ลำดับตอนที่ #17
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 16
โอบตะวัน 16
ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่นุ่นในช่วงสายของวันหนึ่ง ขณะกำลังเดินตรวจในไร่ แดดร้อนจัด ส่วนนายน้อยหนึ่งตะวันง่วนอยู่กับเอกสารที่คุณชนินทร์แบกมาให้ช่วยดูเมื่อหลายวันก่อน
พี่นุ่นมาตรวจวัวของฟาร์มที่อยู่ถัดไปอีกหมู่บ้าน ไม่ไกลจากไร่ตะวันฉายมากนัก มาคนเดียว ตั้งใจจะฝากท้องกับแม่และทักทายนายน้อยเสียหน่อย ผมตอบรับเพื่อนเก่า รีบกลับบ้านมาบอกแม่ครัวให้เตรียมอาหารเพิ่มอีกที่
หนึ่งตะวันนอนอยู่บนพื้น เอาหมอนอิงมาหนุน รอบกายมีเอกสารการซื้อขายและรายละเอียดที่ผมอ่านไม่เข้าใจนักโรยอยู่รอบตัว พาดขายาวลงบนโต๊ะเตี้ย มือข้างหนึ่งหยิบองุ่นแดงเข้าปาก
“นอนกินเป็นหมู”
“ก็มันน่าเบื่อ” นายน้อยไม่แสดงทีท่าแปลกใจเมื่อผมทัก พลิกตัวนอนคว่ำ แนบแก้มไปกับหมอนอิงสีเทา “ทำไมวันนี้เข้าบ้านเร็ว”
“พี่นุ่นจะแวะมาฝากท้องด้วยน่ะครับ”
“ทำไมต้องมาฝากท้องที่นี่”
“อ้อ...ลูกผมน่ะครับ”
จงใจโยงคำว่าฝากท้องไปอีกแบบ หนึ่งตะวันชะงักมือที่กำลังส่งผลไม้เข้าปาก หันมองตาขวาง “ล้อเล่นน่า ผมหมายถึงพี่นุ่นจะมาทานข้าวกลางวันกับเราต่างหาก”
“เรา?”
“โอเค กับผมและแม่”
“ใครอนุญาตให้นายกินข้าวกับคนอื่น”
ผู้ใหญ่โตแต่ตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ หน้าตาบอกบุญไม่รับ
“ไม่เอาสิคุณหนึ่ง พี่นุ่นเป็นเพื่อนผม”
“เป็นแฟนเก่านาย”
“เลิกกันมานานมากแล้ว”
“แต่ครั้งหนึ่งนายก็เคยรักมาก”
“ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาทะเลาะกันเลยนะครับ”
ผมถอนหายใจ เดินเลี่ยงเข้าไปในครัว ได้ยินเสียงแว่วของเจ้าของบ้านตะโกนเรียกไว้แต่ไม่ได้หยุด ผมไม่อยากทะเลาะกับหนึ่งตะวันเรื่องพี่นุ่น มากพอ ๆ กับที่ไม่อยากหยิบเรื่องภูดิศมาอ้างว่าทีเขายังทำได้แม้กระทั่งนอนห้องเดียวกันกับหนึ่งตะวันด้วยซ้ำไป
มื้อกลางวันมาถึง เราหมายถึงผม แม่ และพี่นุ่นทำอะไรกินกันในบ้านหลังเล็ก เมื่อครั้งที่คบหากันเชิงชู้สาว วันเสาร์อาทิตย์ที่ว่างคนรักเก่าจะแวะเวียนมาพักที่ไร่บ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ด้วยความที่ยิ้มง่าย แถมมีขนมติดไม้ติดมือมาตลอดพี่นุ่นเลยเป็นที่โปรดปรานของคนในไร่ได้อย่างง่ายดาย
“กฤชน่าจะชวนโจ้มาด้วย” หญิงสาวบ่น ยกจานชามเข้าไปล้างหลังจากเกี่ยงกับแม่แย่งกันจัดการส่วนนี้ไปพักใหญ่ ขนมถุงใหญ่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก หนึ่งในนั้นเป็นของไอ้โจ้ ลูกสมุนจอมสอพลอ ดูดี ๆ แล้วมากกว่าใครในไร่เป็นพิเศษด้วยซ้ำ
