกันด้วย
“เอาหล่ะ หลักๆ เรื่องการต่อสู้ ข้อแรก ทำยังไงก็ได้ให้ล้มศัตรูให้ได้เร็วที่สุด เอาหล่ะ ลองดูกัน”
เสี่ยวหลงพูดขึ้น ในขณะที่พยายามฝึกสอนทุกคนให้ต่อย เตะ รวมถึงปัดป้องการโจมตีเบื้องต้น พวกเขาฝึกกันจนเหนื่อย แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะเป็นผู้เกิดใหม่ แต่พวกเขาก็แทบจะหมดแรงหลังจากที่ฝึก หลังจากที่พวกเขาฝึกกันนานเป็นชั่วโมง พวกเขาก็มาพักกันแถวๆนั้นในทันที
“โห โคตรเหนื่อยเลย แต่ก็สนุกดีนะ” โลร็องต์พูดพลางนั่งหอบ
“แค่นี้พวกเราก็ไร้เทียมทานแล้วหล่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“แบบนี้มันต้องฝึกทุกวัน มันถึงจะคล่องตัวนะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ถ้าฝึกทุกวันเราก็คงตายกันก่อนหล่ะพี่” นายลืมพูดขึ้นพลางนอนแผ่หลานอนบนเตียง
“นี่ ถ้าอยากเก่งก็ต้องอดทนสิน้องเอ้ย” ฮารุพูดขึ้น
“อยากจะเห็นไอ้คนที่มันจะมาจัดการเราจริงๆ ไอ้ที่ชื่อโซนิคอะไรนี่” ภาภินพูดขึ้น
“อย่าประมาทพวกมันไป มันอาจจะมีดีกว่าที่เราคิด” ลันโทสพูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ ฉันเคยเจอมันครั้งหนึ่ง ได้ยินว่ามันเป็นตัวอันตรายเลยหล่ะ” อากิระพูดขึ้น
“ถ้าเป็นแบบนี้ เราจะสู้กับมันได้ยังไงหล่ะคะ??” ลาลินถามไป
“แต่ถ้าเราได้หทัยราชันย์มาก่อน เราก็น่าจะสูสีกับมันนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“อืม รู้ว่ามันเสี่ยง แต่ก้ต้องลองหน่อยหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“นั่นสิ ไหนๆเราก็มีพลังเทพเจ้าแล้วนี่นะ” อินเนสซ่าพูดเสริม และในตอนนั้นพวกเขาก็พากันนั่งพักด้วยอาการเหนื่อยหอบ
และที่ห้องค้นคว้าของดันเต้ ดันเต้และอีสครินน่ารีบพากันรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูล ทั้งจากในคัมภีร์ของอีสครินน่า และงานวิจัยของเพื่อนดันเต้ ในขณะเดียวกันนั้นเอง นาวินและเวียนก็เดินเข้ามาในห้องที่พวกเขาค้นคว้ากัน เพื่อดูว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
“เป็นยังไงบ้างครับด็อกเตอร์??” นาวินถามอย่างสงสัย
“ครับ ตอนนี้ผมกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่หน่ะครับ” ดันเต้พูดขึ้น
“คุณนาวินคะ ช่วงนี้คุณต้องเก็บตัวให้ดีนะคะ เพราะตอนนี้มีแค่คุณ ที่อาจจะเข้าถึงมันได้” อีสครินน่าบอกกับนาวินไป
“ว่าแต่ ไอ้ดวงใจนั่นมันมีพลังมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ??” เวียนถามอย่างแปลกใจ
“มันยิ่งกว่าที่คุณคิดไว้ซะอีกค่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“จะว่าไป ก่อนเพื่อนผมจะตาย ตัวเขาก็พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน” ดันเต้พูดขึ้น
“ท่าทางคุณกับเพื่อนจะสนิทกันมากนะครับ” นาวินพูดขึ้น
“อ้อ ใช่ครับ เราสองคนเคยทำงานวิจับร่วมกัน ถ้าไม่มีเขา ผมเองก็คงจะตายในสหรัฐแล้วหล่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ” เวียนพูดให้กำลังใจเขาไป
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมพอทำใจได้แล้วหล่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“อืม สุโขทัยนี่มันอยู่ไกลหรือเปล่าคะ??” อีสครินน่าถามไป
“อ้อ ถ้าเรานั่งยานไป ไม่กี่นาทีก็ถึงครับ” นาวินตอบไป
“อืม มีอะไรที่สุโขทัยอย่างงั้นเหรอคะ??” เวียนถามอย่างสงสัย แต่ในตอนนั้นทั้งอีสครินน่าและดันเต้ก็ยังไม่ตอบกลับอะไรพวกเขามาก แล้วก็พยายามหาข้อมูลต่อไป
กลับมายังเขตโกดังซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของหน่วย UNASO ซึ่งในตอนนี้ตัวของนายเพี้ยนได้ถูกขังรวมกับเบล พวกเขาทั้งคู่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ชั้นสูง เบลนั่งกอดเข่าอยู่แถวนั้น โดยที่เพี้ยนก็ได้คุยกับเบลไปด้วย
“ระวังด้วยนะพี่ชาย ไอ้คนที่อยากได้ตัวพี่มันจะมาแล้ว พี่โดนมันเล่นงานแน่”
“นี่ ไอ้น้อง ให้มันทำไปเถอะ ฉันไม่กลัวหรอก” เบลพูดขึ้น
“เฮ้อๆๆ แต่ไม่ต้องห่วง ถึงยังไงเพื่อนพี่ก็มาช่วยก่อนอยู่แล้ว แต่พี่ก็คงอยากหาความสงบในชีวิตสินะ เสียใจด้วยที่พี่น่าจะยังไม่เจอตอนนี้” เพี้ยนบอกกับเบลไป
“นี่ ไอ้น้อง แกเป็นหมอดูเหรอวะ??”
