ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Part 13 ปัญหาหนักใจ
Part 13 ปัญหาหนักใจ
พยาบาลสาวถือถาดเงินใบหนึ่ง บนถาดมีแก้วใบเล็กหลายใบ แต่ละใบบรรจุยาต่างขนาดต่างสีตามแต่คนไข้แต่ละคน ชื่อของคนไข้ผู้ที่ต้องทานยาเหล่านั้นถูกพิมพ์บนกระดาษใบเล็กและแปะติดกับแก้ว เธอกำลังเดินถือถาดนี้ไปที่ห้องของคนไข้แต่ละห้องตามหน้าที่ของตนเอง
ในเช้าวันใหม่นี้ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยดี คนไข้แต่ละห้องไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งนั่นทำให้เธอโล่งใจที่ไม่ต้องทำงานหนักแต่เช้าด้วยการรับมือกับคนไข้ที่เกิดจะนึกอาละวาดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่อมาถึงห้องริมเกือบสุดท้ายของระเบียงทางเดินปีกขวา พยาบาลสาวก็ได้ยินเสียงเหมือนคนตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยวดังออกมา ถ้าเธอไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าคนในห้องกำลังมีเรื่องทะเลาะผิดใจกับใครอีกคน แต่เสียงที่เธอได้ยินมีเพียงเสียงผู้ชายที่เธอคุ้นเคยดีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น หญิงสาวจึงหน้าตาตื่นพลางคิดว่าเห็นทีเช้านี้เธอจะไม่ได้สบายอย่างที่นึกไว้ตอนแรกเสียแล้วกระมัง
มือเรียวเคาะประตูอยู่ 3 ครั้งเพื่อบ่งบอกให้คนในห้องรู้ว่ากำลังจะมีผู้มาเยือน เป็นมารยาททางสังคมที่แม้ผู้ป่วยหลายห้องจะไม่มีสติพอที่จะรับรู้แต่เธอก็ถูกฝึกให้ทำแบบนี้กับคนไข้ทุกห้องเพื่อเป็นการให้เกียรติ และเธอก็รู้ดีว่าผู้ป่วยในห้องนี้เป็น 1 ในไม่กี่คนที่ไม่ได้จมจ่อมอยู่กับตนเองและปิดกั้นตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกจนไม่รับรู้ความเป็นไปใดๆ เธอรู้ดีว่าผู้ป่วยในห้องมีสติพอที่จะรู้ว่ามีคนกำลังยืนอยู่หน้าประตู เพราะเสียงดังที่เล็ดรอดผ่านประตูห้องออกมานั้นเงียบหายไปแล้ว
ประตูถูกเปิดออกเบาๆ ภาพภายในห้องที่พยาบาลสาวเห็นนั้นคือชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังยืนจ้องผนังอยู่ด้วยสายตาเคร่งเครียด ร่างอวบน้อยๆ นั้นสั่นไหวเพราะแรงหอบเหมือนเพิ่งจะผ่านการออกกำลังกายมา ใบหน้าหวานที่ถูกทำให้เข้าใจผิดบ่อยๆ ว่าเป็นผู้หญิงไม่แม้แต่จะหันมามองเธอที่กำลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“คุณซองมินคะ ยา...”
“เอาวางไว้ตรงนั้นครับ เดี๋ยวผมทานเอง” คนไข้หนุ่มที่ชื่อซองมินตอบเสียงห้วนขณะที่ยังไม่ละสายตาจากผนัง
พยาบาลสาวเพียงแต่ตอบรับหวาดๆ และวางแก้วยาที่ติดชื่อ ‘อีซองมิน’ ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะออกจากห้องหญิงสาวหันกลับมามองคนไข้หนุ่มที่ค่อนข้างสนิทด้วยสายตาเป็นห่วง เธอไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้ ไม่แม้แต่จะเคยเห็นซองมินแสดงอารมณ์รุนแรงเว้นแต่ตอนที่ชายหนุ่มอาละวาด เธอจึงอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ด้วยกลัวว่าเขาอาจจะอาการกำเริบขึ้นมาอีก
แต่หญิงสาวก็เดินออกจากห้องไปและปิดปากเงียบ ไม่ได้บอกอาการผิดปกติของอีซองมินให้พยาบาลอาวุโสท่านหนึ่งทราบเมื่อถูกถามถึงอาการของคนไข้แต่ละคน นิ้วหัวแม่โป้งขวาของหญิงสาวลูบอยู่ที่หัวแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายขณะที่แจ้งว่าทุกอย่างปกติเรียบร้อยดี
ซองมินก็เป็นอีกคนที่เหมือนกับคนไข้คนอื่นๆ คือกลัวการถูกจับขึงกับเตียง กลัวโดนจับใส่เสื้อรัดแขน และกลัวการฉีดยาระงับประสาท อย่าว่าแต่คนไข้เลย แม้แต่คนปกติอย่างเธอก็กลัว การที่เธอเก็บงำอาการที่ส่อเค้าไม่ดีอย่างการตะโกนเสียงดังและแสดงอารมณ์รุนแรงจะช่วยให้ซองมินรอดจากสิ่งที่ใครต่อใครกลัวนั้น และแม้จะไม่เชื่อว่าซองมินจะเกิดอาการกำเริบอาละวาดหากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ยุนอาก็บอกกับตัวเองว่าหากสถานการณ์มันเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ เธอก็พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบที่ไม่แจ้งอาการผิดปกติให้ผู้อื่นทราบจนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย
นิ้วของยุนอากลับมาลูบแหวนวงนั้นอีกครั้ง ขณะที่ใจก็ยังคงพะวงถึงคนไข้หน้าหวานที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะกลับมาเป็นปกติแล้วหรือยัง
อารมณ์ของเขาตอนนี้ถือว่าไม่ปกติที่สุดเลยล่ะ!
ถึงซองมินจะเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนคนเดินดินธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง และก็ใช่ว่าจะไม่เคยแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวแบบนี้มาก่อน แต่มันมากกว่าระดับปกติที่เขาเคยเป็น
ซองมินเคยควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่านี้ และเขาก็เชื่อว่าถ้าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขาไม่กำลังอารมณ์เสียจากใครบางคนมาก่อน เรื่องมันคงจะไม่กลายเป็นแบบนี้ มันคงจะต้องดีกว่านี้แน่ๆ
ร่างเล็กยังคงนั่งอยู่กับพื้น ทั้งที่นี่ก็ผ่านมาประมาณ 5 นาทีแล้วตั้งแต่ที่เขาเข่าอ่อนทรุดลงกองอยู่ตรงนี้ แม้ว่าตอนนี้จะมีแรงลุกไปนั่งบนเตียงแต่ซองมินก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมขณะที่มือก็ปาดน้ำตาที่ไหลอยู่ไม่ยอมหยุดเสียทีอย่างลวกๆ
มือข้างเดียวกับที่ทำให้เรื่องมันแย่ลงอีกนั่นล่ะ
ซองมินลดมือข้างนั้นลงมองก่อนจะฟาดลงไปบนเตียงอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์
บ้าที่สุดเลย! ทำไมถึงไม่ใจเย็นกว่านี้หน่อยนะ!!
ไม่กี่นาทีก่อนเมื่อเขากลับมาถึงที่ห้องพักของตนเองหลังจากที่ไปนอนเฝ้าไข้คยูฮยอนทั้งคืน เขาก็ได้พบกับคนที่ต้องการเจอตัวมากที่สุด
บารอมกำลังรอเขาอยู่...
“กลับมาแล้วเหรอ” บารอมถามเสียงเบาหวิว ดวงตาเหม่อลอย ดูไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ซองมินตอบรับในลำคอ แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ได้แต่มองหน้ากันนิ่ง
แววตาของซองมินแฝงการตำหนิและความผิดหวังอยู่จนบารอมรู้สึกได้ แต่ก็ใช่ว่าซองมินจะไม่รู้สึกอะไรกับความเงียบอันชวนอึดอัดนี้ เป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดีเช่นกัน เขาหวังว่าอึนจูจะอยู่ตรงนี้ด้วย อย่างน้อยเด็กหญิงน่าจะพอทำให้บรรยากาศตึงเครียดนี้ผ่อนคลายลงบ้าง แต่จนถึงตอนนี้อึนจูก็ยังไม่มา
“เขาเป็นยังไงบ้าง” แล้วบารอมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน น้ำเสียงของเด็กน้อยฟังดูแปร่งปร่าพิกล แต่ซองมินไม่ได้นึกใส่ใจ ชายหนุ่มกำลังสนใจในเรื่องอื่นมากกว่า
“ไม่เป็นอะไร ยังไม่ถึงตาย” ซองมินตอบเสียงเย็นเยียบ ดวงตากลมโตที่เคยฉายแววสดใสในยามนี้กลับจ้องเขม็งสู้สายตาเด็กน้อย ไม่เหลือเค้า ‘พี่ซองมินผู้ใจดี’ อีกเลย
บารอมไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่หลบสายตาเย็นชาของซองมิน ยังคงยืนนิ่งมองตากันอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายเป็นซองมินเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวขึ้นมาเสียก่อน
“เหตุผลล่ะ...บอกเหตุผลมาสิบารอมว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้น นายทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ยังไง” เสียงของซองมินดังขึ้น อารมณ์ที่ระงับเอาไว้เริ่มประทุออกมา ทั้งที่พยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นๆ แล้ว
“พี่ไม่รู้จริงๆ เหรอพี่ซองมิน ดูไม่ออกจริงๆ เหรอ” บารอมย้อนถามกลับ วิญญาณเด็กน้อยยังคงสงบนิ่ง
“หมายความว่ายังไง”
“หมอคนนั้นชอบพี่ ขนาดเด็กอายุ 11 อย่างผมยังดูออกเลย พี่ไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอ”
“รู้” ซองมินตอบ ใบหน้าร้อนผ่าวไม่รู้ว่าเพราะความโกรธที่ยังไม่จางหายหรือเพราะอาการเขินอายที่โดนสวนกลับมาแบบนั้นกันแน่ “แต่มันก็ไม่เห็นเกี่ยวกับที่นายพยายามจะฆ่าเขา” ใช่ มันไม่เห็นเกี่ยวเลยสักนิด การที่คยูฮยอนจะคิดอะไรกับเขานั้นมันไม่ใช่เรื่องที่บารอมจะมายุ่งเกี่ยวด้วยซ้ำ
“พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ผีผู้หญิงคนนั้นเกาะติดกับคุณหมอโจวเพราะอะไร ยิ่งเขาเข้ามาใกล้ชิดพี่เท่าไหร่ คนที่จะเป็นอันตรายที่สุดคือพี่เองนั่นแหละ” บารอมพูด ดูเหมือนตอนนี้เขาเองก็เริ่มจะคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งไม่อยู่แล้วเช่นกัน
“ก็ไม่เห็นต้องทำกันขนาดนี้ พี่เองก็พยายามหลีกเลี่ยงเขาอยู่...”