“มันวุ่นวายจะตายไป น่ารำคาญ” ผมบอกปัด ขี้เกียจมาฟังมันรบเร้านั่นนี่
“แหม แต่รู้จักกฤชดีที่สุด ว่าแต่ที่รักของเราหายไปไหนเสียล่ะ”
“ทำงานอยู่บนบ้านนั่นแหละครับ” ผมว่า ช่วยเขี่ยเศษอาหารลงถังขยะ พี่นุ่นผิวปากหวือ หลิ่วตาล้อ
“ยอมรับกันโต้ง ๆ แบบนี้เลยเหรอว่าเป็นที่รัก”
“โธ่ พี่นุ่น”
“ไม่แซวแล้วก็ได้” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ เทน้ำยาล้างจานลงฟองน้ำ จัดการกับจานที่กองตรงหน้า “ไปกันได้ดีแบบนี้สงสัยปูนจะแห้ว”
“ครับ?”
“ที่จริงที่แวะเข้ามาหาเพราะปูนเห็นว่ามาแถวนี้เลยให้แวะจีบหมอกฤชไปทำงานที่โรงพยาบาลอีกรอบ เดือนหน้าสัตวแพทย์จะลาออกกันหลายคนเชียว เห็นว่ากลับบ้านต่างอำเภอ”
“ถึงผมไปก็ช่วยได้ไม่นานหรอกครับ” ผมว่า “ยังไงก็ต้องกลับมาเปิดคลินิกแถวนี้ แย่งงานพี่นุ่นครับ ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องเข้าไปตามหมอที่ตัวเมือง”
“แหม สักสองสามเดือนก็ยังดี หมอที่โรงพยาบาลขาดมาก ยิ่งหน้าร้อนสัตว์ยิ่งป่วยบ่อย ยังไม่รวมกับพวกที่เจ้าของเลี้ยงไม่เป็นอีกนะ วันก่อนมีคนไข้เอากบที่ผ่าท้องแล้วมาให้เย็บ ซื้อมาจากตลาด พอจะกินก็สงสารเลยพามาหาหมอ พี่อยากจะกรี๊ด”
“กลัวกบเหรอครับ”
“กลัวคนมากกว่า” สัตวแพทย์สาวมองตาเขียว “คนเดี๋ยวนี้ก็บ้า คิดว่าหมอว่างนักหรือไง”
“บ่นเท่าที่ใจอยากเลยครับ” ผมว่า รับจานที่ล้างจนเกลี้ยงมาเช็ดแล้ววางลงบนชั้นวางให้เรียบร้อย สัตวแพทย์ตามเมืองใหญ่อาจจะแยกรักษาสัตว์ใหญ่กับสัตว์เล็ก แต่ในภาวะที่บุคลากรขาดแคลนแบบนี้ต้องทำทุกอย่าง เรื่องเหนื่อยเป็นเรื่องธรรมดา เหนื่อยมากจนเอามาเล่าเป็นเรื่องตลกโปกฮากันไปแทน
“ก็มีแค่กฤชแหละที่เข้าใจพี่ เล่าให้ปูนฟังมีแต่หัวเราะ พ่อผู้บริหาร ลองลงมาทำงานกรรมกรบ้างไหมล่ะ”
ผมหัวเราะ เห็นท่าพูดถึงคนรักแบบนี้คงดีกันแล้ว หน้าพี่นุ่นอิ่มเอิบ สี่หรือห้าปีแล้วนะที่สองคนนี้คบกันมา ผมเองก็มัวแต่ทำงานจนลืมวันเวลาเหมือนกัน
“เมื่อไรจะแต่งงานล่ะครับ”
“ก็...” หญิงสาวยิ้มเขิน แก้มนวลแดงเข้มมากกว่าบรัชออนที่ทามา พี่นุ่นงดงามเสมอแม้หน้าจะมันเยิ้มเพราะอากาศที่ร้อนจัด “ที่จริงก็คุยกันไว้ว่าปีหน้า”
“อย่าลืมเชิญผมนะ”
“ใครจะลืมกฤชลง”
เสียงหวานหัวเราะใส ผมล้วงมือสองข้างเข้าไปในกางเกง มองใบหน้าแช่มชื่นด้วยความปิติ ตอนที่คบกันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเคยทำให้พี่นุ่นหัวเราะได้มากเท่านี้หรือเปล่า