“เปล่าหรอกพี่ เราแค่รู้ว่าไรท์เขาจะเขียนแบบนี้หน่ะครับ” เพี้ยนตอบไป
“ไรท์อะไรของแกวะ นี่แกบ้าหรือเปล่าเนี่ยไอ้น้อง??” เบลถามอย่างสงสัย
“เปล่านะคะ หนูแค่รู้ในสิ่งที่คุณไม่รู้ค่ะ”
“เฮ้ย นี่จะเป็นเพศอะไรก็เอาซักอย่างสิไอ้น้อง!!” เบลพูดพลางเกาหัวไป
“นี่พี่ เพศในโลกนี้มันแบ่งแค่ชายกับหญิงแค่นั้นเหรอพี่ ทันโลกหน่อยสิพี่” เพี้ยนตอบไป
“ว่าแต่ ไอ้คนที่มันจับแกมาเป้นใครกันหล่ะ??” เบลถามไป
“ก็พวกตำรวจนั่นหล่ะพี่ เออนี่พี่ อยู่ที่นี่ต้องอดทนหน่อยนะ พี่คงโดนทรมานอีกไม่กี่ตอนนั่นแหละ” เพี้ยนพูดไป
“ก็อย่างที่บอก ฉันไม่กลัวไอ้พวกนั้นหรอก” เพี้ยนพูดขึ้น และในตอนนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็มาเคาะประตูที่หน้าห้องของเขา จากนั้นก็พูดขึ้น
“เฮ้ย เงียบๆกันหน่อยสิวะ!!”
“อะไรพี่ เราขอคุยนิดเดียวเอง ไหนว่าจะดูแลพวกเรายังไงหล่ะ??” เพี้ยนตะโกนถามไป
“เฮ้อ เก่งมากนี่ไอ้น้องที่กล้าท้าทายมัน” เบลพูดขึ้น
“มันไม่ฆ่าเราตอนนี้หรอกครับ เชื่อมือหนูได้เลยค่ะ”
“เอาที่สบายใจเลยไอ้น้องเอ้ย ฉันขอนอนก่อนก็แล้วกัน” เบลพูดขึ้น
“แต่ผู้เกิดใหม่อย่างเราไม่ต้องนอนนะพี่”
“เอาเป็นว่าช่วยเงียบหน่อยก็แล้วกันไอ้น้องเอ้ย พี่ขอหล่ะ” เบลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เอนตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เพี้ยนก็นั่งร้องเพลงอยู่ในห้องอย่างสบายอารมณ์
และที่ด้านนอก โกดังซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหน่วยของ UNASO ซึ่งกลุ่มของไคได้เฝ้าจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าพวก UNASO จะทำอะไรกับเบล ในขณะที่พวกเขากำลังแอบมองโกดัง ในตอนนั้นพวกเขาก็เห็นขบวนรถขบวนหนึ่ง ค่อยๆแล่นขับเข้ามาในโกดังอย่างรวดเร็ว เกเบรียลรีบเรียกไคและคนอื่นๆมาดูสถานการณ์ในทันที และไม่นาน พวกเขาทั้งหมดก็มาสอดแนมเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว
“อืม คุณเกเบรียล มีอะไรอย่างงั้นเหรอ??” ไคถามอย่างสงสัย
“เหมือนว่ามีกองกำลังมาเสริมพวกเขาแล้ว” เกเบรียลตอบไป
“โห มากันหลายสิบ อาวุธครบมือด้วย สงสัยพวกมันคงจะเอาจริงแล้วหล่ะ” แก้วพูดขึ้น
“ว่าแต่ ไอ้พวกที่มันเพิ่งจะออกไปเนี่ย มันยังไม่มาอีกเหรอ นี่ก็บ่ายแล้วนะ??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย
“อืม สงสัยพวกมันคงจะมีภารกิจหล่ะมั้ง??” ไคถามไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเธอก็รู้สึกอะไรแปลกๆขึ้นมา และไม่นานนัก ตัวของเธอก็รีบไปหยิบเอาโทรศัพท์ของเธอแล้วก็เตรียมถ่ายรูปอะไรบางอย่าง