“แล้วทำได้มั้ยล่ะ” บารอมสวนกลับทันควัน สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือความเงียบ ซองมินรู้คำตอบดีแก่ใจ เขาไม่เคยหนีคยูฮยอนพ้นเลยสักครั้ง ยิ่งพยายามออกห่าง คุณหมอคนนั้นก็ตีตัวเข้ามาชิดใกล้
“ผู้หญิงคนนั้นก็ทำอะไรพี่ไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งเขาทั้งพี่ก็มีเครื่องรางป้องกันตัวทั้งคู่”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ” และความอาฆาตแค้นก็เพิ่มมากขึ้นทุกวันด้วย บารอมสัมผัสได้แม้จะมองไม่เห็นเธอแล้ว กลิ่นอายความแค้นติดตัวคยูฮยอนราวกับเงาตามตัว เธอคงจะยิ่งโกรธที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดังใจนึกเพราะมีซองมินมาขวาง “ตราบใดที่คุณหมอคนนั้นยังอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังอยู่ วันใดวันหนึ่งมันอาจจะทำอะไรพี่ก็ได้”
“นายก็เลยคิดจะฆ่าเขาอย่างนั้นเหรอบารอม คิดอะไรโง่ๆ ทำอะไรโง่ๆ ไม่รู้เหรอว่ามันเสี่ยงแค่ไหน”
“ผมทำไปเพื่อปกป้องพี่นะ!”
“ฉันยอมตายดีกว่าให้นายใช้วิธีการแบบนี้มาปกป้องฉัน!” ซองมินที่ตอนนี้โกรธจนตัวสั่นตวาดเด็กชายเสียงดังลั่นรวมถึงสรรพนามแทนตัวที่ใช้ก็เปลี่ยนไปด้วย
บารอมรู้ว่าอารมณ์ของซองมินมาถึงขีดสุดแล้ว แต่เขาเองก็ไม่ต่างจากซองมินมากนักหรอก
“พี่จะไปเข้าใจอะไร ไม่รู้บ้างหรือไงว่าที่ผมทำไปเพื่ออะไร!” เสียงของบารอมเริ่มสั่นขณะที่เด็กหนุ่มกลั้นน้ำร้อนๆ ที่เริ่มรื้นขึ้นที่ตา บารอมรู้ว่าตนเองเหลือเวลาอยู่บนโลกใบนี้ไม่มากแล้ว ถ้าหากไม่มีเขา ใครจะปกป้องซองมิน หากซองมินเป็นอะไรไปใครจะช่วย มันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยซองมินได้ก่อนที่เขาจะจากไป...ตลอดกาล
“ฉันไม่สนหรอกนะว่านายทำไปทำไม รู้บ้างมั้ยว่าการทำลายชีวิตคนมันเป็นบาปหนักแค่ไหน วิญญาณนายอาจจะแตกสลายไปเลยก็ได้ ทำไมถึงทำอะไรบ้าๆ แบบนี้”
จังหวะนั้นเอง ขณะที่เสียงของซองมินดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เจ้าของห้องไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก เขารู้ว่าพยาบาลคงจะนำยามาให้เหมือนทุกเช้า แต่เขาไม่สนใจ จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าตนเองตอบไปว่าอะไร จนประตูห้องปิดและเหลือเพียงแค่เขากับบารอมอีกครั้ง
“คิดได้ยังไง ฉันไม่คิดว่านายจะกล้าทำขนาดนี้ ถ้าพ่อแม่นายรู้...”
“ผมไม่มีพ่อแม่! คนที่ทิ้งลูกตัวเองได้ลงคอเขาไม่เรียกว่าพ่อแม่หรอกนะ” เด็กน้อยตะโกนเสียงดัง น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว คำพูดของบารอมทำให้ซองมินตกใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้จะคิดอะไรแบบนี้
“บารอม ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกตัวเองหรอกนะ ท่านต้องมีเหตุผล...”
“เหตุผลงั้นเหรอ พี่เองก็น่าจะเข้าใจไม่ใช่เหรอ ถ้าพ่อพี่เขารักพี่จริง เขาคงไม่ทิ้งพี่กับแม่ไปหาผู้หญิงคนใหม่หรอก”
“บารอม!! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน อย่าพาดพิงถึงเขา” ซองมินกำมือแน่น กัดริมฝีปากระงับอารมณ์ตัวเอง
ทำไมเขาถึงจะไม่เคยคิด ทำไมจะไม่เคยน้อยใจว่าพ่อไม่รักตัวเอง ปมด้อยที่กักเก็บไว้ในใจมาเนิ่นนานกำลังถูกจี้จุดเข้าเต็มๆ เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว และซองมินไม่แน่ใจว่าถ้าบารอมยังไม่หยุดเรื่องนี้เขาเองจะควบคุมตัวเองได้หรือเปล่า
“พี่ไม่มีวันเข้าใจหรอก ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม ผมจะอยากให้ใครตาย จะไปฆ่าใครก็ชีวิตของผม พี่ไม่มีสิทธิมาห้าม…”
เสียงลมดังวืดเมื่อมือข้างขวาของซองมินวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว ถ้าบารอมเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกันกับเขา ฝ่ามือของซองมินต้องกระทบโดนแก้มของเด็กชายเข้าเต็มๆ แต่เพราะไม่ใช่ มันจึงสัมผัสได้เพียงอากาศเท่านั้น
บารอมเบิกตาค้าง ตัวชาไปทั้งตัว ไม่เจ็บกาย ไม่รู้สึกอะไรสักนิด แต่กลับเจ็บไปทั้งใจ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา แม้เขาจะทำตัวแย่ขนาดไหน จะดื้อจะซนก่อเรื่องวุ่นวายจนโรงพยาบาลแทบแตกก็ยังเคย แต่ไม่มีสักครั้งที่ซองมินจะลงไม้ลงมือทำร้าย อย่างมากก็แค่ตักเตือนห้ามปราม แต่ครั้งนี้...ซองมินกลับตบเขาเพราะผู้ชายคนเดียว ผู้ชายที่ทำให้ซองมินเกือบตายมาแล้วหลายต่อหลายครา