เสียงของหล่นจากตัวบ้านดังขึ้น เมื่อละสายตาก็เห็นนายน้อยหนึ่งตะวันกำลังก้มเก็บโทรศัพท์ของตัวเอง หันรีหันขวางเมื่อโดนจับได้ว่าแอบมายืนฟังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“คุณหนึ่ง”
“คุณหนึ่งสวัสดีค่ะ” พี่นุ่นทักก่อน แต่เจ้าของชื่อไม่ตอบ เขาก้มมองโทรศัพท์ตัวเองแน่นิ่ง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่า” หนึ่งตะวันว่า หันหลังกลับทันที เห็นท่าไม่ดีผมรีบเดินมาคว้าแขนไว้ทัน
“คุณหนึ่ง มีอะไรหรือเปล่า”
“หน้าจอแตก” เขาว่า ยกโทรศัพท์ให้ผมดูแล้วก้มหน้าลงใหม่
“แค่ฟิล์มกระจกน่ะ ฉันมีสำรอง เดี๋ยวเอาขึ้นไปเปลี่ยน เมื่อก่อนแตกบ่อย ชอบขว้างมือถือ”
แขนเล็กบิดออกจากพันธนาการ
“ไปนะ” พูดจบก็วิ่งออกจากบ้านหลังเล็กกลับไปที่เก่า ผมยืนแน่นิ่งกระทั่งแขกคนสำคัญมายืนเคียงข้าง
“สงสัยจะงอนล่ะมั้ง”
“ไร้สาระน่ะครับ”
“โธ่ กฤช จำตอนตัวเองหึงพี่กับลูกค้าไม่ได้เลยใช่ไหม เป็นยิ่งกว่านี้อีก มีเหตุผลเสียที่ไหน” คนรักเก่าพูดพลางส่ายหน้า รอยยิ้มล้อเลียนประดับที่มุมปาก แต่ไม่เรียกให้ผมยิ้มตามได้เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว “เดี๋ยวพี่กลับเลยดีกว่า ไปลาป้าสายใจก่อน เราก็รีบไปง้อเขาล่ะ แล้วเรื่องงานถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมา”
ผมพยักหน้า ถอนหายใจยาวเหยียด “ผมไปส่งครับ”
“ไม่เป็นไร ไปคุยกับคุณหนึ่งเถอะ เข้าใจผิดกันพอดี”
ท้ายที่สุดผมก็ยอมให้พี่นุ่นเดินไปหาแม่อีกห้อง ส่วนตัวเองเมื่อออกจากประตูบ้านแล้วก็หันไปทางทิศของเรือนใหญ่ที่เห็นหลังของอีกคนไว ๆ
“คุณหนึ่ง”
ไม่บ่อยนักที่ผมจะถือวิสาสะเข้าห้องของเจ้านายโดยไม่ขออนุญาตอย่างเช่นวันนี้ ประตูห้องนอนของหนึ่งตะวันยังไม่ทันปิดดีก็ถูกผลักออกเสียก่อน นายน้อยก้มหน้า เมื่อพ่ายแพ้แก่พลกำลังแล้วก็ทำทีเป็นสนใจหน้าจอโทรศัพท์ที่
แตกร้าว
“ผมกับพี่นุ่นกำลังคุยกันเรื่องงานที่โรงพยาบาลของพี่ปูน แล้วก็ถามเรื่องแต่งงานด้วย พี่นุ่นอายุมากแล้ว ถ้ารอนานกว่านี้จะมีลูกลำบาก”
“เล่าให้ฟังทำไม”
“มีคนแถวนี้เข้าใจผิด” ผมว่า “หรือไม่ก็ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วก็หึงไม่เข้าท่า”
“แล้วฉันไม่มีสิทธิ์หรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น” สองเท้าก้าวเข้าหา เมื่อแตะบ่าไหล่ลาดก็สะบัดหนี เดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง ยังคงก้มมองแต่เครื่องมือสื่อสารราคาแพงของตัวเองต่อ “ผมกับพี่นุ่นไม่มีอะไร”
“ก็แค่คนรักเก่าที่ลืมกันไม่ลง”
“คุณจะโยเยเกินไปแล้ว”