“คุณจะถ่ายรูปอะไรเหรอคะ??” แก้วถามอย่างสงสัย และในขณะเดียวกัน รถลีมูซีนคันหนึ่งก็ขับเข้ามาด้านในโกดังอย่างรวดเร็ว และไม่นาน ชายในชุดฮู้ด รวมถึงผู้หญิงที่อยู่ด้านในก็ลงจากรถมา จากนั้นไคก็รีบถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว
“คุณเกเบรียล คิดแบบที่ฉันคิดหรือเปล่าคะ??” แก้วถามอย่างสงสัย
“ฉันก็คิดแบบนั้น ดูเหมือนขาใหญ่จะมาแล้วหล่ะ” เกเบรียลตอบไป
“ใช่ ฉันว่าไอ้หมอนี่มันต้องมาคุมที่นี่แน่ๆ” ไคพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ชายในชุดฮู้ดคนนั้นก็เหลือบหันมามองที่โกดังที่ไคอยู่ ในตอนนั้นไคต้องรีบที่หลบ ก่อนที่คนพวกนั้นจะมาเจอเข้า
“บ้าเอ้ย เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะ??” แก้วพูดขึ้น
“เหมือนว่าพวกมันจะรู้ว่าเราแอบมองมันอยู่” ไคพูดไป
“ไอ้หมอนั่นมันมาทำอะไรที่เมืองไทยกันแน่นะ??” เกเบรียลถามไป
“ไม่รู้สิ ยังไงก็อย่าเพิ่งให้มันรู้ตัวแล้วกันนะคะ” ไคตอบไป และไม่นาน พวกเขาก็โผล่ออกมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่ปลอดภัยแล้ว
“โอ้ย แทบตาย นี่พวกมันจะเอาอะไรนักหนาเนี่ย??” แก้วถามไป
“คงจะเล่นงานพวกเราให้อยู่หมัดเลยหล่ะมั้ง แต่เอาเถอะ ยังไงก็ระวังด้วย พวกมันอาจจะส่งคนมาค้นที่โกดังของเราก็ได้” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ลงไปที่ด้านล่างของโกดังเพื่อสังเกตการณ์ว่าพวกมันจะบุกเข้ามาหรือไม่ ส่วนตัวของไคก็พยายามถ่ายรูปและสอดแนมโกดังอย่างต่อเนื่อง
กลับมายังอพาร์ทเม้นท์ซึ่งมิกิใช้เป็นที่กบดาน ตัวของเธอนอนอ่านข่าวตามโซเชียลมีเดียออย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเปิดเพลงฟังในห้องอย่างสบายใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาเธอ เธอรีบพรางสัญญาณโทรศัพท์แล้วรับสายในทันที
“สวัสดีคุณมิกิ”
“นั่นใครพูด ต้องการอะไร??” มิกิถามอย่างสงสัย
“เรามีข้อเสนอมาให้กับคุณหน่ะ”
“ข้อเสนออะไรของพวกแก??” มิกิถามไป
“ให้คุณเลิกให้ความร่วมมือกับไอ้พวกนั้น เราจะล้างคดีให้กับคุณ”
“เฮ้อ มันสายไปแล้วหล่ะ” มิกิพูดขึ้น
“ผมว่ามันยังไม่สายไปหรอกครับ เพราะตอนนี้คุณไปไหนไม่รอดหรอก”
“อืม ทำไมคุณไม่ลองคิดในมุมกลับกันบ้างหล่ะ ประเทศนี้มันมีแต่คอร์รัปชั่น ฉันจ่ายเงินให้ไอ้พวกที่สนามบิน พวกมันก็ปล่อยฉันมาแล้ว ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษระบบของพวกแกหล่ะนะ” มิกิพูดขึ้น
“100 ล้านบาท คุณยอมรับข้อเสนอหรือเปล่า??”
“100 ล้านงั้นเหรอ อืม น่าสนใจแหะ” มิกิพูดขึ้น
“100 ล้าน รวมถึงจะล้างคดีให้กับคุณทั้งหมดด้วย”
“ฉันต้องการมัดจำก่อน 50 ล้าน เงินสดเท่านั้น” มิกิพูดขึ้น
“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณจะไม่หลอกเรา??”