“บ...บารอม” ซองมินเรียกเด็กชายเสียงพร่า มือข้างนั้นทิ้งตกลงข้างลำตัวและกำลังสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนั้นลงไปเช่นกัน
บารอมก้มหน้านิ่ง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ขณะที่เอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนจะหายตัวไป
“แค่ได้ปกป้องพี่ ไม่ว่าอะไรผมก็ยอมแลกทั้งนั้น ต่อให้วิญญาณต้องแตกสลาย ไม่ได้ไปเกิดก็ยอม เพราะอะไรรู้มั้ย พี่เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถึงแม้จะคิดได้ตอนที่ตายไปแล้วก็เถอะ”
ซองมินถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ใบหน้าซุกซบบนเตียง มือกำขยำผ้าปูที่นอนแน่นขณะที่กายสั่นไหวจากแรงสะอื้น ความรู้สึกผิดกัดกร่อนทั้งใจ เขาไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเลวร้ายลงแบบนี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
จนถึงตอนนี้อึนจูก็ยังไม่มา นานแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ เปล่าเปลี่ยว....ตัวคนเดียว เขาเกลียดความรู้สึกเหล่านี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้เลยที่มันจะกลับมาอีกครั้ง เขากำลังจะสูญเสียบารอมไปจริงๆ แล้วใช่ไหม
พยาบาลคิมจีฮยอนแปลกใจไม่น้อยที่เห็นว่าพยาบาลที่ทำหน้าที่ราวนด์วอร์ดเป็นผู้ช่วยหมอในเช้าวันนี้เป็นใคร
“คุณอิม เช้านี้เป็นเวรของคุณปาร์คไม่ใช่เหรอ” จีฮยอนถามพยาบาลสาวเมื่อเห็นเธอถือถือแฟ้มประวัติคนไข้เตรียมเดินออกไปจากเคาน์เตอร์พร้อมๆ กับที่คุณหมอโจวมาถึง
“ค่ะ แต่ดิฉันแลกเวรกับคุณปาร์คแล้ว ขอตัวก่อนนะคะเดี๋ยวคุณหมอโจวรอนาน” อิมยุนอาตอบ และไม่ต้องรอให้จีฮยอนถามรอบสอง เธอก็เดินตามหลังคยูฮยอนไปเรียบร้อย
ปกติการราวนด์วอร์ดหรือการที่หมอและพยาบาลเดินตรวจคนไข้ผู้ป่วยในในแต่ละห้องนั้น หมอประจำตัวของคนไข้แต่ละคนจะเข้าไปตรวจเฉพาะคนไข้ของตนเองเท่านั้น โดยหมอแต่ละท่านจะมาทำหน้าที่ตามแต่เวลาของแต่ละคน ยุนอาแลกเวรกับปาร์คมินจองนั้นเพราะเธอมีเหตุผล เพราะวันนี้มินจองต้องราวนด์วอร์ดกับหมอโจวและคุณหมอคนที่ว่าก็เป็นหมอประจำตัวชั่วคราวของซองมิน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ยุนอาทำแบบนี้และมันเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้เธอกลับไปเยี่ยมซองมินได้อีก ไม่อย่างนั้นก็ต้องรอจนถึงเย็นตอนนำยาหลังอาหารเย็นไปให้ ซึ่งเวลานั้นถือว่าช้าเกินไปสำหรับเธอ ตอนนี้เธอร้อนใจอยากทราบอาการของซองมิน จะเรียกว่าเป็นห่วงก็ได้
และเวลาที่ยุนอารอคอยก็มาถึง เมื่อทั้งเธอและคยูฮยอนมาถึงห้องเกือบสุดท้ายที่เป็นห้องผู้ป่วยของคยูฮยอน นั่นก็คือห้องของซองมินนั่นเอง อาจจะเพราะยุนอามัวแต่เป็นกังวลเรื่องของซองมินมากเกินไป จึงไม่ได้สังเกตเห็นความประหม่าที่ซ่อนอยู่ในแววตาของคุณหมอที่เธอปฏิบัติหน้าที่ด้วย
ยุนอาเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูให้คยูฮยอนเดินเข้าไป เธอโล่งใจเมื่อเห็นว่าคนไข้หนุ่มที่นึกเป็นห่วงนั้นนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีปกติดีเหมือนทุกวัน ไม่มีอาการแปลกๆ อย่างที่เห็นเมื่อตอนเช้าตรู่ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ยุนอาจึงเห็นว่าซองมินผิดแปลกไปจากเดิม และคยูฮยอนเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน
“คุณซองมิน...เอ้อ..คุณอี” คยูฮยอนกระแอมเล็กน้อยแก้ขัด เรียกชายหนุ่มที่มองเหม่อไปยังโทรทัศน์ที่กำลังฉายการ์ตูนเรื่องดัง ต่อหน้าคนอื่นซองมินไม่ชอบใจนักที่คยูฮยอนแสดงความสนิทสนมเกินควรด้วยการเรียกชื่อเขา อันที่จริงชายหนุ่มหน้าหวานคนนี้ไม่พอใจทุกครั้งที่เขาไม่ได้เรียกด้วยนามสกุลทั้งที่คนอื่นต่างก็เรียกคนไข้หนุ่มคนนี้ว่า ‘คุณซองมิน’ กันทั้งนั้น นั่นทำให้ลึกๆ คยูฮยอนแอบเคืองเล็กน้อยที่ซองมินแสดงท่าทีไม่อยากสนิทด้วย แต่วันนี้เขายอมทำตัวห่างเหินตามที่ซองมินต้องการสักวัน
“ค..ครับ” ซองมินตอบ ใบหน้าหวานดูลอยๆ ไม่ค่อยมีสติกับตัว
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” คยูฮยอนถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง จะไม่ให้ทั้งเขาและยุนอาเป็นห่วงได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้สภาพซองมินดูไม่จืดเลย หน้าซีด ตาแดงบวมราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักมา
“เปล่าครับ” แต่คำตอบของซองมินก็เป็นไปตามที่คยูฮยอนคาดไว้ในใจ
“แต่คุณร้องไห้...”