“ก็ไม่ต้องสนใจ จะไปไหนก็ไป ไปงอนง้อพี่นุ่นของนายเลย”
“คุณหนึ่ง...อย่าระรานคนอื่น”
“ถ้าระรานจะทำไม”
“หนึ่งตะวัน! ผมไม่คิดว่าคุณจะนิสัยเหมือนเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักโตแบบนี้เลยนะ”
เจ้าของชื่อมองค้อนขวักตาเขียว เหมือนผมจะไปจี้จุดให้เขาโกรธมากกว่าเก่า โทรศัพท์ในมือลอยมา ถ้ารับไว้ไม่ทันแล้วคงได้แผลกันบ้าง ตัวคนขว้างไม่รอช้า สาวเท้าเข้าใกล้ผลักผมออกจากอาณาบริเวณสุดแรง แม้การกระทำที่เต็มที่แล้วนั่นจะสามารถทำได้เพียงให้ผมเซถอยหลังสองสามก้าวเท่านั้นก็ตาม
“ออกไป! ไปให้พ้น ฉันเกลียดนาย! ฉันเกลียดคนแบบนายที่สุด”
“หนึ่งตะวัน คุณหนึ่ง..เดี๋ยว”
“บอกให้ออกไปไง จะไปไหนก็ไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้า ไป!”
“หนึ่งตะวัน สงบสติบ้าง!”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิง! ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักโตด้วย! ออกไปให้พ้น เชิญไปพลอดรำพันกับคนรักเก่าของนายตามใจชอบ ฉันพอแล้ว ฉันเกลียดนาย! ฉัน...”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะผรุสวาทถ้อยคำไม่น่าฟังไปมากกว่านี้ มือข้างหนึ่งผมคว้าเอวหนาเข้ามาชิด ส่วนอีกข้างตรึงต้นคอไว้ไม่ห่าง โน้มตัวลงปิดริมฝีปากเก่งกล้านั่นด้วยปากตัวเอง บดเบียดไม่ให้เหลือช่องว่าง ไม่ให้มีโอกาสขยับพ่นคำว่าเกลียดกันให้ฟังอีก คนตัวเล็กกว่าดีดดิ้น แรงกำลังของเขามากกว่าผู้หญิง ผมต้องกัดริมฝีปากนั่นหลายครั้งจนได้กลิ่นของคาวเลือดในโพรงปาก สอดลิ้นลงลึกและดูดดึงเนื้ออ่อนของอีกฝ่ายเข้ามาขบเม้ม ปลายนิ้วหัวแม่มือกดกระพุ้งแก้ม บังคับให้กลืนกินรสจูบจนระทวยไปข้าง
นายน้อยคนเก่งแน่นิ่งหลังจากจุมพิตดุเดือดดำเนินไปได้ไม่นาน เขาไม่ได้อ่อนระทวยเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ผมเคยใช้วิธีการนี้จัดการจนสิ้นฤทธิ์ หากแต่ยังคงไหวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระทั่งผมได้รสเค็มปร่าของน้ำตาที่ร่วงรินมาตามแก้มใส จูบที่เอาแต่ใจจึงถึงกาลสิ้นสุดลง
“คะ...คุณหนึ่ง”
เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนร้องไห้กลับกลายเป็นผมเองที่ทำอะไรไม่ถูก ใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาออกแต่พยายามเท่าไรก็ไม่หมด คล้ายฝนหล่นจากฟ้า ร่วงกรูลงมาเรื่อย ๆ บีบคั้นความรู้สึกผมมากกว่าคำว่าชังของอีกฝ่ายหลายเท่า ผมระล่ำระลัก ห่อปากส่งเสียงห้ามให้นายน้อยคนดีเงียบเสียงลง
“ชู่ว คุณหนึ่ง ผม...”