“พูดเหมือนว่าคุณมีทางเลือกมากนะในตอนนี้ ถ้าไม่ได้เงิน 50 ล้านก่อนวันพรุ่งนี้ ข้อเสนอยกเลิก ไว้ฉันจะส่งที่อยู่ไป” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกัน สมุนของเบ็ตตี้ก็เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว และรีบมาคุยกับเธอ
“คุณมิกิ เราได้ยินคุณคุยโทรศัพท์ นี่คุณจะยอมรับ…”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น ฉันเชื่อว่าพวกนั้นไม่ยอมให้เงินฉันง่ายๆ ฉันมีแผนแล้ว แต่ฉันต้องการให้พวกคุณร่วมมือด้วย ถ้าสำเร็จ เราจะเอาเงินมาแบ่งกัน” มิกิพูดขึ้น
“อืม คุณจะให้เราช่วยอะไรเหรอครับ??” ชายคนนั้นถามไป และมิกิก็แอบยิ้มที่มุมปากของเธอไปด้วย
กลับมายังบ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่กบดานของเซนและคิฮาระ พวกเขาทั้งคู่พักผ่อนกันในบ้านหลังจากที่หลบหนีการตามล่าของตำรวจ และไม่นานนัก พวกเขาตัดสินใจว่าจะเดินทางไปยังกรุงเทพต่อเพื่อจัดการกับคนที่ตามล่าพวกเขา พวกเขารีบแต่งตัวและเดินออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว
“เออนี่เซน เราจะไปไหนกันหล่ะ??” คิฮาระถามอย่างสงสัย
“เราจะกลับไปที่ตึกเดิม เผื่อว่ารถของเราจะยังอยู่” เซนพูดขึ้น
“อ้อ หวังว่าตำรวจจะไม่เอารถของเราไปก่อนนะ” คิฮาระพูดไป
“ก็คงไม่แน่หรอก อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็ต้องลองไปดูหน่ะ” เซนพูดขึ้น
“ไม่รู้ว่าตำรวจกำลังรออยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้น แต่ถึงยังไงพวกนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร” เซนพูดขึ้น
“เฮ้อ โคตรเบื่อตำรวจพวกนั้นเลยแหะ” คิฮาระพูดขึ้น
“เหมือนฉันนั่นแหละ แต่ฉันว่าเราไปจัดการตัวต้นเหตุเลยดีกว่า” เซนพูดขึ้น
“ดีเลย งั้นฉันเอาด้วย!!”
“คิฮาระ เรื่องเมื่อวานที่เธอจัดการตำรวจพวกนั้น เธอทำได้ยังไงอ่ะ??“ เซนถามอย่างสงสัย
“มันเป็นพลังของฉัน ถ้าฉันกินซากสัตว์ตัวไหน ฉันจะได้พลังและความสามารถของสัตว์ตัวนั้นหน่ะ” คิฮาระตอบไป
“อ้อ เข้าใจหล่ะ มิน่าเธอถึงกินเนื้อสุกไม่ได้” เซนพูดขึ้น
“อืม ฉันว่ามันเป็นคำสาปมากกว่าสำหรับฉัน” คิฮาระพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็เดินทางมาถึงเขตที่พวกเขาจอดรถเอาไว้
“เฮ้ นั่นไง รถเรายังจอดอยู่ที่นั่น!!” คิฮาระพูดขึ้น
“โห ตำรวจเต็มเลยแหะ สงสัยคงต้องระวังหน่อยหล่ะ” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็หยิบเอากระบองพกพาของเขาออกมา จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้รถอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตำรวจสองคนนั้นก็กำลังเดินลาดตระเวนแถวนั้นไปอย่างแข็งขัน
“แน่ใจเหรอว่าเป็นรถคันนี้หน่ะ??”
“ไม่รู้สิ แต่หัวหน้าบอกมาจะให้ทำยังไงหล่ะ”
“ตุ๊บ!!”