“ผมไม่ได้ร้องไห้” ซองมินตอบทันควัน แม้ตาจะยังคงจ้องลอยๆ ไปที่โทรทัศน์
“คุณซองมิน...” คยูฮยอนเผลอเรียกชื่อชายหนุ่มตามความเคยชิน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้นก็โดนตัดบทเสียก่อน
“ผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร รีบๆ ตรวจซักที ผมต้องการพักผ่อน” นั่นถือว่าเป็นคำขาด
คยูฮยอนอ้าปากค้างก่อนจะหุบปากเร็วๆ แล้วตรวจร่างกายตามปกติโดยไม่พูดอะไรอีกแต่ในใจกลับคิดว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรดี ซองมินโกรธเขาแน่ๆ ล่ะ แต่อาการกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ตั้งแต่แรก คยูฮยอนคาดว่าจะโดนชายหนุ่มแสดงท่าทีต่อต้านด้วยการโวยวาย จิกกัด หรือไม่ก็วางท่าปั้นปึ่งเหมือนอย่างเคยเวลาที่เขาทำให้ไม่พอใจ แต่ผลกลับตรงข้าม ซองมินตอนนี้ดูเหม่อๆ จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างบอกไม่ถูก แม้ตอนเมื่อครู่ที่ตวาดเขานั้นเหมือนจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แต่ความรู้สึกของคยูฮยอนกลับบอกว่าไม่ใช่ และก็เป็นอย่างนั้นจริง เมื่อคนไข้หนุ่มกลับไปทำท่าเหม่อลอยอีกครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใด ซองมินร้องไห้...แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธแต่หลักฐานบนใบหน้ามันฟ้องทุกอย่าง ต่อให้เขาเป็นเด็กอายุ 5 ขวบก็ยังมองออกว่าซองมินมีเรื่องทุกข์ใจ นั่นยิ่งทำให้คยูฮยอนร้อนใจ เปอร์เซ็นต์เป็นไปได้สูงว่าสาเหตุมันจะเป็นเพราะเขา
ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะคยูฮยอนจริงๆ นั่นล่ะ แต่มันไม่ใช่สาเหตุหลักที่แท้จริง
“ร่างกายภายนอกปกติดีทุกอย่างครับ” คยูฮยอนพูดหลังจากตรวจร่างกายเสร็จ แต่เขายังไม่หมดธุระกับซองมิน เขามีบางอย่างที่อยากจะคุยกับซองมินอยู่ แต่ติดตรงที่ว่ายังมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย
“คุณอิมครับ พอดีผมลืมแฟ้มของคุณคิมจุนโฮที่ห้องทำงานชั้น 1 ช่วยลงไปเอาให้หน่อยได้มั้ยครับ” ชื่อของคนไข้ห้องสุดท้ายที่กำลังรอตรวจต่อจากห้องของซองมินถูกนำมาใช้อ้างทันที แต่ยุนอาก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แล้วยังออกจากห้องไปหาแฟ้มที่ว่านั้นโดยดี ทั้งที่ตัวเธอเองก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นแฟ้มนี้ในกองแฟ้มที่ถือมาด้วยแต่ก็ไม่ทันได้นึกหาดู กลับทำตามคำสั่งของคยูฮยอนทั้งที่ถ้าเพียงแต่เธอเลิกแฟ้มที่อยู่ข้างบนออก 2-3 แฟ้มก็จะเจอแฟ้มที่ว่าโดยไม่ต้องลำบากลงไปหาถึงชั้น 1 เลย
เมื่อในห้องเหลือแต่เพียงเขาและซองมินสมใจ คยูฮยอนก็เพ่งมองใบหน้าหวานที่ดูเศร้าสร้อยผิดปกตินั้นอย่างพินิจพิจารณา ซองมินยังคงเหม่อมองตรงไปยังโทรทัศน์แต่ดูเหมือนภาพจากในโทรทัศน์จะไม่เข้าไปในสำนึกรับรู้ของซองมินเท่าใดนัก
“คุณซองมิน...” คยูฮยอนเรียกชื่อของซองมินแผ่วเบา เจ้าของชื่อไม่ได้ขานรับ จนชายหนุ่มต้องเรียกซ้ำถึงสองครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น ซองมินจึงมีท่าทีรับรู้ หันมามองเขาพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้เมื่อคืน ที่จริงผมควรจะพูดให้เร็วกว่านี้ ผม..”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” เป็นอีกครั้งที่ซองมินตัดบทคำพูดของคยูฮยอนขึ้นมาแล้วหันไปสนใจมองโทรทัศน์ต่อราวกับการ์ตูนที่กำลังฉายนั้นสนุกมากจนละสายตาไม่ได้
ถ้าเป็นเวลาอื่น คยูฮยอนคงเข้าใจว่ากิริยาอาการของซองมินนั้นหมายถึงการไม่ยอมรับคำขอบคุณของเขา แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ดูเหมือนซองมินไม่รับรู้ดีด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไร เพียงแต่ตอบรับตามมารยาทเท่านั้น อีซองมินไม่ใช่คนเดิมกับที่เขารู้จัก ทั้งที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวตนที่แท้จริงของซองมินเป็นอย่างไรเพราะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน รู้เพียงอย่างเดียวว่าเขารู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นซองมินเป็นแบบนี้