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...” เจ้าของชื่อเอ่ยเสียงสั่น ริมฝีปากเขาแดงช้ำ เจ่อบวม “ทำไมต้องทำให้จูบแรกของฉันกับนายเป็นแบบนี้ด้วย!”
“ผมขอโทษ” ประโยคนั้นหลุดออกมาในทันทีตามสัญชาตญาณ ผมไม่อยากให้หนึ่งตะวันเสียใจ โดยเฉพาะจากตัวเองแล้วยิ่งไม่ต้องการ
“ผมขอโทษ”
แม้จะเอ่ยพูดอีกกี่ครั้งก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าได้ ผมประคองมือลงบนสันกราม บังคับคนร้องไห้ให้เงยหน้า สบตาที่ยังคลอไปด้วยน้ำใสจริงจัง เสียงกระซิบร้องขอการอภัยจากอีกฝ่ายยังคงดังสม่ำเสมอ กระทั่งจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากนั่นอีกครั้ง เชื่องช้า อ่อนโยน เต็มไปด้วยความทะนุถนอม ผมเอียงหน้า ปลายจมูกชนกับแก้มชื้นพอดิบพอดี สูดดมกลิ่นน้ำตาระคนกลิ่นผิวกาย บดจูบไปอย่างเนิบช้า แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
หนึ่งตะวันแน่นิ่งไปอีกครั้ง พักหนึ่งผมก็เป็นฝ่ายขยับกลีบปากนำก่อน เขาหรี่ตาลง แต่ยังปรือปรอย เราจ้องตากันและกัน ใกล้จนเมื่อฝ่ายหนึ่งกะพริบตา อีกฝ่ายยังสัมผัสถึงขนตายาวได้
นายน้อยไม่รอให้ผมเป็นฝ่ายชักนำได้นานนัก เขายกมือขึ้นโอบเอว หลับตาลงด้วยความสมยอม ผมดูดดึงกลีบปากอีกฝ่ายแผ่วเบา เลียแม้กระทั่งแผลที่ปริแตกราวกับปลายลิ้นตัวเองจะช่วยสมานแผล แทรกซึมผ่านฟันเรียง เกี่ยวเนื้ออุ่นให้ความชื้นบดเบียดซึ่งกันและกันอย่างนุ่มนวล
นานนับนาทีหลังจากหนึ่งตะวันจูบตอบ ผมก็ผละออก กลีบปากบนและล่างของคนในอ้อมแขนเป็นประกายวาววับ บวมแดงจนน่าบดจูบลงไปอีกครั้งและอีกครั้ง นายน้อยค่อย ๆ ปรือตาขึ้นเปิดขึ้นเต็มตา หยดน้ำตาเหือดหายไปแล้ว เหลือเพียงริ้วแดงซ่านบนผิวแก้มเท่านั้น
“ผมขอโทษ แต่จูบครั้งนี้พอจะแก้ตัวได้ไหมครับ”
คนขี้อายก้มหน้าลง เขาไม่ตอบ แต่ไม่ปฏิเสธ พักเดียวก็เอาหน้าผากมาชนกับอกผม
“กฤช นายรู้ไหม กฎของการคบกับเกย์มีแค่ข้อเดียว ฉันรู้ว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นแบบไหน ทั้งงี่เง่า เอาแต่ใจ แถมยังขี้หึงไม่เข้าท่า” เสียงทุ้มพูดชิดอก ผมลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายเนิบช้า แผ่วเบา
“ฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก เพียงแต่การหลงรักผู้ชายแท้ ๆ มันทำให้ฉันกลัว กลัวยิ่งกว่าครั้งไหน”