เซนฟาดกระบองใส่ตำรวจทั้งสองคนอย่างรวดเร็วจนพวกนั้นล้มลง และไม่นานนัก เขาก็รีบเอากุญแจไขรถในทันที แล้วรีบให้คิฮาระขึ้นรถด้วย
“เราต้องรีบหนีแล้วหล่ะ!!” คิฮาระพูดขึ้น
“ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วหล่ะ พวกมันคงต้องอยู่แถวนี้อีกแน่” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว
“เออนี่ เราจะไปที่ไหนกันต่อหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“เข้ากรุงเทพก่อน แล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบออกรถไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ตำรวจอีกกลุ่มซึ่งไปตรวจค้นตึกแถวก็ออกมาหาเพื่อนของพวกเขา และเมื่อเห็นเพื่อนเขาสองคนถูกทำร้ายตรงนั้น ตำรวจที่เหลือก็รีบไปดูอย่างรวดเร็ว
กลับมายังสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ในวันนั้นตัวของซูซาคุได้แต่งตัวและออกเดินทางไปด้านนอก ตัวของเธอนั่งรถซุปเปอร์คาร์สีแดงเพื่อเดินทางไปที่ไหนซักแห่ง เธอขับรถออกไปเรื่อยๆตามถนนในกรุงเทพ และไม่นานนัก ตัวของเธอก็ขับมาถึงหน้าโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ซึ่งในช่วงนั้นเด็กๆกำลังเดินทางกลับบ้านกัน ตัวของเธอยืนอยู่ที่รถเพื่อรอใครบางคน และไม่นานนัก เด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งก็เดินออกมาจากโรงเรียน ไม่นานนัก ซูซาคุก็โบกมือเรียกเธออย่างรวดเร็ว
“ทางนี้จ้ะ!!”
เด็กผู้หญิงคนนั้นรีบวิ่งไปหาซูซาคุอย่างรวดเร็ว
“หวัดดีค่ะน้าซูซาคุ”
“เป็นไงบ้างอากิโกะ เรียนวันนี้??” ซูซาคุถามไป
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ออกจะเบื่อๆนิดหน่อยด้วยค่ะ”
“วันนี้แม่ของเราให้น้ามารับกลับหน่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็พาอากิโกะขึ้นรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเธอก็รีบขับรถออกจากโรงเรียนอย่างรวดเร็ว
“แล้วนี่แม่หนูจะมารับหนูเมื่อไหร่คะ??” อากิโกะถามอย่างสงสัย
“อ้อ ไม่นานหรอก แม่หนูช่วงนี้ยุ่งๆหน่ะ”
“เฮ้อ ทั้งแม่ทั้งพ่อก็ยุ่งตลอดเลย” อากิโกะพูดขึ้น
“เอาน่า เขาก็คงทำงานนั่นแหละ”
“หนูอยากไปเที่ยวภูเก็ตจังเลยค่ะ” อากิโกะพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงพ่อแม่หนูต้องพาหนูไปแน่” ซูซาคุพูดขึ้น แต่ในขณะที่เธอกำลังขับรถอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็สังเกตได้ว่ามีรถกระบะคันหนึ่งไล่ตามรถของเธอมา
“อากิโกะ เกาะแน่นๆนะ!!”
ซูซาคุรีบขับรถเข้าไปในซอยหนึ่ง จากนั้นก็พยายามขับสลัดรถคันนั้นให้หลุด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยคะ??” อากิโกะถามอย่างสงสัย
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวน้าจะรีบพาไปส่งที่คอนโดนะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นไม่นานเธอก็ขับออกมาจากซอย แล้วรีบออกถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว
“มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณน้า ทำไมน้าต้องขับหลบอะไรด้วย??” อากิโกะถามไป
“น้าก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ต้องกลัวนะ”
ซูซาคุรีบขับรถต่อไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มาถึงคอนโดหรูแห่งหนึ่งในย่านกรุงเทพ ซึ่งในตอนนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ที่ด้านหน้าคอนโด
“ไว้เจอกันวันหลังนะคะคุณน้า” อากิโกะพูดขึ้น จากนั้นก็รีบเปิดประตูออกไปหาผู้ดูแลของเธอ รวมถึงโบกมือลาซูคาคุ ซูคาคุเมื่อได้เห็นอากิโกะเดินเข้าไปในคอนโดแล้ว เธอก็รีบเอาโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา แล้วติดต่อใครบางคนในทันที
“ฮันเตอร์ ไม่ต้องพูดอะไรนะ มีคนสะกดรอยตามฉัน ฉันอยากให้นายตรวจสอบกล้องวงจรปิดตั้งแต่โรงเรียนนานาชาติ Western จนถึงคอนโดที่ฉันอยู่ให้หน่อย”
“อ้อ รับทราบครับ ไว้ผมจะตรวจสอบให้ครับ”
“แล้วอีกอย่าง เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยหล่ะ แล้วเรื่องที่ฉันให้จัดการเป็นยังไงบ้าง??” ซูซาคุถามไป
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี ไว้กลับไปฉันจะไปเจอกับนายก็แล้วกัน ส่วนเรื่องเป้าหมาย VIP ที่นายบอกฉัน ฉันจะสืบต่อเอง ไม่แน่ มันอาจจะพาเราไขความลับทั้งหมดได้ก็ได้” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบวางสายไปในทันที แล้วก็รีบขับรถออกจากคอนโดอย่างรวดเร็ว
กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในขณะที่ตัวของเขากำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในถ้ำของเขา จู่ๆ เขาก็ได้รับการติดต่อจากชายปริศนาที่เคยติดต่อเขาผ่านกระแสจิต วิบัติรีบคุยกับชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว
“ฉันเดินทางมาถึงแล้วนะ วิบัติ”
“นี่ แกต้องการอะไรกันแน่วะ??” วิบัติถามกลับไป
“ไม่มีอะไร ฉันแค่มีเรื่องอยากให้นายช่วย”
“ฉันไม่ยอมช่วยคนอย่างแกหรอก!!” วิบัติพูดออกมาเสียงดังลั่น
“งั้นเหรอ นายไม่อยากตามหาชายที่ชื่อเมืองผางั้นเหรอ??” วิบัติที่ได้ยินชื่อนี้ก็ถึงกับตาลุกวาว
“นี่ แกหลอกข้างั้นหรือ??”