“คุณยังโกรธผมอยู่รึเปล่า” คยูฮยอนตัดสินใจถามเรื่องที่ยังค้างคาในใจ
“โกรธ...ไม่ครับ ไม่ได้โกรธ” ซองมินตอบ แต่ก็ไม่ได้มองหน้าคยูฮยอน
“ผมขอโทษ คุณช่วยผมเอาไว้แท้ๆ แต่ผมกลับทำตัวไม่ดีกับคุณเลย ผมรู้ว่าตัวเองไม่ควรจะทำแบบนั้น” คยูฮยอนหยุดประโยคเอาไว้ แต่ก็อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาอีก แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบเหมือนเดิม เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไร
“ครับ ผมไม่เป็นไร ขอบคุณนะครับ” ซองมินพูดแล้วล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้คยูฮยอนราวกับต้องการจบบทสนทนาชวนอึดอัดนี้เสียที
คยูฮยอนเองก็รู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดต่อ ชายหนุ่มเอ่ยคำลาแล้วออกจากห้องมาเงียบๆ เพื่อไปตรวจคนไข้ห้องสุดท้าย ไม่ลืมหยิบแฟ้มทั้งปึกที่ยุนอาวางไว้บนโต๊ะตอนลงไปชั้น 1 ตามคำสั่งเขา แต่เขาลืมไปว่าทิ้งให้พยาบาลสาวไปตามหาแฟ้มที่ไม่ได้อยู่ในห้องทำงาน แต่อยู่ในมือเขารวมกับกองแฟ้มของคนไข้คนอื่นๆ
กว่ายุนอาจะมาคยูฮยอนก็ตรวจร่างกายคนไข้คนสุดท้ายเสร็จแล้ว และกำลังจดข้อมูลลงบนหน้ากระดาษในแฟ้มที่ยุนอาใช้เวลาตามหารวมถึงไปกลับจากชั้น 7 มาชั้น 1 ร่วม 10 นาที พอเห็นพยาบาลสาวเข้ามาในห้องคนไข้คนสุดท้ายและตาจ้องเขม็งไปที่แฟ้มในมือของคยูฮยอน คุณหมอหนุ่มจึงนึกขึ้นได้
“อ้อ! พอดีผมลืมไปน่ะ แฟ้มอยู่ที่นี่ ในกองแฟ้มนี่แหละ ผมเพิ่งหาเจอ” คยูฮยอนแก้ตัวพลางส่งยิ้มแห้งๆ ให้พยาบาลสาว นึกขอโทษยุนอาในใจ
พอตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จและการราวนด์วอร์ดตอนเช้าจบลง คุณหมอและพยาบาลก็เดินกลับมายังเคาน์เตอร์พยาบาล ยุนอาต้องประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ส่วนคยูฮยอนต้องลงไปชั้น 1 เพื่อตรวจผู้ป่วยนอกต่อ แต่ก่อนจะไป...
“คุณหมอโจวคะ” ยุนอาตัดสินใจเรียกคยูฮยอนไว้
“ครับ” คยูฮยอนหมุนตัวกลับมา มองหน้าพยาบาบลสาวที่มีสีหน้าครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“คือ....ไม่มีอะไรแล้วค่ะ” และสุดท้ายยุนอาก็ตัดสินใจเก็บเรื่องอาการของซองมินที่เห็นตอนเช้าไว้ แม้ซองมินจะไม่อาละวาดอย่างที่เธอนึกกลัว แต่การมีท่าทีเหม่อลอยซึมเศร้านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะเห็นเช่นกัน ถึงกระนั้นยุนอาก็เป็นห่วงซองมินเกินกว่าจะให้คยูฮยอนรู้ เธอกลัวว่าคยูฮยอนจะทำอะไรรุนแรงกับซองมินอีกอย่างที่เขาเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คยูฮยอนยังถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลง เขาไม่เชื่อคำปฏิเสธของยุนอา หากไม่มีเรื่องอะไร เธอจะเรียกเขาไว้ทำไม
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณหมอรีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคนไข้จะรอนาน” ยุนอาตอบพลางหลบตาคมที่จ้องมาอย่างจับผิด
แต่สุดท้ายคยูฮยอนก็เดินจากไปโดยไม่ได้ถามหรือซักไซ้อะไร
หลังจากที่คยูฮยอนออกไปแล้ว ซองมินก็ลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าพลางทอดถอนใจ
ไม่มีใครอยู่เลยสักคน ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากตัวเขา แม้แต่อึนจูก็ไม่มาทั้งที่เวลานี้เด็กหญิงควรจะมานั่งดูการ์ตูนเรื่องโปรดกับบารอมแล้ว
บารอมก็ไม่อยู่...มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
ซองมินคิดขณะที่มองภาพไตเติ้ลจบของการ์ตูนที่บารอมและอึนจูต้องดูทุกเช้าและพลอยทำให้เขาต้องดูไปด้วย มือเล็กเอื้อมไปหยิบรีโมตที่วางที่หัวเตียงก่อนจะกดปิดโทรทัศน์ เขากำลังนึกหวังให้เด็กทั้งสองคนมาดูการ์ตูนอย่างทุกเช้าอย่างนั้นน่ะเหรอ
คนไข้หนุ่มล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียง มองเพดานสีขาวที่คุ้นตาเพราะเห็นทุกวันมาร่วมปี พลางนึกในใจว่าหากตอนนี้ผีสาวตนนั้นกำลังนั่งทับอยู่บนอกและบีบคอเขาอยู่ บารอมจะโผล่มาช่วยเหมือนทุกครั้งหรือไม่