หนึ่งตะวันยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สั่นไหว ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายพร่ำบอก ความกลัวอีกอย่างที่ผมไม่ได้รู้สึก ไม่ใช่กลัวเรื่องกฎเกณฑ์ของรักข้ามเพศ หากแต่เป็นความกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้
“ถ้าจะหลอกว่ารักฉันแล้ว ช่วยหลอกต่อไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดได้ไหม”
“คุณหนึ่ง”
“ใคร ๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าความรักแบบนี้มันฉาบฉวย จริงอย่างที่นายว่า ฉันไม่ปฏิเสธ ฉันเปลี่ยนคนรักได้ง่ายดาย บางวันแค่มองตาก็มีคนใหม่แล้ว แต่นายเชื่อฉันเถอะ ไม่มีใครปรารถนาจะเป็นแบบนั้น ฉันก็อยากมีรักนิรันดร์เหมือนคู่หนุ่มสาวทั่วไปเหมือนกัน”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง แต่-”
“ช่วยหลอกฉันไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งหมดรักกันไวเกินไปได้ไหม ถึงผู้หญิงคนนั้นจะบอกว่าไม่มีวันลืมนาย นายอาจจะไม่ลืมเขา แต่ได้โปรด ช่วงเวลานี้อย่าให้ฉันรับรู้เลยว่านายยังรอ-”
“ฟังผม!” เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะร้องไห้ต่อผมก็เอ่ยเสียงดุ “ผมกับพี่นุ่นหมดเยื่อใยกันแล้ว หมดมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนคุณเข้ามา เชื่อใจผมหน่อย เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น พี่นุ่นเองก็รู้เรื่องผมกับคุณ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้แฟนที่ไปพบรักกับผู้ชายด้วยกันกลับไปคบหาเชิงชู้สาวหรอกนะคุณหนึ่ง”
คราวนี้ผมดันอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขน ก้มหน้าลงจ้องตาแสดงความจริงจัง “คุณไม่จำเป็นต้องกลัวผมขนาดนั้น ผมไม่มีอะไรให้กลัวเลย”
เหมือนกับนั่นเป็นคำมั่นสัญญา หนึ่งตะวันมองผม เม้มริมฝีปากแน่นสนิท ชั่งใจพักเดียว ก่อนพยักหน้าลง
“ขอบคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยในลำคอ ซึ่งเป็นที่น่าพอใจสำหรับผม บรรจงจูบลงบนหน้าผากมนก่อนโอบกอดอีกฝ่ายเป็นการยืนยันในคำสัญญา
ช่วงบ่ายหลังจากพี่นุ่นกลับไปแล้วเขาลงมาที่บ้านพักหลังเล็กของแม่บ้าน รื้อขนมถุงใหญ่ที่คนรักเก่าซื้อมาฝากอย่างตรวจตราเพื่อพบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นของไอ้โจ้ ป้าแวว กับแม่ผม ส่วนคนอื่น ๆ พี่นุ่นบอกแค่แบ่ง ๆ กันไป แม้กระทั่งของตัวผมเองก็ไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนของคุณหนึ่งไม่ได้ซื้อมาให้เพราะไม่รู้ว่าถูกใจอะไรกันแน่