“เฮ้อ ใครหลอกนายกันเล่า ตอนนี้เขาอยู่กับฉัน”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะไม่หลอกข้า??” วิบัติถามไป
“เฮ้อ อยากลองคุยกับเขาหรือไม่หล่ะ” ชายคนนั้นถามไป
“วิบัติ นั่นเจ้าหรือ??” เสียงของชายคนหนึ่งแทรกเข้ามาแทนที่
“เมืองผา นั่นเจ้าหรือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง??”
“ข้าอยากพบเจ้าเหลือเกิน วิบัติ..”
“อืม พอจะเชื่อได้หรือยังเล่า??” เสียงเปลี่ยนกลับเป็นชายอีกคนซึ่งติดต่อกับวิบัติอย่างรวดเร็ว
“เจ้าห้ามทำอันใดกับเขาเด็ดขาด!!” วิบัติตะโกนออกมา
“ถ้าฉันจะทำ ฉันทำไปนานแล้ว ก้อย่างที่บอก ฉันต้องการพบกับนาย อยากมาเจอกันหน่อยหรือเปล่า??” ชายคนนั้นถามไป
“แล้วแกอยู่ที่ไหน??” วิบัติถามอย่างสงสัย และในตอนนั้น ชายคนนั้นก็รีบบอกที่อยู่กับวิบัติไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้ารีบมาเสีย ก่อนที่ข้า จะเปลี่ยนใจ”
ไม่นานนัก เสียงของชายคนนั้นก็หายไปจากจิตของวิบัติอย่างรวดเร็ว และตัวของวิบัติก็กลับมานั่งที่แท่นนั่งของเขาต่อ
“ข้าจักต้องช่วยเจ้าให้ได้ เมืองผา”
ณ คอนโดแห่งหนึ่งในย่านกรุงเทพ ซึ่ง The Green และบรรดานักวิทยาศาสตร์ของเธอได้ให้นายหน้าเช่าไว้ให้ ตัวของเธอได้สั่งให้พนักงานโรงแรมเอากระเป๋าไปไว้ที่ห้อง และไม่นานนัก เธอก็นัดให้นักวิทยาศาสตร์ที่มากับเธอ ไปรวมตัวกันที่ห้องอาหารห้องหนึ่ง และเมื่อทุกคนมาถึงกันแล้ว ตัวของ The Green ก็ได้คุยกับทุกคนในทันที
“อืม ตอนนี้เป้าหมาย S คงจะเดินทางมาถึงหน่วย UNASO แล้วหล่ะ” The Green พูดขึ้น
“ว่าแต่ เราจะปล่อยให้มันคุมหน่วยไปอย่างงั้นเหรอครับ??”
“ไม่หรอก ตอนนี้เราต้องทำให้มันตายใจไปก่อน” The Green ตอบไป
“ตอนนี้มนุษย์ทดลองที่เราสร้างเตรียมพร้อมจะลุยกับมันแล้วครับ”
“อืม แต่ตอนนี้ต้องรอไปก่อน สร้างเพิ่มเรื่อยๆ เป้าหมายของเรามันตัวอันตราย” The Green พูดขึ้น
“รับทราบครับผม”
“ตอนนี้ฉันติดต่อเกเบรียลได้แล้ว เขากำลังทำงานให้กับเราอยู่” The Green พูดขึ้น
“ก็หวังว่าหน่วยของเขาจะจัดการได้นะครับ”
“แน่นอน ฉันเชื่อมือเขา” The Green พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้น อาหารที่ The Green ได้สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“เอาหล่ะ กินก่อนค่อยว่ากันนะคะ”
ณ รัฐสภาแห่งประเทศไทย ตัวของสส.สุรสิงห์กำลังจะเดินเข้าไปประชุมสภาด้านใน แต่ในขณะเดียวกันนั้น จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาเขา ตัวของเขารีบเดินไปที่ลับตาคน จากนั้นก็รับสายในทันที
“มีอะไรครับผู้พัน??”