ขอบตาของชายหนุ่มร้อนผ่าว ซองมินรีบกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำร้อนๆ ที่กำลังเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง เขาร้องไห้มามากพอแล้ว และไม่อยากร้องอีก เขาไม่ควรจะคิดหมกมุ่นเรื่องของบารอมมากจนเกินไป แต่ชีวิตที่อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แทบไม่ได้พบปะใครนอกจากหมอและพยาบาลทำให้ซองมินไม่มีเรื่องอะไรให้คิดหันเหความสนใจไปจากเรื่องนี้มากนัก ครั้นจะให้คิดถึงครอบครัว คำพูดของบารอมก็คอยแต่จะวิ่งเข้ามาแทรกอยู่ในหัว
“...ถ้าพ่อพี่เขารักพี่จริง เขาคงไม่ทิ้งพี่กับแม่ไปหาผู้หญิงคนใหม่หรอก”
มันช่วยไม่ได้ที่ถ้าพูดถึงครอบครัวก็ต้องนึกถึงพ่อ พ่อที่เขาจำหน้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แม้จะแทบไม่รู้จัก แต่ซองมินก็ไม่เคยโกรธเคยเกลียดและยังเคารพรักผู้ชายคนนั้นว่าเป็นพ่อเสมอ ถึงไม่ได้เลี้ยงดู ถึงจะปล่อยให้แม่กับเขาต้องลำบาก แต่ผู้ชายคนนั้นก็ให้ชีวิตซองมินมาและเป็นคนที่แม่ของเขารัก แม้จะไม่แน่ใจว่าคนที่เขาเรียกว่าพ่อนั้นจะรักเขากับแม่หรือเปล่า
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ซองมินกลับยิ่งรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม....
ชายหนุ่มพยายามหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น หากไม่มีเรื่องของครอบครัว ไม่มีเรื่องของชีวิตในโรงพยาบาล เขาก็คิดไม่ออกว่ายังมีอะไรให้นึกถึงอีก ชั่วแวบหนึ่งซองมินคิดถึงน้องชายคนเดียวของเขา...รยออุค
ตอนนี้เขาอยากเจอรยออุคเหลือเกิน อย่างน้อยรยออุคก็คงพอจะหาเรื่องมาพูดให้เขาคลายความรู้สึกหนักอึ้งในอกนี้ได้ แต่เขาไม่มีทางติดต่อกับรยออุคได้ นอกจากจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์เพราะเขาไม่ได้ขอเอาไว้เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับคนภายนอกเพราะอยู่ในฐานะของ ‘ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตและมีแนวโน้มเป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง’ ทางเดียวที่จะเรียกรยออุคมาที่นี่ได้คือแกล้งอาละวาดแล้วพยาบาลจะติดต่อไปหาญาติเพื่อแจ้งเรื่องเอง นั่นก็หมายความว่าเขาต้องยอมโดนจับฉีดยา มิหนำซ้ำพยาบาลคงจะติดต่อไปทางฮาฮีราซึ่งเป็นเจ้าของไข้และเขาก็มั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไรอื่นว่าแม่เลี้ยงของเขาไม่มีทางติดต่อกับรยออุคแน่แม้ว่าเธอจะมีเบอร์ของรยออุคก็ตาม
หนทางที่จะได้พบน้องชายต่างสายเลือดจึงมีค่าเท่ากับศูนย์
อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เขาลืมคุณหมอจงอุนไปได้อย่างไรกันนะ คุณหมอจงอุนน่าจะพอรู้วิธีติดต่อหารยออุค สองคนนั้นเริ่มสนิทกันแล้ว (ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะเขายังอยากได้คุณหมอผู้แสนดีคนนั้นเป็นน้องเขยอยู่) แต่ความปีติยินดีของซองมินก็คงอยู่ได้เพียงครู่เดียว ไม่ใช่เพราะกลัวจงอุนจะไม่ให้การช่วยเหลือ คนดีมีน้ำใจอย่างคุณหมอคนนั้นย่อมยินดีที่จะเรียกรยออุคมาให้เขาได้อยู่แล้ว แต่หากรยออุคมา นั่นก็เท่ากับว่าเขาจำเป็นต้องเล่าเรื่องกลุ้มใจที่มีทั้งหมดให้รยออุคฟังรวมถึงเรื่องวิญญาณสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทุกอย่างด้วย เพราะด้วยนิสัยที่รยออุคก็รู้ดี ซองมินไม่มีทางเรียกตัวรยออุคมาพบเพียงเพราะอยากเห็นหน้าหรือเกิดคิดถึงขึ้นมากะทันหันทั้งที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวาน รยออุครู้ดีว่าซองมินเกรงใจเขามากแค่ไหนที่เสียเวลาเสียการเสียงานมาเยี่ยม และก็เป็นซองมินเองนั่นล่ะที่บอกกับรยออุคว่าไม่ต้องมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะไม่อยากให้ลำบาก รยออุคต้องสงสัยแน่ๆ ถ้าเกิดอยู่ๆ เขาอยากพบตัวน้องชายกะทันหันแบบนี้ เขาไม่อยากให้รยออุครู้เรื่องพวกนี้เพราะเขารู้ดีว่ารยออุคเป็นคนยังไง