นายน้อยเจ้าของไร่ตะวันฉายนั่งขัดสมาธิหน้ามุ่ย ก้มลงถูมือกับหน้าจอโทรศัพท์ที่ลอกกระจกกันรอยออกแล้วไปมา จากที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนหน้านี้ รอบนี้ลดระดับที่พี่นุ่นสามารถใช้คำว่างอนได้แล้วจริง ๆ
“เป็นอะไรครับ”
หนึ่งตะวันเงยหน้า พักเดียวก็ก้มลงใหม่ ไม่ยอมตอบแต่โดยดี “นี่คุณหนึ่ง ถ้าเอาแต่เงียบผมก็ไม่รู้จะเอาใจยังไงถูกเหมือนกันนะ”
“ทุกคนชอบพี่นุ่นของนาย” ชายหนุ่มพูดเสียงกระเง้ากระงอด “คงไม่มีใครชอบฉัน”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“ฉันไม่เคยซื้อของมาให้ใครเลย แถมยังชอบก่อเรื่องให้วุ่นวาย”
“โธ่” ผมหัวเราะ “ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกครับนายน้อย”
“อย่าเรียกว่านายน้อยได้ไหม ไม่ชอบ”
ผมทำหน้าเหรอหรา ก็เรียกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร “มันเหมือนฉันกับนายเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องกัน”
“คุณหนึ่ง"
"อะไร" คู่สนทนาถามกลับเสียงเขียว มองค้อนขวัก เมื่อเจอรอยยิ้มและสายตาที่มองค้างไว้แต่แรกก็หลุบตาต่ำ
"น่ารัก"
"ประสาท"
"ก็น่ารักจริง ๆ จะให้ผมชมว่าอะไร"
"อย่าเที่ยวพูดถึงคนอายุมากกว่าแบบนี้ได้ไหม"
นายน้อยถอนหายใจยาว ละมือออกจากถุงของฝากเป็นยันพื้นไว้เมื่อเอนตัวไปด้านหลัง
"นายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงขึ้นทุกที"
"ยังไงครับ"
"ไม่รู้สิ"
"ผมอาจคุ้นกับการปฏิบัติกับคนรักผู้หญิง ถ้าทำให้คุณหนึ่งไม่สบายใจก็บอกนะ ผมพร้อมจะปรับตัว"
หนึ่งตะวันเงยหน้ามอง ดวงตาเป็นประกายวาววับ "นายต่างหากที่เหมาะกับคำว่าน่ารัก"
ผมฉีกยิ้มกว้าง ยื่นมือให้อีกฝ่ายจับแล้วดึงลุกขึ้นยืน เกลี่ยปอยผมขึ้นทัดหู ใช้หลังมือไล้ตามกรอบหน้า คุณหนึ่งไม่เหมือนผู้หญิง เขาคือชายหนุ่มทุกสัดส่วน หากแต่รูปหน้าและการบำรุงตัวเองที่ผ่านมาทำให้กายภาพดูอ่อนโยนกว่าผู้ชายวัยเดียวกันชัดเจน ผิวขาวสุขภาพดี ริมฝีปากสีเข้มกว่าปกติ คิ้วและหนวดเคราถูกจัดแต่งเรียบร้อยจนทำให้น่ามองแม้ในสายตาเพศเดียวกัน
"ผมไม่เคยคิดว่าคุณหนึ่งเป็นผู้หญิงนะ เหมือนเด็กผู้ชายที่ผมอยากจะฟาดก้นวันละสามเวลา"
"ตลกแล้ว" หนึ่งตะวันยังคงกระเง้ากระงอด "พอร์ชยังบอกว่าฉันโตขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ แทบจำไม่ได้"
"จริงเหรอครับ"
"กวนประสาท"
ผมยิ้มแทนคำตอบ ก่อนเสียงตะโกนเรียกจากบ้านหลังโตจะดังขึ้น เป็นเสียงของป้าแวว ขณะที่แม่เปิดประตูเข้ามาตาม
"นายน้อย ป้าแววเรียกค่ะ กฤชด้วย ไม่รู้มีเรื่องอะไร"