“ท่าน สส. ตอนนี้เราเจอตัว สส.ฝ่ายค้านที่หายตัวไปแล้วครับ”
“งั้นเหรอ อยู่ที่ไหนกันหล่ะ??”
“สายของเราบอกมาว่า มันน่าจะอยู่ในความดูแลของกลุ่มผู้เกิดใหม่หน่ะครับ”
“ไอ้บ้าเอ้ย บรรลัยแล้วสิแบบนี้!!” สส.สุรสิงห์พูดขึ้น
“ตอนนี้ผมพยายามจะชิงตัวเขากลับมาอยู่ครับ”
“รีบจัดการเลย ถ้าเกิดพวกนั้นมีข้อตกลงกัน พวกเราจบเห่แน่”
“ผมก็กำลังจัดการอยู่ ไม่ต้องห่วงไป”
“วันนี้ประชุมสภาด้วย ผมไม่อยากให้มันเป็นปัญหา” สส.สุรสิงห์ตอบไป
“ครับ แล้วผมจะรีบจัดการเลย”
“คุณจำไว้ให้ดี ถ้าผมจบ คุณก็ต้องจบด้วย เข้าใจนะ” สส.สุรสิงห์พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบเก็บโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ชายคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ท่านสิงห์ครับ ท่านนายกกำลังรออยู่ครับ”
“ผมรู้แล้ว แล้วผมจะตามไป” สุรสิงห์ตอบกลับไป
กลับมายังโกดังซึ่งเป็นที่มั่นของหน่วย UNASO หลังจากที่โซนิคเดินทางมาถึงและประจำที่หน่วย ตัวของเขาก็ได้เรียกคริสเตียลและคนของเขามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เพื่ออธิบายภารกิจที่พวกเขาจะต้องได้รับ
“เอาหล่ะครับทุกคน งานของพวกคุณคือตามจับกลุ่มผู้เกิดใหม่มาให้ผมได้มากที่สุด..” โซนิคพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้น วูฟที่ยืนอยู่แถวนั้นก็บ่นไป
“เราก็จับมันอยู่ทุกวันแล้วนี่ไงครับท่าน”
และในขณะเดียวกัน โซนิคก็ได้ใช้พลังอะไรบางอย่างควบคุมวูฟ วูฟไม่สามารถขัดขืนได้ วูฟเลยค่อยๆคลานสี่ขามาหาโซนิคอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก โซนิคก็ลูบหัวเขาไปหนึ่งที
“แบบนี้ต้องถ่ายคลิป” กาลีน่าพูดขึ้นพลางหยิบเอาโทรศัพท์ของเธอออกมาแล้วถ่ายวีดีโออย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก โซนิคก็ส่งสายตาให้ลีน่า ลีน่าได้รีบเอาปลอกคอสำหรับสุนัขออก จากนั้นก็ยื่นให้โซนิค โซนิครีบหยิบปลอกคอสวมให้กับวูฟอย่างรวดเร็ว
“โห ปากดีไม่ออกแล้วสินะเจ้าหมาน้อย” รูกี้พูดขึ้น
“เอาหล่ะ ฉันขอพูดต่อนะ พวกคุณต้องคุ้มกันผู้เกิดใหม่ที่เราจับได้ อย่าให้พวกมันหนีไปได้ แล้วก็เตรียมยานรบให้คุณโซนิคด้วย” ลีน่าพูดขึ้น
“รับทราบครับผม ไว้ผมจะจัดการตามนั้นครับ” คริสเตียลพูดขึ้น และไม่นานนัก ลีน่าก็ควงโซนิคกลับเข้าไปในห้องต่ออย่างรวดเร็ว วูฟหลังจากที่ได้สติก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วพยายามจะดึงปลอกคอนั่นออก
“นี่ ถ้าถอดออก เดี๋ยวเขาก็ใส่เข้าไปอีกอยู่ดี” จ่าชัยพูดพลางหัวเราะร่าออกมา ทำเอาวูฟได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจของเขา
“อืม พวกเขาจะให้เราเฝ้าพวกผู้เกิดใหม่ที่จับมาได้งั้นเหรอครับ??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วหล่ะ แล้วก็ต้องจับไอ้พวกที่มันหนีไปได้อีก” รูกิพูดไป
“เอาเถอะ ว่าแต่เราจะพวกมันได้ที่ไหนหล่ะ เราไม่มีอะไรต่อรองแล้วสิ??” ยูริถามอย่างสงสัย
“เรื่องนั้นก็ให้สายข่าวของเราจัดการก็แล้วกัน” เวอร์รีนพูดขึ้น
“แล้วนี่เราต้องทนอีกนานแค่ไหนครับท่าน??” ฮาเวิร์ดถามคริสเตียลไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก เย็นนี้อย่าลืมที่ผมบอกคุณก็แล้วกัน” คริสเตียลพูดกับฮาเวิร์ด พลางแตะไหล่ของฮาเวิร์ดไป ส่วนฮาเวิร์ดเองก็รู้ว่าเขาควรจะต้องทำยังไง
กลับมายังสถานที่กบดานของดันเต้ หลังจากที่ตัวของดันเต้และอีสครินน่าได้ทำการค้นคว้างานวิจัยรวมถึงคัมภีร์โบราณเพื่อเข้าถึงตำแหน่งของหทัยราชันย์ ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะค้นหามันได้สำเร็จ ดันเต้รีบเรียกคนอื่นๆให้มาคุยกับเขาที่ห้องทำงานของเขาอย่างรวดเร็ว