น้องชายของเขาต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่หากรู้ว่าชีวิตในโรงพยาบาลของเขาไม่ได้ราบเรียบสุขสบายอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง แต่กลับโดนผีผู้หญิงที่ตามตัวคยูฮยอนอยู่รังควาญและพยายามเอาชีวิต ซองมินกล้าเอาหัวเป็นประกันว่ารยออุคนั่นแหละจะทำให้เรื่องมันใหญ่บานปลายหนักกว่าเดิม แล้วยิ่งน้องชายอารมณ์ร้อนของเขาไม่ค่อยชอบหน้าคยูฮยอนอยู่แล้วด้วย เรื่องจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อนึกมาถึงคยูฮยอน ซองมินกลับรู้สึกแปลกใจที่ตอนนี้เขาไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจผู้ชายคนนั้นมากนักทั้งที่ผู้ชายคนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมากลุ้มใจแบบนี้ จริงอยู่ที่ตอนแรกเขาทั้งโมโหทั้งน้อยใจคุณหมอหนุ่มผู้นั้น แต่ความรู้สึกนี้มันเบาบางจางลงไปมากแล้ว
อาจเพราะความรู้สึกผิดที่ตนเองเกือบทำให้คยูฮยอนต้องตายหรืออาจจะเพราะความสำนึกผิดจากใจจริงที่คยูฮยอนแสดงออกเมื่อครู่นี้ ถึงแม้ว่าตอนนั้นซองมินจะสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใดนักเพราะมัวแต่พะวงเรื่องของบารอมรวมถึงเป็นห่วงอึนจูที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น แต่พอกลับมานึกย้อนดูอีกทีแล้วคยูฮยอนเองก็คงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยที่ทำให้เขาโกรธขนาดนั้น แต่ถึงแม้ไม่โกรธแล้ว ซองมินก็ยังไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นอยู่ดี เขายังไม่ลืมเรื่องภาพฝันที่ตัวเองเคยเห็นและเรื่องราววุ่นวายตลอด 3อาทิตย์ที่เขาต้องพบเจอหลังจากที่คยูฮยอนมีตัวตนอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้
แต่ก็นั่นล่ะ การนึกถึงคยูฮยอนก็ต้องทำให้คิดถึงบารอมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดีเพื่อที่จะทำให้ตัวเองลืมเรื่องวุ่นวายพวกนี้ซะ รวมถึงเลิกนึกถึงวิญญาณเด็กชายตนนั้นด้วย
ซองมินรู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคืออะไร เขาอยากได้ใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังเขาแล้วไม่ตั้งคำถามยุ่งยากใจ ใครก็ได้ที่ฟังเขาเงียบๆ แล้วชี้แนะหนทางที่ดีที่สุดให้ ไม่ต้องให้เขาหลงอยู่ในความมืด จมอยู่กับความรู้สึกย่ำแย่เพียงคนเดียว
คำตอบผุดขึ้นมาในหัวอย่างง่ายดาย ทำไมเขาไม่คิดได้เร็วกว่านี้ ใครกันที่ทำให้เขาหายจากความเปล่าเปลี่ยวจากการอยู่ตัวคนเดียวในโรงพยาบาลแห่งนี้มาตลอด 1 ปีที่ผ่านมาในยามที่ยังไม่มีบารอมและอึนจู คำตอบมันง่ายนิดเดียว
ซองมินหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักของผู้ป่วยใน เขาไม่กล้าเข้าไปหาเจ้าของห้องทั้งที่ตอนแรกกลับรู้สึกสบายใจที่จะได้มาพบกับคนๆ นี้ แต่พอนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกับเขา ซองมินก็อดจะเกรงๆ ไม่ได้
ซองมินทำให้ผู้ชายคนนั้นต้องผิดใจกับผู้เป็นแม่ แม้เขาจะบอกกับซองมินว่าไม่ใช่ความผิดของซองมินเลย แต่ซองมินก็ไม่เคยเห็นคิบอมเศร้าเสียใจขนาดนั้นมาก่อน
ตอนนี้คิบอมจะอยู่ในห้องหรือเปล่านะ
ซองมินกลั้นใจเคาะประตูแล้วรีบเปิดประตูออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจเสียก่อน เขาหลับตาปี๋ราวกับว่ากลัวจะเห็นอะไรไม่ดีซึ่งก็คือใบหน้าถมึงทึงของคิบอมพร้อมกับคำตวาดด้วยความโมโหว่าเขายังกล้าโผล่หน้ามาให้เห็นอีกหรือ แต่ซองมินกลับคิดผิด
คิบอมอยู่ในห้องของตัวเองจริง เขากำลังนั่งอยู่บนเตียงและส่งรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ซองมินใจกระตุก
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะซองมิน ลมอะไรหอบมาล่ะเนี่ย”
-----------------------------------------------------------
สำหรับตอนนี้อาจจะมีบทบรรยายความคิดเยอะหน่อยเนอะ ไรท์เตอร์ไม่รู้จะถ่ายทอดออกมายังไงดี ภาษาเลยแปลกๆ มึนๆ เบลอๆ (เหมือนสติของนังไรท์เตอร์ในตอนนี้ ฮ่าๆๆ) ยังไงก็ช่วยติชมมากันด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
43ความคิดเห็น