ผมผละมือออกจากใบหน้าอีกฝ่าย เดินนำไปยังบ้านใหญ่ ป้าแววหน้าตื่นเมื่อเห็นหนึ่งตะวันก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าหา
"นายน้อยคะ คุณท่านเข้าโรงพยาบาล ป้าจิ๋วแกโทรมาบอก อยากให้นายน้อยเข้าไปเยี่ยมท่านค่ะ"
"พ่อเป็นอะไร"
"เห็นว่าหน้ามืดแล้วลื่นล้ม ตอนนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ เพียงแต่ต้องพักรักษาตัวดูอาการไประยะหนึ่งเท่านั้น"
แม้แต่เสียงของผู้รายงานยังสั่นเครือ ดวงตาของลูกชายคนเดียวก็สั่นไหวเช่นกัน
"ผมจะเข้ากรุงเทพ ฯ"
"เดี๋ยวผมขับรถไปให้" พูดสวนขึ้นทันทีก่อนใครจะแสดงความเห็น ผมสบตากับหนึ่งตะวัน "คุณขับรถไม่ไหวหรอก"
"ทำไมจะไม่ไหว ฉัน-"
"ให้กฤชไปด้วยเถอะนะคะ นี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าดึกดื่นเกิดมีปัญหาอะไรกลางทางจะได้ช่วยเหลือกัน นะคะคุณหนึ่ง ป้าขอร้อง" แม่บ้านอีกคนพูดเสริม มีความกังวลฉายบนหน้า หนึ่งตะวันเหลือบมองแม่ผม เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ทำสีหน้าแบบที่ผมไม่สามารถอ่านความคิดออก
"ผมจะไปตามโจ้ให้มาอยู่เฝ้าที่เรือน จะได้มีผู้ชายอยู่บ้าง คุณหนึ่ง ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าของจำเป็นครับ เดี๋ยวผมเอารถมารอหน้าบ้าน"
เมื่อถูกออกคำสั่งขั้นเด็ดขาดหนึ่งตะวันก็พยักหน้าอย่างจำยอม เดินกลับเข้าบ้านด้วยอาการเลื่อนลอย
"แม่ฝากดูนายน้อยด้วยนะกฤช"
ผมพยักหน้า รับรู้ได้ถึงความรู้สึกสั่นไหวในใจทุกคน คุณชนินทร์เป็นเหมือนเสาหลัก เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของไร่ตะวันฉายมาตลอด เกิดเรื่องแบบนี้ทุกคนต่างประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายเป็นเรือใหญ่ที่มีพายุซัดสาด โคลงเคลงไม่รู้ทิศทางว่าจะบิดเบี้ยวไปฝั่งไหน
ถ้าคุณชนินทร์ปลอดภัยดีก็ไม่น่ากังวล แต่ถ้าตรงกันข้ามหนึ่งตะวันจะลุกมาขับเรือแทนบิดาได้หรือเปล่า แม้แต่ตัวเองจะพยุงกายหยัดยืนได้หรือไม่
"แม่ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอกครับ แล้วผมถึงจะรีบโทรหา"
ได้แต่ปลอบโยน แม้จิตใจจะหวาดกลัวไม่แพ้กัน ความกังวลนั้นไม่ได้จับจดอยู่ที่นายท่าน แต่เป็นคนที่เดินขึ้นไปเก็บสัมภาระด้านบนมากกว่า
ผมเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้ว่าหนึ่งตะวันมีผลต่อจิตใจของตัวเองมากเพียงใด
TBC
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
ความคิดเห็น