“เอาหล่ะทุกคน ผมว่าผมพอจะเดาตำแหน่งของหทัยราชันย์ได้แล้วหล่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“จริงเหรอครับ มันอยู่ที่ไหนเหรอครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย
“เราเชื่อว่ามันอยู่ละแดวกรอยต่อของจังหวัดสุโขทัย กับจังหวัดพิษณุโลกหน่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อืม ละแวกนั้นมันเป็นเขตอาณาจักรโบราณด้วยนี่ครับ” ภาภินพูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ มันน่าจะมีความเกี่ยวข้องบ้างนั่นแหละ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ถ้าเราออกเดินทางด้วยยานที่เรามี น่าจะถึงได้ไม่นานนะคะ” เวียนพูดขึ้น
“แต่ว่า พวกมันก็น่าจะระแคะระคายเรื่องตำแหน่งของมันบ้างแหละ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“แสดงว่า พวกมันน่าจะต้องเตรียมทีมค้นหาแล้วหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ไม่น่าหรอกค่ะ พวกนั้นไม่มีตำแหน่งที่แน่นอนแบบเรา” ลาลินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง อัญชันและพัตติยาก็เดินออกมาคู่กันเพื่อมารวมกับคนอื่นๆในทันที
“อ้าว อัญชัน เป็นยังไงบ้างหล่ะ??” เสี่ยวหลงถามอย่างสงสัย
“ก็ดีขึ้นแล้วหล่ะ ใช่หรือเปล่าพัตติยา??” อัญชันหันไปถามพัตติยา
“คนบ้า ไม่รู้หย่ะ ว่าแต่ กำลังคุยอะไรกันอยู่คะ??” พัตติยาหันไปเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“อ้อ พวกเราว่าเราน่าจะรู้เรื่องตำแหน่งของหทัยราชันย์แล้วหล่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“อืม งานนี้เราคงต้องเดินทางไปถึงก่อนพวกมันสินะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“งั้นเราก็ออกเดินทางกันเลยสิครับ” โลร็องต์พูดขึ้น
“คงจะยาก ต้องรอให้ด็อกเตอร์เตรียมอุปกรณ์เสร็จก่อน น่าจะอีกซัก 2 วัน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะถึงมันจะได้ไป มันก็ได้แค่กล่องที่ใส่มัน แต่ไม่รู้วิธีเปิดมันหรอกครับ” ลูอีสพูดขึ้น
“ใช่ เพราะฉันเป็นคนที่รู้วิธีเปิดมันยังไงหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อืม แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย” ลันโทสพูดขึ้น
“ตอนนี้ก็ถือว่าเราเป็นต่อพวกมันนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“อืม น่าสนใจดีนะครับแผนนี้ ผมอยากไปเที่ยวต่างจังหวัด” นายลืมพูดขึ้น
“เออ เอาเถอะ ตอนนี้เราคงต้องเตรียมพร้อมออกเดินทาง แล้วก็รับมือกับไอ้พวกนั้นสินะ” ฮารุพูดขึ้น
“ฉันไม่กลัวพวกมันหรอก แต่อย่าประมาทพวกมันก็แล้วกัน พี่วิน ผมอยากเตือนพี่ ไอ้นี่มันอัตรายกว่าที่พี่คิด” อากิระพูดกับนาวิน
“อืม ตอนนี้เราก็ควรจะเตรียมพร้อมรับมือมันไว้ เราต้องฝึกฝนฝีมือของเราให้มากขึ้น ยังไงก้ต้องอดทนกันหน่อยนะครับ” นาวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาหาดันเต้ ดันเต้รีบรับสายอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล เบ็ตตี้ มีอะไรอย่างงั้นเหรอ??”
“อืม ได้เลย ฉันจะบอกคนอื่นๆให้” ดันเต้พูดขึ้นจากนั้นก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว
==============================================================
เบ็ตตี้มีอะไรที่อยากจะบอกพวกของนาวินและกันแน่ และเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย
ความคิดเห็น